ปรัชญาของมด
ปรัชญาที่ 1 มดไม่เคยละความพยายาม หากมันมุ่งหน้าไปทางทิศใด แล้วเกิดอุปสรรค ถูกปิดกั้นหนทาง มันจะพยายามหาทางเดินทางอื่น มันจะได้ขึ้นไต่ลงไต่ไปรอบๆมันจะมองหาหนทางอื่นเสมอ ข้อคิด จงอย่าละความพยายามในการหาหนทางไปสู่สิ่งที่หมายมาดปรัชญาที่ 2 มดคิดถึงฤดูหนาวตลอดฤดูร้อน มันไม่เคยรักสบายจนคิดเพียงว่าคิมหันต์ฤดู จะคงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น มันจึงพยายามเก็บสะสมเสบียงไว้สำหรับเหมันต์ ตลอดฤดูคิมหันต์หรรษา ข้อคิด จงตะหนักถึงความเป็นจริง และเตรียมรับกับเหตุการณ์ในอนาคตปรัชญาที่ 3 มดคิดถึงฤดูร้อนตลอดฤดูหนาว ท่าม กลางความหนาวเหน็บแห่งเหมันห์ มันจะเตือนตัวเองว่า "ความลำบากจะอยู่เพียงไม่นาน แล้วเราก็จะพ้นจากสภาวะเช่นนี้" เมื่อวันที่แสงแห่งความอบอุ่นแรกสาดส่อง มันจะออกมาเริงร่า หากอากาศกลับกลายเป็นหนาวอีกครั้ง มันจะเข้าไปในโพรงอีกครั้ง และออกมารับความอบอุ่นในวันอากาศดีโดยทันใด ข้อคิด จงมองทุกสิ่งในเชิงบวกตลอดเวลาปรัชญาที่ 4 ทุ่มเททุกสิ่งเท่าที่สามารถ มดสามารถเก็บเกี่ยวเสบียงตลอดฤดูร้อนเพื่อเตรียมพร้อมฤดูหนาวให้มากเท่าที่มันจะทำได้ ข้อคิด จงพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเต็มกำลังสรุป 1.อย่ายอมแพ้ 2.มองไปข้างหน้า 3.มองโลกในแง่ดี 4.ทำเต็มความสามารถ
Create Date : 11 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2553 22:05:04 น.
Counter : 370 Pageviews.
พ่อแม่ควรสอนลูกเรื่องเงินอย่างไร
วันนี้ขอนำอีกบทของ “รู้จักใช้ เข้าใจเงิน” หนังสือที่ธนาคารไทยพาณิชย์จัดทำขึ้นเพื่อเป็น วิทยาทานในโอกาสครบรอบ 100 ปี ของการก่อตั้งธนาคารในปี 2550 ผู้เขียนคือ อาจารย์ วรากรณ์ สามโกเศศ ใครที่อยากได้ขอให้ติดต่อธนาคารไทยพาณิชย์ ครับ ส่วนหนึ่งของบทสำหรับพ่อแม่โดยเฉพาะมีดังนี้ “พ่อและแม่เป็นผู้ร่วมกันนำลูกมาสู่ โลก ดังนั้นความรับผิดชอบในชีวิตของลูกจึงตกอยู่ทั้งพ่อและแม่อย่างไม่อาจหลีก เลี่ยงได้ ชีวิตของลูกจะเป็นไปอย่างไร พ่อและแม่เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลที่สุด พ่อแม่ไม่อาจผลักภาระและความรับผิดชอบ ในการอบรมบ่มเพาะลูก ให้แก่ครู พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก และจะเป็นครูที่สำคัญที่สุดของลูกเสมอ การอบรมสั่งสอนลูกระหว่างวัยแรกเกิดจนถึง 6 ขวบ เป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดของการเข้าใจ โลกของลูก” การสอนลูกให้เข้าใจเรื่องเงินอย่างถ่องแท้ ตลอดจนการเข้าใจกลไกในการสร้างอนาคตที่ มั่นคงให้ลูก จึงเป็นเรื่องที่พ่อแม่ต้องดิ้นรนขวนขวายเรียนรู้อย่างจริงจังและรวดเร็ว เพื่อให้ ทันกับการเติบโตของลูก มีเรื่องเล่ามานานแล้วในสหรัฐอเมริกา ว่าเมื่อ จอห์น ร็อกกี้เฟลเลอร์ มหาเศรษฐีผู้พ่อเข้าไป พักในโรงแรม เขาขอห้องพักราคาถูกที่สุด ผู้จัดการโรงแรมก็ถามว่า "ทำไมเล่า เวลาลูกท่าน มาพักที่นี่ยังขอห้องดีที่สุดเลย" เขาตอบว่า "มันต่างกัน เขาเป็นลูกมหาเศรษฐี ส่วนฉันเป็นลูกชาวนา" เรื่องเล่านี้สะท้อนให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างการมองโลกของพ่อและลูกผู้ เติบโตภายใต้สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ซึ่งเรื่องนี้เข้า ลักษณะเดียวกันกับคนชั้นกลางจำนวนไม่น้อยในสังคม ไทยปัจจุบัน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็น อย่างยิ่ง ที่จะต้องสอนลูกอย่างถูกต้องเกี่ยวกับเรื่อง เงิน ในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยเรื่อง ของบริโภคนิยมและการไม่ใส่ใจในจริยธรรมคุณธรรมซึ่งแตกต่างไปจากยุคของพ่อแม่ การสอนเรื่องการเงินให้แก่ลูกมีหลายประเด็นที่ ควรพิจารณาดังต่อไปนี้ เป็นเรื่องปกติที่เด็กทุกคนอยากได้ทุกอย่างที่ เห็นในโทรทัศน์จึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องอธิบาย และสอนให้ลูกเข้าใจว่า ไม่มีใครที่ได้ หรือมีทุกอย่างในโลก ทุกคนมีเงินจำกัด ที่ต้องจ่ายในสิ่งต่างๆ มากมายด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้น จึงต้องเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่คิดว่าจำเป็นและให้คุณค่า การโฆษณาทางโทรทัศน์ถือว่า เป็นการให้ข้อมูลของสินค้า ที่ผู้ซื้อต้องใคร่ครวญให้ดี เพราะผู้ขายเป็นผู้ให้ข้อมูล และมีวัตถุประสงค์ในการชักชวนให้ซื้อสินค้านั้นการทำงานหาเงินอย่างหนักจนมีเงินมาก นับ เป็นของดี แต่การมุ่งหาเงินอย่างปราศจากคุณ ค่า (value) ที่เหมาะสมกำกับอยู่ด้วย เช่น หาเงินด้วยความเจ้าเล่ห์เจ้ากล บ้าคลั่งบริโภคนิยม บูชาเงินเป็นพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เป็นของไม่ดี พ่อแม่จะต้องพยายามสร้างคุณค่าที่เหมาะสม เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต ความสมถะ ความศรัทธาในความดีงาม ใส่เข้าไปในสมองลูกด้วยการกระทำสิ่งต่อไปนี้ พ่อแม่ควรทำตนเป็นตัวอย่างโดยแสดงให้เห็น พฤติกรรมที่มีความสมดุลในการใช้จ่ายเงิน สำหรับสิ่งที่จำเป็น (needs) และสำหรับสิ่งที่ต้องการเพื่อช่วยให้เกิดความสะดวกสบายใน ชีวิต (wants) เช่น ไม่บ้าคลั่งซื้อของต่างๆ อย่างไร้สาระจนทำให้ลูกสับสน หรือมองเห็นว่า ทุกสิ่งเป็นสิ่งจำเป็นไปหมด นอกจากนี้ต้องส่งเสริมให้ลูกคิดเป็น และมีวิจารณญาณว่าอะไร เป็น needs อะไรเป็น wants โดยเริ่มสอนไปทีละน้อย ให้เงินลูกเป็นรายอาทิตย์ หรือรายเดือนตั้งแต่ยังเล็กเมื่อเริ่มใช้เงินเป็น เพื่อสอนให้ลูกรู้จัก วางแผนการใช้เงิน และรู้จักอยู่กินไม่เกินรายได้ที่ตนเองได้รับ เงินที่ให้นี้บอกลูกให้ชัดเจนว่าเป็นเงินสำหรับสิ่งใด เช่น กินขนม ดูหนัง ซื้อหนังสืออ่านเล่น ซื้อซีดี หรืออะไรอื่นๆ แต่สำหรับสิ่งของบางอย่าง เช่น เสื้อผ้า หนังสือเรียน รองเท้า นาฬิกา นั้น พ่อแม่จะจัดหาให้การกำหนดชัดเจนเช่นนี้จะช่วยทำให้ลูกสามารถจัดการเรื่องเงินได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งเสริมให้ลูกรู้จักการให้การสอนลูกในยามเป็นเด็กที่ใจเปิดรับ จะทำให้เกิดความคิดในการช่วยเหลือคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคหรืองานอาสาสมัคร พ่อแม่อาจจัดหากระป๋องออมสิน 2 ใบ แต่ละใบใช้ใส่เงินสำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น ใบหนึ่งสำหรับการออม และอีกใบสำหรับการบริจาค การแบ่งเช่นนี้จะช่วยให้เด็กเห็นการออมและการให้ที่ ชัดเจนและช่วยให้จัดการเรื่องการเงินได้สะดวกขึ้น พ่อแม่ต้องสอนให้ลูกมีอำนาจเหนือเงิน (power over money) กล่าวคือ ให้เป็นคนที่มีความอดกลั้น สามารถบังคับความต้องการของตนเองได้ จนไม่เป็นทาส ของบริโภคนิยมที่เห็นอะไรก็อยากซื้อไปหมด ซึ่งจะทำให้ตลอดชีวิตมีแต่การหา เงินมาใช้จ่ายอย่างไร้สาระ พ่อแม่ต้องเน้นเรื่องคุณค่าของการออม และการมีความมั่นคงในด้านการเงินตลอดชีวิต การออมจะเกิดขึ้นได้อย่างสม่ำเสมอ ก็เพราะลูกมีความสามารถที่จะให้ตนมี อำนาจเหนือเงินเท่านั้น การออมอุปมาเหมือนกับปริมาณน้ำในถังที่เพิ่มขึ้นหรือลด ลงได้ ขึ้นอยู่กับการไหลเข้า(รายได้) และการไหลออกของน้ำ (รายจ่าย) ถ้าในช่วงเวลาหนึ่งน้ำไหลเข้ามากกว่าไหลออกปริมาณน้ำในถัง (การออม) ก็จะเพิ่มขึ้น การมีอำนาจเหนือเงิน จะทำให้การไหลออกของน้ำเป็นไปอย่างมีเหตุมีผล น้ำไม่ไหลออกมากเกินไปอย่างขาดระเบียบ และถ้ามีน้ำไหลเข้า ถึงในปริมาณพอควรอย่างต่อเนื่องแล้ว ปริมาณน้ำในถังหรือการออมอาจเพิ่มขึ้น อย่างสม่ำเสมอได้ พ่อแม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักคุณค่าของเงิน โดยแสดงให้เห็นว่า เงินทุกบาททุกสตางค์มีความหมาย (พ่อแม่ประหยัดพลังงานให้ดูเป็นตัวอย่าง) ไม่ดูถูกเงินไม่ว่าจะมีจำนวนน้อยเพียงใด ลูกต้องรู้ว่าเงินได้มาจากการทำงานซึ่งเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน เงินไม่ได้ลอยมาจากฟ้าหรืออยู่ๆ ก็มีใครให้ ทุกคนต้องใช้น้ำพักน้ำแรงของตนเองเข้าแลกจึงจะมีเงิน สิ่งที่จะทำให้ได้เงินมากกว่า ถึงแม้จะออกแรงทำงานเท่ากันก็คือการศึกษา สิ่งที่ต้องห้ามสำหรับพ่อแม่คือ การพูดจาชี้แนะแต่ยังเยาว์วัยว่าปู่ย่าตายาย หรือพ่อแม่มีมรดกไว้ให้ถึงไม่ทำงานก็ไม่ลำบาก การพูดเช่นนี้ให้ทัศนคติในการดำเนิน ชีวิตที่ผิดแก่ลูกและบั่นทอนศักยภาพของลูก ในการเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในอนาคตอย่างสำคัญ
Create Date : 30 ตุลาคม 2553
Last Update : 30 ตุลาคม 2553 13:01:45 น.
Counter : 294 Pageviews.
การเดินทางของชีวิต มิวสิควีดีโอเพลงนี้อาจเป็นเรื่องจริงของใคร หรือหลายๆ คน
Create Date : 27 ตุลาคม 2553
Last Update : 27 ตุลาคม 2553 23:57:30 น.
Counter : 340 Pageviews.
ของขวัญแห่งความสุขที่ต้องค้นหาเอง
"จงมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ ดีกว่ามีความทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี" "ความกังวลเหมือนเก้าอี้โยก คือทำให้เรามีอะไรทำแต่ไม่ได้ช่วยให้เราไปไหนเลย" "สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ" คำพูดเหล่านี้ได้ยินมานาน แต่เมื่อได้อ่านหนังสือน่าสนใจอย่างยิ่งที่เพิ่งออกมาใหม่เมื่อเร็วๆ นี้ ชื่อ "THE PRESENT" ของ นายแพทย์นักเขียน DR.SPENCER JOHNSON ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นหนังสือฮิตติดอันดับโลกแน่นอนในเวลาอันใกล้นี้ ก็ทำให้สามารถเข้าใจความโยงใยของคำพูดเหล่านี้ และได้รู้หลักการในการทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นจากอีกแง่มุมหนึ่ง DR.JOHNSON คือผู้เขียนหนังสือฮิตติดอันดับหนึ่งของโลกเมื่อ 3-4 ปีก่อน "WHO MOVED MY CHEESE?" หนังสือเล่มเล็กแทรกรูปวาดที่สอนให้เข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลง และการเตรียมตัวรับกา รเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของนิทานสมัยใหม่ครั้งนี้ ก็มาในรูปแบบเดียวกัน คือ เป็นหนังสือเล่มเล็กหนาเพียง 104 หน้า เป็นเรื่องเล่าของคำสอนที่ผู้เฒ่าอุดมปัญญาให้แก่ เด็กน้อย ถึงวิธีที่จะมีความสุข ประสบความสำเร็จในชีวิต และในการทำงานหนังสือเล่มนี้โดยแท้จริงแล้ว เขียนขึ้นในสไตล์ใหม่ จากเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในหนังสือของผู้เขียนคนเดียวกันนี้ ที่ตีพิมพ์ในปี 1984 ในชื่อว่า "THE PRECIOUS PRESENT" ผู้เฒ่าใจดีผู้อยู่ข้างบ้านบอกเด็กน้อยว่า ในโลกนี้มีของขวัญ (PRESENT) อยู่ชิ้นหนึ่งที่เลิศกว่าของขวัญใดๆ ทั้งสิ้นที่เจ้าหนูจะได้รับในชีวิต เพราะมีคุณค่าอย่างที่สุดเจ้าหนูถามว่าทำไมมันจึงมีค่ามากนัก ผู้เฒ่าก็ตอบว่าเพราะเมื่อใครได้รับ THE PRESENT นี้แล้วจะมีความสุขมากขึ้น และสามารถทำสิ่งต่างๆ ตามที่ต้องการได้ดีกว่าเดิม เมื่อเจ้าหนูโตขึ้นในเวลาว่างก็รับจ้างตัดหญ้า มีความสุขร้องเพลงไปทำงานไป ใจจดจ่ออยู่กับงานที่ทำอย่างเต็มที่ และมักถามผู้เฒ่าว่า THE PRESENT คือไม้วิเศษที่ชี้และเสกคาถาบันดาลให้เกิดอะไรก็ได้ให้รวยก็ได้ ไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ ฯลฯ ใช่ไหมผู้เฒ่าตอบว่าไม่ใช่โดยตรง แต่ THE PRESENT นี้จะทำให้เจ้ารวยได้ในหลายลักษณะ มูลค่าของมันไม่อาจวัดได้ด้วยทองคำหรือเงินเจ้าหนูก็รู้สึกมึนๆ กับคำตอบนี้หลายปีผ่านไป เจ้าหนูก็โตขึ้นเป็นหนุ่มและเริ่มทำงาน เมื่อพบกันก็รบเร้าถามอีกว่า THE PRESENT นั้นคืออะไร จะทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไรและความสำเร็จคืออะไรผู้เฒ่าก็ตอบว่า"ความสำเร็จคือการก้าวกระเถิบเข้าใกล้สิ่งอะไรก็ได้ที่เราคิดว่าสำคัญ อาจเป็นการได้คะแนนส่วนดีขึ้น เล่นกีฬาเก่งขึ้น มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ ได้เงินเดือนขึ้น มีความสุขกับชีวิต ร่ำรวย ได้รับการยอมรับจากคนอื่นๆ ฯลฯ ความสำเร็จคือสิ่งที่เราทุกคนต้องให้ คำจำกัดความด้วยตัวของเราเอง ในแต่ละขั้นตอนของชีวิต" เมื่อเจ้าหนูทำงานก็ประสบปัญหาผิดหวังที่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับชีวิตเพราะทำงานหนัก และผิดหวังกับความรัก เวลาทำงานใจก็คิดล่องลอยว่าถ้าทำงานที่อื่นจะมีความสุขกว่าไหม ทำงานนานกว่านี้จะได้เป็นอะไร หรือจะถูกไล่ออกไหม ถ้าได้ทำอย่าง นั้นอย่างนี้ก็คงไม่ต้องเลิกกับแฟน โกรธผิดหวังที่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ฯลฯ กล่าวคือ ขาดความสนใจในงานที่ทำอย่างแท้จริง เพราะไปอยู่ในอดีตและในอนาคตเสียหมด ไม่ได้อยู่กับปัจจุบันจนการงานตกต่ำ ชีวิตขาดความหวังเมื่อหาทางออกไม่ได้ก็ไปหาผู้เฒ่า ทวงถาม THE PRESENT เพื่อจะเอามาแก้ปัญหาผู้เฒ่าก็ถามว่าทำไมตอนเป็นเด็กตัดสนามหญ้าจึงมีความสุขมาก เจ้าหนุ่มก็บอกว่า เพราะตอนนั้นคิดแต่เรื่องตัดหญ้ายิ่งตัดได้ดีก็ยิ่งมีคนจ้างผู้เฒ่าก็บอกว่า ฟังให้ดีนะ THE PRESENT นั้น คือของขวัญที่เจ้าจะต้องหาให้ตัวเอง ไม่มีใครให้ใครได้ และตัวเองเท่านั้นที่จะมีอำนาจค้นพบว่ามันคืออะไร เจ้าหนุ่มหลบไปอยู่กระท่อมบนภูเขาคืนหนึ่งคนเดียว ได้ไปเห็นเตาผิงที่เรียงด้วยก้อนดินสวยงามยิ่ง ก็ฉุกคิดว่าตอนสร้างเตาเขาคงต้องให้ความสนใจและทำงานอย่างเต็มที่แก่งานนั้น โดยไม่ได้นึกถึงสิ่งอื่นใดเลยจึงสามารถสร้างสิ่งที่สวยงามเช่นนี้ได้ และนึกถึงคำ พูดของผู้เฒ่าที่ว่า หากจะหา THE PRESENT ให้พบ ต้องพยายามนึกถึงเวลาเมื่อมีความสุขที่สุด และรู้สึกประสบความสำเร็จที่สุด คิดไปๆ ก็นึกได้ว่าคนเรา เมื่อมีจิตมุ่งเต็มที่ต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในขณะนั้น ไม่วอกแวกนึกถึงเรื่องอดีตหรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า อยู่กับปัจจุบันอย่างให้ความสำคัญเต็มที่ และมีความพอใจกับสิ่งที่ทำอยู่ ซาบซึ้งสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่และกระทำอยู่แล้ว ก็จะมีความรู้สึกดีมีความสุขเขานึกขึ้นมาได้ทันทีว่า THE PRESENT (ของขวัญ) ที่เขามองหาอยู่นั้น ที่แท้ก็คือ "THE PRESENT ที่หมายถึง ปัจจุบันนั่นเอง" (PRESENT มีความหมายว่าของขวัญหรือปัจจุบันก็ได้) การหา "ของขวัญ" เจอ ก็คือการตระหนักว่า ต้องอยู่กับห้วงเวลาปัจจุบัน เน้นความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นและกระทำอยู่ในปัจจุบัน ซาบซึ้งในสิ่งที่เกิดขึ้นและที่มีอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น คนเราเมื่ออยู่ในปัจจุบันโดยไม่ถูกกระทบกระทั่งโดยสิ่งที่เรียกว่า noises หรือ disturbances (สิ่งกวนใจ) จากการกระทำในอดีต หรือจากความฝันเฟื่อง หรือจากความกังวลใจกับอนาคต ก็จะรู้สึกมีความสุข และรู้สึกว่าประสบความสำเร็จ เขาดีใจมาก รีบไปหาผู้เฒ่า ๆ ก็หัวเราะชอบใจและบอกว่า เจ้าได้พบ the present แล้ว มันเป็นของขวัญที่เจ้าให้กับตัวเอง นั่นก็คือการมุ่งเน้นคิดถึงแต่สิ่งที่เกิดอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น เพราะมันจะทำให้เจ้ามีพลังและศักยภาพในการทำงานได้เต็มที่ และจะมีความรู้สึกเป็นสุข ในเวลาปัจจุบันเมื่อประสบบางสิ่งที่เลวร้าย ขอให้นึกถึงสิ่งดี ๆ ที่เจ้ามีอยู่ พยามมองหาสิ่งดี ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากสิ่งที่ร้าย ๆ นั้น เพื่อให้มีพลังและความเชื่อมั่นไปสู้กับสิ่งเลวร้ายนั้น หลัก 3 ข้อ ที่ต้องจำก็คือ (ก) เน้นให้ความสำคัญแก่ห้วงเวลาปัจจุบัน (ข) ซาบซึ้งและหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่ และ (ค) ให้ความสำคัญต่อสิ่งที่สำคัญในปัจจุบัน ในกรณีของเจ้า ถึงไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ผิดหวังในความรัก เจ้าก็ยังมีงานที่ดีทำในองค์กรที่มั่นคง มีอนาคต มีโอกาสพบผู้หญิงอีกมากมาย อย่าปล่อยให้ความผิดพลาด หรือความเจ็บปวดในอดีต หรือความกังวลเกี่ยวกับอนาคตมารบกวน วันเวลาผ่านไป เจ้าหนุ่มก็กลับมาหาผู้เฒ่าอีกและถามว่า ผมไปคิด ๆว่าเราจะมุ่งเน้นแต่ปัจจุบันโดยไม่สนใจอดีตและอนาคตเชียวหรือ ของขวัญชิ้นสำคัญนี้จะเพียงพอต่อการมีความสุขในชีวิต และการทำงานตลอดไปจริงหรือ ผู้เฒ่าก็บอกว่า เพียงพอแน่นอน แต่เจ้าจะต้องจัดการเกี่ยวกับเรื่องอดีต อนาคต และปัจจุบันอย่างสมดุลกัน เราต้องเรียนรู้อดีตที่ผิดพลาด เพื่อเอาไว้เป็นบทเรียน หรือถ้าเป็นสิ่งที่ทำไว้ดีในอดีตก็ต้องเอามาศึกษาเช่นกัน ส่วนอนาคตนั้นเราต้องวางแผน เพราะการวางแผน จะช่วยลดความกลัวและความกังวลใจลง เราต้องมีการวางแผนตราบที่เราต้องการให้อนาคตดีกว่า ปัจจุบัน ผู้เฒ่ากล่าวต่อว่า ลองจินตนาการกล้องถ่ายรูปที่ตั้งอยู่บน ฐานสามขา ขาแรกคือการเรียนรู้จากอดีต ขาที่สองคือการมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน และขาที่สามคือการวางแผนสำหรับอนาคต ทั้งสามขาต้องสมดุลกันเพื่อค้ำจุนกล้องถ่ายรูปที่หาค่ามิได้นั้น ถ้าไม่อยู่กับปัจจุบัน ก็จะไม่ตระหนักถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเรา ถ้าไม่เรียนรู้จากอดีตก็วางแผนอนาคตไม่ได้ และถ้าไม่มีแผนสำหรับอนาคต ก็จะล่องลอยอย่างไร้ความหมาย วันหนึ่ง ชายหนุ่มก็ประสบกับโลกแห่งความเป็นจริงว่าผู้เฒ่าจากเขาไปแล้ว เขาเศร้าเสียใจ และยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นความยิ่งใหญ่ของผู้เฒ่าซึ่งประสบความสำเร็จในชีวิต และการงาน เป็นคนที่มีความสุข มีความสงบ มีพลังล้นเหลือ และเป็นที่รักเคารพของผู้คนทั่วไป เขาสงสัยว่า ทำไมผู้เฒ่าถึงยอมเสียเวลามากมายกับเขาและเด็ก ๆ แทนที่จะเอาเวลาเหล่านั้นไปหาความสุขอย่างอื่น และเขาก็ตระหนักและได้คำตอบว่า เพราะผู้เฒ่ามีจุดมุ่งหมายในชีวิต (purpose) ที่จะเผยแพร่เรื่อง the present และปัญญา (wisdom) แก่คนรุ่นใหม่ เพื่อให้พบความสุข ทุกอย่างที่ผู้เฒ่าทำไปล้วนมี sense of purpose ทั้งสิ้น และเขาก็เข้าใจว่า sense of purpose ในชีวิตนี่แหละที่เป็นตัวเชื่อมต่ออดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกัน และให้ความหมายแก่ชีวิต เขาเข้าใจว่า การมีชีวิตอยู่อย่างมีจุดมุ่งหมายนั้น ไม่ได้หมายถึงการรู้ว่าจุดหมายคืออะไรหรือรู้ว่าต้องทำอะไรเท่านั้น หากแต่ต้องรู้ว่า "ทำไม" ด้วย การมีชีวิตอย่างมีจุดหมาย อย่างคำนึงถึงแต่ปัจจุบัน โดยเรียนรู้จากอดีตและมีการวางแผนชีวิต ไม่ใช่การวางแผนการที่ใหญ่โตอะไร มันเป็นวิธีการปฏิบัติ ในการดำเนินชีวิตประจำวันที่ได้ผล และทำให้รู้สึกมีความสุขในชีวิต ซึ่งในที่สุดจะทำให้มีความสามารถในการนำ บริหารจัดการ สนับสนุนช่วยเหลือเป็นมิตรกับผู้คน และให้ความรักแก่คนอื่น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น เสียงหัวเราะของเด็ก เสียงร้องอันไพเราะของนก ความงดงามของต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า ความสุขจากการอยู่กับคนที่รัก ความสุขจากความรักในครอบครัว ความงดงามที่ได้รับจากเพื่อนมนุษย์ ความสุขจากการให้ ความสุขทางกายและใจต่าง ๆ แม้เล็กน้อยเพียงใด ไม่ว่าจะมีเงินมากหรือน้อย ล้วนเป็นเรื่องของปัจจุบันที่สามารถตักตวงความสุขมาได้อย่างเบิกบานทั้งสิ้น โดยมิพักต้องกังวลกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว หรืออนาคตที่ยังมาไม่ถึงถ้าท่านชอบนิทานเรื่องนี้ กรุณาช่วยผู้เฒ่าใจดีของเราโดยการเผยแพร่ให้คนอื่น ๆ ต่อไปด้วยครับ
Create Date : 27 ตุลาคม 2553
Last Update : 27 ตุลาคม 2553 9:40:33 น.
Counter : 311 Pageviews.
Think good & live happily
วันนี้ขอลงอนุญาติเอาต้นฉบับภาษาอังกฤษมาลงนะ
Don't compare your life to other. You have no idea what their journey is all about. Don't have negative thoughts or things you cannot control. Instead, invest your energy in the positive present moment. Don't over do. Keep your limits. Don't take yourself so seriously. No one else does. Don't waste your precious energy on gossip. Dream more while you are awake. Envy is a waste of time. You already have all you need. Forget issues of the past. Don't remind your partnet with his/her mistakes of the past. That will ruin your present happiness. Life is too short to waste time hating anyone. Don't hate others. Make peace with your past so it won't spoil the present. No one is in charge of your happiness except you. Realize that life is a school and you are here to learn. Problems are simply part of the curriculum that appear and fade away like algebra class but the lessons you learn will last a lifetime. Smile and laugh more. You don't have to win every argument. Agree to disagree.
Create Date : 26 ตุลาคม 2553
Last Update : 26 ตุลาคม 2553 16:43:26 น.
Counter : 281 Pageviews.