รักษาคนเก่งไว้
รักษาคนเก่งไว้ ที่มา : บทความ ทำอย่างไรจึงจะรักษาคนเก่ง-คนดี ไว้กับองค์กรได้นานๆ เขียนโดย อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา apiwut_p@yahoo.com จาก Productivity Corner จดหมายข่าวรายเดือนของสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ปีที่ 6 ฉบับที่ 71 กุมภาพันธ์ 2549
ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ คนเก่ง-คนดี ที่มีความรู้ความสามารถ หายากขึ้น และที่สำคัญหาได้แล้วก็ยังรักษาไว้ได้ยาก ทั้งนี้เพราะแนวความคิดเรื่องการบริหารคนระยะหลังๆเปลี่ยนไป ในอดีตหลายๆ องค์กรเชื่อว่า คนคือทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดสำหรับองค์กร แต่ Jim Collins เขียนหนังสือ Good to Great ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และทำท่าจะพลิกความเชื่อในเรื่องการบริหารคนในอดีต ได้เกือบหมดสิ้น เขาเขียนในหนังสือ ว่า จริงๆ แล้ว ไม่ใช่คนทุกคนที่เป็นทรัยพากรที่มีค่าสำหรับองค์กร หากแต่เป็นเพียงแค่คนบางคนที่องค์กรต้องการเท่านั้นต่างหาก ที่เป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับองค์กร ด้วยเหตุนี้หลายๆองค์กรจึงเลิกที่จะสนใจอัตราพนักงานเข้าออก (Staff Turnover) เพราะตัวเลขนั้นแทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย Staff Turnover ปีละ 15% ก็คงไม่เป็นไร ถ้าทั้ง 15% นั้นเป็นคนที่องค์กรไม่อยากให้อยู่ อยู่แล้ว (อันที่จริงควรจะดีใจด้วยซ้ำ) แต่ Staff Turnover แค่ 2% แต่เป็น 2% ของคนที่องค์กรอยากให้อยู่ คงจะแย่กว่า 15% ข้างต้นเป็นแน่ มีคนพูดกันมากว่า เด็กๆเดี๋ยวนี้ไม่สู้งานเหมือนคนสมัยก่อน เปลี่ยนงานกันเป็นว่าเล่น แต่ผม(ผู้เขียนบทความ)กลับมองต่างมุม ผมว่าสภาวะแวดล้อมหลายๆอย่างมันเปลี่ยนไป ผมว่าเด็กรุ่นหลังมีโอกาสมากขึ้น และอาจมีปรัชญาในการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ปัญหาจึงอยู่ที่องค์กรมากกว่า ว่าจะสามารถสรรหาและรักษาคนเก่ง-คนดีที่องค์กรอยากได้ ไว้กับองค์กรได้หรือไม่? จากการศึกษาพบว่า องค์กรที่ประสบความสำเร็จในการรักษาคนเก่ง-คนดีไว้ ไม่ได้ดูแลพนักงานทุกคนในองค์กรเท่ากัน องค์กรเหล่านั้นจะจัดกลุ่มพนักงานที่องค์กรต้องการดูแลเป็นพิเศษขึ้นมา (Talent Pool) โดยส่วนใหญ่ใช้เกณฑ์ในการคัดเลือก เช่น ดูจากผลการปฏิบัติงานย้อนหลัง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยต้องมีผลงานดีกว่ามาตรฐานอย่างสม่ำเสมอติดต่อกัน, ต้องทำงานกับองค์กรมาสักระยะหนึ่ง ส่วนมากก็ 2-3 ปีขึ้นไป, มีความรู้ความสามารถ และทัศนคติหรือพฤติกรรมที่เหมาะสมตามที่องค์กรคาดหวัง ประกอบกัน เมื่อระบุกลุ่มคนเก่ง-คนดีขององค์กรได้แล้ว หลายๆองค์กรเลือกที่จะบอกเฉพาะแต่เจ้าตัวและหัวหน้างานโดยตรงว่า เขาได้รับการคัดเลือก เป็นกลุ่มพนักงานที่จะได้รับการพัฒนาเป็นพิเศษ โดยไม่มีการให้สัญญาใดๆ ว่าเขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งหรือไม่ และเมื่อใด หลายๆคนอาจถามว่า อ้าว ! แล้วอย่างนี้ไม่ทำให้เกิดความแตกแยกหรือ? ตอบว่า แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสีย ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ในอดีตหลายๆองค์กรเลือกที่จะไม่บอกแม้แต่ตัวพนักงานด้วยซ้ำว่า เขาเป็นคนเก่ง-คนดีขององค์กร จนพนักงานมาลาออกนั่นแหละ ถึงจะบอก...แต่ก็สายเกินไป เมื่อได้กลุ่มคนเก่ง-คนดีมาแล้ว ปกติมีสักประมาณ 10% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด องค์กรก็เริ่มวางแผนในการพัฒนาพวกเขา โดยแนวทางในการพัฒนาส่วนมากจะใช้วิธีที่ค่อนข้างหลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่ทุก ๆ องค์กรเลือกใช้ในการพัฒนากลุ่มคนเหล่านี้เหมือนๆกัน คือการมอบหมายให้ทำโครงการ (Project Assignment) บางอย่าง ร่วมกัน ประมาณว่า เป็นการฝึกให้เรียนรู้จากการลงมือทำจริง ตัวอย่างเช่น หลักสูตร MDP (Management Development Program) ของเครือซิเมนต์ไทย ที่จัดร่วมกับ Wharton School, University of Pennsylvania จากสหรัฐอเมริกา, โครงการพัฒนาผู้บริหารระดับกลางของ Siemens ชื่อ BIP (Business Impact Projects) หรือ GE ก็มีโครงการอันเลื่องชื่อไปทั่วโลกอย่าง Workout Projects เป็นต้น โดยโครงการเหล่านี้ จะมีบางอย่างที่คล้ายกัน อันดับแรก คือ เป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจและมีส่วนช่วยให้ธุรกิจเจริญขึ้น อันดับสอง คือ เป็นโครงการที่สามารถทำสำเร็จได้ในระยะเวลาที่ไม่ยาวจนเกินไป (ประมาณไม่เกิน 4-6 เดือน) และวัดผลได้ และ อันดับสุดท้าย มักเป็นการทำงานร่วมกันแบบข้ามหน่วยงาน (Cross-functional ) ซึ่งหมายความว่า สมาชิกในกลุ่มที่ร่วมกันทำโครงการ มักมาจากต่างหน่วยงานและมีพื้นฐานความคิดไม่เหมือนกัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการฝึกฝนให้ทำงานร่วมกับกลุ่มคนที่มีความหลากหลายขึ้น คำถามที่มักจะตามมาคือ พนักงานเหล่านี้มีงานประจำที่ต้องทำอยู่แล้ว ถ้าต้องมาทำ Project อีกจะไม่หนักเกินไปหรือ ? ผมก็เคยสงสัยเช่นนี้เหมือนกัน และมีโอกาสคุยกับผู้บริหารของหลายองค์กรที่มีการทำเรื่องนี้ และพบว่า ทั้งหมดมองเห็นเกือบจะตรงกันว่า การให้ Project ไปทำ ถือเป็นบททดสอบและการเรียนรู้ที่ดี ดีกว่าส่งไปอบรมเมืองนอกที่เสียเงินหลายๆแสนซะอีก... เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัว นกตัวที่หนึ่ง คือ พนักงาน ที่ได้มีโอกาสเรียนรู้จากภาคทฤษฎี และได้ลงมือปฏิบัติจริง นกตัวที่สอง คือ องค์กร เพราะโครงการที่เลือกมาทำนั้น เป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับงานหรือองค์กรโดยตรง เพราะฉะนั้นองค์กรก็จะได้ประโยชน์จากการทำโครงการนั้นด้วย (หลายครั้งพบว่า ดีกว่าจ้างที่ปรึกษาจากต่างประเทศมาทำเสียอีก) และ นกตัวสุดท้าย คือ การได้พิสูจน์ว่า คนที่เลือกมานั้น เลือกถูก หรือเปล่า? เพราะการให้พนักงานได้ทำโครงการเพิ่มเติม ถือเป็นบทพิสูจน์หลายๆอย่างสำหรับพนักงานคนนั้นๆ ว่า จะสามารถทนรับกับความกดดัน และมีทัศนคติที่เหมาะสมที่จะถูกเลือก ให้เป็นผู้บริหารต่อไปในอนาคตหรือไม่ ? ผมเคยไปนำสัมมนาครั้งหนึ่งให้กับองค์กรแห่งหนึ่ง ซึ่งกลุ่มคนที่เข้าเรียนกับผม เป็นพนักงานที่องค์กรคัดมาว่าเป็นกลุ่มคนที่มีศักยภาพ เมื่อเรียนจบมีการมอบหมายให้ทำ Project ปรากฏว่า มีพนักงานคนหนึ่งโวยวายว่า ทำไมต้องทำ งานที่ทำประจำก็เยอะอยู่แล้ว เหตุใดยังต้องมาทำ Project อะไรกันอีก (องค์กรนี้เลือกที่จะไม่บอกแม้แต่เจ้าตัวว่า เพราะเหตุใดเขาจึงถูกเลือกมา) ปรากฏว่างานนั้น มีผู้ใหญ่นั่งอยู่หลายคน พนักงานคนนั้นเลยมีโอกาสพิสูจน์ตัวเองว่า ผมไม่เหมาะ...ก็เลยซวยไป !! สุดท้ายเมื่อพัฒนาแล้ว ก็ต้องพยายามรักษาไว้ เท่าที่ผมเห็นมา พบว่า องค์กรส่วนใหญ่ไม่ได้ให้รางวัลพิเศษอะไรกับพนักงานกลุ่มนี้ ณ ตอนที่ถูกเลือกมา แต่จะตบรางวัลทันที ที่พวกเขาสอบผ่านบทพิสูจน์ ความอึด และสามารถผลักดันโครงการที่ได้รับมอบหมายให้ประสบความสำเร็จได้ นอกจากนั้น องค์กรส่วนใหญ่มักมีข้อตกลงภายในว่า เมื่อใดก็ตามที่มีตำแหน่งงานว่าง พนักงานในกลุ่มนี้จะได้รับการพิจาณาก่อน เป็นอันดับแรก แต่ถ้าหากหน่วยงานใด มีตำแหน่งงานระดับบริหารว่าง แต่ขอรับคนใหม่จากข้างนอก หน่วยงานนั้นจะต้องอธิบาย และพิสูจน์กันยืดยาวเลยทีเดียว. โดย yyswim
Create Date : 06 เมษายน 2549
Last Update : 6 เมษายน 2549 21:24:52 น.
24 comments
Counter : 944 Pageviews.