"ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด (หลวงพ่อชา สุภัทโท)"
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
12 พฤศจิกายน 2550
 
All Blogs
 
ตำนานพระนางจามเทวี



ผู้เขียน: ถาวภักดิ์
อยู่ในส่วน: ภาษาวรรณคดี
ข้อมูลจากวิชาการ.คอมครับ

ตำนานพระนางจามเทวี

คือตำนานกำเนิดเมืองหริภุญไชย มีเหตุจากนางกวางมากินอะไรก็ชักจำไม่ค่อยได้แล้ว ซึ่งขึ้นอยู่บริเวณที่พระฤาษีวาสุเทพใช้เป็นสุขา จนเกิดลูกเป็นมนุษย์จำนวนมากในคราวเดียวกัน พระฤาษีผู้เป็นพ่อโดยไม่ตั้งใจ ต้องเนรมิตรบ้านเมืองให้อยู่ แต่หาผู้ปกครองที่เหมาะสมไม่ได้

เล็งไปเล็งมา เห็นแต่พระนางจามเทวีธิดากษัตริย์เมืองละโว้มีบุญบารมีมาก จึงไปทูลเชิญ ประจวบกับพระนางทำผิดประเพณีจนตั้งครรภ์ จึงเป็นทางออกให้พระบิดาเนรเทศแทนการประหาร

พระนางเดินทางผ่านเขตซึ่งปัจจุบันคือ อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เกิดเหตุอัศจรรย์เงาสะท้อนของพระนางในน้ำปิงปรากฎเป็นสามเงาด้วยพระบารมี จึงเป็นตำนานคำเรียกขานบริเวณดังกล่าวว่าสามเงาตั้งแต่นั้น

ส่วนขุนหลวงวิลังคะเป็นกษัตริย์ชาวลั้วะผู้รุกราน ต้องการครอบครองทั้งเมืองหริภุญไชยและตัวพระนาง มีแสนยานุภาพที่กองทัพเมืองหริภุญไชยไม่อาจต้านทานได้ พระนางจึงออกอุบายประลองวิชา หากขุนหลวงวิลังคะมีบารมี และความสามารถจริง ก็ให้พุ่งหอกลงมาปักใจกลางเมืองหริภุญไชยจากยอดดอยสุเทพ 3 ครั้ง จะยอมยกเมืองให้ครอง ทั้งยอมเป็นมเหสี

หลังจากขุนหลวงวิลังคะพุ่งหอกได้สำเร็จ 2 ครั้งแล้ว พระนางก็ใช้มารยาหญิงทำเป็นมีใจให้กับขุนหลวง ส่งผ้าโพกศีรษะมาถวาย มีคำอ้อนกำกับว่าเกรงจะร้อนแดด ฝ่ายขุนหลวงหลงกลรับผ้ามาโพกอย่างชื่นอกชื่นใจ โดยไม่รู้ว่า แท้จริงถูกตัดเย็บมาจากผ้านุ่งของพระนาง วิชาอาคมเสื่อมไม่สามารถพุ่งหอกที่สามได้ไกล จึงทรงพระแห้วรับประทาน(ตำนานว่าอย่างนั้นครับ)
ส่วนในทางโบราณคดี พบคำจารึกเป็นอักษรมอญ และสถาปัตยกรรมการสร้างเจดีย์แบบมอญ จึงมีนักวิชาการตีความว่าพระนางเป็นมอญ ทฤษฎีที่ว่าเมืองหริภุญไชยเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมมอญโบราณจึงได้รับการยอมรับมาได้ระยะหนึ่ง บางท่านตั้งข้อสังเกตุความคล้ายของพระพุทธรูปของหริภุญไชยกับลพบุรีในยุคนั้น จึงเชื่อในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างหริภุญไชยกับละโว้ ดังนัยยะที่ปรากฎในตำนาน

เติมอีกนิดว่าสำนวนของเรื่องพระนางจามเทวีอาจแตกต่างกันไปบ้าง ส่วนสำนวนข้างต้นมาจากกาพย์เจี๊ยะของท่านอาจารย์ไกรศรี นิมมานเหมินทร์


พระรอด



พระคง

ยังมีเกร็ดแถมอีกหน่อยว่าพระเครื่องลำพูน เช่น พระรอด พระลือ พระคง เป็นต้น อันเป็นพระเครื่องที่เชื่อว่ามีความเก่าแก่โบราณที่สุดที่ค้นพบในประเทศ มีตำนานว่าสร้างไว้โดยพระฤาษี เช่นพระฤาษีวาสุเทพ เช่นกัน โดยเดิมเชื่อจากหลักฐานชั้นหลัง เช่น คัมภีร์ทางศาสนาที่คัดลอกสืบกันมา ว่ามีอายุเก่าแก่ถึงประมาณ 1,300 ปี ซึ่งก็เชื่อว่าคือ อายุของเมืองหริภุญไชย หากปัจจุบันนักโบราณคดีประเมินว่าไม่เก่าแก่ถึงเพียงนั้น ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนจะเป็นประมาณ 800 ปี


ช่วงนี้อากาศกำลังสบาย ถ้าใครได้ขึ้นเหนือก็อย่าลืมแวะที่จังหวัดลำพูน อยู่ไม่ไกลจากเชียงใหม่ครับ

ขอบคุณน้องโอเล่มากครับ สำหรับเพลงบรรเลง ลมหวน
(อ.นพ โสตถิพันธ์)



Create Date : 12 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2550 8:25:07 น. 33 comments
Counter : 2914 Pageviews.

 
โอเล่มาเก็บค่าลงทะเบียนกับพี่ต้อค่ะ


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:8:53:18 น.  

 



ดี.แวะมาส่งความสุขยามเช้าค่ะ
ทำงานอย่างมีความสุขน๊า





โดย: d__d (มัชชาร ) วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:9:00:07 น.  

 
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket


เอากาแฟมาเสริฟนะคะ สายไปหน่อยค่ะ มัวแต่ปั่นงาน


โดย: เนระพูสี วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:9:17:40 น.  

 
เรื่องราวน่าสนใจมากเลยค่ะ
ไว้มีโอกาสจะแวะไปเที่ยว


โดย: N'SinE วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:04:03 น.  

 
สวัสดีครับน้องโอเล่
ตกลงจ้าเดี๋ยวพี่ส่งไปให้นะครับ


สวัสดีครับคุณดี
คุณดีก็เช่นกันนะครับ


สวัสดีครับคุณนุช
แหมน่าดื่มจังครับ ขอบคุณมากครับ


โดย: ลุงกล้วย วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:05:55 น.  

 
แวะเข้ามาทักทายลุงกล้วยครับ


โดย: ตาอ้วนชวนคุย วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:11:37 น.  

 
สวัสดีครับคุณN'SinE
ครับช่วงนี้อากาศกำลังสบายๆเลยครับทางภาคเหนือและอีสานครับ


โดย: ลุงกล้วย วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:12:18 น.  

 
หวัดดีเจ้าค่ะ ลุงกล้วยเจ้าขา

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ เจ้าค่ะ...

แต่อยากอ่านอีกตำนานนึงค่ะ แต่นึกไม่ออกค่ะ ว่าเป็นของจังหวัดใด เดียวขอคิดก่อนนะเจ้าค่ะ...แล้วจะมาบอกเจ้าค่ะ...

อากาศเย็นแล้วดูแลสุขภาพด้วยนะเจ้าคะ ลุงกล้วยเจ้าขา


โดย: Aedjung วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:15:46 น.  

 
หวัดดีค่ะ แวะมาทักทายค่ะ เรื่องราวน่าสนใจดีนะคะ
ทำให้รู้ตำนานที่เราไม่เคยรู้มาก่อน

แล้วว่างๆนู๋กิ๊ฟจะแวะมาทักทายอีกนะคะ


โดย: นู๋กิ๊ฟ&นู๋เปิ้ล วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:19:18 น.  

 
ขอบคุณสำหรับความสุขที่นำไปส่ง..
ที่ลุงว่ามีเพื่อนเพียงหนึ่งเหมือนน้อย
ดีกว่ามีเป็นร้อยคอยอิจฉา..ต่ายชอบมากๆเลยค่ะ..ขอบอกมันโดน


โดย: tai (taibangplee ) วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:19:59 น.  

 
สวัสดีครับคุณตาอ้วน
ขอบคุณมากครับ


สวัสดีครับน้องอี๊ด
ขอบคุณครับ น้องอี๊ดก็ดูแลสุขภาพเช่นกันนะครับ


สวัสดีครับนู๋กิ๊ฟ&นู๋เปิ้ล
บ้านลุงกล้วยยินดีต้อนรับเสมอนะครับ ขอบคุณครับ


สวัสดีครับคุณต่าย
ลุงกล้วยขอบคุณครับที่คุณต่ายชอบครับ


โดย: ลุงกล้วย วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:41:29 น.  

 
เมื่อก่อนนี้ตอนที่ลำปางมีการแสดงแสงสี เสียง ก็มีการนำเอาประวัติของพระนางจามเทวีมาพูดถึงเหมือนกันค่ะ

ตอนนั้นคนแสดงน่ารักมาก เกิดติดใจในความงามก็เลยได้ไปอ่านประวัติของพระนางมาบ้าง แต่ว่าลืมเลือนไปนานเลยค่ะเพราะว่ามันกว่า 15 ปีแล้ว มาอ่านอีกทีที่บล็อกลุงกล้วย ก็เลยทำให้นึกถึงบรรยากาศของงานสมัยก่อนเลยค่ะ


โดย: JewNid วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:12:06:26 น.  

 
สวัสดีค่ะลุงกล้วย ตอนนี้อากาศเย็นบ้างร้อนบ้าง เอาแน่นอนไม่ได้ รักษาสุขภาพนะคะ

เพลงบรรเลงเพราะมากเลยค่ะ


โดย: ปักเป้าจุด วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:13:15:26 น.  

 
สว้สดีค่ะ ลุงกล้วย

ที่นอนไม่หนาว แต่ที่ทํางานหน๊าวหนาว


โดย: เป๋อน้อย วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:14:12:42 น.  

 
สวัสดีค่ะ
เรื่องนี้น่าสนใจดีนะคะ
เพลงก็เพราะด้วย
ยังไงเชิญไปเยี่ยมบล็อคเราบ้างนะคะ


โดย: GLASS OF WINE วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:18:28:04 น.  

 
สวัสดีตอนเย็นค่ะลุงกล้วย เมื่อเช้าน้ำค้างไปทำบุญวันเกิดครบรอบยี่สิบห้าปีพอดี เลยหอบบุญก้อนโตมาฝากค่ะ รับไปเลยนะคะ


โดย: น้ำค้างกลางใจ วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:18:37:31 น.  

 



นำบุญเยื่อนหา..ในงานกฐินที่ได้ไปมา..สู่มิตรยาใจที่ใจใฝ่ถึง
เราระลึกถึงกัลยาณมิตรทุกคนในงานกฐินนี้..ค่ะ
อนุโมทนา...ค่ะ


ลุงกล้วยค่ะกลับจากงานกฐินแล้วค่ะ
มีความสุขมากค่ะแต่ระลึกถึงค่ะ
ขอให้บุยที่นำมาให้มิตรคนดีประสบพบแต่ความสุขนะค่ะ



โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:20:32:26 น.  

 
แวะมาส่งความสุขครับ


แอบเอาความรู้ใหม่กลับบ้านไป้วยก๊าบ...
...
...


โดย: oato_janza วันที่: 13 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:38:56 น.  

 
แวะมาเยี่ยมลุงกล้วยค่ะพร้อมกับ
มาฟังเพลงเพราะๆ ไม่คิดว่าจะได้ยินเพลงนี้ เพราะหาฟังอยู่ตั้งนานแล้วเพิ่งมาเจอที่บ้านลุงกล้วยนี้ล่ะค่ะ ขอบคุณสำหรับเพลงเพราะๆ และเรื่องประวัติของพระนางจามเทวี จะแวะเข้ามาเยี่ยมอีกนะคะ


โดย: พิ้งโกจัง IP: 83.108.115.91 วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:2:03:42 น.  

 
พระนางจามเทวีไม่ได้ทำผิดประเพณีจนตั้งครรภ์นะ ทรงอภิเษกแล้ว และไม่ได้ถูกเนรเทศด้วย พระนางเป็นลูกเลี้ยงของพระฤาษีที่สร้างเมืองลำพูน เมื่อพระฤาษีสร้างเมืองแล้วก็ไปเชิญเจ้าแม่มาปกครอง คุณเจ้าของบล็อกเอาข้อมูลมั่วๆนี่มาจากไหน งี่เง่า และหลบหลู่มากมาย ระวังตัวให้ดีละกัน


โดย: คนรู้จริง IP: 125.26.14.109 วันที่: 23 เมษายน 2551 เวลา:21:57:19 น.  

 
พระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญไชย ชาติกำเนิดของพระนางจามเทวี มีที่มาจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน ทั้งจากตำนาน พงศาวดารและหลักฐานอื่น ในตำนานจามเทวีวงศ์ กล่าวว่าพระนางเป็นธิดาของกษัตริย์แห่งกรุงละโว้ ได้เดินทางพร้อมพระสงฆ์ผู้ทรงพระไตรปิฏกและช่างผู้มีฝีมือหลากหลายประเภท 500 คน จากเมืองละโว้ สู่นครหริภุญไชย (อ้างอิงจาก จามเทวีวงศ์ ตำนานมูลศาสนา และมูลศาสนา สำนวนล้านนา) อีกสำนวนหนึ่งซึ่งเป็นมุขปาฐะ สำนวนพื้นบ้าน กล่าวว่า พระนางจามเทวีนั้นทรงมีชาติกำเนิดเป็นชาวหริภุญไชยมาแต่เดิม โดยเป็นบุตรีของคหบดีผู้หนึ่ง นามว่า อินตา ส่วนมารดาไม่ทราบชื่อ ทั้งสองเป็นชาวเมงคบุตร อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านหนองดู่ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ได้มีการบันทึกตามพระชาตาพระนางจามเทวีเมื่อแรกประสูติไว้ว่าตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๑๑๗๖ เวลาจวนจะค่ำ



พระนางจามเทวีไปสู่ราชสำนักละโว้

เมื่อพระนางจามเทวีเจริญพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา ใกล้จะรุ่นสาว ได้สำเร็จซึ่งวิชาการทั้งหลายเป็นการบริบูรณ์แล้ว ท่านสุเทวฤๅษีจึงได้ผูกดวงและตรวจสอบชะตา ทราบว่ากุมารีผู้เป็นบุตรบุญธรรมของท่านจะมีวาสนาเป็นถึงจอมกษัตริย์ ปกครองบ้านเมืองอันใหญ่โตซึ่งจะรุ่งเรืองไปในภายภาคหน้า จึงตกลงใจว่าจะต้องส่งเด็กหญิงไปสู่ราชสำนักเพื่อรับการอภิเษกขึ้นเป็นเชื้อพระวงศ์ให้สมควรแก่การที่จะได้เป็นใหญ่ต่อไป และที่เหมาะสมในสายตาท่านฤๅษีคือ ราชสำนักแห่งกรุงละโว้ ซึ่งเป็นราชสำนักที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งในสุวรรณภูมิเวลานั้น

ท่านสุเทวฤๅษีจึงได้เนรมิตแพขึ้น ส่งกุมารีน้อยล่องไปตามน้ำจากเมืองเหนือ โดยพญากากะวานรและบริวารจำนวนหนึ่งโดยสารแพไปด้วย อีกทั้งยังฝากหนังสือไปฉบับหนึ่งเพื่อกราบทูลพระเจ้ากรุงลวปุระว่ากุมารีน้อยนี้จะไปช่วยละโว้ประหารศัตรู เด็กหญิงและวานรทั้งหลายล่องตามลำน้ำไปเป็นเวลานานหลายเดือนจึงเข้าสู่เขตกรุงลวปุระ ประชาชนชาวละโว้สองฝั่งลำน้ำได้โจษขานถึงแพเล็กๆ นี้ด้วยความประหลาดใจครั้นถึงท่าน้ำหน้าวัดชัยมงคล แพเนรมิตก็มิได้ล่องตามน้ำต่อไปกลับลอยวนเวียนอยู่บริเวณนั้น ชาวบ้านเห็นเหตุเป็นอัศจรรย์และต่างพากันชื่นชมเด็กหญิงซึ่งมีผิวพรรณผุดผ่องน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง ความทราบถึงบรรดาขุนนาง จึงได้ไปตรวจดูที่ฝั่งน้ำ เห็นความจริงประจักษ์แก่ตาจึงรีบกลับเข้าพระราชวังกราบบังคมทูล พระเจ้าจักวัติ ผู้ครองกรุงลวปุระให้ทรงทราบทันที

เจ้าแผ่นดินกรุงลวปุระได้เสด็จไปยังท่าน้ำหน้าวัดชัยมงคลพร้อมด้วยมเหสีในทันทีนั้น เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นความเป็นไปทั้งหมด พระองค์ทรงมีรับสั่งให้ทหารที่ตามเสด็จชะลอแพเนรมิตเข้าสู่ฝั่ง แต่เหตุการณ์อันไม่มีใครคาดคิดก็บังเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กำลังของเหล่าทหารแห่งกรุงลวปุระไม่อาจชักลากแพเข้าสู่ท่าน้ำได้ ไม่ว่ากษัตริย์จะมีพระบัญชาให้เพิ่มจำนวนทหารมากขึ้นสักเท่าใดก็ตาม การณ์อันเป็นไปโดยอัศจรรย์ดังนี้ ทำให้เจ้าแผ่นดินทรงประจักษ์แจ้งแก่พระปรีชาญาณว่า กุมารีแรกรุ่นในท่ามกลางฝูงวานรบนแพนี้คงจะเป็นผู้มีบุญญาธิการมากมาย และแพนั้นก็คงจะเป็นแพวิเศษที่สามัญชนจะไปแตะต้องมิได้ พระองค์จึงเสด็จจากที่ประทับพร้อมด้วยพระมเหสีและทรงยึดเชือกที่ผูกแพนั้นไว้ด้วยพระหัตถ์ของทั้งสองพระองค์

และแล้วเหตุอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นอีกเป็นคำรบสาม พระเจ้ากรุงลวปุระและพระมเหสีเพียงแต่ทรงชักเชือกนั้นด้วยแรงเฉพาะสองพระองค์ แพวิเศษก็ลอยเข้าสู่ท่าน้ำได้โดยง่าย และดูราวกับเทพยดาฟ้าดินจะทรงอำนวยพรให้แก่ประพฤติเหตุอันอัศจรรย์นี้ เพราะเมื่อแพวิเศษลอยเข้าเทียบท่าน้ำ ได้มีฝนโปรยปรายเป็นละอองบางเบา ยังความสดชื่นแก่ทุกคนในที่นั้น ประชาชนทั้งสองฝั่งลำน้ำได้เห็นต่างก็พากันชื่นชมพระบารมีของทั้งสองพระองค์ และสรรเสริญบุญญานุภาพของกุมารีน้อยไปทั่วทั้งพระนคร

พระเจ้ากรุงละโว้และพระมเหสีได้รับกุมารีน้อยไว้ด้วยความเสน่หาอย่างยิ่ง พระมเหสีนั้นถึงกับเสด็จเข้าไปสวมกอดและจุมพิตกุมารีตั้งแต่แรกขึ้นสู่ฝั่ง พระเจ้ากรุงละโว้ผู้เต็มไปด้วยความปิติในพระหฤทัยได้ทรงน้ำกุมารีผู้น่ารักขึ้นประทับบนราชรถ และต่างพากันเสด็จเข้าสู่ราชสำนักกรุงลวปุระท่ามกลางประชาชนที่มาเฝ้าชมพระบารมีสองข้างทางด้วยความชื่นชมยินดีโดยทั่วหน้า

พระธิดาแห่งกรุงลวปุระ

ในราชสำนักกรุงละโว้ กุมารีได้รับการผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์ให้งดงามสมพระเกียรติ ครั้นแล้วได้เสด็จสู่ท้องพระโรงอันเป็นที่ประชุมเหล่ามุขมนตรีเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย กษัตริย์และพระมเหสีก็เสด็จออกประทับบนพระบัลลังก์ มีพระราชดำรัสให้พระราชครูพยากรณ์ดวงชะตาของเด็กหญิง พระราชครูได้คำนวณกาลชะตาโดยละเอียดแล้วถวายคำพยากรณ์ว่า

“ขอเดชะ กุมารีน้อยผู้นี้เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบุญญานุภาพและพระบารมีอันยิ่งใหญ่ ต่อไปภายหน้าจักได้เป็นถึงจักรพรรดินีครองแว่นแค้น ปรากฏพระเกียรติยศเกริกไกรไปทั่ว แม้ว่าพระราชาและเจ้าชายพระองค์ใดได้เสกสมรสด้วยก็จักเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยรัตนะทั้ง ๗ ประการอย่างแน่นอน”

พระเจ้ากรุงละโว้ทรงทราบดังนั้นก็ทรงเปี่ยมด้วยความโสมนัสอย่างยิ่ง เพราะได้ประจักษ์แก่พระปรีชาญาณว่าเทพยดาฟ้าดินได้ประทานกุมารีผู้นี้แด่พระองค์และกรุงลวปุระ ทั้งพระองค์เองและพระมเหสียังมิได้ทรงมีพระโอรสธิดา จึงทรงมีพระราชโองการให้จัดพระราชพิธีอภิเษกกุมารีวีขึ้นดำรงพระยศเป็นพระธิดาแห่งกรุงละโว้และได้ทรงเฉลิมพระนามใหม่ประกาศไว้ในพระสุพรรณบัฏว่า เจ้าหญิงจามเทวี ศรีสุริยวงศ์ บรมราชขัตติยนารี รัตนกัญญา ลวะปุรีราเมศวร

ตำนานว่า วันประกอบพิธีอภิเษกนั้นเป็นวันที่ ๓ ภายหลังพระนางจามเทวีเสด็จเข้าสู่ราชสำนักลวปุระ ตรงกับวารดิถีอาทิตยวารขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะเมีย พุทธศักราช ๑๑๙๐ เวลานั้นทรงมีพระชนมายุได้ ๑๔ พรรษา เจ้าหญิงพระองค์แรกแห่งนครลวปุระทรงถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นปฐมว่า

“ข้าฯ ขอกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันพิทักษ์รักษากรุงละโว้ว่าข้าฯ จะเป็นมิตรที่ดีต่อท่านทั้งหลาย จะขอปกปักษ์พิทักษ์รักษาอาณาจักรละโว้ด้วยชีวิต จะปฏิบัติทุกทางที่จะยังความสุขให้ทั่วพระราชอาณาจักรแห่งนี้”

สิ้นพระราชดำรัส ปวงเสนาอำมาตย์และพสกนิกรทั้งหลายต่างพากันแซ่ซ้องถวายพระพรพระธิดาพระองค์ใหม่ ทั้งราชสำนักและบ้านเมืองกระหึ่มด้วยเสียงมโหรีปี่พาทย์ที่บรรเลงเพลงสรรเสริญ มีการบังเกิดพระพิรุณโปรยปรายเป็นละอองชุ่มเย็นไปทั่วเมืองละโว้เป็นกาลอัศจรรย์อีกครั้งหนึ่ง

ภายหลังพระราชพิธีอภิเษก พระเจ้ากรุงละโว้ได้พระราชทานพระธิดาในพระเจ้าทศราชแห่งกรุงรัตนปุระ ๒ พระองค์ คือ เจ้าหญิงปทุมวดี และ เจ้าหญิงเกษวดี ให้เป็นพระพี่เลี้ยงคอยถวายการดูแลพระธิดาพระองค์ใหม่ รวมทั้งเป็นผู้ถวายการสอนวิชาศิลปะศาสตร์แขนงต่างๆ เพิ่มเติมแก่พระธิดาน้อยด้วย



สงครามชิงเจ้าหญิงจามเทวี

เจ้าหญิงจามเทวีได้เสด็จประทับในราชสำนักกรุงลวปุระ และเจริญพระชันษาขึ้นโดยเป็นที่รักใคร่เสน่หาของพระราชา พระมเหสี พระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนเสนาอำมาตย์และประชาชนชาวละโว้ทั้งหมด เวลาได้ล่วงเลยจนพระองค์ทรงเจริญพระชนมายุได้ ๒๐ พรรษา ปรากฏว่าทรงมีพระสิริโฉมงดงามเป็นที่เลื่องลือไปยังทุกอาณาจักรอันใกล้เคียง พระปรีชาญาณและบุญญานุภาพแห่งพระองค์นั้นก็แผ่ไพศาล เป็นที่หมายปองของเจ้าครองนครต่างๆ

ความงดงามในพระรูปแห่งพระองค์หญิงจามเทวีนั้น เป็นที่เล่าลือกันว่าไม่มีหญิงใดจะทัดเทียมทั้งสิ้น ดังมีบรรยายไว้ในตำนานต่างๆ ว่า

“ดวงพระพักตร์เป็นรูปไข่ พระเนตรดำซึ้งเป็นแวววาวและต้องผู้ใดแล้วยังผู้นั้นให้งงงวยไปด้วยพิษเสน่หา พระขนงโก่งเรียวยาวประดุจคันธนูขณะน้าวสาย พระนาสิกโด่งคมสันรับกับพระพักตร์ ริมพระโอษฐ์แดงระเรื่อดุจชาดป้าย พระทนต์เรียบขาวสะอาดเป็นเงางามดุจไข่มุก ขณะยุรยาตรพระวรกายอันอ่อนไหวให้ชวนพิศ เวลาก้าวพระบาทนั้นประดุจพระนางหงส์เมื่อเยื้องย่างกราย พระวรกายหอมดังกลิ่นดอกบัวหลวง หาสตรีใดเทียบมิได้”

พระเจ้ากรุงละโว้ทรงพระดำริว่าพระธิดาของพระองค์ทรงมีพระชันษาสมควรที่จะเสกสมรสแล้ว จึงได้ทรงกำหนดให้เจ้าหญิงจามเทวีทรงหมั้นหมายกับ เจ้าชายรามราช แห่งนครรามบุรี ซึ่งอยู่ใกล้กรุงลวปุระ ตามตำนานเจ้าชายรามราชนั้นทรงเป็นพระญาติของพระเจ้ากรุงละโว้ และทรงมีพระจริยาวัตรดีงามเหมาะสมกับเจ้าหญิงจามเทวีอยู่ วันที่ประกอบพระราชพิธีหมั้นตรงกับวันพฤหัสบดี ข้างขึ้น เดือน ๖ พุทธศักราช ๑๑๙๖ เจ้าผู้ครองนครทั้งหลายต่าง พากันส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายเป็นเกียรติแก่พระราชพิธีดังกล่าวอย่างมโหฬาร ภายหลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีแล้ว ก็มีมหรสพสมโภชกันอย่างเอิกเกริกในกรุงละโว้ เป็นที่รื่นเริงสนุกสนานแก่ไพร่บ้านพลเมืองทั่วไปโดยถ้วนหน้า

แต่แล้ว เรื่องยุ่งยากก็เกิดขึ้นในปีนั้นเอง เมื่อเจ้าชายแห่งนครโกสัมพีได้ส่งพระราชสาส์นพร้อมเครื่องราชบรรณาการมากมายมาถวายพระเจ้ากรุงลวปุระ พร้อมทั้งแจ้งความประสงค์จะขอเจ้าหญิงจามเทวีไปเป็นพระชายาเพื่อเป็นเกียรติแก่นครโกสัมพี ซึ่งเป็นนครใหญ่เหมาะสมด้วยศักดิ์ศรีแห่งพระนาง พระเจ้ากรุงละโว้ได้ทรงตอบสสาส์นนั้นไปตามความเป็นจริงว่าทรงหมั้นเจ้าหญิงจามเทวีไว้กับเจ้าชายรามราชแล้ว การณ์กลับกลายเป็นว่าเจ้าชายแห่งโกสัมพีทรงลุแก่โทสะ ทรงมีพระดำริว่ากรุงละโว้คงไม่ประสงค์จะมีสัมพันธไมตรีกับกรุงโกสัมพีเสียแล้ว จึงทรงรวบรวมกองทัพโดยความช่วยเหลือของพระญาติ พระวงศ์ และพระราชาแห่งกลิงครัฐที่เป็นพันธมิตร ทำให้กองทัพของพระองค์เป็นกองทัพใหญ่มีกษัตริย์เป็นผู้นำทัพทั้งสิ้น ในราวเดือนอ้าย ปลายปี พ.ศ. ๑๑๙๖ กองทัพนี้ได้ยกเข้าโจมตีนครรามบุรีเป็นอันดับแรก อาจเป็นเพราะความแค้นหรือนครนั้นอยู่ในเส้นทางการเดินทัพก่อนจะถึงละโว้ก็เป็นได้

แน่นอน กองทัพที่รักษานครรามบุรีนั้นไม่มีความหวังที่จะต้านทานข้าศึกที่ยกพลมามากมายขนาดนั้นได้ เจ้าชายรามราชต้องทรงนำกองทหารเท่าที่มีตั้งรับข้าศึกไว้เพื่อประวิงเวลา และส่งสาส์นขอความช่วยเหลือจากกรุงลวปุระอย่างเร่งด่วนที่สุด

ทางละโว้เมื่อทราบข่าวก็จัดประชุมกันโดยทันที บรรดาแม่ทัพนายกองได้ถวายความเห็นแก่พระเจ้ากรุงละโว้ว่า ไม่น่าจะทำศึกกับกองทัพโกสัมพีเพราะว่าเป็นกองทัพขนาดใหญ่มาก เสนาบดีต่างๆ ก็กราบบังคมทูลว่า เห็นทีคราวนี้จะต้องรับไมตรีจากเจ้าชายแห่งโกสัมพีเสียแล้ว แต่ในท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวนของทุกคนในที่ประชุม เจ้าหญิงจามเทวีซึ่งประทับอยู่ในที่นั้นด้วยได้ทรงมีพระดำรัสว่า “น่าจะต้องเข้าร่วมสงคราม”

ทุกคนในที่นั้นล้วนตกตะลึงพรึงเพริด แม้แต่พระบิดาและพระมารดา เจ้าหญิงผู้ทรงพระสิริโฉมแห่งลวปุระตรัสต่อไปอย่างเด็ดเดี่ยวว่า พระองค์จะทรงนำทัพเอง เวลานั้นพระมเหสีจึงรีบทัดทานว่า เป็นหญิงจะนำทัพไปออกศึกได้อย่างไร พระธิดาก็ตรัสตอบว่า

“หากว่าหม่อมฉันไม่ออกศึกเสียเอง กรุงลวปุระซึ่งเป็นเมืองใหญ่ก็จะเป็นที่ครหาต่อไปได้ อีกทั้งเหล่าประเทศราชจักต้องแข็งข้อเพราะเห็นว่าละโว้อ่อนแอ ปัญหาต่างๆ จะบังเกิดตามมาอีกมากมายนัก และที่สำคัญยิ่ง คือ กองทัพของโกสัมพีที่ยกมาครั้งนี้เป็นทัพกษัตริย์ เจ้าชายแห่งละโว้จะทำศึกก็ไม่มี จึงสมควรที่พระบิดาเจ้าจะพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลูกหญิงของพระองค์ออกกระทำศึกจะเป็นการเหมาะสมแก่พระเกียรติยศของบรรดากษัตริย์ที่ทรงนำทัพมานั้นด้วย”

ด้วยจำนนต่อเหตุผลนั้น และพระเจ้ากรุงละโว้ทรงระลึกได้ว่าเมื่อแรกรับพระธิดาองค์นี้เข้าวัง ทราบความที่ท่านสุเทวฤๅษีฝากมาว่าพระธิดาพระองค์นี้จะมาช่วยบำราบอริราชศัตรู และจากเหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้วก็แสดงว่า พระธิดานี้ทรงมีบุญญาธิการแก่กล้านัก เห็นทีศัตรูจะทำอันตรายมิได้เป็นแน่ พระเจ้ากรุงละโว้และพระมเหสีทรงอนุญาตให้พระธิดาทรงจัดทัพจากกรุงลวปุระไปช่วยเจ้าชายรามราชและโปรดฯ ให้นิมนต์สมเด็จพระสังฆราชเจ้าและพระสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์เข้ามายังพระอาราหลวงโดยพร้อมกันเพื่อประกอบพิธีถวายพระพรชัยเจ้าหญิงจามเทวีเสียก่อน

จากนั้นเจ้าหญิงจามเทวีทรงมีรับสั่งให้ขุนศึกทั้งหลายเตรียมทัพทันที ทรงให้พระพี่เลี้ยงทั้งสองช่วยกันจัดทัพหน้าเป็นชาย ๒๐๐๐ คน หญิง ๕๐๐ คน รวมกับพญากากะวานรและบริวารทั้ง ๓๕ ตัวที่ติดตามมาจากระมิงค์นคร เมื่อการจัดทัพสำเร็จเสร็จสิ้น พระนางจามเทวีเสด็จประทับเบื้องหน้าทวยทหารทั้งปวง ตรัสว่า

“เพื่อปิตุภูมิ เราจะขอทำหน้าที่และยอมสละชีวิตก่อนท่านทั้งหลาย แต่ถ้าผู้ใดไม่เต็มใจไปราชการด้วยครั้งนี้เราจะไม่เอาโทษ จะปลดปล่อยทันที”

บรรดาทหารได้ยินรับสั่งเช่นนั้นก็พากันโห่ร้องถวายพระพรกันเซ็งแซ่ ทุกคนถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะขอตายเพื่อพระนางและผืนแผ่นดินละโว้โดยไม่มีใครคิดจะหนีจากการสู้รบเลย กองทัพของเจ้าหญิงจามเทวีนี้แม้จะมีไพร่พลไม่สู้มาก แต่ไม่นานต่อมาก็ได้กำลังสมทบจากกองทัพนครต่างๆ ที่มีสัมพันธไมตรีกับกรุงละโว้มาแต่เดิม ตามตำนานว่ากองทัพจากพันธมิตรที่มาช่วยกรุงละโว้ครั้งนี้มาจากกรุงรัตนปุระทัพหนึ่ง เมืองชากังราวทัพหนึ่ง และเมืองอัตตะปืออีกทัพหนึ่ง ล้วนแต่กษัตริย์และพระราชวงศ์องค์สำคัญทรงนำทัพมาเองทั้งสิ้น

ครั้งท้องฟ้าแจ่มใส เห็นเป็นศุภมิตรอันดีแล้ว พระเจ้ากรุงละโว้จึงพระราชทานพระแสงอาญาสิทธิ์แก่พระธิดาของพระองค์เจ้าหญิงจามเทวีทรงนำไพร่พลเดินทางออกจากละโว้ทันที เมื่อเดินทัพไปถึงเขตนครเขื่อนขัณฑ์ จึงส่งม้าเร็วเชิญพระอักษรไปกราบทูลพระคู่หมั้นว่าพระนางกำลังนำทัพไปช่วยแล้ว ขอให้ทรงทิ้งเมืองเสีย อพยพชาวเมืองออกไปแล้วแกล้งทำเป็นล่าถอยทัพไปเรื่อยๆ ไปทางเทือกเขาสุวรรณบรรพต ซึ่งเจ้าชายรามราชก็ทรงทำตามแผนการนั้นทุกอย่าง ดังนั้นเมื่อทหารรามบุรีชุดสุดท้ายทิ้งพระนครไปแล้วฝ่ายโกสัมพีเข้ายึดเมืองได้ จึงพบกับเมืองร้างที่ไม่มีคนอยู่อาศัย เมื่อเห็นว่ากองทัพและประชาชนชาวรามบุรีกำลังมุ่งหน้าไปทางเทือกเขาสุวรรณบรรพต จึงรีบเร่งติดตามไปทันที

ส่วนพระธิดาแห่งกรุงลวปุระก็ทรงนำกองทัพทั้งหมดไปตั้งค่ายรอที่เขาสุวรรณบรรพตเรียบร้อยแล้ว และทรงแบ่งกองทัพทั้งหมอออกเป็น ๓ ส่วนโอบล้อมเทือกเขา เมื่อกองทัพฝ่ายรามบุรีล่าถอยมาถึง กองทัพฝ่ายโกสัมพีได้ตามติดเพื่อไล่ขยี้อย่างเมามันจนกระทั่งเข้ามาตกในวงล้อมฝ่ายละโว้ ด้วยเหตุนั้นทัพหน้าของโกสัมพีทั้งหมดจึงถูกโจมตีย่อยยับภายในเวลาอันรวดเร็ว รี้พลมากมายต้องสูญเสียไปในสมรภูมินี้

ในที่สุดทัพหลวงของทั้งสองฝ่ายก็เข้าห้ำหั่นกัน กองทัพละโว้และพันธมิตรสามารถยันทัพฝ่ายโกสัมพีได้อย่างเหนียวแน่น และได้รับความเสียหายมากมายด้วยกันทั้งสองฝ่าย พระนางจามเทวีจึงได้ส่งพระราชสาส์นถวายเจ้าชายโกสัมพีว่า

“ข้าแต่เจ้าพี่ สงครามครั้งนี้เหตุเกิดจากเรื่องส่วนตัวระหว่างเจ้าพี่กับหม่อมฉัน มิควรที่จะให้ชีวิตทวยราษฏร์ทั้งหลายต้องมาล้มตาย จะเป็นที่ครหาแก่หมู่เทพยาดาและมนุษย์ทั้งหลายเปล่าๆ ขอเชิญเจ้าพี่แต่ทหารมาทำการสู้รบกันตัวต่อตัว ให้เป็นขวัญตาแก่ไพร่ฟ้าเข้าแผ่นดินเถิด”















โดย: ประวัติจริง คุณกล้วยอ่านซะแล้วแก้ไขด้วย IP: 125.26.14.109 วันที่: 23 เมษายน 2551 เวลา:22:13:20 น.  

 
จอมทัพแห่งโกสัมพีเมื่อประจักษ์ความจริงจากราชสาส์นนั้นว่าหญิงที่ตนหลงรักกลายเป็นผู้นำทัพฝ่ายตรงข้ามที่จะต้องมาประหัตประหารกัน ก็ทรงวิตกไปหลายประการ พระองค์ไม่คาดคิดเลยว่าจะต้องมาสัประยุทธ์กับเจ้าหญิงโฉมงามที่พระองค์หมายปอง และยังเป็นเจ้าหญิงพระองค์เดียวกับที่วางแผนการอันชาญฉลาดที่ทำให้กองทัพของพระองค์ต้องประสบความพินาศย่อยยับถึงเพียงนี้ อีกทั้งพระองค์ยังเคยทรงทราบมาว่า เจ้าหญิงทรงเป็นศิษย์พระฤๅษีคาถาอาคมก็คงจะเชี่ยวชาญ มิฉะนั้นไหนเลยจะมาเป็นแม่ทัพ สถานการณ์เช่นนี้ก็ทำให้พระองค์ไม่อาจตัดสินพระทัยอย่างไรได้ ต่อจากนั้นอีก ๒ วัน กองทัพทั้งสองจึงหยุดการสู้รบในรูปแบบของการระดมกำลังทหารทั้งหมด แล้วเปลี่ยนเป็นจัดขุนศึกของแต่ละฝ่ายออกสู้รบกันตัวต่อตัวแทน

ล่วงไปได้ ๖ วันในการทำสงครามนี้ บรรดากษัตริย์และทวยทหารทั้งสองฝ่ายต้องเอาชีวิตไปทิ้งเป็นอันมาก โดยเฉพาะที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุดคือ กองทัพฝ่ายโกสัมพี เพราะเสียขุนศึกที่เป็นเจ้านายประเทศพันธมิตรไป ๒ พระองค์ ในขณะที่ขุนศึกพันธมิตรของละโว้สิ้นพระชนม์ไปเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

ลุวันที่ ๗ ก็ถึงเวลาที่ทั้งสองต้องเผชิญหน้ากัน เพื่อผลแพ้ชนะที่เด็ดขาด ท่ามกลางสายตาของทหารหาญทั้งหลาย เจ้าชายแห่งโกสัมพีถึงแก่ทรงตกตะลึง เมื่อเจ้าหญิงจามเทวีผู้ทรงพระสิริโฉมงดงามยิ่งกว่าสตรีใดที่พระองค์ทรงเคยทอดพระเนตรมาก่อนปรากฏพระองค์ในชุดขุนศึกฝ่ายละโว้อันงดงามวิจิตรแพรวพราย พร้อมด้วยพระแสงอาญาสิทธิ์เลอค่าที่ได้รับพระราชทานมาจากพระบิดา เจ้าหญิงผู้เลอโฉมทอดพระเนตรเห็นอีกฝ่ายตกตะลึงอยู่เช่นนั้น จึงตรัส

“เจ้าพี่จะมัวยืนเหม่ออยู่ด้วยเหตุอันใดเล่า หม่อมฉันขอเชิญเจ้าพี่มาประลองฝีมือกัน อย่าให้ทหารทั้งหลายต้องพลอยยากลำบากด้วยเราต่อไปอีกเลย”

เจ้าชายแห่งโกสัมพีได้สดับเช่นนั้นพระสติจึงกลับคืนมา ทรงมีรับสั่งย้อมถามทันทีว่า

“การศึกครั้งนี้ใยพระนางต้องทำพระวรกายมาให้เปรอะเปื้อนโลหิตอันมิบังควรสำหรับสตรีเพศ หรือละโว้นั้นจะสิ้นแล้วซึ่งชายชาตรี”

“อันละโว้จะสิ้นชายชาตรีนั้นหามิได้” เจ้าหญิงทรงมีพระดำรัสตอบ “ แต่หม่อมฉันเป็นราชธิดาแห่งเสด็จพ่อ เสด็จแม่ เป็นเอกธิดาภายใต้เศวตฉัตร อันบุรุษมีใจสตรีก็มีใจ ผิว่าหม่อมฉันพลาดพลั้งเจ้าพี่ก็เอาชีวิตหม่อมฉันไปเถิด หากเจ้าพี่พลาดพลั้งก็ขอได้โปรดอภัยให้แก่หม่อมฉัน”

เจ้าชายโกสัมพีทรงเห็นความหาญกล้าของพระนางเช่นนั้น ก็ยังไม่ทรงตัดสินพระทัยจะประลองฝีมือกันโดยทันที และเนื่องจากเห็นว่าเวลาใกล้เที่ยงวันด้วย จึงทรงมีรับสั่งว่าขอเชิญน้องหญิงและไพล่พลพักเหนื่อยกันก่อนเถิด พอบ่ายอ่อนเราจึงค่อยมาสู้กั้น พระนางก็ทรงเห็นชอบด้วย

และแล้ว เมื่อเวลาที่จะต้องสู้รบกันจริงๆ มาถึง เจ้าชายแห่งโกสัมพีจึงได้ทรงประจักษ์แก่พระองค์เองอีกคำรบหนึ่งว่า เจ้าหญิงแห่งลวปุระที่พระองค์หมายปองนี้ไม่เพียงแต่จะทรงมีพระสิริโฉมงดงามและทรงพระปรีชาเยี่ยมยอดในการวางแผนการรบเท่านั้น พระนางเธอยังทรงมีวิชาเพลงดาบที่เหนือกว่าพระองค์อีกด้วย ในที่สุดหลังจากการดวลดาบกันตัวต่อคัว เจ้าชายทรงเพลี่ยงพล้ำถูกนางจามเทวีฟันพระกรได้รับบาดเจ็บ ผลแพ้ชนะก็ปรากฏแก่ตาเหล่าทหารทั้งหลาย และด้วยเหตุนั้นเองทหารฝ่ายโกสัมพีทั้งปวงเกิดแตกตื่นพากั้นถอยทัพ ทหารละโว้ก็ติดตามตีซ้ำ ยังความเสียหายย่อยยับแก่กองทัพผู้รุกรานเป็นอันมาก เจ้าชายแห่งโกสัมพีทรงอับอายและเสียพระทัยเกินกว่าจะทรงยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ ได้ปลงพระชนม์พระองค์เองเสียในที่รบ กองทัพโกสัมพีที่เหลือก็เสียขวัญแตกพ่ายถูกจับเป็นเชลยจำนวนมาก

ชัยชนะในการสงครามนี้นำมาซึ่งความชื่นชมยินดีแก่พระเจ้าแผ่นดินและพระมเหสี ตลอดจนบรรดาเสนาอำมาตย์ ทหารและประชาชนชาวละโว้เป็นอันมาก เมื่อพระธิดาแห่งกรุงลวปุระทรงนำกองทัพกลับถึงพระนครจึงได้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ตามตำนานว่าอยู่ในช่วงสามเดือน ปีพุทธศักราช ๑๑๙๖

แต่เจ้าหญิงจามเทวีนั้น มิได้ทรงปิติยินดีในชัยชนะที่ทรงได้รับเลย แม้จะทรงได้รับการสรรเสริญจากราชสำนักรวมทั้งประชาชน ตลอดจนกษัตริย์ผู้ครองนครที่เป็นพันธมิตรตลอดไปจนถึงประเทศราชและอาณาจักรอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป จนชื่อเสียงของพระนางขจรขจายไปทั่ว พระนางยังทรงระลึกถึงภาพอันสยดสยองของเหล่ากษัตริย์และทหารทั้งสองฝ่ายที่ต้องล้มตายเพราะพระนางเป็นต้นเหตุ จึงทรงมีรับสั่งให้สร้างศาลาเป็นจำนวนเท่ากับกษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์ในครั้งนี้ ทรงสร้างวัดขึ้นในพื้นที่อันเป็นสมรภูมิรบนั้นด้วยวัดหนึ่งและเปลี่ยนชื่อสุวรรณบรรพตเสียใหม่ว่า “วังเจ้า” เพราะเหตุที่กษัตริย์และเจ้านายทั้งหลายมาสิ้นพระชนม์ที่นี่จำนวนมากนั่นเอง

ส่วนพระศพของเจ้าชายแห่งโกสัมพีนั้น พระนางได้ทรงนำปรอทจากสุวรรณบรรพตมากรอกพระศพ ทำการตกแต่งให้สมพระเกียรติก่อนที่จะตั้งพระศพบำเพ็ญกุศลไว้ระยะหนึ่งแล้วจึงถวายพระเพลิงร่วมกับกษัตริย์และเจ้านายพระองค์อื่น หลังจากนั้นทรงจัดให้มีพิธีสงฆ์เพื่อบำเพ็ญกุศลแก่ดวงพระวิญญาณและทหารที่เสียชีวิตอีกครั้ง พระอัฐิก็โปรดฯให้อัญเชิญกลับไปยังโกสัมพีและนครที่มาช่วยโกสัมพีรบ

ภายหลังพิธีการต่างๆ เสร็จสิ้น พระเจ้ากรุงละโว้จึงทรงจัดพระราชพิธีสยุมพรพระธิดาของพระองค์กับเจ้าชายรามราช โดยจัดอย่างยิ่งใหญ่ครบครันตามราชประเพณีโบราณทุกประการ ตำนานว่าวันประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรสนั้นตรงกับวันข้างขึ้น เดือน ๖ ปีขาล หรือพุทธศักราช ๑๑๙๘ จากนั้นองค์ขัตติยนารีแห่งละโว้เสด็จไปเมืองรามบุรีกับพระสวามีเพื่อปรับปรุงสภาพภายในเมืองเสียใหม่พร้อมทั้งวางแผนราชการงานเมืองให้เป็นปึกแผ่น จะเห็นว่าเจ้าหญิงจามเทวีได้ทรงแสดงให้เห็นพระปรีชาญาณอันเหมาะสมแก่การที่จะต้องทรงเป็นจอมกษัตริย์ต่อไปในกาลข้างหน้าตั้งแต่ยังดำรงพระยศเป็นพระธิดาแห่งเจ้ากรุงละโว้เท่านั้น

ตำนานพื้นเมืองบางฉบับว่า ภายหลังราชพิธีอภิเษกสมรสแล้ว พระเจ้ากรุงลวปุระทรงมอบเวนราชสมบัติให้เจ้าชายรามราชขึ้นครองนครลวปุระต่อไป แต่ข้อนี้ตำนานอื่นไม่มี

สุเทวฤๅษีสร้างนครหริภุญไชย

ณ ดินแดนทางภาคเหนือซึ่งเป็นถิ่นประสูติของเจ้าหญิงจามเทวีนั้น เดิมเป็นที่ตั้งของเมืองมิคสังคร ซึ่งท่านสุเทวฤๅษีได้สร้างไว้ให้โอรสธิดาของท่าน ซึ่งบังเกิดจากนางเนื้อที่ได้มาดูดกินน้ำมูตรของท่านฤๅษีที่มีอสุจิปนอยู่เข้าไป รวมกับผู้บังเกิดอย่างอัศจรรย์ในรอยเท้าสัตว์ ๓ ชนิด คือ ช้าง แรด และวัว หรือ โคลานซึ่งท่านฤๅษีไปพบเข้าภายหลังลงจากดอยสุเทพ เจ้าผู้ครองมิคสังครองค์แรกนี้มีพระนามว่า กุนรฤษี โดยมีพระชายาเป็นพี่น้องกันคือ มิคุปปัตติ ทั้งสองพระองค์ได้ครองนครโดยตั้งอยู่ในโอวาทของพระสุเทวฤๅษีได้ ๗๗ ปี มีโอรส ๓ พระองค์ คือ เจ้ากุนริกนาสหรือกุนริสิคนาส เจ้ากุนริกทังษะ และเจ้ากุนริกโรส พระธิดาอีก ๑ องค์ ชื่อเจ้าปทุมาเทวี ท่านสุเทวฤๅษีจึงได้สร้างเมืองให้พระโอรสทั้ง ๓ ปกครององค์ละเมือง เมื่อพระเจ้ากุนรฤษีสวรรคต เจ้ากุนริกนาสจึงเสด็จกลับไปครองเมืองมิคสังคร แล้วกลับไปครองเมืองรันนปุระที่ท่านฤๅษีสร่างไง้ให้แต่เดิมอีก บางตำนานก็ว่าท่านฤๅษีเนรมิตเมืองใหม่ให้อีกเมืองหนึ่งให้เจ้ากุนริกนาสละจากเมืองมิคสังครไปปกครอง ชื่อรมยนคร เพราะท่านฤๅษีเกิดเห็นว่าเมืองมิคสังครเป็นที่ไม่สมควร

รมยนครแห่งนี้ต่อมาได้ประสบภัยพิบัติ เนื่องจากเจ้าครองนครเป็นผู้ปราศจากทศพิธราชธรรม ไม่เอาใจใส่ในความเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎร์ คือ เกิดมีคดีลูกตบตีมารดาของตน เมื่อมารดาเข้าร้องทุกข์ต่อเจ้าครองนคร กลับได้รับกาตัดสินว่าการใดๆ ที่ลูกกระทำไปเป็นการถูกต้องแล้ว ซ้ำลงโทษให้ไล่ผู้เป็นแม่นั้นไปจากเมืองอีกด้วย หญิงนั้นจึงได้ร้องไห้วิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยังผลให้เทวะทั้งหลายพิโรธ บันดาลให้เกิดอาเพศและภยันตรายต่างๆ ผู้คนในเมืองนั้นได้รับความเดือดร้อน จนในที่สุดบรรดาผู้มีศีลธรรมได้พากันอพยพไปเสียจากเมือง เทวดาทั้งหลายจึงบันดาลให้มหาอุทกท่วมนครนั้นล่มจมไปหมดสิ้น กล่าวกันว่าที่ที่เคยเป็นเมืองรมยนครนั้นมีชื่อปรากฏภายหลังว่า หนองมอญ

ท่านสุเทวฤๅษีเฝ้ามองความเป็นไปต่างๆ ด้วยความสลดใจ และเห็นว่าบรรดาผู้มีศีลธรรมจากนครเหล่านั้นยังคงพากันเร่ร่อนอยู่ จึงได้เชิญฤๅษีพี่น้องของท่านคือ ท่านสุกทันตฤๅษีที่ละโว้ ท่านสุพรหมฤๅษีที่สุภบรรพต รวมทั้งเหล่าฤๅษีผู้มีตบะแก่กล้าอื่นๆ มาประชุมกันและช่วยกันสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ โดยให้นกหัสดีลิงก์นำหอยสังข์ขนาดใหญ่จากมหาสมุทรมาเป็นแบบ แล้วใช้ไม้ขีดแผ่นดินเป็นวงไปตามสัณฐานของเปลือกหอยสังข์นั้น วงขอบปากหอยก็เกิดเป็นคูน้ำคันดินขึ้น พระดาบสทั้งสองจึงประกาศไล่รุกขเทวดาทั้งหลายภายในเขตเมืองใหม่ให้ออกไปอยู่ที่อื่น ยังแต่รุกขเทวดาอนาถาองค์หนึ่งทุพพลภาพไม่สามารถจะย้ายไปจากที่นั่นได้ จึงขออาศัยอยู่ที่เดิมต่อไปจนกว่าจะจุติ ท่านฤๅษีทั้งสองก็อนุญาตและสถานที่ซึ่งรุกขเทวดาเฒ่านั้นอาศัยเป็นเนินดินพูนสูงกว่าที่อื่น นครนี้จึงมีชื่อเรียกต่อมาว่า ลำพูน

ในตำนานระบุว่าเวลาสร้างเมืองนั้นตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๓ ปีขาล พ.ศ. ๑๑๙๘ ใช้เวลาสร้าง ๒ ปี สัณฐานนครเมื่อแรกสร้างมีปริมณฑลโดยรอบได้ ๒๒๕๐ วา หรือ ๑๒๗ เส้นกับ ๑๐ วา พระฤๅษีทั้งสองได้ประกอบสัมภาระสำหรับนครแห่งใหม่พร้อมด้วยป้อมปราการ ประตูเมือง หอรบทั้งปวง อีกทั้งพระราชนิเวศน์มณเฑียรสถาน อุทยานหลวงและสถานที่ต่างๆ ทั้งท้องพระคลังครบถ้วน เมื่อสำเร็จแล้วท่านฤๅษีทั้งสองได้ปรึกษากันว่าเมืองใหม่แห่งนี้งดงามนัก ใครหนอที่จะสมควรมาครองราชย์สมบัติในเมืองนี้

ท่านสุกทันตฤๅษีจึงแนะว่า “สมเด็จพระเจ้ากรุงละโว้ทรงมีราชธิดาคือ พระนางจามเทวี เป็นผู้มีสติปัญญาสามารถฉลาดรอบรู้สรรพกิจขัตติยราชประเพณี มีมารยาทและพระอัธยาศัยเสงี่ยมงามพร้อมมีน้ำพระทัยโอบอ้อมอ่อนน้อมตั้งอยู่ในศีลสัตย์ยุติธรรม สมควรจะเป็นเจ้าเป็นใหญ่ปกครองพสกนิกรในนครนี้ได้ ควรเราไปทูลขอราชบุตรีนี้จากพระเจ้ากรุงละโว้มาปกครองนครนี้เถิด”

ท่านสุเทวฤๅษีเห็นชอบด้วย จึงได้แต่งทูตผู้หนึ่ง ซื่อนายควิยะเชิญศุภอักษรและเครื่องราชบรรณาการและบริวารอีก ๕๐๐ คน รวมทั้งท่านสุกทันตฤๅษีลงเรืองล่องไปตามแม่น้ำปิงไปยังกรุงละโว้ กราบบังคมทูลขอเจ้าหญิงจามเทวีไปเสวยราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งเมืองที่สร้างขึ้นใหม่โดยไม่ช้า

พระนางจามเทวีเสด็จไปหริภุญไชย

เมื่อคณะท่านสุกทันตฤๅษีและนายควิยะถึงเมืองละโว้ พระบิดาของเจ้าหญิงจามเทวีได้จัดให้ทั้งหมดพำนักอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง วันต่อมาทั้งหมดจึงได้เข้าเฝ้า ณ พระราชวังแห่งลวปุระ ท่านสุกทันตฤๅษีได้ถวายพระพรว่า

“ในวันนี้ตูทั้งหลายชื่อดังนี้น้อมนำมายังบรรณาการของฝากอันท่านสุเทวฤๅษีมาถวายมหาราชเจ้า และท่านสุเทวฤๅษีตนนี้เป็นสหายด้วยเราแท้จริง เธอชวนเราไปช่วยสร้างพระนครอันหนึ่งหนน้ำขุนโพ้น พระนครอันนั้นก็สำเร็จบริบูรณ์เรียบร้อยทุกประการแล้ว บัดนี้สุเทวฤๅษีมีความปรารถนาอยากจะใคร่ได้เชื้อชาติท้าวพระยาที่อื่นที่ประกอบไปด้วยศีลและปัญญา ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมไปเสวยราชสมบัติในพระนครที่นั้น อำมาตย์จึงได้แนะนำว่า เชื้อชาติท้าวพระยาผู้ดีหาไม่มีในที่แห่งอื่น แต่รู้ข่าวว่าพระราชธิดาของมหาราชเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่านางจามเทวี ถ้าเราได้พระนางมาเสวยราชสมบัติเป็นนางพระยาในพระนครนี้จะสมควรยิ่งนัก

เหตุดังนี้ ท่านสุเทวฤๅษีจึงได้ให้นายควิยะพร้อมด้วยบริวารมีประมาณ ๕๐๐ คน น้อมนำมายังเครื่องบรรณาการของฝากกับด้วยตัวเรา ให้นำทูลถวายมหาราชเจ้า เพื่อให้เราทูลขอพระนางจามเทวีราชธิดาของพระองค์ไปเสวยราชสมบัติเป็นนางพระยาในนครนั้นด้วย ขอมหาราชเจ้าได้ทรงพระเมตตา โปรดประทานพระอนุญาตให้พระนางได้ไปเสวยราชสมบัติในพระนครนั้นด้วย”

พระเจ้ากรุงละโว้เมื่อทรงสดับข่าวอันเป็นมหามงคลเช่นนั้น จึงทรงมีพระดำรัสตอบว่า

“ข้าแต่เจ้าฤๅษี เราจะตอบในบัดเดี๋ยวนี้ยังไม่ได้ จะต้องไต่ถามลูกเขาดูเสียก่อน เหตุว่าข่าวสาส์นอันพระสุเทวะให้มาถึงเรานั้นยากนักหนา ถ้าหากเราให้เขาไป เขาพอใจไปก็ดีอยู่ ถ้าเขาไม่พอใจจะไป เราจะบังคับให้เขาไปนั้นเป็นไปไม่ได้”

จากนั้นจึงทรงมีรับสั่งให้อำมาตย์นำข้อความที่ท่านสุกทันตฤๅษีกราบทูลนั้นไปทูลเจ้าหญิงจามเทวี เมื่อพระนางสดับแล้ว ก็ทรงเข้าพระทัยได้ดีทุกอย่าง จึงได้กราบทูลพระบิดาว่า

“ข้าแต่พระบิดาเจ้า หม่อมฉันขอกราบทูลใต้เบื้องบาทพระบิดาเป็นเจ้า เมื่อพระบิดาทรงมีพระประสงค์จะให้หม่อมฉันไปเสวยราชสมบัติในพระนครหนขุนน้ำโพ้น หม่อมฉันขอรับพระราชทานไปตามพระประสงค์พระบิดาทุกประการ ถ้าหากว่าพระบิดาไม่พอพระทัยในการไปเช่นนั้น หม่อมฉันก็ไม่สามารถจะล่วงพระอาญาพระบิดาไปได้”

พระเจ้ากรุงละโว้ทรงสดับเช่นนั้นแล้ว จึงทรงมีพระดำรัสแก่พระธิดาว่า “ข่าวสารอันเจ้าฤๅษีผู้ประกอบไปด้วยฤทธานุภาพให้มาถึงเรา ๒ พ่อลูกนี้เป็นอันประเสริฐยิ่งนัก บัดนี้พ่อจักให้เจ้าไปเสวยราชสมบัติเป็นนางพระยาหนขุนน้ำตามคำพ่อเจ้าฤๅษีขอมานั้นแท้จริง”

พระนางจึงทรงได้รับพระราชทานพระราชนุญาตที่จะเสด็จออกจากละโว้ แม้ว่าขณะนั้นพระนางจะทรงพระครรภ์ได้ ๓ เดือนแล้ว ตำนานมูลศาสนากล่าวว่าส่วนพระสวามีนั้น พระเจ้ากรุงละโว้ก็ทรงตั้งให้เป็นที่อุปราชครองเมืองรามบุรี และเพราะว่าเวลานั้นเจ้าหญิงจามเทวีทรงพระครรภ์อยู่ พระเจ้ากรุงละโว้จึงทรงมีพระราชโองการให้เจ้าชายรามราชเข้าเฝ้า ว่าการที่ท่านสุเทวฤๅษีส่งทูตมาขอเจ้าหญิงจามเทวีไปเป็นนางพระยา พ่อก็มีความปรารถนาอยากจะให้ไปนี้แหละ เจ้าจงอยู่เป็นอุปราชากับพ่อ หากมีความพอใจในหญิงใดพ่อจะจัดให้ตามความประสงค์ทุกประการ เจ้าชายรามราชจึงกราบทูลว่าขุนน้ำโพ้นไกลนักหนาทีเดียว ผิว่าตามใจของพระองค์แล้วพระองค์ก็ไม่อยากจะให้พระนางจากไป จึงแม้เช่นนั้นพระองค์ก็เห็นดีในพระประสงค์พระเจ้ากรุงละโว้ทุกอย่าง ทูลแล้วเสด็จกลับวัง และแก่เจ้าหญิงจามเทวีว่า

“น้องรัก บัดนี้พระราชบิดาเราพระองค์มีพระประสงค์จะให้น้องไปเป็นนางพระยาในพระนครขุนน้ำโพ้น พระองค์ตรัสดังนี้ พระน้องเจ้าจงไปเป็นนางพระยา เสวยราชสมบัติให้ชอบในทศพิธราชธรรมเถิด ความสวัสดีจงมีแก่พระน้องนางเทอญ”

เจ้าหญิงจามเทวีก็กราบไหว้พระสวามี แล้วทูลตอบว่า

“สาธุ ข้าแต่พระองค์ผู้มีบุญ หม่อมฉันจักได้อำลาพระบาทพลัดพรากไปไกลครั้งนี้ ขอพระราชสามีเป็นเจ้าแห่งหม่อมฉันนี้จงได้อยู่เป็นอุปราชากับด้วยพระราชบิดาของหม่อมฉัน ตามจารีตประเพณีอันเป็นคลองแห่งอุปราชาอันดีมาแต่ก่อน ให้เหมือนดังเมื่อเราทั้งสองยังอยู่พร้อมเพรียงกันนั้นทุกประการเทอญ”

แต่ในจามเทวีวงศ์กล่าวว่าเจ้าชายรามราชออกบวชเสียในขณะนั้น เจ้าหญิงจามเทวีจึงทรงอยู่ในฐานะไร้พระสวามี ทางลำพูนจึงได้ส่งสาส์นมาทูลขอดังกล่าว ตำนานพื้นบ้านว่าเจ้าหญิงจามเทวีทรงรับที่จะครองเมืองลำพูนเพราะว่าเมืองลำพูนเวลานั้นราษฎรเดือดร้อนด้วยขาดผู้นำ และพระนางก็ระลึกถึงพระคุณท่านสุเทวฤๅษีที่เคยชุบเลี้ยงมาแต่ก่อน

และด้วยเหตุนั้น จึงมีพระราชโองการอภิเษกเจ้าหญิงจามเทวีขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยเฉลิมพระนามใหม่ดังปรากฏไว้ในพระสุพรรณบัฏว่า พระนางเจ้าจามเทวี บรมราชนารีศรีสุริยวงศ์ องค์บดินทร์ ปิ่นธานีหริภุญไชย

จากนั้นได้พระราชทานพระราชทรัพย์ ข้าราชบริพารตามเสด็จจำนวนมาก รวมทั้งพระสงฆ์ พราหมณ์ ผู้เชี่ยวชาญในศิลปวิทยาต่างๆ

บรรดาพสกนิกรไพร่ฟ้าชาวละโว้ที่ทราบข่าวและพากันมารอฟังข้อตกลงอยู่ภายนอกพระราชวังอย่างล้นหลามต่างก็อนุโมทนาในการตัดสินพระทัยของพระนาง แม้จะมีความอาลัยรักในเจ้าหญิงผู้ทรงบุญญานุภาพของพวกเขาเหลือที่จะพรรณนาได้ เวลาต่อมาพระนางจามเทวีก็กราบบังคมทูลลาพระเจ้ากรุงละโว้ พระมเหสี พระสวามี และพระญาติพระวงศ์ ต่างก็โศกากันแสงสั่งซึ่งกันและกัน ครั้นคลายความเศร้าแล้ว จึงเสด็จพร้อมด้วยพระพี่เลี้ยงทั้งสองพระองค์นำผู้คนและทรัพย์สมบัติทั้งหมดออกจากนครลวปุระท่ามกลางความอาลัยรักของประชาชนที่มาเฝ้าส่งเสด็จจากพระนครไปครั้งนี้จะเป็นการจากไปชั่วนิรันดร์ จะไม่มีชาวละโว้คนใดได้เห็นเจ้าหญิงผู้งดงามของเขาอีก

ตามตำนานว่า พระนางจามเทวีและข้าราชบริพารทั้งหมดได้เดินทางโดยกระบวนเรือขึ้นไปตามลำน้ำมุ่งสู่ดินแดนล้านนา และสิ่งสำคัญ ๒ สิ่ง ซึ่งพระนางได้นำไปด้วย คือ พระแก้วขาว ซึ่งว่ากันว่าเป็นองค์เดียวกับที่ประดิษฐาน ณ วัดเชียงมั่น จ.เชียงใหม่เวลานี้องค์หนึ่ง กับ พระรอดหลวง ซึ่งประดิษฐานที่วัดมหาวัน จ.ลำพูนอีกองค์หนึ่ง บางตำนานว่าระหว่างที่ยังมิได้เสด็จถึงนครลำพูนนั้น พระนางได้ทรงศีลและฉลองพระองค์ขาวโดยตลอด

ท่านสุเทวฤๅษีรวมทั้งไพร่บ้านพลเมืองทั้งหลายพอทราบข่าวก็พากันตกแต่งพลับพลารับเสด็จไว้ทางทิศตะวันออก ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเคยเสด็จประทับตรัสพุทธพยากรณ์มาแต่ก่อน และสองข้างถนนที่จะเสด็จพระดำเนินด้วยราชวัตรฉัตรธงบุปผชาติต่างๆ จากนั้นท่านสุเทวฤๅษีจึงนำชาวเมืองเชิญเครื่องบูชาสักการะอย่างเต็มอัตราไปเฝ้าเตรียมรับเสด็จตั้งแต่ชานเมืองด้วยความปิติอย่างยิ่ง ไม่ช้ากระบวนเสด็จของพระนางจามเทวีก็มาถึงโดยสถลมารค พระนางเมื่อทอดพระเนตรเห็นท่านสุเทวฤๅษีซึ่งเปรียบเสมือนบิดาก็ตื้นตันพระทัยเสด็จออกจากราชยานมากราบ พระฤๅษีทั้งสองได้กราบบังคมทูลขอให้พระนางสละเพศนักพรตกลับเป็นกษัตริย์และขอให้ทรงเสวยราชย์ยังพระนครแห่งนี้ จากนั้นจึงแห่แหนพระนางไปยังพลับพลา ที่นั่นได้มีพระราชพิธีราชาภิเษก ท่านสุเทวฤๅษีกราบบังคมทูลเชิญพระนางเสด็จขึ้นประทับบนกองสุวรรณอาสน์เพื่อทรงสรงน้ำพระมูรธาภิเษกทและวันที่เสด็จขึ้นเสวยสิริราชสมบัตินั้นตรงกับวันขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย พุทธศักราช ๑๒๐๒ พระชนมายุได้ ๒๖ พรรษา ปรากฏพระนามเมื่อทรงรับการราชาภิเษกในพระสุพรรณบัฏว่า พระนางเจ้าจามเทวี บรมราชนารี ศรีสุริยวงศ์ องค์บดินทร์ ปิ่นธานีหริภุญไชย

เมื่อขึ้นครองราชย์แล้ว ๗ วัน พระครรภ์ได้ครบทศมาส พระนางจามเทวีจึงทรงมีประสูติกาลพระโอรส ๒ พระองค์ในวันเพ็ญเดือน ๓ ราชกุมารทั้งคู่ทรงศิริลักษณ์งามละม้ายกัน เป็นที่ปิติยินดีไปทั้งพระนคร พระนางได้พระราชทานนามพระเชษฐาว่า พระมหันตยศ และพระอนุชาว่า พระอนันตยศ


โดย: คุณกล้วยอ่านซะ แล้วแกไขด้วย (ต่อ) IP: 125.26.14.109 วันที่: 23 เมษายน 2551 เวลา:22:14:21 น.  

 
น่าสนใจดี ชอบๆๆๆๆ


โดย: ninyo IP: 58.147.51.249 วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:12:32:59 น.  

 
พระนางจามเทวีเป็นคนดีมากคะ


โดย: เต๋าๆ IP: 118.172.117.209 วันที่: 6 มีนาคม 2552 เวลา:19:04:47 น.  

 
ทำให้ได้รู้ประวัติพระนางจามเทวีมากยิ่งขึ้นและทำให้อยากค้นคว้าหาความรู้ต่อไปได้ดีมากยิ่งขึ้น


โดย: มิ้นท์นี่ IP: 125.27.194.65 วันที่: 7 มีนาคม 2552 เวลา:10:54:54 น.  

 
เคยไปดูละครเวทีเรื่องพระนางมาท่านดูเก่งมาก


โดย: poonnana IP: 125.24.188.136 วันที่: 8 มีนาคม 2552 เวลา:23:01:59 น.  

 
ขอคุณคับอยากให้คนรุ่นใหม่ดูแลใส่ใจกับโบราณสถานเหล่านี้ไว้ให้ดูต่อกันไปตลอด


โดย: นาย ธวัชชัย เชียงใหม่ IP: 112.142.6.160 วันที่: 14 มิถุนายน 2552 เวลา:9:21:25 น.  

 
อืม...ได้เรื่องพระนางจามเทวีเพิ่มเติมแล้วค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ


โดย: มุก เด็กตาก IP: 114.128.81.223 วันที่: 6 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:14:46 น.  

 

คือตำนานกำเนิดเมืองหริภุญไชย มีเหตุจากนางกวางมากินอะไรก็ชักจำไม่ค่อยได้แล้ว ซึ่งขึ้นอยู่บริเวณที่พระฤาษีวาสุเทพใช้เป็นสุขา จนเกิดลูกเป็นมนุษย์จำนวนมากในคราวเดียวกัน พระฤาษีผู้เป็นพ่อโดยไม่ตั้งใจ ต้องเนรมิตรบ้านเมืองให้อยู่ แต่หาผู้ปกครองที่เหมาะสมไม่ได้

เล็งไปเล็งมา เห็นแต่พระนางจามเทวีธิดากษัตริย์เมืองละโว้มีบุญบารมีมาก จึงไปทูลเชิญ ประจวบกับพระนางทำผิดประเพณีจนตั้งครรภ์ จึงเป็นทางออกให้พระบิดาเนรเทศแทนการประหาร

พระนางเดินทางผ่านเขตซึ่งปัจจุบันคือ อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เกิดเหตุอัศจรรย์เงาสะท้อนของพระนางในน้ำปิงปรากฎเป็นสามเงาด้วยพระบารมี จึงเป็นตำนานคำเรียกขานบริเวณดังกล่าวว่าสามเงาตั้งแต่นั้น

ส่วนขุนหลวงวิลังคะเป็นกษัตริย์ชาวลั้วะผู้รุกราน ต้องการครอบครองทั้งเมืองหริภุญไชยและตัวพระนาง มีแสนยานุภาพที่กองทัพเมืองหริภุญไชยไม่อาจต้านทานได้ พระนางจึงออกอุบายประลองวิชา หากขุนหลวงวิลังคะมีบารมี และความสามารถจริง ก็ให้พุ่งหอกลงมาปักใจกลางเมืองหริภุญไชยจากยอดดอยสุเทพ 3 ครั้ง จะยอมยกเมืองให้ครอง ทั้งยอมเป็นมเหสี

หลังจากขุนหลวงวิลังคะพุ่งหอกได้สำเร็จ 2 ครั้งแล้ว พระนางก็ใช้มารยาหญิงทำเป็นมีใจให้กับขุนหลวง ส่งผ้าโพกศีรษะมาถวาย มีคำอ้อนกำกับว่าเกรงจะร้อนแดด ฝ่ายขุนหลวงหลงกลรับผ้ามาโพกอย่างชื่นอกชื่นใจ โดยไม่รู้ว่า แท้จริงถูกตัดเย็บมาจากผ้านุ่งของพระนาง วิชาอาคมเสื่อมไม่สามารถพุ่งหอกที่สามได้ไกล จึงทรงพระแห้วรับประทาน(ตำนานว่าอย่างนั้นครับ)
ส่วนในทางโบราณคดี พบคำจารึกเป็นอักษรมอญ และสถาปัตยกรรมการสร้างเจดีย์แบบมอญ จึงมีนักวิชาการตีความว่าพระนางเป็นมอญ ทฤษฎีที่ว่าเมืองหริภุญไชยเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมมอญโบราณจึงได้รับการยอมรับมาได้ระยะหนึ่ง บางท่านตั้งข้อสังเกตุความคล้ายของพระพุทธรูปของหริภุญไชยกับลพบุรีในยุคนั้น จึงเชื่อในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างหริภุญไชยกับละโว้ ดังนัยยะที่ปรากฎในตำนาน

เติมอีกนิดว่าสำนวนของเรื่องพระนางจามเทวีอาจแตกต่างกันไปบ้าง ส่วนสำนวนข้างต้นมาจากกาพย์เจี๊ยะของท่านอาจารย์ไกรศรี นิมมานเหมินทร์











โดย: ลิง IP: 125.27.15.191 วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:10:19:31 น.  

 
ลุงคะแถวบ้านใครมีร้านบลายธ์บ้างคะจะเอาน้องไปทำคัสตอมคะรบกวนคุณลุงช่วยถามหน่อยนะคะ


โดย: น้องมิว IP: 61.90.65.30 วันที่: 8 ธันวาคม 2552 เวลา:19:47:34 น.  

 
ขอบคุณคะถ้าเจอ


โดย: น้องมิว IP: 61.90.65.30 วันที่: 8 ธันวาคม 2552 เวลา:19:49:09 น.  

 
ตำนานนี้มีที่เป็นลายลักษณ์อักษรไหมค่ะ
ตำนานเป็นลายลักษณ์อักษรหรือเปล่า


โดย: pack IP: 125.27.93.101 วันที่: 26 มิถุนายน 2553 เวลา:14:42:31 น.  

 
ดิฉันได้รู้จักแม่จามเทวีโดยดิฉันเป็นร่างแม่จามมเทวีได้ทรงแม่จามเทวี0836938225


โดย: ออ๋มแอ๋มสาว2เพศ IP: 182.52.205.86 วันที่: 9 มิถุนายน 2554 เวลา:15:29:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลุงกล้วย
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




Friends' blogs
[Add ลุงกล้วย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.