,./*v*,.. Happy Chinese New Year 2009 ..,*v*.,/
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 
'เรื่องนี้มีรัก' โปรเจคพิเศษของขวัญปีใหม่ : เชื่อมรัก...หวานเย็น (..4..) ***ตอนจบแล้วนะคะ***


Merry Christmas ย้อนหลัง และสุขสันต์วัน Boxing Day ค่ะ ^^


วันนี้มาเร็วนิดนึงเพราะอาจจะกลับดึก ^^ จากสัปดาห์ที่แล้ว แอบเห็นว่าสาวๆ ออกอาการหลงปลื้มพี่ดามพ์กันเป็นแถวทีเดียว ทำเอาคนเขียนหน้าบาน ปลื้มอกปลื้มใจไม่แพ้กัน เพราะนานๆ จะเขียนพระเอกในแบบที่คนอ่านเขาชอบกันเสียที (กร๊ากกกส์) แต่เห็นด้วยว่าพี่ดามพ์น่ารักมากกกกก จนน่าจะมีหนุ่มน่ารักแบบนี้อยู่จริงเนอะ หุๆ

และสำหรับตอนจบเนี่ย ต้องขอบอกว่าอิจฉายัยน้ำหมึกสุดๆ ของสุดๆ เลยค่ะ ถ้าอยากรู้ว่าทำไมแม้แต่โน้ตยังอิจฉาซะเองต้องรีบเลื่อนลงไปอ่านแล้วล่ะ

สัปดาห์สุดท้ายนี้เล่นเกมที่บ้านหวาน (ซ่อน) ใจ นะคะ อย่าลืมไปส่งคำตอบน้า


########################



4..

วันแต่ละวันผ่านไปตามปกติ จากกลางคืนแล้วก็เช้า และพอตกค่ำตะวันก็ลับขอบฟ้าไปเพื่อเตรียมที่จะทอแสงในวันใหม่ แต่สำหรับคนที่คิดถึงและรอคอย วันแต่ละวันดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน

พายุฝนที่ซัดกระหน่ำมาเป็นสัปดาห์จางหายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความสดใส (จนร้อนจัด) สำหรับทีมงานเชื่อมหัวใจไว้ด้วยรัก การถ่ายทำใกล้เสร็จสิ้นลงแล้ว เหลือเพียงฉากสำคัญอีกสองสามฉากทุกคนก็จะได้ฉลองใหญ่กันอย่างเต็มที่เพราะนอกจากจะฉลองปิดกล้องแล้ว ทีมงานทุกคนยังอยากร่วมแสดงความยินดีกับงานแถลงข่าวงานแต่งงานอย่างเป็นทางการของพระนางคู่ขวัญ อันจะนำมาซึ่งการพุ่งกระฉูดของเรทติ้งละคร

“ดีใจไหมน้ำหมึก อีกไม่กี่วันก็ปิดกล้องแล้ว”

พระเอกประจำกองถ่ายถามขณะที่เมคอัพอาร์ติสสาวกำลังลงรองพื้นให้

“เรื่องนั้นมันแหงอยู่แล้วล่ะค่ะ ใครๆ ก็ต้องดีใจทั้งนั้นแหละ แต่แหม…ใครจะไปดีใจเท่าคุณธีร์ล่ะคะ รู้สึกว่าจะได้โชคสามชั้นเลยไม่ใช่หรือ”

ธีรุตม์หัวเราะ

“ฮะๆ ก็ว่าอย่างนั้น แต่ที่ดีที่สุดคือเรื่องไอ้ดามพ์นี่ล่ะ ปิดกล้องแล้วก็ดีมันจะได้ไม่มากวนใจผมอีก”

“ไม่มากวนที่นี่ก็ไปกวนที่อื่นจนได้แหละค่ะ”

“คุณนี่เก่งนะ…แค่รู้จักกันไม่กี่วันยังดูไอ้ดามพ์ออก แถมยังรู้วิธีจัดการกับมันอีก ผมล่ะนับถือเลย”

“ไม่หรอกค่ะ…ฉันแค่บังเอิญเข้ามาเป็นคนกลางที่รู้เห็นเรื่องในครอบครัวพอดีมากกว่า…เสร็จแล้วค่ะ”

หญิงสาวเอ่ยประโยคสุดท้ายพร้อมดึงกระดาษกันเปื้อนออกจากคอเสื้อของพระเอกหนุ่ม หากฝ่ายนั้นยังไม่วายกระซิบประโยคหนึ่งให้เธอคันในหัวใจเล่นๆ ก่อนจากไป

“หลอกใครก็หลอกได้ แต่อย่าหลอกกระทั่งหัวใจตัวเองก็แล้วกัน”

“คุณพูดถูก คุณธีร์” เมคอัพอาร์ติสสาวรำพึงกับตัวเองเมื่ออยู่เพียงลำพัง “ฉันก็ไม่เคยคิดที่จะหลอกตัวเองเหมือนกัน”

หญิงสาวตัดสินใจ…ไม่ว่าเขาจะกำลังยุ่งหัวปั่นหรืออย่างไร คืนนี้เธอก็ตั้งใจจะโทรศัพท์ไปหาเขา ก็ทีเขายังโทรมาก่อกวนเธอตอนกลางดึกได้เลยนี่นา แล้วทำไมเธอจะเอาคืนไม่ได้ล่ะ




หากดูเหมือนว่าพระเจ้าจะไม่ต้องการทำให้นีราภาต้องเสียค่าโทรศัพท์หรือคำนวณความต่างของเวลาแบบผิดๆ ถูกๆ เมื่อกลับมาถึงคอนโดในตอนบ่าย สาวผิวเข้มจึงได้พบกับร่างสูงที่เธอคิดถึงอยู่ตลอดเวลาเกือบสิบวันตั้งแต่เขาจากไป

“คุณดามพ์!”

เมคอัพอาร์ติสสาวเกือบยกมือขึ้นขยี้ตาด้วยความไม่เชื่อสายตาของตัวเอง เขาจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไม่จริงน่า… “คุณมาที่นี่ได้ไงคะ”

“คุณคิดว่าแค่ที่อยู่คุณมันหายากนักเหรอน้ำหมึก”

“อืม ฉันก็ไม่คิดอย่างนั้นหรอกค่ะ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนอย่างเขา “เพิ่งกลับมาถึงเหรอคะ”

ใบหน้าคมเข้มพยักหน้า “เมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว”

คำตอบของเขาทำให้เมคอัพอาร์ติสสาวอุทานด้วยความเป็นห่วง

“ตายแล้ว ทำไมไม่กลับบ้านไปพักก่อนล่ะคะ เดี๋ยวก็เพลียแย่หรอก”

นัยน์ตาสีเข้มสำรวจดูสภาพเขา…เขายังอยู่ในชุดสูทที่น่าจะเคยเนี้ยบกริบถ้าไม่ได้ใส่นั่งอยู่ในเครื่องบินมานานหลายชั่วโมงจนมีรอยยับย่นไปบ้าง แสดงว่าน่าจะยังไม่ได้แวะไปบ้านเอากระเป๋าไปเก็บเลยด้วยซ้ำ

“ไม่ล่ะ…ผมอยากรีบมาเห็นหน้าคุณ”

คำตอบตรงๆ พร้อมสายตาที่ทอดมองมาอย่างอ่อนโยน เปี่ยมไปด้วยความคะนึงหาทำให้หัวใจดวงน้อยของหญิงสาววูบไหวยิ่งนักเพราะไม่นึกว่าเขาจะเข้าสู่โหมดหวานอย่างรวดเร็วไม่ทันให้เธอได้ตั้งตัวแบบนี้

แถมบริเวณนี้ยังมีผู้คนพลุกพล่านไปหน่อย แค่แป๊บเดียวเธอยังรู้สึกถึงสายตาที่แสดงความสนใจใคร่รู้มากขนาดนี้ เธอจึงเอ่ยชวนชายหนุ่ม

“คุณดามพ์คะ ฉันว่าเราไปหาที่อื่นคุยกันดีกว่าไหมคะ ตรงนี้คนออกจะเยอะไปหน่อย”

เดชพนต์หัวเราะเมื่อเห็นผิวหน้าที่แดงก่ำไปจนถึงคอของเธอ นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันน่าจะร้อนสักแค่ไหนถึงออกสีจัดได้ถึงขนาดนี้ หากก็ไม่กล้ายกมือขึ้นแตะแก้มนวลอย่างที่ใจอยากจะทำเพราะ...อย่างที่เธอว่า บริเวณนี้คนเยอะเกินไป

“ได้ ไปไหนก็ได้ตามใจคุณ”




เมื่อเห็นสถานที่ที่นีราภาชวนเขาไปเดชพนต์ก็ต้องหัวเราะก๊ากเพราะมันไม่ใช่ห้องส่วนตัว สวนดอกไม้ หรือแม้แต่สนามเด็กเล่น แต่นีราภาชวนเขาไปร้านอาหาร!

“คุณนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะน้ำหมึก”

เขาว่าเมื่อเห็นหญิงสาวสั่งอาหารมาจนเต็มโต๊ะอีกแล้ว

“แหงล่ะ คุณคิดว่าแค่ไม่กี่วันจะให้ฉันเปลี่ยนไปสักแค่ไหนเชียวคะ”

หญิงสาวเถียง แม้ความเป็นจริงเธอจะทานอาหารน้อยลงมากตอนที่เขาไม่อยู่ แต่เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องบอกให้เขารู้ก็ได้จริงไหม

“งั้นที่ผมบอกให้คุณเผื่อท้องเอาไว้สำหรับของฝากล่ะ คุณจะยังกินไหวอยู่หรือเปล่า”

ชายหนุ่มลองหยั่งเชิง และแน่นอนว่าคำตอบของสาวนักกินต้องเป็น

“สบายมาก คุณไม่รู้หรือคะว่ากระเพาะของฉันมีสี่มิติ”

เดชพนต์สั่นหน้ายิ้มๆ เมื่อได้ยินคำตอบของเธอ

“โอเค ผมเชื่อ”

เขาพูดพลางส่งถุงกระดาษขนาดใหญ่ราวๆ สี่ห้าถุงให้ ซึ่งปริมาณของฝากที่ค่อนข้างมากแถมยังมีน้ำหนักไม่น้อยทำให้คนรับขมวดคิ้วเพราะเกรงว่ามันมากเกินไปหรือเปล่าสำหรับผู้หญิงคนเดียวที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยเช่นเธอ คิดเช่นนั้นเมคอัพอาร์ติสสาวจึงเปิดถุงออกดู

ไอ้ถุงแรกที่ใหญ่ที่สุดน่ะเป็นขนมไม่ต้องสงสัย แต่อีกสามสี่ถุงที่เหลือนี่ล่ะมันอะไรกัน…

“คุณดามพ์คะ”นีราภาร้อง ตกใจเมื่อเปิดถุงทุกใบออกดูแล้วพบว่ามันคือเครื่องสำอางทั้งหมด…แต่ละชิ้นล้วนเป็นของดีมียี่ห้อราคาแพงด้วยกันทั้งนั้น “ขอบคุณมากนะคะ แต่...เอ้อ...”

“ว่าไง?”

“คือ...สำหรับขนมฉันรับไว้ด้วยความยินดี แต่...สำหรับเครื่องสำอางแพงๆ พวกนี้…ฉันคงรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”

“ทำไม?”

คนให้ตวัดเสียงห้วนทำให้คนปฏิเสธกลืนน้ำลายได้อย่างลำบากยากเย็นยิ่งนัก เธอยกมือขึ้นไหว้เขา ทั้งขอบคุณและขอโทษไปพร้อมๆ กัน

“ฉันขอบคุณจริงๆ นะคะที่คุณอุตส่าห์มีน้ำใจซื้อของทั้งหมดนี่มาฝากฉัน…แต่คือ…”

หญิงสาวพยายามอธิบายแต่ก็พูดไม่ออก ที่เธอรับไว้ไม่ได้เป็นเพราะเธอรู้มูลค่าของมันเป็นอย่างดี ราคาของมันมากเกินไป แต่มีหรือที่ชายหนุ่มจะฟัง

“คุณรังเกียจผมหรือน้ำหมึก ถึงไม่ยอมรับสิ่งที่ผมตั้งใจเลือกให้คุณ”

เดชพนต์ถามด้วยความน้อยใจ ทำไมเธอถึงไม่รู้ว่าเขาตั้งอกตั้งใจเลือกของทุกอย่างทุกชิ้น ทั้งๆ ที่มันน่าอายจะแย่ที่ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาจะไปยืนเลือกเครื่องสำอางสีๆ ในร้านที่มีแต่กลิ่นน้ำหอมและบรรดาผู้หญิงที่จ้องมองเขาเหมือนเอเลี่ยนที่มาจากดาวอังคาร!

“ไม่ใช่นะคะ” นีราภารีบแก้ก่อนที่เขาจะเข้าใจผิด “เพียงแต่… ฉันคิดว่าราคาของมันมากเกินไปสำหรับการซื้อมาฝากกัน”

เพราะเท่าที่ประเมิน…ราคารวมน่าจะอยู่ในระดับตัวเลขห้าหลัก หากเหตุผลของชายหนุ่มกลับเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจโต้แย้งได้อีกเลย

“รู้อะไรไหม ผมไม่เคยประเมินมูลค่าของน้ำใจน้อยไปกว่ามูลค่าของสิ่งของหรอกนะ”

…ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอกำลังดูถูกน้ำใจเขาอยู่หรือเปล่า คิดอย่างนั้น นีราภาจึงพนมมือไหว้เขาอีกครั้ง

“ฉันขอโทษนะคะคุณดามพ์ที่อาจจะดูถูกน้ำใจคุณไปบ้าง ฉันไม่ได้ตั้งใจนะคะ”

“ไม่เป็นไร” คนเสียงเข้มพูดเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นสีหน้าเจื่อนจ๋อยของคนตรงหน้า “ผมจะยกโทษให้ก็ได้ ถ้าคุณยอมรับของทั้งหมดนี่ไป”

ด้วยเหตุนี้ หญิงสาวจึงไม่รู้จะปฏิเสธได้อย่างไร ได้แต่กล่าวขอบคุณซ้ำอีกครั้ง และออกตัวขอเป็นเจ้าภาพอาหารมื้อนี้แทน

เมื่ออาหารเริ่มเสิร์ฟและบรรยากาศดีขึ้น เมคอัพอาร์ติสสาวก็อดไม่ได้ที่จะชมว่า

“รู้ไหม คุณเลือกของเก่งมากเลยนะคะ ทั้งๆ ที่ไม่นานมานี้คุณยังงงๆ อยู่เลยว่าลูกรักแต่ละชิ้นของฉันเอาไว้ใช้ทำอะไร แต่วันนี้คุณเลือกซื้อของมาได้อย่างกับมืออาชีพมาเอง”

ชายหนุ่มหัวเราะเก้อๆ เมื่อได้ยินคำชม ก่อนตอบอย่างจริงใจ

“สารภาพตามตรงนะน้ำหมึก ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าอะไรเป็นอะไร ผมเลยถามพนักงานขายกับลูกค้าแทบทุกคนในร้าน ใครบอกว่าอันไหนใช้ดี อันไหนออกใหม่ อันไหนน่าลองผมก็หยิบมา หวังว่าจะดีจริงอย่างที่โฆษณานะ"

ฟังแล้วคนฟังแทบจะกลั้นยิ้มไม่อยู่ถ้าไม่กลัวเขาโกรธอีกครั้ง แต่ภาพของผู้ชายที่ดูผู้ช้ายผู้ชายสุดๆ อย่างเดชพนต์เดินเข้าไปในร้านเครื่องสำอางหรูเพื่อเลือกของฝากผู้หญิงคนหนึ่งไม่น่ารักหรอกหรือ ยิ่งตอนนี้ใบหน้าของเขามีร่องรอยของความเขินพาดผ่านยิ่งน่ามองเข้าไปใหญ่

“ขอโทษนะคะที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณต้องลำบาก”

"ไม่เป็นไร” เสียงห้าวตอบอย่างไม่ใส่ใจแม้ใบหน้าของเขายังมีสีสันที่แก้มอยู่ เขาเสไปหยิบถุงที่เล็กที่สุดขึ้นมา “ความจริงที่ผมซื้อมาเยอะๆ ก็กะจะให้คุณแบ่งเอาไว้ใช้ทำงานด้วย แต่ถุงเล็กนี่ผมเลือกเองสำหรับคุณโดยเฉพาะ ห้ามเอาไปใช้แต่งให้คนอื่นเด็ดขาด"

“คะ?” …มีการกะเกณฑ์กันแบบนี้ด้วยแฮะ เชื่อเขาเลย

หากนีราภายังประเมินชายหนุ่มตรงหน้าน้อยเกินไป เพราะนอกจากจะเจ้ากี้เจ้าการแล้ว เขายังใจร้อนกว่าที่เธอคิดเสียอีก

“ว่าแต่คุณจะลองแต่งตอนนี้เลยได้ไหมน้ำหมึก ให้ผมได้พิสูจน์ฝีมือการเลือกของตัวเองหน่อย”

“ฉันก็อยากจะทำอย่างนั้นนะคะคุณดามพ์ แต่…อย่าเพิ่งเลยค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธอย่างนุ่มนวลเพราะกลัวเขาจะโกรธหรือน้อยใจเธอขึ้นมาอีก แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ไม่วายเปลี่ยนสีหน้า ทำให้เธอต้องทอดเสียงให้อ่อนลงกว่าเดิม “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ คุณก็เห็นนี่ว่าวันนี้ฉันใส่เสื้อสีส้มซะขนาดนี้ ขืนแต่งตาด้วยสีน้ำเงินอมเขียวประกายทองผู้คนจะได้คิดว่าฉันพยายามเลียนแบบนกแก้วมาคอร์กันพอดี ถ้าคุณอยากเห็นของที่คุณเลือกดูสวย ถูกที่ถูกทางที่สุดก็รอหน่อยเถอะค่ะ”

เหตุผลของเธอทำให้ชายหนุ่มจอมเอาแต่ใจยอมพยักหน้า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเขายอมถอยไปจากจุดยืนของตัวเองง่ายๆ

“ได้ น้ำหมึก หวังว่าคงจะเป็นเร็วๆ นี้นะ”

“สัญญาด้วยเกียรติของเมคอัพอาร์ติส คุณจะไม่ผิดหวังค่ะ”




คำว่า ‘เร็วๆ นี้’ ของเดชพนต์ย่อมหมายความถึง ‘พรุ่งนี้’ อย่างไม่ต้องสงสัย เมคอัพอาร์ติสสาวจึงมาปรากฏตัวที่กองถ่ายด้วยเสื้อไหมสีนวลแบบเก๋ที่มีเสื้อแขนกว้างและตัวเสื้อเป็นแบบพองตัดเย็บให้จั๊มพ์ตรงเอวกับกางเกงยีนสีเข้มขาเดฟ ที่แปลกตาไปกว่าทุกวันคือหญิงสาวคาดผมด้วยริบบินสีครีมอันใหญ่ เผยให้เห็นเครื่องหน้าชัดเจนกว่าปกติ

“ต๊าย วันนี้แต่งหน้าสวยนะยะน้ำหมึก”

เจ๊นกน้อยทักทันทีที่หันมาเห็นสาวรุ่นน้องผิวเข้มเดินเข้ามาในกองถ่าย เขา (หรือเธอ) ตรงเข้ามาเพ่งพิศการแต่งหน้าอย่างใกล้ชิด

“สีนี้สวย สีฟ้าอมเขียวแบบนี้ขับสีตาให้ดูสวยปิ๊งนักล่ะ ถึงว่าวันนี้ฉันรู้สึกว่าตาเธอมันเป็นประกายวิ้งๆ ยิ่งกว่าทุกวันอีกนะยะ”

เมคอัพอาร์ติสสาวยิ้มเขินเมื่อช่างผมรุ่นพี่สำรวจดูอาย ไลเนอร์ มาสคาร่า และบรอนซิ่ง พาวเดอร์ใหม่ที่ทำให้นวลแก้มของเธอสุกปลั่งเหมือนลูกพีช ไปจนถึงลิปกลอส ...ทั้งหมดนี้เป็นของใหม่ที่ชายหนุ่มพายุไฟซื้อมาให้

“ต๊ายยยยยยยย อันนี้ชื่อกิ๊บเก๋ยูเรก้ามากๆ kissable ถึงว่าล่ะว่าวันนี้ปากหนูถึงดูได้เป็นประกายวิ้งแว้บๆ เชิญช๊วน…เชิญชวน”

“บ้าน่ะ เจ๊” นีราภาเลี่ยงไปเก็บเครื่องสำอางใหม่ที่เจ๊นกน้อยวางคืนลงบนโต๊ะแก้เขินเพราะรู้ดีว่าคนซื้อให้อยู่ในอาณาบริเวณที่จะได้ยินคำสนทนานี้แน่ๆ คนพูดก็ใช่ว่าจะเสียงเบาเสียที่ไหน

แถม…ถ้าไม่ได้คิดไปเอง รู้สึกว่าเจ๊น่าจะตั้งใจเร่งโวลลุ่มให้ดังขึ้นอย่างไรก็ไม่รู้ นอกจากนั้น ยังทำท่าจีบปากจีบคอจุ๊บๆ อีก

บ้าจริงๆ เลย เจ๊อ่ะ!!

เพราะอย่างนี้ เมคอัพอาร์ติสสาวจึงซ่อนอาการเขินด้วยการหนีไปอยู่ในหมู่ผู้กำกับและผู้ช่วยผู้กำกับ

“วันนี้เราจะถ่ายฉากไหนบ้างนะ”

นีราภาถาม ซึ่งทีมงานเขียนบทก็จัดการเอาบทละครเคาะหน้าผากเธอไปหนึ่งทีก่อนตอบ

“อะไรยัยน้ำหมึก ตัวเองต้องมาแต่งหน้าแท้ๆ จำไม่ได้เหรอ วันนี้เราจะถ่ายฉากที่ญาติของน้องธีร์โกรธที่น้องธีร์ไม่รักดี ดันไปหลงรักลูกสาวของศัตรูไง ก็เลยจัดการวางระเบิดกะจะย่างสดทั้งสองคนแล้วป้ายความผิดให้อีกฝ่าย เราน่ะต้องเตรียมสแตนบายเอาไว้ได้แล้วนะ เพราะฉากนี้เราต้องเติมหน้าน้องๆ ให้ดูเหมือนเลอะเขม่าดำๆ เออ... ถึงละครจะเน้นสมจริง แต่ก็ระวังอย่าลงให้เลอะเทอะเกินไปล่ะ ยังไงคนไทยก็ยังชอบดูดาราหน้าตาสวยๆ มากกว่าเลอะๆ อยู่ดี เข้าใจ๋”

“ค่า”

เมคอัพอาร์ติสสาวรับคำก่อนจะลงมือแต่งหน้าให้กับนักแสดงของฉากนี้ซึ่งมีเพียงสามคนเท่านั้นได้แก่ดาวิษา ธีรุตม์ และนักแสดงชายอาวุโสอีกคนหนึ่งที่แสดงเป็นญาติผู้ชั่วร้ายของพระเอก ซึ่งการแต่งหน้าของผู้ชายใช้เวลาน้อยมาก วันนี้เมคอัพอาร์ติสสาวจึงค่อนข้างว่าง ดังนั้นแม้จะเดินหนีไปดูมอนิเตอร์ พูดคุยกับคนนั้นคนนี้ ตลอดจนอ้อนขอของกินจากป้านิ่มแล้ว เธอก็ต้องหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเดชพนต์ไม่ได้อยู่ดี

“รู้สึกว่าวันนี้จะหาโอกาสคุยกับคุณยากจริงนะน้ำหมึก”

ชายหนุ่มดักคอเมื่อมีโอกาสอยู่กันตามลำพังจนได้ นีราภาที่ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงจึงได้แต่ยิ้มแหยๆ เหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่ากระทำผิด

…อุตส่าห์หลบแล้วแท้ๆ ก็ดูสิ ดวงตาของเขาวันนี้มันออกจะ…แพรวพราวยังไงก็ไม่รู้ เขามองเธอเหมือนจะจับกินยังไงยังงั้น แล้วแบบนี้จะให้เธอทำหน้าคุยกับเขาเป็นปกติได้ยังไงกันเล่า

“นึกแล้วว่าสีแบบนี้ต้องเหมาะกับคุณที่สุด”

แค่แววตาพึงพอใจก็ทำให้เธอเขินจนไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ แล้ว หากคำพูดที่ออกมาจากริมฝีปากหยักสวยยิ่งมีผลเข้าไปใหญ่ คนถูกชมจึงแทบจะมุดดินลงไปอยู่เป็นเพื่อนกับตัวตุ่น

“คุณเลือกของเก่งนะคะ”

“คงเพราะตอนเลือกผมคิดถึงคุณ”

“บ้าจริงๆ เลยคุณดามพ์” น้ำเสียงหวานพยายามปั้นให้ติดแววกล่าวหา...ถึงแม้มันจะเบาหวิวจนไม่มีน้ำหนักเลยก็ตาม “ฉันไม่ชอบให้คุณพูดเล่นแบบนี้นะคะ”

“แล้วใครบอกว่าผมพูดเล่นล่ะ”

ชายหนุ่มเอ่ยประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน มือใหญ่ค่อยๆ ประคองใบหน้านวลให้เงยขึ้นมาอยู่ระดับที่สายตาประสานกัน

หากเจ้าของดวงตาที่งดงามเหมือนท้องสมุทรยามค่ำคืนกลับไม่กล้าสบตาเขา เธอหลับตาลงเพราะกลัว…กลัวอะไรก็บอกไม่ถูก กลัวเขา? กลัวใจตัวเอง? หรือกลัวว่าดวงตาแจ่มแจ๋วของเธอจะเผยความในใจออกมา...

สติของหญิงสาวยิ่งสับสนจนกระเจิดกระเจิงเมื่อริมฝีปากอุ่นๆ แตะลงบนหน้าผากกลมมนอย่างนุ่มนวล หัวใจดวงน้อยเต้นโครมครามจนนีราภานึกกลัวว่าร่างกายจะสั่นไหวตามไปด้วย

“ตกลง วันนี้จะยอมยกให้ก่อนก็ได้ แต่คราวหน้าผมไม่ยอมแล้วนะ เราควรจะพูดกันให้รู้เรื่องเสียที”

แม้เดชพนต์จะยอมถอยทัพชั่วคราวหากหญิงสาวรู้ดี สำหรับคนใจร้อนอย่างเขา คำว่า ‘คราวหน้า’ ไม่น่าจะมีความหมายต่างไปจากคำว่า ‘เย็นนี้’ หรือ ‘พรุ่งนี้’ อย่างแน่นอน!

ตาย...แบบนี้คงต้องเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการสารภาพรักและถูกบอกรักแล้วสินะ หัวใจจ๋า...อย่าเพิ่งหยุดเต้นไปเสียก่อนล่ะ




ระหว่างเดินกลับไปที่เต็นท์ เสียงของทีมงานฝ่ายเทคนิคคนหนึ่งกำลังโต้เถียงกับผู้กำกับผ่านวิทยุสื่อสารด้วยเสียงที่ไม่เบานักก็ผ่านเข้ามาให้ได้ยิน

“พี่ ตกลงฉากนี้เราจะใช้ระเบิดกันจริงๆ เหรอ ผมว่ามันอันตรายเกินไปนะ”

“เออสิวะ” เสียงผู้กำกับวัยกลางคนยืนยัน “แค่ไดนาไมต์ไม่เท่าไรหรอก”

“แต่…”

“เฮ้ยๆ ที่นี่ข้าเป็นผู้กำกับ ข้าสั่งอะไรก็ทำไป อย่าเถียง”

ทางฝ่ายเทคนิคเห็นว่าเปล่าประโยชน์ที่จะเถียงจึงส่ายหัวก่อนที่จะกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า

“ก็ได้ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นพี่ก็รับผิดชอบด้วยแล้วกัน”

นีราภาฟังบทสนทนานั้นอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะเธอและคงจะอืกหลายๆ คนในกองถ่ายไม่รู้เลยว่าจะมีการใช้อุปกรณ์อันตรายอย่างระเบิดด้วย

เมื่อหันไปมองชายหนุ่มข้างตัวหญิงสาวก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสีหน้าของเขาเคร่งเครียดจนน่ากลัวผิดไปจากชายหนุ่มตาวิบวับที่อยู่กับเธอเมื่อครู่เป็นคนละคน จึงรีบดึงมือเขาไปที่จุดถ่ายทำเพื่อเจรจากับผู้กำกับทันที

ลางสังหรณ์แปลกๆ ร้องเตือนอีกแล้ว ดวงตาข้างขวาเขม่นตุ้บๆ ไม่ยอมหยุด ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นก็จะดีหรอก

หากยังไม่ทันที่ทั้งสองจะวิ่งกลับไปถึงครึ่งทางเสียด้วยซ้ำ เสียง ตู้ม! ก็ดังสนั่นขึ้นพอดี

เสียงที่ได้ยินดึงทั้งสองให้รีบวิ่งไปยังต้นกำเนิดของมัน และภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือเปลวไฟกำลังลุกโชนขึ้นจากบังกะโลหลังเล็ก

“คุณดามพ์คะ” หญิงสาวเรียกเขาเสียงแผ่ว กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะออกความเห็นว่า “นี่คงเป็นแค่การซ้อมระเบิด ไม่ได้มีใครอยู่ในฉากหรอกมั้งคะ เห็นไหมคะว่าผู้กำกับและทีมงานก็ไม่ได้นั่งอยู่แถวนี้สักคน”

หากยังไม่ทันที่เดชพนต์จะได้ตอบอะไร ธีรุตม์และทีมงานก็วิ่งเข้ามาถึงพร้อมใบหน้าตื่นตระหนก

“ดรีม ดรีม…”

พระเอกหนุ่มร้องโวยวายแทบไม่เป็นภาษาเมื่อเห็นเปลวเพลิงลุกโชติช่วงอยู่ตรงหน้า

“ดรีม ถ้าคุณอยู่ในนั้นตอบผมด้วย ดรีม…”

“อะไรนะ น้องดรีมอยู่ในนั้นเหรอคะ”

เมคอัพอาร์ติสสาวร้องถาม ผู้ช่วยผู้กำกับคนหนึ่งพยักหน้าเครียดๆ

“เรากำลังตกลงกันว่าจะเช็คระเบิดเพราะทางฝ่ายเทคนิคกลัวว่ามันอาจจะแรงเกินไปเลยให้นักแสดงพักกลับไปที่เต็นท์ก่อน…แต่ที่เราไม่รู้คือน้องดรีมจะวกกลับเข้าไปข้างในนั้นเพื่อซ้อมบท”

“แล้วทำไมถึงไม่บอกทีมงานหรือนักแสดงสักคำว่าจะมีการใช้ระเบิด…ไม่คิดบ้างหรือว่าอาจจะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น!”

เดชพนต์คำราม ร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…

เมคอัพอาร์ติสสาวเองก็ตัวเย็นเฉียบ ร่างบางสั่นน้อยๆ ดวงตาคมมองไปยังร่างสูงที่อยู่ข้างๆ แล้วนึกกลัวขึ้นมาจับใจ ... ชายหนุ่มโกรธแทบคลั่งจนเธอมั่นใจว่าเขาพร้อมจะกระโจนเข้าไปบีบคอผู้กำกับได้ทุกเมื่อ มือเรียวบางจึงเอื้อมไปกุมมือใหญ่กระชับเพื่อปลอบใจและรั้งเขาเอาไว้ มือของเขาไม่ยักจะเย็นเหมือนมือของเธอ แต่มันกลับอุ่นร้อนจนทำให้เธอบรรเทาความตระหนกลงเช่นกัน

เมื่อได้รับถ่ายทอดความเย็นจากมือนุ่มๆ ความร้อนรุ่มที่สุมอยู่ในใจของเดชพนต์ก็ค่อยๆ บรรเทาลง เขาจึงคว้ามือของเธอไปกุมเอาไว้อย่างแนบแน่นเพื่อเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้กับตัวเอง แปลก…แต่ยามที่มือของเธอและเขาตกอยู่ในสัมผัสของกันและกัน ความเย็นยะเยียบและไอร้อนระอุมลายหาย กลับกลายเป็นกระแสความอบอุ่นท่วมท้นเข้ามาแทนที่ ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าหัวใจของเขาเริ่มสงบลงตั้งแต่เมื่อไร บางทีอาจจะตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่าเธอกำลังร่วมรับรู้ความรู้สึกเดียวกันกับเขาก็เป็นได้ เขารู้ว่าเธอเองก็ตื่นตระหนกไม่น้อย ความเย็นที่แผ่ออกมาจากมือเล็กยามที่กุมมือเขาเป็นพยานได้เป็นอย่างดี แต่แทนที่จะห่วงตัวเอง ผู้หญิงคนนี้กลับเลือกที่จะปลอบใจเขาก่อน

…ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเธอเพียงแค่นี้เขาก็พอใจ

สติของเขาจึงกลับมามากพอที่จะโทรศัพท์เรียกรถดับเพลิงและรถพยาบาลมาโดยด่วน...แม้มือที่กดโทรศัพท์จะยังสั่นระริกจนแทบจะกดไม่ได้ก็ตาม

หากคู่ปรับของเขากลับทำในสิ่งที่เกินกว่าใครจะคาดคิด พระเอกหนุ่มคว้าลังใส่น้ำ หยิบน้ำขวดแล้วขวดเล่าราดลงบนตัวเองจนเปียกชุ่มโชกไปหมดทั้งตัวและศีรษะ ก่อนจะวิ่งบุกเข้าไปในกองไฟอย่างบ้าระห่ำ

“เฮ้ย ไอ้ธีร์!”

ผู้กำกับพยายามจะทัดทานแต่ไม่ทันเสียแล้ว พระเอกของเรื่องหายเข้าไปในประตูที่กำลังจะถูกปิดล้อมด้วยเปลวเพลิงในไม่ช้านี้

“ไอ้บ้าเอ๊ย”

เดชพนต์คำรามก่อนที่จะลงมือทำสิ่งเดียวกัน หากเมคอัพอาร์ติสสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับรั้งแขนที่เปียกโชกของเขาเอาไว้แน่น

“อย่าค่ะ คุณดามพ์ ฉันขอร้อง คุณอย่าเข้าไปอีกคนเลยนะคะ”

“ปล่อยผมนะน้ำหมึก น้องผมอยู่ในนั้นทั้งคน จะให้ผมทนยืนดูอยู่เฉยๆ ได้ยังไง”

“แล้วลองคิดดูสิคะ ถ้าคุณเข้าไปอยู่ในนั้น...ฉันจะรู้สึกยังไง”

คำพูดของเธอทำให้เขาชะงัก ความร้อนรนในใจลดความรุนแรงลงไปมากทีเดียว อย่างน้อยก็ทำให้เขาหยุดสะบัดแขนที่ท่อนแขนเล็กๆ พยายามฉุดรั้งเอาไว้อย่างสุดความสามารถ

“เชื่อฉันเถอะนะคะ คุณทำดีที่สุดแล้ว คุณจัดการโทรเรียกรถดับเพลิงมาเรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรือคะ…ตอนนี้สิ่งที่เราควรจะทำมีแค่รอ นอกจากนั้น…ฉันเชื่อนะคะว่าคุณธีร์จะต้องช่วยคุณดรีมได้อย่างปลอดภัย”

เดชพนต์ยอมรับว่าประโยคแรกๆ ของหญิงสาวแทบไม่ได้ซึมซาบเข้าสู่สมองของเขาเลย เพิ่งจะมาสะดุดตรงส่วนท้ายๆ…

ท่าทีของ ‘ไอ้ธีร์’ ที่แสดงออกต่อน้องสาวของเขาแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยว่าไอ้คู่ปรับที่เขาเกลียดมันเข้าไส้จริงใจกับดาวิษามากแค่ไหน สีหน้าและแววตาของมัน…ถ้าจะให้พูดกันตามจริงต้องบอกว่ามันพร้อมจะเข้าไปติดอยู่ในกองไฟแทนน้องสาวของเขาด้วยซ้ำ

เป็นเวลาเพียงไม่กี่นาทีแต่ในความรู้สึกของเขามันยาวนานเหลือเกินกว่าที่ธีรุตม์จะกลับออกมาทางหน้าประตูพร้อมกับดาวิษาท่ามกลางความโล่งใจของทุกคน สิ่งที่ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ซาบซึ้งจนน้ำตาคลอก็คือการที่ธีรุตม์เสียสละทั้งเสื้อยืดตัวในและเสื้อแจ็กแก็ตที่เปียกชุ่มคลุมร่างและศีรษะของคู่หมั้นสาวเอาไว้ ดาวิษาจึงไม่มีบาดแผลอะไรเลยนอกจากคราบเขม่าควันที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าและและเนื้อตัวเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนพระเอกหนุ่มมีรอยโดนไฟลวกแบบไม่ร้ายแรงอยู่สามสี่แห่ง เห็นได้ชัดว่าเขาเอาตัวเข้าปกป้องหญิงสาวโดยไม่แคร์ว่าตัวเองจะบาดเจ็บหรือเป็นอะไรไป




เพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้การถ่ายทำละครเชื่อมหัวใจไว้ด้วยรักต้องหยุดชะงักลงกลางคัน พระเอกและนางเอกถูกแอดมิทเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากสูดควันเข้าไปเป็นจำนวนไม่น้อย บังกะโลก็ต้องถูกสร้างขึ้นใหม่ซึ่งผู้กำกับก็ออกมาขอโทษขอโพยว่าต่อไปเขาจะไม่ใช้ของอันตรายอย่างนี้โดยไม่บอกกล่าวอีกแล้ว และขอร้องอย่าให้ถึงกับมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลกันเลย แม้จะฮึดฮัด เดชพนต์ก็ยอมหยวนๆ เพราะเห็นแก่ละครที่น้องสาวแสดงนำจะได้ไม่มีมลทิน

ส่วนทีมงานก็พากันโอดครวญว่าต่อจากนี้ไม่ควรใช้สเปเชียล เอ็ฟเฟ็กต์อันตรายๆ อีกเลยจะดีกว่า ใจหายใจคว่ำครั้งนี้ครั้งเดียวก็เกินพอ ต่อไปใช้กราฟฟิคเข้าช่วยจะดีมาก

ด้วยเหตุนี้ เมคอัพอาร์ติสสาวที่แทบจะไม่รับงานอื่นในช่วงนี้จึงว่างพอที่จะมาคะยั้นคะยอให้ชายหนุ่มที่เพิ่งจะ ’พอรู้ใจกัน’ ยอมไปเยี่ยมธีรุตม์ที่ห้อง

“มันจะยากอะไรขนาดนั้นคะ คุณดามพ์ ไหนๆ คุณก็มาเยี่ยมน้องดรีมแล้ว แค่เดินเลยไปห้องตรงข้ามแค่นี้มันสร้างความลำบากให้คุณมากนักหรือคะ”

นีราภาบ่นเพราะเบื่อคนดื้อ…ปากแข็งจริงๆ ทั้งๆ ที่ใจอ่อนแล้วแท้ๆ

“ไม่ดีกว่าน้ำหมึก ผมขี้เกียจไปแช่งให้มันตายเร็วๆ”

“ตายแล้ว ดูพูดเข้าสิคะ ใจร้ายจัง เขาอุตส่าห์ช่วยชีวิตน้องสาวคุณเอาไว้แท้ๆ นะคะ”

“ถ้ามันไม่วิ่งเข้าไปผมก็ทำอยู่ดี”

ฟังแล้วสาวผิวเข้มได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ…เบื่อคนปากแข็ง ทำไงดีน้อ

“ฟังนะคุณดามพ์ ถ้าคุณไม่อยากให้ฉันตราหน้าคุณว่าเป็นคนขี้ขลาด ก็ตามฉันมาซะดีๆ”

ในเมื่อกล่อมก็แล้ว หว่านล้อมก็แล้วก็ไม่ยอมฟัง เห็นจะต้องใช้วิธีแบบนี้แหละ

วิธีการใหม่ของนีราภาทำท่าจะได้ผล เพราะทันทีที่ได้ยินคำสบประมาท ดวงตาของชายหนุ่มก็ลุกวาบขึ้นตามประสาคนชอบเอาชนะ เขารีบเดินตามไปหมายจะจับตัวคนที่กล้าท้าทายเขามาลงโทษเสียให้เข็ด แต่ช้าไป เพราะทันทีที่รู้ว่าเขาตามมา นีราภาก็เผ่นแผล็วเข้าไปในห้องพักของพระเอกหนุ่มทันที

“สวัสดีค่ะ คุณธีร์ น้ำหมึกกับคุณดามพ์มาเยี่ยมค่ะ”

เมคอัพอาร์ติสสาวประกาศเสียงใส ไม่อนาทรร้อนใจเลยว่า ‘คุณธีร์’ กับ ‘คุณดามพ์’ จะทำหน้าเหมือนถูกจับกรอกยาขมอย่างไร ร่างบางเดินลอยหน้าลอยตาคว้าแจกันที่หัวเตียงคนป่วยเดินหายเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับช่อดอกไม้ในมือ

…ปล่อยให้คุยกันเองแบบลูกผู้ชายก็แล้วกันเนอะ

หญิงสาวค่อยๆ แกะดอกไม้ออกมาตัดก้านเด็ดใบปักลงไปในแจกันทีละดอกอย่างอารมณ์ดี เชื่อแน่ว่าเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เดชพนต์เห็นแล้วว่าธีรุตม์มีความจริงใจกับดาวิษามากพอที่เขาจะรับเป็นน้องเขยไหม

แต่กับธีรุตม์นีราภาคงต้องขอบอกว่าทำใจหน่อยเถอะนะ…ก็รักน้องสาวเขาไปแล้วนี่ ยังไงก็ทนกล้ำกลืนนับญาติกับพี่ชายเขาหน่อยก็แล้วกัน

หากหญิงสาวก็ยังเชื่อว่าตั้งแต่วินาทีที่ธีรุตม์ตัดสินใจจะมีอนาคตร่วมกับดาวิษา ชายหนุ่มได้ยอมรับที่จะร่วมวงศคณาญาติ เป็นทองแผ่นเดียวกับคู่ปรับสมัยเด็กแล้ว




ในที่สุด งานแต่งงานที่นีราภาลุ้นจนตัวโก่งว่าจะได้จัดหรือไม่ก็เกิดขึ้นอย่างงดงามจนได้ งานนี้ใครๆ ต่างพากันออกปากว่าดาวิษาดูสวยผุดผาดบาดตามากกว่าที่เคย ชุดแต่งงานสีขาวทำให้ดารานางแบบสาวดูเจิดจรัสราวกับนางฟ้า

คงจะมีแต่นีราภาเท่านั้นที่รู้ว่าที่นางเอกสาวดูงดงามได้ขนาดนี้ไม่ใช่เพราะฝีมือการเนรมิตความงามที่เหนือชั้นของเธอ หากเป็นเพราะความสุขจากภายในที่เปล่งประกายออกมาต่างหาก

งานนี้ แม้แต่คุณผู้หญิง คุณแม่ของดาวิษายังยิ้มไม่หุบ ไม่มีวี่แววของสีหน้าที่ไม่มั่นคงและไม่มั่นใจเหมือนคราวงานหมั้นอีกแล้ว ยิ่งเดชพนต์ยอมมาปรากฏตัวอยู่ในงานเลี้ยงและอวยพรคู่บ่าวสาวอย่างจริงใจผู้สูงวัยก็ปลื้มใจจนน้ำตาซึม

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเมคอัพอาร์ติสสาวผิวสีน้ำผึ้ง หญิงสาวที่รู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกพบ แต่ก็นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะได้มีโอกาสต้อนรับในฐานะว่าที่ลูกสะใภ้ และคงจะขยับขึ้นมารับตำแหน่งลูกสะใภ้เพียงคนเดียวในไม่ช้า

วันนี้ เมคอัพอาร์ติสสาวมาร่วมงานในชุดผ้าซาตินสีทองในฐานะเพื่อนเจ้าสาว ในขณะที่เดชพนต์ใช้อำนาจพี่เขยยึดตำแหน่งเพื่อนเจ้าบ่าวไปเรียบร้อยโดยที่ตัวเจ้าบ่าวไม่มีแม้แต่โอกาสจะทัดทาน

“ชี้โกงจริงๆ นะคุณ”

นีราภาแกล้งว่าขณะที่เดินอยู่คู่กันในงานเลี้ยง หากชายหนุ่มกลับตีขลุมว่าเป็นคำชมเสียอีก จึงยิ้มรับอย่างหน้าชื่นตาบาน

“ขอบคุณครับ”

ดวงตาคมสวยที่แต่งอย่างหวานซึ้งตวัดส่งค้อนให้อย่างหมั่นไส้ ทำให้คนถูกขว้างค้อนหัวเราะก๊ากแม้จะโดนเข้าไปเต็มๆ

“นี่ยังน้อยไปนะที่ผมยอมเป็นแค่เพื่อนเจ้าบ่าวคู่กับคุณน่ะ ใจจริงผมอยากจะแต่งพร้อมกันสองคู่เลยด้วยซ้ำ”

“บ้า คุณน่ะ ใจร้อนอีกแล้วนะ”

“เอ้า จริงๆ นะ วันหยุดของผมก็แทบจะไม่เหลือแล้วด้วย แต่งงานกันตอนนี้เลยก็ดี ผมจะได้พาคุณไปฮันนีมูนที่นิวยอร์กด้วยเลยไง”

“ตกลงคุณจะต้องกลับไปอยู่ที่นิวยอร์กจริงๆ หรือคะ”

เมคอัพอาร์ติสสาวถามเสียงแห้ง แค่คราวก่อนเขาหายตัวไปแค่สัปดาห์เดียวเธอยังคิดถึงเขาแทบแย่ ถ้าต้องห่างกันไปคนละทวีปเป็นเวลานานๆ มีหวังเธอได้นั่งจมกองน้ำตาตายกันพอดี

“ไม่หรอกน้ำหมึก ผมคงกลับไปแค่ครั้งนี้อีกครั้งเดียวเพื่อทำเรื่องย้ายกลับมากรุงเทพฯ ให้เรียบร้อย สมัยก่อนตัวคนเดียวอยากจะทำอะไรอยู่ที่ไหนผมก็ทำได้ แต่ตอนนี้มีคุณแล้วผมคงอยู่ห่างคุณไปนานๆ ไม่ได้แล้วล่ะ ...นี่ถ้าผมสามารถหายตัวแวบไปแวบมาได้ก็คงดี จะได้ไม่ต้องอยู่ห่างจากคุณเลย”

“นั่นน่ะสิคะ วิธีนั้นคงเหมาะกับคนใจร้อนอย่างคุณ”

หญิงสาวแสร้งทำท่าเห็นด้วย พยักหน้าหงึกหงักเป็นจริงเป็นจัง หากคนฟังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง
“นี่ ถึงตอนนี้คุณยังหาว่าผมใจร้อนอีกเหรอน้ำหมึก…จะบอกให้นะว่าผมใจเย็นลงตั้งเยอะแล้วตั้งแต่ได้พบคุณ”

“จริงง่ะ”

นีราภาย้อนถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อ…ใครเชื่อก็บ้าแล้ว…

“จริงสิ…อยู่ใกล้คนทั้งหวานทั้งเย็นอย่างคุณบ่อยๆ ผมก็ซึมซับมันมาเยอะเหมือนกันนะ”

“จริงเหรอคะ…แต่ทำไมน้า ฉันถึงไม่เห็นจะติดนิสัยใจร้อนจากคุณมาบ้างเลย”

“ไม่จริงหรอก…ไม่งั้นคุณจะสวมแหวนของผมไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอ”

คำพูดของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวยกมือทั้งสองขึ้นดูแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นแหวนทองคำขาวประดับเพชรแบบเรียบมาอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายได้อย่างไรก็ไม่รู้

…สงสัยตอนที่เดินจูงมือกันเมื่อกี้นี้แน่ๆ เลย

“คุณนี่มือไวเหลือเชื่อจริงๆ” หญิงสาวกล่าวหาเขาหลังจากที่หายตกใจแล้ว “เฮ้อ ฉันคิดถูกไหมเนี่ยที่ยอมตกลงปลงใจกับคุณ”

หากเดชพนต์หรือจะปล่อยให้หญิงสาวที่เขารักมีโอกาสได้คิดซ้ำสอง เขารีบชิงเอ่ยก่อนที่เธอจะมีเวลาได้ลังเล

“จะถูกหรือผิดคุณก็ไม่มีโอกาสถอยแล้วล่ะน้ำหมึก…อย่างที่คุณว่าแหละ ผมน่ะใจร้อนเอามากๆ และตอนนี้ผมก็อยากได้ความมั่นใจแล้วด้วยว่า คุณจะแต่งงานกับผมอยู่เคียงข้างผมตลอดไปได้ไหม”

แม้ประโยคแรกๆ จะฟังดูเอาแต่ใจจนไม่น่าตอบรับ หากประโยคสุดท้ายเขากลับแก้ตัวได้เป็นอย่างดีเพราะมันทั้งอ่อนโยน อ่อนหวาน และออดอ้อนอยู่ในที

ยิ่งเห็นชายหนุ่มหน้าทำตาปรอยหวานจนเป็นน้ำเชื่อม เมคอัพอาร์ติสสาวก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน

…ก็ขนาดคนที่ดูแข็งๆ อย่างเขายังทำตัวน่ารักได้ขนาดนี้ แล้วเธอล่ะ จะปฏิเสธไม่ยอมเป็นหวานเย็น (สีเข้มๆ) ที่เพิ่มความชุ่มฉ่ำให้แก่หัวใจของเขาได้หรือ

นีราภาจะพูดอะไรได้อีกนอกจากตอบตกลงให้ความรักของเขาและเธอเชื่อมถึงกันตลอดไป



The End




########################



โฮ่ๆ ในที่สุดเชื่อมรัก...หวานเย็น ก็จบลงแล้ว ^^ จบแบบทั้งหวานทั้งเย็นเลยใช่ม้า (จริงๆ หวานอาจจะใช่ แต่เย็นน่ะไม่ใช่เพราะร้อนที่ดวงตา... หะๆ โน้ตพูดถึงตัวเองทำไมเนี่ย ^^''')

ถึงแม้ว่านิยายจะจบแต่เกมยังไม่จบนะคะ อย่าลืมไปส่งคำทายวีคสุดท้ายกันที่บ้านของเอ้ยด้วย และ วันสิ้นปี (หรือคืนข้ามปี) เราจะมาประกาศรายชื่อผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลของเราไปครอง พร้อมทั้งโพสท์บทส่งท้ายที่เขียนโดยสาวจอยค่ะ

อ๊ะ ขอยั่วน้ำลายสำหรับบทส่งท้ายด้วยภาพของรางวัลสุดพิเศษนะคะ นั่นก็คือ แต่นแต๊น... หนังสือ "เล่มนี้มีรัก" ของขวัญทำมือสุดพิเศษจาก 4 สาวนั่นเองค่ะ





แน่นอนว่าไม่สามารถหาซื้อที่ไหนได้ เพราะเราสั่งทำมือพิเศษเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ^^


ท้ายนี้ ขอย้ำกติกาของเรานะคะ


1. ผู้เข้าร่วมเล่นเกมทุกคนกรุณาอ่านกติกาข้างล่างนี้อย่างละเอียด มิเช่นนั้นหมดสิทธินะเออ สี่สาวขอเตือน

2. การเล่นเกมจะเล่นกันทั้งหมด 4 สัปดาห์ โดยเรียงลำดับดังนี้

- 05.12.08 เล่นที่บ้านจอย (กระแตดอก 'รัก')
- 12.12.08 เล่นที่บ้านโน้ต (เชื่อมรัก...หวานเย็น)
- 19.12.08 เล่นที่บ้านเปี๊ยก (หัวใจต้องลม)
- 26.12.08 เล่นที่บ้านเอ้ย (หวาน (ซ่อน) ใจ)

3. ผู้เล่นทั้งหมดจะต้องร่วมเล่นเกมส์เก็บคะแนนทั้งหมด 4 ฐานที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยแต่ละฐานจะประกอบไปด้วยคำถามจากแต่ละเรื่องที่ได้อ่านกัน สัปดาห์ละ 4 ข้อ

4. ผู้เข้าเล่นเกมในแต่ละฐานมีสิทธิตอบได้แค่ฐานละ 1 ครั้งเท่านั้น โดยคำตอบแรกเราถือเป็นที่สุด (ดังนั้นคิดดีๆ ก่อนตอบนะคะ)

5. ผู้เล่นมีเวลาเล่นเกมทั้งหมด 6 วันในแต่ละฐาน นั่นก็คือ เจ้าบ้านจะลงเรื่องในแต่ละตอนทุกๆ วันศุกร์ ผู้เข้าร่วมเล่นมีเวลาในการตอบคำถามจนกระทั่งเที่ยงคืนของวันพฤหัสบดีถัดไปในการตอบ แล้วเจ้าบ้านจะปิดรับคำตอบสำหรับแต่ละฐาน อาทิเช่น บ้านจอยน้อยลงคำถามวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม ทุกคนสามารถตอบได้จนกระทั่งเที่ยงคืนของคืนวันพฤหัสบดีที่ 11 แล้วรอเล่นเกมในฐานที่ 2 ถัดไป เป็นเช่นนี้ทุกๆ สัปดาห์ ดังนั้นหมายความว่าฐานสุดท้ายฐานที่ 4 จะปิดรับคำตอบในวันที่ 1 มกราคม 2552 นั่นเอง

6. ผู้เข้าตอบคำถาม เวลาตอบคำถามให้ระบุหัวข้อชอยด์มาด้วย เช่น ข้อ 1 พระเอกเรื่องกระแตดอกรักชื่ออะไร
1. ดวิษ
2. ดามพ์
3. พสิษฐ์
4. นักตะ
ถ้าจะตอบว่า ดวิษ ให้เพื่อนๆ ตอบว่า ข้อ 1 ตอบ 1 ดวิษ
ทั้งนี้และทั้งนั้นเพื่อเป็นการรักษาสิทธิของเพื่อนๆ เอง เผื่อว่าเขียนข้อผิดแต่ตอบถูกนะจ๊ะ

7. เนื่องจากเจ้าบ้านมี 4 คนมีหนังสือให้เพื่อนๆ คนละ 1 เล่มเท่านั้น หากมีผู้ได้คะแนนสูงสุด 4 อันดับมากกว่า 4 คน เจ้าบ้านจะนำชื่อของคนที่เกินมานำไปจับฉลาก โดยจะเรียงจากคนที่ได้รับคะแนนสูงสุดลงมานะคะ เช่น ถ้ามีคนได้คะแนนที่ 1 จำนวน 2 คน นั่นหมายความว่าจะไม่มีที่ 2 อันดับต่อไปก็จะเป็นอันดับที่ 3 เลย และ อันดับที่ 4 ตามลำดับ ถ้าหากมีที่ 4 มากกว่า 1 คน เราก็จะเอาคนที่ได้คะแนนในลำดับที่ 4 ทั้งหมดมาจับฉลากเพื่อให้ได้คนที่ได้รับหนังสือไป 4 คนค่ะ

8. การตัดสินของเจ้าบ้านถือเป็นที่สุดนะคะ

9. กรณีพิเศษ... เนื่องจากจอยและเอ้ย มีทั้งเวปไซด์และบล็อก และโน้ตมีสองบล็อก ดังนั้นเราจะเปิดให้เล่นเกมทั้ง 2 ที่นะคะ แต่ว่าคนที่เล่นให้เลือกเล่นที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น ห้ามเล่นทั้งสองที่ ไม่งั้นถือว่าผิดกติกา (เจ้าบ้านปรับตกจริงๆ นะเออ) และถ้าหากใครมี log in ที่เวปไซด์ไม่ตรงกับ bloggang เจ้าบ้านอนุญาตให้ระบุชื่อ log in ใน bloggang มาด้วยได้ถ้าหากอยากเล่นเกมในเวปค่ะ เพราะเราต้องเก็บคะแนน 4 ฐานเนอะ จะได้สะดวกๆ นะจ๊ะ

10. ขอให้มีความสุขกับการอ่านและสนุกกับการเล่นเกมค่ะ
แล้วพบกันวันสิ้นปีค่ะ




Create Date : 25 ธันวาคม 2551
Last Update : 26 ธันวาคม 2551 17:26:15 น. 6 comments
Counter : 864 Pageviews.

 
ขอบคุณคุณ yoja ที่คอยหมั่นมาเยี่ยมนะคะ ^^


โดย: บทเพลงแห่งความฝัน วันที่: 26 ธันวาคม 2551 เวลา:17:35:04 น.  

 
เรื่องสั้นจังเลย

นึกว่าจะยาวกว่านี้

แต่ก็ชอบค่ะ

อยากให้ทำเป็นรูปเล่มจัง


โดย: เด็กน้อยขี้แย วันที่: 26 ธันวาคม 2551 เวลา:18:47:50 น.  

 
ไม่ได้เล่นเกมส์กับคนอื่นเค้าค่ะ แต่อยากให้มีการตีพิพม์มากเลยค่ะ จะได้ซื้อเก็บไว้บ้าง


โดย: PiN.VE IP: 58.137.129.220 วันที่: 29 ธันวาคม 2551 เวลา:10:16:24 น.  

 
zwani.com myspace graphic comments


สวัสดีปีใหม่มา "ห้าสอง" แล้ว

ให้ผ่องแผ้วไร้ทุกข์พบสุขี

ทั้งครอบครัวญาติมิตรล้วนเปรมปรีดิ์

ให้มั่งมีความสุขล้วนถ้วนทุกคน


...สวัสดีปีใหม่ 2552 ครับ...


โดย: doctorbird วันที่: 30 ธันวาคม 2551 เวลา:10:29:26 น.  

 


Greetings of the New Year. Wishing you all success in the next.

สวัสดีปีใหม่ 2552 ค่ะมีความสุข สดชื่น สดใส ตลอดปีตลอดไปนะคะ


โดย: นู๋นิด (happypig@nk ) วันที่: 30 ธันวาคม 2551 เวลา:23:20:19 น.  

 
สวัสดีปีใหม่ค่ะพี่โน้ต คิดถึงเสมอนะคะ



โดย: YUI_MUNMOO วันที่: 31 ธันวาคม 2551 เวลา:0:41:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

บทเพลงแห่งความฝัน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ผู้หญิงทำงานโลภมากที่อยากสวย เก่ง ประสบความสำเร็จ มีความสามารถรอบด้าน และมีความสุขมากที่สุดในโลก (ไม่ว่าจะโสดหรือไม่ก็ตาม อิอิ) ^^









Friends' blogs
[Add บทเพลงแห่งความฝัน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.