แมงมุมกับหุ่นยนต์

...เสียงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงเก่าคราคร่ำ บรรเลงบทเพลงเศร้า เสียงของไวโอลินตัดกับความเงียบของอวกาศอันมืดมิด ยานอวกาศรูปทรงบ้านยุโรป ลอยอย่างเดียวดายไร้จุดหมาย

นาฬิกาแจ้งเวลาว่าเช้าแล้ว แต่ภายในห้องยังคงมืดอยู่ หุ่นยนต์สาวทำงานอย่างแคล่วคล่อง หยิบกาแฟ และอาหารที่ไม่มีคนรับประทานออกไป และเปลี่ยนเป็นอาหารและเครื่องดื่มใหม่ๆ ร้อนๆ มาวางแทน

มือกลรูปท่อและคีมหนีบ ของหุ่นยนต์สาวคลี่ม่านขึ้น แสงแดดเทียมสาดส่องให้เห็นซากแห้งไร้วิญญาณนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง จดหมายลาตายแสนทุกข์ระทมวางแนบอยู่บนอก ชายชราเจ้าของบ้านหลังนี้จากไปนานมากแล้ว

แต่กระนั้น หุ่นยนต์ตัวนั้นยังคงทำหน้าที่ของมัน ดังที่ถูกโปรแกรมเอาไว้ดังเดิมทุกๆ วัน เหมือนที่เคยผ่านมาหลายร้อยปี มันไม่รับรู้การจากไปของนายมัน ไม่รู้จักความตายว่าคืออะไร เช่นนั้นมันคงไม่รู้จักความหมายของชีวิต หรือแม้กระทั่งความรัก....

แต่แมงมุมหนุ่มรู้จักความรัก...
มันเฝ้าหลงรักหุ่นยนต์สาวมาเนิ่นนานแล้ว

ทุกๆ วันเจ้าแมงมุมหนุ่ม จะใช้เวลาทั้งคืน เฝ้าทักทอใยสวยๆ ไว้ตามทางเดิน
บางใยเป็นรูปหัวใจ บางใยเป็นรูปก้อนเมฆ บางใยเป็นรูปดวงดาวต่างๆ

ไม่เพียงแต่หุ่นยนต์สาวจะไม่สนใจสิ่งที่แมงมุมหนุ่มทำ
แต่กลับรำคาญด้วยซ้ำ ที่เธอต้องมาเสียเวลาทำความสะอาดใยแมงมุมสกปรกรกบ้าน

แต่ทุกๆ วันเจ้าแมงมุมหนุ่ม ก็ยังคงใช้เวลาทั้งคืน เฝ้าทักทอใยสวยๆ ไว้ตามทางเดินต่อไป
มันหวังเพียงหุ่นยนต์จะเห็นค่าของสิ่งที่มันทำ ใยของมันจะไม่โดนเธอกวาดทิ้งไป

วันนี้่ใยของแมงมุมไม่ได้โดนกวาดทิ้งไป มันดีใจมาก ...
แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่แมงมุมหนุ่มจะเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด

ร่างของหุ่นยนต์สาวนั่งสงบนิ่งอยู่ปลายทางเดิน
แมงมุมหนุ่มไม่เพียงแต่รักเป็น มันยังเข้าใจความหมายของชีวิต และมันรู้จักว่าความตายคืออะไร

มันไต่ไปบนลำตัว และใบหน้าของหุ่นยนต์สาว พยามปลุกเธอให้ตื่น
แต่หุ่นยนต์สาวก็ยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่เช่นเดิม

ปราศจากการเคลื่อนไหวแล้ว...หุ่นยนต์สาวผุกร่อนลงอย่างรวดเร็ว
แมงมุมหนุ่มจึงเริ่มปล่อยใยที่มีทั้งหมดของมัน ปกคลุมร่างของหุ่นยนต์สาวอันเป็นที่รักเอาไว้
มันทั้งไม่กิน ไม่นอน เฝ้าแต่ทอสายใยตลอดทั้งวันทั้งคืน

จนกระทั่งมันเห็นว่าปลั๊กพลังงานนั้นอยู่ห่างเพียงไม่ไกล

แมงมุมหนุ่มทั้งผลัก ทั้งดัน แต่หุ่นยนต์หนักเกินกว่าที่แมงมุมตัวเล็กๆ อย่างมันจะทำได้
ณ เวลานี้มันทำได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

มันปล่อยสายใยแล้วเอาตัวกระโจนเข้าสู่ปลั๊กพลังงาน ใช้ตัวเองแทนสายไฟ
กระแสไฟฟ้าหลายพันโวลท์ไหลผ่านตัวมันไปสู่หุ่นยนต์อันเป็นที่รัก
เนื้อของมันไหม้เกรียม ผิวหนังแตกปะทุออก ร่างกายแขนขาขาดออกจากกัน
น่าประหลาดที่แมงมุมหนุ่มกลับมีความสุขใจเหลือเกิน

............................................................................................

หุ่นยนต์ประคองซากที่เกือบแหลกเป็นผุยผงของแมงมุมหนุ่มขึ้นมา
มันอาจจะไม่รู้จักว่าความตายคืออะไร มันอาจจะไม่รู้จักความหมายของชีวิต
แต่วันนี้หุ่นยนต์ได้รู้แล้วว่าความรักคืออะไร

ยานอวกาศรูปทรงบ้านยุโรป ลอยห่างออกไปอย่างไร้จุดหมาย
และเสียงเพลงเศร้าของไวโอลิน ค่อยๆ จางหายไป




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2554   
Last Update : 26 กรกฎาคม 2554 13:58:48 น.   
Counter : 415 Pageviews.  

ปลายทางแห่งความฝัน กับความทรงจำที่เลือนลาง


"นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่ชั้นไม่ได้กลับบ้านไปพบกับพ่อ นานจนชั้นเองเกือบจะจำอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้แล้ว"

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น นิดรับสายด้วยมือข้างที่ไม่ได้จับพวงมาลัย
"ค่ะน้า..อือ ค่ะ นิดหลงทางน่ะ เลยมาถึงช้าไปหน่อย ค่ะ ถนนมันเปลี่ยนไปเยอะเลย
แต่อีกพักคงถึงแล้วค่ะ"

นิดวางสายในขณะที่หักพวงมาลัยเลี้ยวรถออกจากทางหลวงสายหลัก ป้ายบอกทางจังหวัด ตราดอีก 10 กม.
สายตาของเธอมองไปบนถนนที่มืดสลัว แต่ความคิดของเธอกลับล่องลอยไปไกลแสนไกล...
..................................................................................................

เสียงพระสวดอภิธรรมดังขึ้น ศาลาวัดดูเก่าคร่ำคร่า โลงไม้ของหญิงชราตั้งอยู่โดดเดี่ยวบนแท่น
ปราศจากพวงหรีด.. ปราศจากดอกไม้... ปราศจากน้ำตา

คนร่วมงานหลายคนจับกลุ่มกันซุบซิบถึงสาเหตุการตายของหญิงชรา บ้างก็ว่าเธอตรอมใจตาย
บ้างก็ว่าเธอตายเพราะเหนื่อยกับการดูแลผัวของเธอที่เริ่มหลงๆ ลืมๆ บ้างก็ว่ามันเป็นเรื่องของกรรมเก่า

ผัวชราของคนตายนั่งอยู่โดดเดี่ยวภายในงาน
เสื้อที่ใส่ผ่านการปะชุนมานับสิบครั้ง ดูเก่าคร่ำคร่าพอๆ กับตัวแกเอง
น้ำลายไหลย้อยจากมุมของปาก สายตาที่ดูไร้แววมองเลื่อนลอยมองไปยังกลุ่มคน
แต่ความคิดของเขากลับล่องไปแสนไกล....
.....................................................................................................

งานศพจบลงแล้ว คนต่างก็กลับบ้านกันแล้ว นิดเองก็เช่นเดียวกัน...

รถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่แล่นเข้ามาจอดช้าๆ ข้างบ้านๆ หลังเก่า บ้านหลังเก่าของเธอ
นิดเหม่อมองดูบ้านราวกับว่ามันเป็นเรื่องราวที่เกิดเมื่อวานนี้ บ้านไม่ได้ดูเปลี่ยนไปเลย
ถนนหนทาง บ้านเรือนรอบๆ ดูเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด ยกเว้นบ้านของเธอ
บ้านไม้สองชั้น ด้านล่างเป็นร้านขายของชำเก่า ด้านบนเป็นห้องที่เธอใช้ซุกหัวนอน

นิดเดินออกมาจากรถยนต์ เดินอ้อมมาเปิดประตูอีกด้าน
"ถึงแล้ว ลงมาสิ" ชายชรานั่งอยู่ข้างในรถมอง นิดอย่างหวาดๆ
น้าของนิดเดินลงจากรถมาจูงมือชายชรา เขาจึงยอมลงจากรถเข้าบ้าน

"นิดไม่รู้จะขอบคุณน้ายังไงดีที่เป็นธุระจัดการเรื่องงานศพแม่ทั้งหมด" นิดพูด
"นอกจากน้าแกก็ไม่เหลือใครแล้วนี่" น้ายิ้มอย่างใจดี รอยยิ้มนั้นมีส่วนคล้ายแม่ของนิดไม่น้อย
น้าเป็นน้องสาวของแม่นิด เธออายุน้อยกว่าแม่สามสี่ปี "เดี๋ยวน้าคงต้องไปแล้วล่ะ
แกเองก็ดูแลตัวเองดีดีล่ะ เดี๋ยวจะตามแม่แกไปอีกคน"
"น้าจะไปแล้วเหรอ? เดี๋ยวสินิดไม่อยาก....." นิดรั้งน้าไว้
น้าหันกลับมามองอย่างตำหนิ

"ถึงยังไง เขาก็เป็นพ่อแกนะนิด"
.....................................................................................................

จากห้องรับแขกมองออกมา พ่อของนิดนั่งอยู่แคร่นอกบ้าน นัยตายังคงเลื่อนลอยเหมือนเดิม
เขาเพิ่งเริ่มมีอาการหลงๆ เมื่อสองสามปีมานี้ และดูเหมือนว่าเขาจะไม่รับรู้อะไรที่เป็นปัจจุบันอีกต่อไปแล้ว
ชายชรานั่งบนแคร่ เอามือลูบอะไรบางอย่างในอากาศ อะไรบางอย่างที่คงมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้

นิดกำลังสาละวนกับการเอาข้าวของส่วนตัวออกจากกระเป๋า พร้อมกับคุยโทรศัพท์ไปด้วย
"ฮัลโหล แอนเหรอ? นี่กูเอง ...อืมม์ ฝากมึงบอกบอสด้วยสิกูขอลางานต่ออีกสักพักน่ะ
อือ..อือ.... ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะอยู่นานหรอก... อือออ.. ก็ลาจนกว่ากูจะหาคนดูแลพ่อกูได้น่ะ
อือ..กูก็ไม่รู้ว่ะ .... ช่างมันเหอะ เรื่องมันนานมาแล้วน่ะ....อืมม์แค่นี้นะ บายบาย"
นิดวางโทรศัพท์ลง... เอามือแตะหน้าผาก... เรื่องมันผ่านมานานแล้ว... นิดไว้ผมปรกหน้าผากของเธอเสมอ

นิดเอาโกษฐ์ใส่อัฐิของแม่ออกมาจากห่อผ้า วางไว้ที่ตัก..
"แม่.. นิดจะทำไงดี"
......................................................................................................

"กินข้าวสิ" นิดบอกพ่อของเธอที่ดูเหมือนจะไม่สนอาหารตรงหน้าเลย
"กินข้าวสิ" นิดพูดซ้ำ
จู่จู่ดูเหมือนพ่อจะนึกอะไรออก เขาโพล่งออกมา
"แดงล่ะ แดงไปไหน" พ่อถามหาแม่ของนิด
"แม่เขาไม่อยู่แล้ว" นิดก้มหน้าพูด
"แกเป็นใคร แล้วแดงอยู่ไหน แดงงงง" พ่อร้องเรียกแม่นิดด้วยเสียงแหบพร่า
"ข้าวน่ะจะกินไหม?"
"แดงงงง"
นิดลุกขึ้นไปเก็บอาหารไปทันที เธอก้มหน้าก้มตาเทอาหารทั้งหมดทิ้งลงถังขยะ
ผมเธอหล่นลงมาปรกใบหน้า ปิดบังความเศร้าที่ไหลออกมาจากมุมตาทั้งสองข้าง
.....................................................................................................

เช้าวันถัดมา...
นิดตื่นลงมาพบห้องรับแขกที่รก ระเกะระกะ ข้าวของต่างๆ ถูกรื้อกระจาย ลิ้นชักถูกเปิด
กองหนังสือล้มลงมากระจุยกระจาย นิดสงสัย ไม่แน่ใจว่าขโมยขึ้นบ้านหรือเปล่า

เธอมองออกไปจากห้องรับแขก เห็นชายชรานั่งอยู่ที่แคร่ไม้... เอามือลูบอะไรสักอย่างในอากาศ
เขาใส่เสื้อเก่าปุปะ เนื้อตัวมอมแมมเปื้อนฝุ่น มือทั้งสองข้างมีคราบจับดำ

นิดถอนหายใจ แล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง เริ่มลงมือเก็บข้าวของทีละชิ้น ทีละชิ้น อย่างยากลำบาก
เธอหงุดหงิดแต่อดทนไว้....

พ่อเดินกระย่องกระแย่งเข้าบ้านมาเพราะอากาศข้างนอกเริ่มร้อนขึ้น เขาเดินข้ามกองกระดาษไปพลางบ่น
"รกจริงๆ ใช้ไม่ได้ ไม่ได้เรื่อง"

นิดมองไปที่โกษฐ์ใส่อัฐิแม่บนชั้น แล้วก้มหน้าเก็บของต่อไป
...................................................................................................

ค่ำแล้ว คืนนี้นิดเข้านอนเร็ว เธอเหนื่อยกับการดูแลพ่อของเธอมาทั้งวัน
ไม่ทันที่หัวของเธอจะถึงหมอน เสียงร้องของพ่อดังมาจากห้องนอนของเขา

"แดงงงงงงงงงงงง" ชายชราร้องเสียงแหบพร่า
นิดวิ่งมาที่ห้องของพ่อทันที ชายชรานั่งบนเตียงท่าทางดูโกรธ
"แกเป็นใคร แดงอยู่ไหน" ชายชราร้องเรียก
"ทำไม จะเอาอะไร" นิดถาม
"จะไปห้องน้ำ แดงอยู่ไหน แดง" เขายังร้องเรียกไม่หยุด
"แดงไม่อยู่แล้ว มานี่เดี๋ยวพาไปให้" นิดเดินเข้าไปประคองชายชรา

พ่อนิดเป็นคนตัวใหญ่ แม้เขาจะแก่แล้ว หลังงุ้มแล้ว แต่ก็ยังตัวใหญ่
กว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างนิดจะประคองเค้าไปห้องน้ำได้สะดวก
นิดพาพ่อเธอเดินมาถึงห้องน้ำอย่างทุลักทุเล

พอเขาเข้าห้องน้ำเสร็จนิดจากเขาเดินกลับห้อง จากนั้นเธอจึงเดิน
กลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง เธอล้มตัวลงบนเตียงนอนทันที

"แดงงงงงงงงงงงงงงงง" ชายชราตะโกนเรียก
นิดสะดุ้งตื่น เธอมองนาฬิกา เธอเพิ่งหลับได้แค่สิบนาทีเท่านั้นเอง
เธอเดินไปที่ห้อง ชายชรายังคงนั่งบนเตียงเหมือนเดิม
"ชั้นจะไปห้องน้ำ"

พ่อเธอบ่นงึมงัมตลอดทางที่นิดพาเขาไปห้องน้ำ
พอพาพ่อกลับถึงห้องนอน นิดก็เดินกลับโซเซไปนอนห้องตัวเอง หัวคิดถึงเตียงอ่อนนุ่ม
ยังไม่ทันหัวเธอจะได้ถึงหมอน

"แดงงงงงง"
นิดหงุดหงิดมาก.. แต่ยังคงอดทนไว้ ไม่รู้จะอดทนได้นานเท่าไหร่
เธอผลอยหลับไปขณะรอเขาเข้าห้องน้ำ
............................................................................................

เช้าแล้ว นิดเผลอหลับไปข้างๆ เตียงพ่อ..แต่พ่อไม่อยู่บนเตียงแล้ว
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากข้างนอกปลุกให้นิดตื่น

นิดรู้สึกอิดโรยเพราะนอนไม่พอ เธอรีบวิ่งลงมาข้างล่าง
ก่อนที่จะพบว่าห้องรับแขกที่เธอเก็บเสียเรียบร้อยเมื่อวาน
ถูกรื้อกระจุยกระจายเหมือนเดิม เสียงตะโกนโหวกเหวก
ทำให้เธอต้องปล่อยเรื่องห้องรับแขกเอาไว้ก่อน

ชายชรายืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าบ้าน ถือไม้ท่อนใหญ่ไว้ในมือ เง้อชูขึ้นเหนือศีรษะ
พยามเข้าไปตีหมาตัวโตเห่าระงม เจ้าของพยามดึงปลอกคอมันเอาไว้เต็มที่

"เฮ้ย คุณ นี่คุณเป็นลูกภาษาอะไรน่ะ ดูแลพ่อให้มันดีดีหน่อยสิ
เข้าใจนะว่าแก่แล้ว สติไม่ค่อยดี แต่แกเล่นเอาไม้มาตีหมาอย่างนี้ ไม่ไหวนะ
ผมน่ะไม่ได้ห่วงหมาหรอก ห่วงแกมากกว่า เดี๋ยวจะโดนหมากัดตายเสียเปล่าๆ"

นิดก้มหัวขอโทษเพื่อนบ้าน พวกเขายังคงระบายอารมณ์โกรธใส่เธอต่อไป
แต่ชายชรากลับเดินกระย่องกระแย่งเข้าบ้านไปแล้ว
..............................................................................................

นิดเดินเข้าบ้านมาอย่างหัวเสีย..
"ทำไมถึงต้องคอยทำเรื่องวุ่นวายด้วย" นิดเริ่มบ่น
"..............." พ่อของเธอนิ่งเฉย
"จะรื้อของทำไม... ทำไมไม่อยู่เฉยๆ บ้าง
ถ้ายังโกรธนิดเรื่องนั้นอยู่ก็ไม่เห็นต้องทำกันแบบนี้เลย" นิดเสียงแข็ง
"นี่มันบ้านของฉัน" พ่อเธอวูบหนึ่งกลับไปเป็นพ่อคนเดิม "ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน"
นิดน้ำตาซึม และโกรธ หันหลังกลับไปเก็บของ ทีละชิ้น ทีละชิ้น
ดูเหมือนว่าพ่อของเธอจะกลับไปไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว....

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง.. ห้องรับแขกกลับมาเรียบร้อยเหมือนเดิมแล้ว
นิดหลับไปบนโซฟาด้วยความอ่อนเพลีย

ที่มุมของห้อง พ่อของนิดแอบยืนมองลูกสาวนอนหลับอยู่เงียบๆ
................................................................................................

บ่ายแล้ว นิดตื่นเอาเสื้อผ้าของพ่อออกมาซัก ระหว่างที่เธอเอาเสื้อออกมาซัก
นิดสังเกตุเห็นว่า ทุกตัวไม่เก่าก็ขาด ไม่ขาดก็ปะ เธอวางมือจากกะมังซักผ้า
แล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของพ่อ..

ไม่มีเสื้อใหม่ๆ เลย ทุกตัวล้วนแล้วแต่เป็นเสื้อเก่าๆ ทั้งนั้น
................................................................................................

ดึกแล้วเสียงพ่อของเธอดังลั่นออกมาจากห้อง ชายชราตะโกนเสียงแหบพร่า
นิดเดินงัวเงีย สลึมสะลือมาหา ชายชรานั่งบนเตียง ท่าทางหัวเสีย
"ชั้นเรียกคอแทบแตกแล้ว ทำไมไม่รีบมา" เขาโวยวาย
"ก็หนูนอนไปแล้ว" นิดตาปรือ หน้านิ่ว
"แกอยากเห็นชั้นฉี่ราดใช่ไหม? ใช่ไหม?" เขาขึ้นเสียง
"เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย" นิดเริ่มหัวเสีย
"แกจะยืนตรงนั้นอีกนานไหม รีบๆ มาพยุงชั้นหน่อย" ชายชราพูดตัดบท

ชายชราร้องบ่นเข้าห้องน้ำทั้งคืน ทุกครั้งที่นิดลุกขึ้น เธออิดโรยมากขึ้น
หงุดหงิดมากขึ้น นิดนึกถึงแม่ แม่ทนดูแลพ่ออยู่ได้อย่างไร สำหรับเธอ
สามสี่คืนที่ผ่านมา เธอยังแทบทนไม่ไหวแล้ว
..............................................................................................

เช้าแล้ว... นิดผลอยหลับไปหน้าห้องน้ำ บนตัวเธอมีผ้าห่มคลุมอยู่
นิดแปลกใจ แต่ก็ยิ้มแล้ว เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่คุ้นเคย

เธอลุกขึ้นรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว.. นิดเดินลงมายังห้องรับแขก
แปลกใจที่ห้องรับแขกยังเรียบร้อยดีอยู่...

นิดมองซ้ายขวาหาพ่อของเธอ.. แต่หาเขาไม่เจอ
"พ่อ" นิดเรียก

เธอเดินไปห้องครัว "พ่อ" ไม่มีวี่แววของชายชรา

นิดลองเดินไปดูที่แคร่ข้างบ้านที่เขาชอบนั่งประจำ "พ่อ" เขาไม่อยู่ที่นี่เช่นกัน

นิดวิ่งไปดูที่ชั้นสองของบ้าน "พ่อ" นิดเรียก แต่ไม่มีเสียงขานรับ
เธอเปิดดูห้องทุกห้อง พ่ออยู่ที่ไหน?

นิดวิ่งไปรอบๆ บ้าน ไม่ว่าตรงไหนเขาก็ไม่อยู่ นิดเริ่มตะโกน "พ่อ พ่อ"

เงียบสนิท ...... พ่อคงเดินออกไปนอกบ้าน

นิดวิ่งออกไปนอกบ้านด้วยความร้อนรน เธอถามคนข้างบ้านที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ว่าเห็นพ่อเธอหรือเปล่า เขาส่ายหน้า

เธอเริ่มสับสน ไม่รู้ว่าจะเริ่มหาพ่อของเธอที่ไหนดี ถนนต่างๆ เปลี่ยนไปเยอะมาก เธอวิ่งเข้าออกตามซอยต่างๆ
แต่ก็ไม่วี่แววของเขา นิดเริ่มวิตก นึกไปถึงเรื่องร้ายๆ ต่างๆ นานา น้ำตาเธอออกมา พลางวิ่งไปก็ตะโกน
คนสองข้างทางหันมาดูเธอราวกับคนเสียสติ แต่นิดไม่สนใจ

นิดวิ่ง วิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่ง ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็ไม่มีวี่แววของพ่อเธอเลย นิดสิ้นหวัง เดินอย่างระโหยโรยแรง
แต่พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับ ภาพที่คุ้นเคย ชายชรานั่งหลังงุ้มอยู่ตรงม้าหินริมถนน พ่อของเธอนั่นเอง..
ความวิตกกังวลของนิดถูกแทนที่ด้วยความโกรธ เธอโกรธเขา ที่เขาหาเรื่องเดือดร้อนให้เธออยู่เรื่อย

"พ่อมาทำบ้าอะไรอยู่ที่นี่!!" นิดตวาด
ชายชรายิ้มให้นิด ชี้นิวไปยังด้านหลังของเธอ...


"ลุงมารอรับลูกสาวกลับบ้าน"


นิดหันกลับไปดู

โรงเรียนประถมของเธอนั่นเอง

ถนนหนทางมันเปลี่ยนไปมาก เธอจำโรงเรียนของเธอเองไม่ได้ แต่พ่อของเธอจำได้

ภาพของพ่อเธอมารับเธอกลับบ้านทุกเย็น ผุดขี้นมา ภาพพ่อจูงมือนิด
น้ำตาของเธอเอ่อ... นิดรู้สึกผิดที่ไปตวาดพ่ออย่างนั้น เธอคุกเข่าลงหน้าเขา เอามือกุมมือเขาไว้
แล้วพูด...

"นิดอยู่นี่แล้ว ... ไปพ่อ.. เรากลับบ้านกันนะ" เธอจูงมือเขาเดินกลับบ้านช้าๆ...

......................................................................................................................

พ่อของนิดนอนหลับอุตุเหมือนเด็ก เธอเอาผ้าห่มห่มให้พ่อเธอ แล้วย่องออกจากบ้านอย่างแผ่วเบา

หลายวันแล้วที่นิดไม่ได้ออกมาข้างนอกบ้านเลย มีรายการของใช้มากมายที่นิดจะซื้อ
เธอเดินสาวเท้ารีบๆ ไปยังมินิมาร์ทใกล้ๆ บ้านเธอ..

นิดกําลังเลือกซื้อของที่จําเป็นต้องใช้ในบ้าน เธอเดินไปตามชั้นวางสินค้า เลือกตามรายการที่จดเอาไว้
เด็กสาวแต่งตัวสวยงามสองคนเดินผ่านเธอไป นิดมองตาม แล้วหันกลับมามองตัวเองในกระจกเงา
เธอเห็นตัวเอง ซึ่งผมเผ้าไม่ได้หวี หน้าไม่ได้แต่ง เนื้อตัวมอมแมม

เธอเดินเข้าไปใกล้กระจกอีกนิด ..

เอามือเปิดผมที่ปรกหน้าผากขึ้น เธอเห็นแผลเป็นที่หน้าผาก เธอเห็นภาพวันที่เธอออกจากบ้าน
พ่อกับเธอทะเลาะกันอย่างรุนแรง นิดสะบัดหัวไล่ความคิดแย่ๆ ออกไปจากสมอง แล้วเอาสินค้าไปคิดเงิน
แคชเชียร์มองสารรูปเธอแล้วแอบหัวเราะ
........................................................................................................

นิดนั่งกินข้าวกับพ่อ เธอมองพ่อชัดๆ เขาดูแก่มาก ผมก็บาง หน้ามีรอยเหี่ยวย่น และรอยกระ
ขัดแย้งกับท่าทางการกินข้าวของเขา พ่อของนิดตักข้าวต้มใส่ปากอย่างยากลําบาก
ท่าทางกินข้าวของเขาเหมือนกับเด็กๆ เศษอาหารหกเลอะโดนเสื้อ นิดพยามเอาผ้ากับเปื้อนไปสวมให้

"แกจะทําอะไรน่ะ" พ่อออกอาการโยเย
"นิดเห็นพ่อกินเลอะน่ะ จะสวมผ้าให้" นิดเดินเข้าไปผูกผ้ากับคอเขา
"ไม่เอา..ชั้นไม่เอา แดงอยู่ไหน?" พ่อกระชากผ้าออก เหวี่ยงไปไม่แยแส
"งั้นมานี่ นิดป้อนข้าวให้พ่อนะ" นิดคว้าเอาชามเข้าต้มขึ้นมา
"แดงงงงงงง" พ่อตะโกน เอามือปัดเป็นพัลวัน "แกไม่ต้องมายุ่งกับชั้น ชั้นกินเองได้"

มือของชราปัดจานข้าวล้ม ข้าวต้มหกเลอะบนโต๊ะ แก้วน้ำหล่นแตก นิดใกล้หมดความอดทน

"พ่อ นิดซื้อผ้าอ้อมมานะ คืนนี้พ่อใส่ก่อนนอนด้วยนะ นิดไม่ไหวลุกทั้งคืน"

พ่อหน้าชา.. เขาระเบิดอารมณ์โกรธออกมา

"แกอย่ามาทําเหมือนชั้นเป็นเด็กๆ นะ" เขาอารมณ์ขึ้นเสียง
"เปล่า .. อย่าหาเรื่องน่า" นิดชักเริ่มหงุดหงิดเหมือนกัน
"จะป้อนข้าวกูอย่างเนี๊ยะ ใส่ผ้าให้กูอย่างเนี้ยะ จะให้กูใส่ผ้าอ้อมอีก กูไม่ใช่ลูกมึงนะ" พ่อเริ่มเบะปาก
"ก็ทําตัวให้เหมือนผู้ใหญ่หน่อยสิ" นิดหงุดหงิดแล้ว
"กูไม่ใส่โว้ยยย" พ่อตะโกนใส่ เขางอแงเหมือนเด็กถูกขัดใจ
"ไม่ใส่ก็ไม่ใส่สิ ทําไมต้องตะโกนด้วย" นิดตะโกนกลับ
"อีเด็กเวร กูน่าจะเอาขี้เถ้ายัดปาก ตั้งกะตอนมึงเกิด" ชายชราเอามือปัดข้าวของจากโต๊ะหล่นแตก
"พ่อเป็นบ้าอะไร" นิดเสียงเขียวมาก
"มึงอยากจะไปทํางานกรุงเทพฯ ก็ไปเลย ปีกกล้าขาแข็งแล้วนี่ มึงกะกูนับแต่วันนี้ ไม่ใช่พ่อลูกกัน
มึงไปแล้วไม่ต้องกลับมาเลย" พ่อตะโกน เสียงเขาสะท้อนกลับไปมาในหัวนิด

พ่อเคยพูดคำนี้กับนิดมาก่อน วันที่นิดต้องออกจากบ้านไป พ่อกับนิดทะเลาะกันอย่างรุนแรง
เธอต้องการไปหาโอกาสที่ดีกว่าในกรุงเทพฯ แต่พ่อต้องการให้เธอทำงานในตัวจังหวัด
เหตุการณ์ลงเอยด้วยพ่อขว้างที่เขี่ยบุหรี่ใส่หน้าผากนิดหัวแตกเป็นแผลยาว เลือดไหลอาบหน้า
แต่นิดไม่มีน้ำตาสักหยด เธอหลั่งเลือดแทนน้ำตาไปแล้ว แม่ดึงรั้งนิดไว้ พ่อวิ่งเข้าไปกระชากแม่ออกมา
"ให้มันไป ดูซิว่ามันจะอวดเก่งได้กี่น้ำ" นิดเดินหันหลังออกนอกไปประตู และไม่ได้กลับมาบ้านหลังจากนั้นอีกเลย..

ตอนนี้พ่ออารมณ์แปรปรวนสุดขีด เขาร้องไห้เหมือนเด็ก เดินกระทืบเท้าตรงไปห้องรับแขก
เริ่มลงมือรื้อข้าวของลงมาจากชั้น เหมือนเขากําลังหาอะไรอยู่
"อยู่ไหน" พ่อตะโกน
นิดวิ่งตามมาติดๆ ความอดทน อดกลั้นเธอหมดสิ้นแล้ว..
"หยุดนะพ่อจะทำบ้าอะไร"
พ่อยังคงรื้อข้าวของต่อไป ขวดยา แจกัน รูปภาพ หล่นแตกกระจายเกลื่อนพื้น
นิดวิ่งเข้าไปคว้าแขนห้าม ชายชราสะบัดมือจนหลุด พลันสายตาชายชราก็สะดุด
กล่องสีเหลืองเก่าคร่ำคร่า วางอยู่บนหื้งใกล้กับโกฏิใส่อัฐิ เข้าเอื้อมสุดแขนคว้า

"พ่ออย่า.......!!!!"

โกฏิใส่อัฐิสิ่งสุดท้ายที่แม่เหลือไว้ให้นิด หล่นแตกกระจาย เถ้ากระดูกปลิวว่อนคลุ้งไปในอากาศ

นิดตะโกนสุดเสียง

"แม่.........!!!!!!!!!"

นิดทนไม่ไหวแล้วเธอหันไปหาชายชรา เธอทุบเขา เธอร้องไห้ เธอผลักเขาล้มลงไปนอนกองกับพื้น
ชายชราไม่สนใจ เขานอนกอดกล่องสีเหลืองเอาไว้ ราวกับว่ามันเป็นของมีค่าที่สุดในโลก

"ทำไม...ทำไมต้องทำกับแม่นิดอย่างนี้ แม่ทำอะไร
ทำไมพ่อต้องทำอย่างนี้ ฮือ ฮือ ฮือ นิดเกลียดพ่อ
ได้ยินไหมนิดเกลียดพ่อ ฮือ ฮือ ฮือ"

ชายชรายังคงนอนกอดกล่องสีเหลืองเอาไว้แน่น นิดเดินไปกระชากมันออกมา

"ถ้ามันสำคัญกับแกนัก ไม่ว่าอะไรที่อยู่ในกล่องนี้ นิดจะเอามันทำลายมันให้ดู"

นิดเปิดกล่องขึ้นมาดู ราวกับเวลาหยุดหมุน น้ำตาเธอไหลเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง เธอรู้ว่าเธอผิดไปแล้ว..

ในกล่องมีเพียงรูปภาพของนิดตอนแปดขวบหอมแก้มพ่อ ใบหน้าเขามีความสุข
รูปเธอขี่คอพ่อที่ทะเล เธอกอดคอเขาแน่น
เหรียญทองกีฬาสีโรงเรียน
ภาพของเธอเป็นเชียร์หลีดเดอร์โรงเรียนมัธยม
ภาพของเธอวันรับปริญญา

มีเพียงการ์ดใบหนึ่งเขียนด้วยลายมือเด็กประถม เป็นรูปวาดเด็กจูงมือพ่อ มีข้อความเขียนว่า
“นิดรักพ่อที่สุดในโลกเลย”

ที่ก้นกล่องมีซองกระดาษสีขาวยับยู่ยี่ หน้าซองเขียนว่า “ของนิด”

นิดเปิดดูในซองมีธนบัตรมากมาย หลายร้อยใบ เป็นแบ๊งยี่สิบ แบ๊งร้อย นิดหันไปมองพ่อ มองเสื้อเก่าๆ
ของพ่อที่ปะแล้วปะอีก

นิดเห็นภาพพ่อเก็บหอมรอมริบทุกบาททุกสตางค์ให้เธอ

เห็นภาพพ่อของเธอร้องไห้เสียใจทุกวันที่ไล่เธอออกจากบ้านไป

ใครกันแน่นะที่เป็นโรคสมองเสื่อม... ฉันคิดว่าน่าจะเป็นฉันเสียมากกว่า...
เพราะเป็นฉันเองต่างหากที่จำไม่ได้ว่าพ่อเคยรักฉันมากแค่ไหน


นิดพังทลายแล้ว เธอทรุดตัวลงร้องไห้ ความเกลียดชังพ่อของเธอหลายปี มลายหายไปสิ้น

"พ่อ..... นิดขอโทษ...นิดขอโทษ"

ชายชราเดินเข้ามา เอาหัวนิดวางไว้บนตักแล้วลูบ นิดนึกออกแล้วว่าเคยเห็นพ่อทำท่าแบบนี้ที่ไหน
"อย่าร้องไห้นะคนดี พ่ออยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว" สายตาชายชรา เหม่อมองไปไกลแสนไกล

นิดเงยหน้ามองพ่อช้าๆ ราวกับว่าเพิ่งเคยเห็นเขาเป็นครั้งแรก...

...........................................................................................................

ในความทรงจำอันเลือนลางของชายชรา...เด็กหญิงนอนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยุ่บนตัก
"เป็นอะไรร้องไห้จ๊ะคนดี" พ่อถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"นิดฝันว่าแม่ตาย แล้วพ่อก็จำนิดไม่ได้" นิดสะอึกสะอื้น
"พ่อไม่มีวันลืมหนูหรอก" พ่อยิ้ม
"หนูกลัว...." เด็กหญิงกอดพ่อแน่น
"อย่าร้องไห้นะคนดี พ่ออยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว" เขาลูบหัวเธอเบาๆ
"ถึงแม้พ่อจะจำลูกไม่ได้"

พ่ออุ้มนิดขึ้นมากอดแน่น เขาสูดหายใจลึก..

"แต่ความรักพ่อจะอยู่กับนิดตลอดไป"




 

Create Date : 31 สิงหาคม 2549   
Last Update : 31 สิงหาคม 2549 5:10:43 น.   
Counter : 727 Pageviews.  

ร่มกับฝน

จู่ๆ ฝนก็ตกลงมา...

อากาศชื้นๆ ผสมกับกลิ่นดินจางๆ ...

ฝน... หยดน้ำที่กลั่นตัว พุ่งผ่านอากาศ ร่วงหล่นสู่ผืนดิน นำความชุ่มชื้นและชีวิต
ไหลเวียนกลับสู่ที่ที่มันจากมา ..... ฟังดูดีนะ

แต่ฝนสำหรับคนทำงานในเมืองใหญ่อย่างนี้แล้ว คือ มันคือเวลาแห่งความน่าเหนื่อยหน่าย
รถราที่ติดขัด ทางเดินที่เฉอะแฉะ และการรอคอยให้ฝนหยุด....

แต่เธอกลับไม่รอให้ฝนหยุด

ภาพหญิงสาวตัวเล็ก ตาโต เดินอย่างกระฉับกระเฉงฝ่าสายฝน
อาจจะดูเป็นที่น่าแปลกใจสำหรับหลายๆ คน... ตัวเธอเปียกปอน
ในมือเธอมีเพียงสมุดยับๆ เล่มเล็กไว้กันสายฝนนับหมื่นนับพันหยดที่กระหน่ำลงมาไม่หยุด

แน่นอนเธอไม่ได้ชอบฝน น่าแปลกใจวันไหนฝนตก ผมกลับเห็นเธอวิ่งฝ่าสายฝนเสมอ...
เธออาจจะมีธุระรีบไปทำ เธออาจจะไม่มีทางเลือกอื่น อาจเป็นเพราะเธอรับได้กับความเปียกปอน
ผมชอบวิธีที่เธอวิ่งฝ่าสายฝน เธอชอบวิ่งกระโดดข้ามน้ำที่จับตัวเป็นแอ่งด้วยขาข้างเดียว
ผมยาวสีดำเปียกน้ำสะบัดไปมา ตัดกับดวงตาคู่โต ปากซีดเพราะความเย็นของสายฝนตัดกับรอยยิ้ม
เธอยิ้มให้กับตัวเอง... แสดงถึงความภูมิใจที่อุตส่าห์กระโดดข้ามแอ่งน้ำแอ่งโตมาได้

นั่นมันทำให้ผมตกหลุมรักเธอไม่ยากเลย

ฝนย่อมคู่กับร่ม

"นี่นี่ ทำไมคุณต้องคอยพกร่มตลอดเวลาด้วยล่ะ?"
หญิงสาวตัวเล็กตาโตมักจะถามคำถามนี้กับผมเสมอ

ผมยิ้มแทนคำตอบ...

อาจบางทีเวลาที่คนเราเจอคำถามอะไรที่สะกิดแผลในใจ
นอกจากยิ้มแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีกว่านี้อีก

เหตุที่ผมมักจะพกร่มเอาไว้เสมอ เพราะว่าในโลกนี้มีของที่ไว้ใจไม่ได้อยู่สองอย่าง

อย่างหนึ่งคือ หัวใจของหญิงสาว อีกอย่างคือ ก็คือสภาพอากาศนี่แหละ

สองอย่างนี้มีความคล้ายกันน่าประหลาด
เมื่อวานนี้ยังแสดงท่าทางเหมือนกับรักเราดีอยู่...
เมื่อบ่ายฟ้ายังใสสว่างอยู่เลย แต่ตอนนี้ จู่ๆ ฝนก็ตกลงมา
และจู่ๆ แฟนผมก็โทรมาขอเลิก

"อือ.. เราว่าเราสองคนก็ได้แต่คบกันไปวันๆ เราไม่เหมือนนายนะ
เราเป็นผู้หญิง อายุเราก็มากขึ้นเรื่อยๆ นะ เราอยากอยู่กับผู้ชายที่ดูแลเราได้น่ะ"

"แต่เราก็ดูแลเธอได้นะ"

"นายก็ดีแต่พูด? เวลาฝนตกนายยังต้องมาอาศัยร่มเราหลบฝนเลย"

ผมไม่มีเรี่ยวแรงที่จะรั้งเธอเอาไว้ ไม่มีแม้แต่แรงจะบอกว่าผมเสียใจ ผมมันไม่เอาไหน..

แต่ตอนนี้ผมมีร่มของผมเองแล้ว และรอคอยใครสักคนที่ผมจะกางให้
ผมคิดว่าผมเจอแล้ว..หญิงสาวตัวเล็กตาโต

ร่มมีมากมายหลายแบบ ทั้งร่มแบบพับเก็บได้สามตอนขนาดเล็ก เหมาะสำหรับ
ใส่ในกระเป๋าถือของผู้หญิง ร่มคันโตตอนเดียวที่เรียกกันว่าร่มกอล์ฟเหมาะสำหรับคนตัวใหญ่
ร่มบางคันไว้กันแดด แต่ร่มส่วนใหญ่ทำเอาไว้เพื่อกันฝน

ร่มอาจจะกันฝนตกให้ไม่ตัวเราเปียกได้ แต่ถ้าจะไม่ให้ใจเปียก...จะใช้ร่มอะไรกัน

จู่ๆ ฝนก็ตกลงมา...

ผมวิ่งเหยาะๆ กางร่มฝ่าสายฝนพรำเข้าไปหาเธอ...หญิงสาวตัวเล็กตาโตคนนั้น
ผมจะบอกว่าเธอว่า ที่ผมพกร่มตลอด เพราะผมรอเวลาที่จะได้กางมันเพื่อใครสักคน

เธอหันกลับมาแล้วยิ้มให้ แต่ไม่ได้ยิ้มให้ผม
ชายหนุ่มอีกคนวิ่งเข้ามาหาเธอ ผมไม่รู้จักเขา และเขาไม่มีร่ม
เขาไม่มีกระทั่งสมุดสักเล่มเอามากันสายฝนให้เธอ...
ผมหวังให้เธอไม่พอใจเขา เบื่อเขา โกรธเขา

แต่เธอกลับยิ้มแล้ว....

อาจบางทีที่เธอต้องการไม่ใช่ร่ม เธอเพียงต้องการใครสักคน
ที่สามารถเดินตากฝนเคียงคู่ไปกับเธอ...

ร่มจะมีค่าอะไรถ้าคนไม่กลัวเปียก..

นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้เดินตากฝน...
ผมหันหลังกลับ หุบร่มลง สายฝนเย็นฉ่ำ ปะทะเข้าที่ใบหน้า
และเดินฝ่าสายฝนไปอย่างช้าๆ คนเดียว




 

Create Date : 06 กรกฎาคม 2549   
Last Update : 6 กรกฎาคม 2549 22:37:45 น.   
Counter : 377 Pageviews.  

3 minutes

อีกสามนาทีข้างหน้า ผมจะตาย !!!

ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าประตู มือโชกเหงื่อจับค้างที่ลูกบิดประตู ประสาทสัมผัสทุกส่วนในร่างกายเขม็งเกลียว

ผมรู้ได้อย่างไรน่ะเหรอ? ก็ผมสามารถมองเห็นอนาคตได้น่ะสิ

เขาเดินผ่านประตูเข้าไปอย่างช้าๆ รู้สึกตัวประหนึ่งเป็นนักโทษกำลังเดินทางไปยังหลักประหาร
ในห้องมีนักเลงร่างกายกำยำหกคน ยืนรอท่าอยู่

ไม่เชื่อเหรอ? ดูที่นักเลงคนขวานะ อีกเดี๋ยวมันจะพูดว่า มึงกล้ามากนะที่ยังกลับมาอีก

นักเลงหน้าบาก แต่งชุดซาฟารี ตะคอกใส่ชายหนุ่ม "มึงกล้ามากนะที่ยังกลับมาอีก"

แล้วไอ้คนกลางก็จะพูดว่า เฮียเม้งเค้าไม่ปล่อยมึงเอาไว้หรอก

นักเลงหน้าปรุปะ ไว้เคราหลอมแหลม ท่าทางเหมือนนักมวยปล้ำ ทำตาถลนพูดเสียงเนิบๆ "เฮียเม้ง เค้าไม่ปล่อยมึงเอาไว้หรอก"

หือ? ถ้าผมเห็นอนาคตว่าผมต้องตายแล้วทำไมไม่หนีไป? ฟังแล้วอย่าเพิ่งหัวเราะนะ ก็ผมดันเห็นอนาคตได้ไกลสุดแค่ "สามนาที" อันที่จริงผมเพิ่งรู้ว่าผมจะตายเมื่อตะกี้นี้เอง

นักมวยไทย หน้าตาบวมช้ำยับเยิน ที่กางเกงปักชื่อ "สิงห์สำอาง" เดินกระเพลกเข้ามาหาชายหนุ่มช้าๆ "ไหนมึงบอก แม่งจะแพ้น๊อกกูยกสี่ไง แล้วนี่เหี้ยอะไร มึงดูหน้ากูสิ แม่งต่อยกูเอา ต่อยกูเอา ไอ้สาดดดดด"

มองอนาคตล่วงหน้าได้สามนาที คุณอาจจะคิดว่า ว้าววว แต่แค่สามนาที จะไปทำประโยชน์อะไรได้ ซื้อหวยก็ไม่ทัน แทงบอลเล่นม้าก็ไม่ได้ มีประโยชน์อย่างมากก็แค่เอาไว้บอกว่า มาม่าต้มแล้วถ้าไม่รีบกิน อีกสามนาทีมันก็จะขึ้นอืด

สิงค์สำอางยกกำปั้น เตรียมปล่อยหมัด

อีกอย่างนึง อันที่จริงผมแค่ "มองเห็น" อนาคตเท่านั้น แต่ผมไม่สามารถ "เปลี่ยน" อนาคตได้ ยกตัวอย่างเช่น ผมเห็นอนาคตในอีกสิบวินาที ผมจะโดนไอ้นักมวยตุ๊ดนี่ต่อยเอา คุณคงคิดว่าถ้าผมรู้อย่างนี้แล้ว ผมก็ควรจะหลบใช่ไหม? ..แต่ถ้าผมหลบได้ ภาพในอนาคตที่ผมเห็นก็ต้องเป็นภาพผมหลบได้ ไม่ใช่ภาพผมโดนต่อย และถ้าผมเห็นภาพตัวเองโดนต่อย ไม่ว่าจะหลบยังไงก็ยังโดนต่อยอยู่ดี

หมัดล้วนๆ ไม่มีผ้า ไม่มีนวมผสม ต่อยเข้าที่ท้องของชายหนุ่มเต็มแรง เขาสำรอกเอาอาหารกลางวันออกมา

ดังนั้นจะดิ้นรนไปทำไม สิ่งที่ผมทำได้ ก็คือยอมรับชะตากรรม ทำตามภาพของอนาคตที่ผมเห็น

ตีนประมาณ 12 ข้าง ระดมมาเป็นกองกำลังผสมนานาชาติ มีทั้งบู้ททหารเยอรมัน รองเท้าผ้าใบคอนเวิร์สอเมริกา รองเท้าแตะจีนแดง กระทืบไปทั่วร่างกายของชายหนุ่ม เขาไม่ได้พยามปัดป้องแม้แต่น้อย

ช่างเป็นพรสวรรค์ที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี

"แต่อั๊วคิกว่าพองซาหวันของลื้อมีประโยชน์กะธุรกิกของอั๊วมั่กๆ" เฮียเม้งเซียนมวยเคยบอกกับชายหนุ่มในวันที่ชักชวนเขามาทำงานด้วย "ลื้อก็แค่บอกอั๊วว่า ยกนี้คายจาน๊อก คายจาอยู่ คายจาปาย แค่นั้ง อั๊วให้ลื้อสิบเปอเซ็ง" มวยยกหนึ่งมีสามนาที ชายหนุ่มคิดว่าเขาอาจเกิดมาเพื่อสิ่งนี้

แต่ในเวลานี้ เฮียเม้งคนเดียวกันนี่เอง กำลังยื่นคร่อมร่างที่เกือบหมดสติของชายหนุ่มอยู่ สิงห์สำอางเดินตูดบิดเข้ามา "เฮียฮะ เฮียมาห้ามพวกผมทำไมฮะ มันทำเฮียเจ๊งไปหลายล้านนะฮะ" เฮียลูบหัวสิงค์สำอางอย่างเอ็นดู นิ้วอวบอูมมีแหวนทองประดับเพชรครบทุกนิ้ว "เฮียอยากคุยอารายกะมังนิกโหน่ย" พูดเสร็จก็ก้มลงจิกหัวชายหนุ่มขึ้นมา "อ้ายตี๋ มึงต้มกูทามมายว้า"

ผมไม่ได้ต้มเฮียเค้านะ ผมเห็นภาพอนาคตไอ้สิงห์สำอางมันน็อกคุ่ชกมัน "ไอ้ช้างน้อย" กลางยกสี่

"มึงเดินไปกระซิบกาซาบอารายกะไอ้มุมแดงหือออออ" เฮียเม้งเขย่าศีรษะโชกเลือดของชายหนุ่ม ตาข้างหนึ่งปิดเกือบสนิท ปากบวมเจ่อเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาได้

ผมเห็นไอ้ช้างน้อยโดนถลุงเกือบตาย ผมสงสารมัน เลยเดินไปบอกให้มันทำใจไว้ก่อนว่ายกนี้มันจะโดนน็อก รู้ไหมมันบอกผมว่าไง มันบอกว่า ขอบคุณ แต่มันแพ้ไม่ได้ ถ้ามันแพ้ วันนี้ลูกๆ มันจะไม่มีข้าวกิน ดราม่าฉิบหาย

"ปายรับเงิงไอ้ฝ่ายนู้งมาโกหกกูช่ายม้ายยย ล่ายมาหลายตังเลยล่ะสิมึง" เฮียเม้งปล่อยมือที่จิกผมชายหนุ่มอยู่ ใบหน้าของเขาหล่นกระแทกกับพื้น นักเลงคนที่แต่งชุดซาฟารี ควักปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมาขึ้นไก

ไอ้สิงห์สำอางพอรู้ว่ามันจะชนะยกนี้ มันเลยชกแบบสบายๆ ผลคือ มันโดนไอ้ช้างน้อยปล่อยหมัดฟลุ๊ค ซัดโป้งเดียว หลับกลางอากาศคาเวที วินาทีนั้นผมรู้ตัวว่าผมซวยแน่ๆ แล้ว ก็เลยรีบหนีกลับมาเก็บของที่ห้อง

แล้วเอาขวดน้ำพลาสติกครอบปากกระบอกปืนไว้ เล็งไปหัวชายหนุ่ม

ผมไม่เคยมองเห็นอนาคตผิดมาก่อนเลย อนาคตถูกกำหนดแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้

เฮียเม้งพยักหน้าให้สัญญาณ ไอ้เสื้อซาฟารีลั่นไก

หรือไม่ใช่?...

.........................................................

ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าประตู มือโชกเหงื่อจับค้างที่ลูกบิดประตู ประสาทสัมผัสทุกส่วนในร่างกายเขม็งเกลียว...เขาหยิบเอาปืนพกที่ซ่อนไว้ที่เอวออกมา แล้วบิดประตูเดินเข้าไป




 

Create Date : 11 มีนาคม 2549   
Last Update : 11 มีนาคม 2549 22:28:44 น.   
Counter : 404 Pageviews.  

หนึ่งในนับร้อยนับพันคน

มีคนนับร้อยคนนับพันคน…ที่เราได้พบเจอ ได้ผ่านเข้ามาในชีวิต… แต่มีเพียงแค่คนเดียว คนเดียวเท่านั้น ที่ใช่สำหรับเรา คุณเชื่อในเรื่องโชคชะตาไหม ผมเชื่อนะ … โชคชะตาน่าจะเป็นอะไรมากกว่าผลลัพธ์ของเหตุการณ์หลายๆ ที่มีความสัมพันธ์อย่างโยงใยซับซ้อน หรือ เหตุบังเอิญ ถ้าเป็นเหตุบังเอิญ คงเป็นเหตุบังเอิญที่มีเจตนาให้ผมได้เจอกับเธอ….

มีคนเป็นพันๆ เป็นหมื่น ล้านคน เดินสับสน เวียนวน อยู่บนโลกใบใหญ่ คงมีเพียงคนเดียวที่จะรู้ใจ จะห่างไกลกันสักวันต้องเจอ แต่จะมีสักกี่คนกันนะที่โชคดีได้เจอ… กับคนที่ใช่ คนที่เพียงแค่มองสบตากันแวบเดียว ก็รู้ใจกันราวกับว่าเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน แต่วันนี้ฉันคิดว่าฉันเจอเขาแล้ว…. คงเป็นเพราะสายลมแห่งโชคชะตากระมังที่พัดพาชั้นมาให้ฉันเจอกับเขาได้

เพราะชั้นเพิ่งเปลี่ยนงานจากการเป็นพนักเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง (ที่เรียกกันว่ากระเป๋ารถเมล์นั่นแหละคะ) มาเป็นพนักงานแลกเหรียญบนสถานีรถไฟฟ้า นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นไม่น้อยทีเดียว


หลังจากไปทำงานสายติดๆ กันหลายสัปดาห์ เพราะว่ารถเมล์สาย 53 ที่ผ่านแถวบ้านไม่ยอมจอดป้ายเลย ผมตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการเดินทางโดยขึ้นมอเตอร์ไซค์ แล้วมาต่อรถไฟฟ้าแทน ถึงแม้ค่าบริการจะสูงไปนิดสำหรับพนักงานธรรมดาอย่างผม แต่ก็นับว่าประหยัดเวลาไปเยอะทีเดียว แต่เพราะว่าผมขึ้นรถไฟฟ้าเป็นครั้งแรกจึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีกับเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ

วันนี้เป็นวันแรกที่ฉันมาทำงานที่นี่ และที่นี่ของฉันก็อยู่ในบริเวณที่มองเห็นตัวสถานีได้รอบๆ ฉันจึงได้เห็นเขายืนทำท่างงๆ กับเครื่องออกบัตรอัตโนมัติอยู่

เธอเดินเข้ามาหาผม ยิ้มน้อยๆ ดูน่ารัก แก้มที่แดงอมชมพู กับผมที่รวบไปด้านหลัง ทำให้เธอดูกระฉับกระเฉงอย่างน่าประหลาดใจ เธออธิบายถึงวิธีการงานเครื่องออกบัตรอย่างคล่องแคล่ว แต่ผมกลับไม่ได้สนใจฟังเท่าไหร่ เหมือนกับมีอาการหูอื้อ ตัดขาดผมออกจากโลกภายนอก ผมกับเธอยืนใกล้กันมาก ในช่วงเวลานั้นราวกับว่าบนสถานีนี้มีผมอยู่กับเธอแค่สองคน

เมื่อเขาหันมายิ้มน้อยๆ หัวใจฉันก็เต้นรัวขึ้น ไม่รู้ว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะบุคลิกของเขา ท่าทางที่ดูซื่อๆ ออกจะติดตลกของเขาหรือเปล่านะ นั่นทำเอาฉันหน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อจากนั้นฉันจำได้ว่าอธิบายวิธีการใช้เครื่องออกบัตรไปอย่างผิดๆ ถูกๆ แต่ก็ดูเหมือนเค้าก็รับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจทีเดียว ช่วงเวลานั้นฉันกับเขายืนกันใกลัมาก ฉันรู้สึกราวกับเวลาหยุดนิ่ง ราวกับว่าบนสถานีนี้มีฉันอยู่กับเขาแค่สองคน

ผมหยอดเหรียญห้าบาทไป 4 เหรียญเท่ากับจำนวนค่าโดยสาร บัตรเลื่อนออกมาจากช่องออกตั๋วอย่างรวดเร็ว

ฉันยื่นมือออกไปหยิบบัตรให้เขา

มือผมสัมผัสกับมือเธอ ผมชักมือออกอย่างรวดเร็ว ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากส่งยิ้มให้ เธอจะคิดว่าผมหลอกแต้ะอั๋งเธอไหมนะ

เขาชักมือออกอย่างรวดเร็ว เขาจะคิดว่าฉันให้ท่าเขาหรือเปล่านะ

หลังจากวันนั้นผมไปขึ้นรถไฟฟ้าเป็นประจำทุกๆ วัน เพื่อที่จะได้พบเจอกับเธออีก ทุกๆ วัน ผมจะหาทางมาแลกเหรียญกับเธอเสมอ หากวันไหนผมมีเหรียญแล้ว ผมก็เอาไปแลกเป็นธนบัตรที่ร้านของชำ ด้านล่างสถานีก่อน เมื่อเจอหน้าเธอผมได้เพียงแต่ส่งยิ้มแบบธรรมดาที่สุดให้เธอเท่านั้น พยามซ่อนความรู้สึกที่มีต่อเธอให้มิดชิดที่สุด อาจจะเป็นเพราะผมกลัวว่า หากผมเปิดเผยความรู้สึกที่ผมมีกับเธอ และถ้าเธอไม่ได้คิดเหมือนกันกับผมแล้ว.... เธออาจจะไม่ส่งยิ้มกลับมาให้ผมอีกเลย

หลังจากวันนั้นแล้ว ฉันก็เฝ้ารอคอยด้วยใจจดจ่อให้ได้เจอเขาทุกๆ วัน ทุกครั้งที่เขาแลกเหรียญ เขาจะยิ้มทักทายตามมารยาท ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจฉันเลย เขาจะรู้ไหมนะว่าผู้หญิงคนหนึ่งแอบชอบเขาอยู่ข้างเดียวตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ ในใจฉันเองอยากบอกความรู้สึกที่มีกับเขาไปเลย แต่ก็กลัวว่าเขาจะมองเราว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี อึดอัดใจอะไรอย่างนี้นะ

พักหลังๆ เธอแสดงท่าทีอึดอัดใจออกมา เวลาเจอหน้าผม (หรือเธอรู้แล้วผมชอบเธอ โ้อ..ไม่นะ) ความจริงเธออาจจะมีใครคนนั้นแล้วก็ได้ ส่วนผมก็คงเป็นคนที่เป็นแค่คนๆ หนึ่งในอีกหลายร้อยหลายพันคนที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับชีวิตของเธอเลย ผมควรตัดใจจากเธอไหมนะ….

เขาไม่ได้ยิ้มทักทายให้กับฉันเหมือนเคย เกิดอะไรขึ้นนะ หรือเขาไม่ได้สนใจฉันมาตั้งแต่แรกแล้ว แล้วความรู้สึกพิเศษที่ฉันมีกับเขานั่นล่ะ มันคืออะไรกัน เขาคือคนที่ใช่สำหรับเราหรือเปล่านะ หรืออาจจะเป็นความเพ้อฝันของผู้หญิงขี้เหงาก็ได้มั้ง ความจริงเขาอาจจะมีคนพิเศษแล้วก็เป็นได้ ทำงานออฟฟิศต้องเจอคนเยอะแยะอยู่แล้วนี่ ต่างจากฉันได้นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์แคบๆ บ้าๆ นี่ บ้าๆๆๆๆๆๆๆ

30 วันแล้วที่ผมได้เจอกับเธอ ผมยังจำความรู้สึกพิเศษเมื่อเจอกับเธอครั้งแรกได้ว่ามันวิเศษเพียงใด จึงเป็นเรื่องยากมากที่ผมจะตัดใจจากเธอได้ ในเมื่อโชคชะตาพาผมมาเจอเธอแล้ว...ผมจึงให้โชคชะตาตัดสินใจแทน

ฉันชอบเขามาก หากฉันมีโอกาสดีๆ สักครั้งอย่างเช่นวันนั้นอีก ฉันจะบอกเขาว่าฉันชอบเขา ไม่ว่าเขาจะมองเราเป็นอย่างไรก็ตาม ฉันเพียงแค่รู้สึกว่าฉันไม่อยากมานั่งเสียใจภายหลังอีก เมื่อไหร่นะชั้นจะไดัมีโอกาสเหมาะๆ คุยกับเขาอีก

ผมเคยได้ยินคำคมว่า คนมีอยู่สามจำพวก พวกแรกพวกนั่งคอยโอกาส พวกที่สอง คือพวกฉวยโอกาส และพวกสุดท้ายคือพวกสร้างโอกาส ดังนั้นไม่ควรนั่งรอโอกาสให้ได้พูดกับเธอ แต่ผมควรจะสร้างโอกาสขึ้นมาเองอีกสักครั้ง วันนี้ผมจะแกล้งทำเป็นลืมเหรียญที่แลกไว้ที่เคาน์เตอร์ หากเธอเอาเหรียญออกมาคืนผม เราคงมีโอกาสคุยกัน แต่ถ้าหากไม่ ก็คงหมายความว่าโชคชะตาคงไม่เข้าข้างผมจริงๆ

และแล้วโอกาสที่ฉันรอก็มาถึง นี่อาจจะเป็นลางดีก็เป็นได้ เขาหยิบเหรียญไปไม่ครบ ฉันควรทำอย่างไรดี ตะโกนเรียกเขาผ่านไมโครโฟนคงดูไม่ดีแน่ๆ เลย ฉันควรออกจากห้องเอาเหรียญไปให้เขาด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า ไปสิ ไปเลย เดี๋ยวนี้

ผมแกล้งทำเป็นยืนอยู่หน้าเครื่องขายบัตรอัตโนมัติ เครื่องเดียวกันกับที่ผมเจอเธอครั้งแรก หันหลังให้กับเธอ รอเวลาที่เธอจะออกเสียงผ่านไมโครโฟนเรียกผม …. เงียบ…. ไม่มีใครเรียกผมเลย…. เมื่อผมหันมองกลับไป ผมพบว่าเธอกำลังก้มหน้าก้มตาทำอย่างอื่นอยู่ เห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่ได้สนใจผมเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นแหละ ผมควรทำใจตั้งแต่แรกแล้ว

โอ๊ย…พระเจ้า…เจ้าสายคาดรองเท้า ทำไมต้องมาหลุดเอาตอนนี้นะ ก้มลงไปผูกเร็วๆ เข้า ก่อนที่เขาจะไป

โชคชะตาพาให้ผมมาพบ และโชคชะตาก็พาให้ผมต้องจากเธอ ผมควรตัดใจจากเธอได้แล้ว

เอาล่ะเสร็จแล้วฉันบอกตัวเอง แต่เมื่อชั้นเงยหน้าขึ้นมาเขาก็หายไปไหนเสียแล้ว

ผมตัดสินใจเดินลงจากสถานีรถไฟฟ้า แล้วตรงกลับบ้านทันที เพราะไม่มีอารมณ์จะไปทำงาน

เขาอาจจะขึ้นไปรอรถไฟฟ้าอยู่บนสถานีก็เป็นได้ ไม่เป็นไรยังทัน เหลือเวลาอีกหลายนาที กว่ารถขบวนถัดไปจะมา

......................................................


หลังจากวันนั้น ผมเองก็ไม่ได้ไปขึ้นรถไฟฟ้าอีกเลย อาจจะเป็นหากผมยังคงเจอเธออยู่ผมคงตัดใจจากเธอไม่ได้สักที ผมตัดสินลาออกจากงานเก่า สัปดาห์ถัดมาผมได้งานใหม่ ที่อยู่ใกล้ละแวกบ้านมากขึ้น วันนี้เป็นวันแรกที่ผมจะไปทำงานที่ใหม่ ทางบริษัทมีรถรับส่งพนักงานเป็นรถบัสปรับอากาศคันโต สีเหลืองส้ม กำลังจอดรอรับพนักงานที่จุดนัด ผมวิ่งเหยาะๆ ไปเพื่อขึ้นรถ ในใจก็เปี่ยมด้วยความหวังของการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้หากผมเจอคนที่ผมชอบอีก ผมจะไม่ลังเลที่จะบอกความรู้สึกของผมเลย

หลังจากวันนั้น เขาก็ไม่ได้มาขึ้นรถไฟฟ้าอีกเลย ในใจของฉันหดหู่ ซึมเซา พลางคิด"ฉันปล่อยให้โอกาสครั้งเดียวหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย… " สัปดาห์ถัดมาฉันลาออกจากงานที่สถานีรถไฟฟ้า เพราะหากยังคงทำงานที่นั่นต่อ ฉันคงอดคิดถึงเขาไม่ได้ ไม่นานนักฉันได้งานใหม่ เป็นบริษัทละแวกบ้าน ฉันเป็นพนักงานตรวจบัตรบนรถรับส่งพนักงาน ตอนนี้รถจอดรอผู้โดยสารอยู่ที่ป้ายเพื่อรอรับพนักงานใหม่ที่เพิ่งจะมาเริ่มงานวันนี้วันแรก เขาวิ่งเหยาะมาที่รถ ใบหน้าที่คุ้นเคย ลอดผ่านประตูเข้ามา น้ำตาของชั้นเอ่อล้นมาแบบไม่ตั้งใจ ฉันยิ้มให้เขาแล้วทัก "สวัสดีค่ะ เจอกันอีกแล้วนะ"
......................................................




 

Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2549   
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2549 5:27:31 น.   
Counter : 400 Pageviews.  


you_are_what_you_read
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ถ้าเจอบุคคลที่มีบุคลิกแปลกๆ เช่น.. ถอดหัวได้, มีมือคล้ายหนวดปลาหมึก หรือขับยานอวกาศแทนรถยนต์ กรุณาอีเมล์แจ้งด้วยครับ
[Add you_are_what_you_read's blog to your web]