ย้ายบ้านแล้วครับผม มีดอทคอมเป็นของตัวเองเรียบร้อยครับ
10000tip.com
หมื่นทิพ's Movie Review

เทพบุตรตบะแตก!!
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 116 คน [?]




ค้นหารีวิวหนังเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ
Group Blog
 
 
เมษายน 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
28 เมษายน 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เทพบุตรตบะแตก!!'s blog to your web]
Links
 

 

Film Retro: Love Corner with Directors of Romance - Episode I (มองมุมรักกับผู้กำกับหนังรัก ตอนที่ 1)

เมื่อพูดถึงหนังรัก ผู้ชมมักจะนึกถึงชื่อดาราก่อนเป็นอันดับแรกค่อยตามด้วยชื่อหนังหรือไม่ก็สลับกัน แต่น้อยคนเหลือเกินที่จะนึกถึงชื่อผู้กำกับก่อนใคร ทั้งๆ ที่เขาเหล่านี้ต่างก็มีส่วนในความสำเร็จของหนังรักแต่ละเรื่องเหมือนกัน ...ดีไม่ดีถ้าไม่มีแรงบันดาลใจจากผู้กำกับ หนังรักที่แสนจะเยี่ยมยอดอาจไม่มีให้เราดูก็ได้

ผมเลยถือโอกาสนำเอาสี่ยอดผู้กำกับหนังแนวรักโรแมนติกมาให้รู้จักหน้าค่าตากัน เผื่อคราวหน้าท่านเห็นชื่อพวกเขาไปปรากฏในหนังรักเรื่องไหนจะได้วางใจได้ เปรียบเสมือน อย. สำหรับหนังรัก มีติดฉลากที่ไหนหยิบชิมได้เลย ไม่มียี้แน่นอน ซ้ำยังมีสารบำรุงให้ท่านนำไปปรับใช้ในชีวิตรักของจริงได้อีกต่างหาก

เราจะแบ่งออกเป็นสองตอน สองยุค ตอนที่ 1 นี้จะเริ่มจากยุคเก่าราวๆ ปี 70 ขึ้นมา เพราะสมัยก่อนหน้านั้นภาพยนตร์แนวรักค่อนข้างจะไม่ลี้จากกันนัก คือพระเอกรักนางเอก มีผู้ร้ายมาแย่ง แต่จบลงด้วยดี สูตรประมาณนั้น ผมเลยจะขอเริ่มในยุคที่หนังรักเริ่มมีมิติล้ำลึก มีอะไรมากไปกว่าคำว่า “ฉันรักเธอ”

ผู้กำกับสองสไตล์ที่ผมกำลังจะกล่าวถึงนี้ไม่ได้ทำหนังรักเพียงตามใบสั่ง แต่พวกเขาสร้างเรื่องราวโดยนำเอาอารมณ์และประสบการณ์ในชีวิตมาถ่ายทอดให้ได้สัมผัสกัน แบบนี้นับว่าน่าพูดถึงครับเพราะพวกเขาทำหนังรักจากส่วนลึกของใจอย่างแท้จริง จึงมักจะมีสิ่งละอันพันละน้อยให้เอาไปคิดกันเสมอ โดยเฉพาะกับคนทำหนัง

Nora Ephron
(เจ้าแม่หนังรัก หวานแบบผู้ใหญ่)




ผลงานการันตี: เขียนบท Heartburn (1986), When Harry Met Sally... (1989) และกำกับ Sleepless in Seattle (1993) กับ You've Got Mail (1998)

ระยะหลังเราอาจจะไม่คุ้นกับชื่อของผู้กำกับหญิงรายนี้ แต่ถ้าท่านเป็นคอหนังรักอายุสามสิบขึ้นไป คงยังจำได้กับฉากในตำนานที่แจ้งเกิด Meg Ryan ให้รู้จักไปทั่วใน When Harry Met Sally (ฉากอะไรเดี๋ยวเล่าให้ฟัง) ตามด้วยหนังรักอารมณ์ละเมียดที่ประกาศให้ฝั่งตะวันออกรู้ว่า ฟากตะวันตกก็มีหนังรักบรรยากาศดีๆ เปี่ยมด้วยรัศมีความโรแมนติกเหมือนกัน (เรื่องที่ว่าคือ Sleepless in Seattle>)

พัฒนาการของหนังรักในเมืองลุงแซมนั้นก็เหมือนการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ที่เริ่มจากสิ่งตื้นๆ ระดับพื้นผิว ก่อนจะลงลึกจนค้นพบสิ่งใหม่ขึ้นมา ถ้าว่ากันให้เห็นภาพคือ หนังรักในยุคแรกก็เริ่มจากหนุ่มรักสาว สาวชอบหนุ่มแบบพื้นๆ ก่อนจะพัฒนามาเพิ่มความขัดแย้งเป็นรักต่างชนชั้นหรือการรักแบบไม่รู้ตัว ในยุคต่อมาก็เริ่มมีการแทรกมุมมองความรักลงในหนัง แต่ก็ยังไม่มีใครผนวกเอาแง่มุมความรักใส่บรรยากาศโรแมนติกหวานเจี๊ยบลงไปพร้อมๆ กันอย่างลงตัวสักที ... จนกระทั่งการมาของ Nora Ephron และหนังเรื่อง Sleepless in Seattle ซึ่งก็ต้องย้อนไปรู้จักกับประวัติของผู้กำกับสาวคนนี้กันเล็กน้อย

สิ่งต่างๆ ในชีวิตของ Ephron หล่อหลอมให้เธอเป็นเสมือนตัวแทนของนักเขียนบทหนังรักยุคใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากคนยุคเก่า เพราะพ่อแม่ของเธอ Henry และ Phoebe Ephron ต่างก็ทำงานในสายนักเขียนบทภาพยนตร์มาก่อนในยุค 40 ถึง 60 การทำงานของพวกท่านเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้เธอและพี่น้องพากันดำเนินรอยตาม (สังเกตได้จากพี่น้องตระกูล Ephron พากันไปเป็นนักเขียนหมดครับ ไม่เขียนนิยายก็เขียนบทหนัง) เธอจึงมักนำเอาเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตมาลองถ่ายทอดในรูปของตัวหนังสือ โดยมีพ่อแม่คอยแนะนำหยิบยกมุมคิดแบบผู้ใหญ่มาจุดประกายให้เธอได้ลองสำรวจชีวิต ประจวบเหมาะกับที่เธอมีประสบการณ์ความรักอันหลากหลายส่งผลให้เธอมีแนวคิดเรื่องรักใคร่ในมุมต่างๆ ทั้งที่ดีและไม่ดี (เธอแต่งงานทั้งสิ้น 3 ครั้งด้วยกัน)

ผลงานของเธอในระยะแรกๆ จะออกแนวรักแบบผู้ใหญ่อย่างเห็นได้ชัด ใน Heartburn ซึ่งสร้างจากนิยายที่เธอเขียนขึ้น เนื้อหาอิงจากเรื่องจริงสมัยเธอแต่งงานครั้งที่ 2 กับ Carl Bernstein หนึ่งในสองนักข่าวที่ตีแผ่ความจริงของคดีวอเตอร์เกตอันโด่งดัง แต่ความรักครั้งนั้นก็จบลงเพราะ Bernstein ปันใจไปหาสาวอื่น จน Ephron ต้องระบายความเจ็บช้ำผ่านทางนิยายเรื่องที่ว่าซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1983 แล้วสามปีต่อมาก็ถูกสร้างเป็นหนัง นำแสดงโดย Jack Nicholson ในบทมาร์ค (ถ้าจะว่าให้ถูกก็คือ Bernstein) และ Meryl Streep ในบทราเชล (ครับ เธอคือ Ephron นั่นเอง) กำกับโดย Mike Nichols

มุมมองความรักใน Heartburn ค่อนข้างจะเป็นเหมือนสนามอารมณ์ให้ Ephron ได้ถ่ายทอดความเจ็บปวดที่เธอถูกคนรักหลอกลวง (ชนิดที่ถ้าเอามาทำเป็นหนังไทยตอนนี้ คงมีเพลงซาวน์แทร็กเป็น “ผู้ชวยห่วยๆ” ของเจ๊มาช่าแน่นอน) แต่เมื่อเธอทำใจได้ เธอจึงได้เริ่มเลือกที่จะมองความรักในมุมค้นหาความหมาย ว่าทำอย่างไรจึงจะได้พบรักแท้ อันนำมาสู่หนังเรื่องดังของผู้กำกับ Rob Reiner เรื่อง When Harry Met Sally ที่ว่าด้วยหนุ่มสาวคู่หนึ่ง (Billy Crystal และ Meg Ryan) ที่เริ่มทุกอย่างด้วยความเป็นเพื่อน คอยเป็นที่ปรึกษาและให้กำลังใจกัน จนในที่สุดก็ตกหลุมรักกันเอง ฟังพล็อตแล้วคุ้นหูยิ่ง แต่ขอบอกว่านี่คือเรื่องแรกๆ ที่จับเอาพล็อตนี้มาเรียบเรียง



When Harry Met Sally อาจเป็นหนังที่ไม่ถูกปากคนไทยเท่าไร เพราะมีแต่พูดกันทั้งเรื่อง บรรยากาศความโรแมนติกก็น้อยมาก แต่จุดเด่นที่ทำให้หนังได้รับการพูดถึงในฐานะต้นแบบแรกๆ แห่งหนังรักยุคใหม่ก็ด้วยบทสนทนาทั้งหลายที่ทั้งคมคายและขบขัน ยิ่งกว่านั้นหนังยังตีแผ่มุมมองขั้วต่างระหว่างชายหญิงได้อย่างออกรส

โดยเฉพาะฉากที่ทั้งคู่เถียงกันในร้านอาหาร ในขณะที่ Crystal กำลังภูมิใจว่าเพศชายอย่างเขานี่แหละที่นำความสุขมาให้ผู้หญิงยามทำกิจกรรมอย่างว่า แต่ Ryan สวนกลับมาว่าจริงๆ แล้วผู้หญิงต่างหากที่ช่วยให้บุรุษรู้สึกดี และส่วนใหญ่ผู้ชายก็ไม่ได้ทำให้ผู้หญิงถึงฝั่งฝันสักหน่อย ปรากฏว่า Crystal ไม่เชื่อ Ryan เลยแกล้งแสดงอาการถึงจุดสุดยอดให้ดูกลางร้านซะเลย (นี่แหละครับ ฉากในตำนาน)

ความเยี่ยมของบทหนังส่งให้ When Harry Met Sally ได้เข้าชิงออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม (แต่ก็เสียตุ๊กตาทองให้ Dead Poets Society ไป) ส่วนนิยามรักของหนังเรื่องนี้ก็คือ รักแท้นั้นมีพื้นฐานจากความเข้าใจ เป็นสำคัญ

งานชิ้นนั้นนับว่าเข้าเป้ามีสาระ มีความขำ แต่ความโรแมนติกยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ Ephron เลยกลับมาอีกครั้งใน Sleepless in Seattle ที่เธอกำกับเอง โดยนำเอาบทของ Jeff Arch มาเกลาใหม่ ด้วยความมุ่งหมายจะถ่ายทอดเรื่องราวความรักที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความโรแมนติก (ว่ากันว่าเนื่องมาจากเธอได้พบรักที่แสนจะหวานจ๋อยกับ Nicholas Pileggi เจ้าของบทประพันธ์ที่ต่อมากลายเป็นหนังระดับมาสเตอร์พีซอย่าง Goodfellas ที่กลายเป็นรักสุดท้ายของเธอ) พร้อมทั้งนำเอาแนวทางหนังรักคลาสสิกอมตะอย่าง An Affair to Remember มาถ่ายทอดใหม่

เนื้อเรื่องว่าด้วยคุณพ่อลูกหนึ่ง (แสดงโดย Tom Hanks) ที่ยังคงคิดถึงภรรยาที่เสียชีวิตไป แต่คุณลูกผู้น่ารักก็ไม่อยากให้คุณพ่ออยู่อย่างขาดความสุข จึงโทรศัพท์ไปคุยออกรายการวิทยุเพื่อประกาศหาใครสักคนมาทำให้ชีวิตพ่อของเขาสดใสอีกครั้ง พอดีกับที่หญิงสาวนางหนึ่ง (Meg Rayn) ได้ยินเรื่องนี้เข้า เธอก็เกิดความรู้สึกอยากรู้จักกับพระเอกอย่างประหลาด

จุดเด่นที่คนดูพากันชื่นชม คือ หนังทั้งเรื่องพระนางไม่มีโอกาสเจอกันเลยจนหนังจบโน่น แต่ Ephron ทำสำเร็จที่วางเรื่องและอารมณ์จนคนดูรู้สึกว่าทั้งสองช่างเหมาะกันดีเหลือเกิน จนอดลุ้นให้ทั้งคู่มาลงเอยกันไม่ได้ ใครก็ตามที่เคยมีคิดว่าหนังรักฝรั่งไม่ค่อยซึ้งเท่าหนังเกาหลี กรุณาหาหนังเรื่องนี้มาดูด่วนครับ หนังจัดว่ายอดเยี่ยมในการถ่ายทอดประเด็นความรักเช่นเคยตามสไตล์ Ephron แต่ส่วนที่เพิ่มเข้ามาคือบรรยากาศความอบอุ่น น่ารักที่แทรกอยู่ในทุกอณูของหนัง แบบที่หนังเกาหลียุคนี้มีแบบไหน เรื่องนี้ก็มีดีไม่แพ้กัน

หลายปีต่อมาเธอก็พาสองพระนางคู่เดิมมาจับมือสร้างความประทับใจอีกใน You've Got Mail ที่งานนี้เพิ่มมุมมองความรักบนโลกไซเบอร์ลงไปอีกหน่อย และอารมณ์ขันอีกเพียบ สนุกจนน่าดูอีกเรื่อง



ถ้าท่านสังเกตจะพบว่าแนวทางหนังรักของ Ephron จะขึ้นอยู่กับสิ่งหนึ่งนั่นคือสภาวะอารมณ์ของเธอในขณะนั้น ที่หากเธอรู้สึกดีอย่างตอนทำ Sleepless in Seattle งานจะออกมาหวานถึงใจ แต่หากชอกช้ำมาหมาดๆ ก็จะเข้าข่าย Heartburn งานภาพยนตร์แนวรักของเธอเลยค่อนข้างเข้าถึงอารมณ์และสัมผัสได้อย่างสมจริง เพราะมันได้รับการถ่ายทอดผ่านเจ้าของประสบการณ์ตรง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดครับที่เธอจะได้เป็นผู้กำกับแถวหน้าสำหรับหนังรัก แม้ช่วงนี้เธอจะไม่ค่อยมีงานดังๆ มาให้ดู เพราะเปลี่ยนแนวไปทำหนังเอาขำอย่างเดียวแบบ Bewitched และไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้ามองย้อนไปยุค 80 – 90 Nora Ephron คนนี้นี่แหละครับ ที่ครองตลาดหนังรักได้อย่างต่อเนื่อง แบบที่ไม่มีใครทำได้เทียมเท่า มิหนำซ้ำยังมีคนเดินตามรอยเท้าเธอกันเป็นแถบ

เพราะเธอทำหนังรักขึ้นจากชีวิต ไม่ใช่จากบทภาพยนตร์

และผลงานล่าสุดของเธอก็คือการกำกับหนังชีวิตรักชั้นดีที่แสนอบอุ่นอย่าง Julie & Julia (2009) ซึ่งเป็นอีกครั้งครับ ที่เธอจับชีวิตจริงมาถ่ายทอดเป็นหหนัง ซึ่งเธอก็ทำได้น่าประทับใจ ถือเป็นการคืนฟอร์มที่สวยงามครับ

เมื่อพูดถึงผู้กำกับหญิงที่ทำหนังขึ้นโดยมีแบ็คกราวน์ของชีวิตเป็นตัวผลักดัน ก็ทำให้นึกถึงผู้กำกับเก่าแก่อีกรายที่ทำหนังโดยอิงมาจากชีวิตตนเอง โดยเฉพาะเรื่องความรักของตัวเองนี่ขยันเอามาถ่ายทอดเป็นเรื่องราวเสียจริง



Woody Allen
(เจ้าตำรับหนังรักแบบขำคิด)




ผลงานการันตี: กำกับและเขียนบท Annie Hall (1977), Manhattan (1979), A Midsummer Night's Sex Comedy (1982) และ Husbands and Wives (1992) เป็นอาทิ (เพราะแกทำหนังไว้อีกเป็นตัน!)

คุณลุงผู้รุ่มรวยอารมณ์ขันท่านนี้ แม้อายุอานามจะปาไปเข้าไปเกือบร้อย แต่ขอโทษ มีปี๊บมาให้เตะก็ยังกระเด็นไปหลายวา (ตอนนี้มีภรรยาเด็กอีกต่างหาก) เห็นร่างเล็กดูขี้ก้างๆ แบบนี้แต่ท่านทราบไหมครับว่าประวัติการคบหากับสตรีเพศนี่ก็ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน สวยๆ ทั้งนั้นด้วย (Mia Farrow แล้วก็ Diane Keaton เป็นต้น) คำกล่าวที่ว่าคารมเป็นต่อรูปหล่อเป็นรองใช้จำกัดความชีวิตรักของ Allen ได้อย่างตรงเผง เพราะเขาใช้คารมสร้างสัมพันธไมตรีกับสาวๆ มานักต่อนัก ทั้งๆ ที่หน้าไม่ได้หล่อเหลาเร้าใจ ดูๆ ไปยังเหมือนมิคกี้ เมาส์ยังไงก็ไม่ทราบ

จริงๆ แล้วงานของ Allen มีมุมให้พูดถึงมากกว่าแค่เรื่องความรักครับ ลุงแกจะสอดแทรกการแดกดันสังคมและชีวิตคนไว้ตลอดทุกเรื่องซึ่งไว้มีโอกาสผมจะเอาเรื่องราวของแกมา Retro แบบหนำใจ ส่วนตอนนี้จะยกเอาสไตล์หนังรักแบบขำคิดของแกมาเล่าสู่กันฟัง เพราะหนังทุกเรื่องของเขามักจะมีประเด็นความรักเฉียบๆ อยู่เสมอ จนถ้ามีการมาตั้งมาตรวัดว่าใครเอาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มาพูดถึงผ่านจอหนังมากที่สุดล่ะก็ เห็นทีจะหนีไม่พ้นลุง Woody Allen ท่านนี้ (เพราะแกทำหนังทุกปีครับ ปริมาณเลยเกินหน้าเกินตาชาวบ้านเขาเยอะ)

โปรดสังเกตนะครับ ผมจะไม่ใช้ว่าเขาเป็นคนทำหนังรักหวานแหวว เนื่องมาจากหนังของ Allen ไม่ได้เน้นการโรยน้ำตาลบนแผ่นฟิล์ม แต่ชอบพูดถึงความรักด้วยมุมมองที่ใช้เหตุผลและตรรกะมาพูดถึงมากกว่าใช้อารมณ์ ซึ่งสไตล์นี้ก็มีอิทธิพลต่อหนังยุคใหม่มากมาย โดยเฉพาะซีรี่ส์ซิตคอม (Situation Comedy) ที่หยิบยืมสไตล์บทสนทนาฮาปนสาระจาก Allen ไปใช้งาน และแนวทางของ Nora Ephron ที่ผมกล่าวถึงไปก่อนหน้าก็คาบเกี่ยวเป็นแนวทางเดียวกับ Allen อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะการมีบทสนทนาที่ชวนคิดเป็นตัวเดินเรื่อง

แต่สไตล์หนังของ Allen นั้นถือว่าลึกลงมาอีกระดับ หาก Ephron เป็นคนหยิบเอาเรื่องความรักของหนุ่มสาวมาชี้ช่องให้ลองคิดใคร่ครวญผ่านทางอารมณ์ความรู้สึก แต่ Allen จะไม่ชี้ช่องครับ แกจะจัดการเอาความคิดมุมมองการวิพากษ์วิจารณ์ของเขายัดใส่ปากตัวละครแล้วถ่ายทอดให้คนดูทราบทันทีว่าเขาคิดอย่างไรกับเรื่องนั้นๆ จุดนี้แฟนหนัง Allen จึงรู้กันดีว่าตัวเอกของหนังเขาทุกเรื่องก็มีลักษณะบุคลิกอิงมาจากตัวเขาเองนั่นแหละ



ยิ่งไปกว่านั้นมุมมองเรื่องรักใคร่ของ Allen ยังเป็นการมองผ่านสายตาคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตคู่มาอย่างโชกโชน จึงมักเป็นการแสดงความเห็นในเชิงเสียดสีมากกว่าจะมานั่งบรรยายอารมณ์รักสุดหวานแหวว ซึ่งนี่เป็นการแบ่งแยกสไตล์แบบ Ephron และ Allen ค่อนข้างชัด ในขณะที่รายแรกจะถ่ายทอดแบบสวยงามเติมความรักอ่อนโยนลงไปสไตล์หนุ่มสาวที่มีโลกสดสวย แต่ Allen จะสื่อกับคนดูตรงๆ แบบผู้ใหญ่เจนโลกคุยกัน ว่าเรื่องรักๆ นั้นไม่ได้มีแต่ความสวยงาม ถ้าท่านไม่ปวดวันนี้ก็เจ็บวันหน้า ไม่ทะเลาะกับแฟนวันนี้ ก็ต้องมีสักวันที่ทะเลาะกัน

แต่จุดมุ่งหมายในการทำหนังสื่อความแบบนี้ ไม่ได้ต้องการให้คนทั้งโลกมองความรักในแง่ร้ายนะครับ เพียงแต่บอกให้รู้ถึงความจริงอันเป็นสัจธรรม ว่าใดๆ ในโลกก็มีทั้งดีและร้าย ทั้งสวยงามและขมขื่น จงอย่ายึดติดในโลกแห่งความฝันให้มากมาย หนังชีวิตของ Allen จึงมักจะเดินเรื่องอย่างเรียบง่ายติดดินที่สุด สมจริงที่สุด เพื่อให้คนดูเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างง่ายที่สุด ไม่ต้องปีนกระไดดูให้ยุ่งยาก

โดยสรุปหนังรักสไตล์ Woody Allen ก็คือ เอาเรื่องจริงมาพูดในเชิงเล่น ให้ขำไปด้วยคิดไปด้วย

หนังขึ้นหิ้งของคุณลุงคนนี้ เรื่องดังที่สุดต้องยกให้ Annie Hall ที่คว้ารางวัลออสการ์หนังยอดเยี่ยมมานอนกอด ความเฉียบขาดของหนังคือ เต็มไปด้วยบทสนทนาที่อัดแน่นไปด้วยมุกจิกกัดสารพัดสิ่งตลอดทั้งเรื่อง เล่าถึงชีวิตของนายอัลวัน ซิงเกอร์ (Allen เล่นจริง เจ็บจริง) กับเสี้ยวหนึ่งในชีวิตรักของเขากับแอนนี่ ฮอลล์ (Keaton) ที่สิ้นสุดด้วยการแยกทางเพราะไปกันไม่ได้ จากนั้นอัลวินก็เริ่มเข้าใจหลายสิ่งในชีวิตหลังจากต้องสูญเสียแอนนี่ไป

ที่ใช้คำว่าเล่นจริง เจ็บจริงก็เพราะ เหตุต่างๆ ในเรื่องก็อิงมาจากชีวิตน้อยๆ ของเขาเองนั่นแหละครับ

นั่นคืองานชิ้นที่ดังระดับครองรางวัล แต่ถ้าถามถึงชิ้นที่ดีที่สุด นักดูหนังต่างยกให้ Manhattan ที่ว่าด้วยเรื่องความรักของคนเมืองที่ครบถ้วนทั้งรักแบบธรรมดา รักแบบแย่งแฟนชาวบ้าน และรักแบบโคแก่กินหญ้าอ่อน อีกทั้งหนังยังนำเสนอในรูปแบบขาวดำให้อารมณ์สมจริงยิ่งขึ้นพร้อมทางการหยิบยกเรื่องที่ว่ามาพูดกันแบบถึงแก่น จนทำให้ชาวอเมริกันส่วนหนึ่งย้อนมองทบทวนรูปแบบความสัมพันธ์เรื่องรักใคร่ของตัวเองอย่างครุ่นคิด



บางคนเริ่มตั้งคำถามว่าแล้วนายคนนี้เรียกว่าทำหนังรักโรแมนติกได้อย่างไร ไม่เห็นมีความหวานตรงไหน ผมก็ขอชี้แจงว่าบ้านเราเข้าใจคำว่าหนังโรแมนติกแคบเกินไปนิด เพราะหนังโรแมนติกนั้นมีแยกลงไปอีกว่าเป็น Romantic Comedy (รักแนวตลกสมหวัง) แบบที่เราคุ้นเคย กับอีกประเภทคือ Romantic Drama ซึ่งว่ากันถึงความรักเช่นกัน แต่เน้นความจริงและเรื่องเชิงชีวิต ว่ากันว่าเคยมีนักจิตวิทยาชาวยุโรปท่านหนึ่งออกมาพูดแนะนำการจะดูหนังรักให้ปลอดภัยต้องดูให้สมดุล โดยควรชมแนว Romantic Comedy เพื่อคลายเครียด และตบด้วย Romantic Drama เพื่อไม่ให้คนเพ้อฝันจนเกินงาม เลยมีนักวิจารณ์ชาวอเมริกันสวนไปว่า ถ้าเช่นนั้นดูหนังของ Allen ก็พอ เพราะหัวเราะทั้งน้ำตาแน่นอน

ผลงานชิ้นอื่นที่เอาความรักและเรื่องเสน่หามาเล่าแบบไม่เครียด แต่ทุกบทสนทนามีคำคมเบียดแน่นเต็มไปหมดก็มี A Midsummer Night's Sex Comedy ชื่อก็บอกแล้วครับว่าหนังพูดถึงประเด็นอะไร, Husbands and Wives ก็เช่นกันครับ ว่ากันด้วยเรื่องผัวๆ เมียๆ แบบเต็มสตรีม แต่งานชิ้นที่สนุดประทับใจ ให้รอยยิ้มกับหัวใจดวงน้อย ก็ต้องเรื่อง Everyone Says I Love You หนังตลกที่ Allen ผสมความเป็นหนังรักร่วมไปกับหนังเพลง แล้วก็ทำได้สนุกไม่เลวด้วยครับ ซ้ำยังเป็นหนังรวมดาราอีกด้วย

ตอนต่อไป มาพบกับอีกสองผู้กำกับหนังรัก ที่คราวนี้เป็นยุคใหม่ ทำหนังหวานเต็มขั้นมานักต่อนัก แล้วพบกันครับ




 

Create Date : 28 เมษายน 2554
2 comments
Last Update : 28 เมษายน 2554 17:06:50 น.
Counter : 3830 Pageviews.

 

หนังรักโรแมนติก อิอิ

 

โดย: ตะวันเจ้าเอย 28 เมษายน 2554 17:04:49 น.  

 

annie hall

 

โดย: Mr.Feynman 12 พฤษภาคม 2554 16:03:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.