รวมมิตรเรื่องท่องเที่ยว และ สายการบิน
Group Blog
 
All Blogs
 
เรื่องขำๆ หมาๆ แมวๆ กับหมอสัตว์มือใหม่ไฟแรงสูง (ตอนที่ 8)

สวัสดีครับ

หลังจากที่หายไปนานมากๆ ร่วมเดือน ช่วงนี้เหนื่อยครับ แห่ะๆๆ พอดีหมอขาด ก็เลยได้ทำงานมากขึ้น จากเดิมที่บางบ้านเรายังไม่ต้องรับ เราก็ต้องขยับขึ้นไปรับบ้าง ทีนี้ภาระอันหนักอึ้งก็จะตกอยู่ที่เราหล่ะครับ ...



ทำงานมากขึ้น ก็ถือว่าเป็นการเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีครับ
แต่รายได้เท่าเดิมนะ เพราะสัญญาจ้างของผม จะได้รับเงินเดือนแบบ fix rate คือ คงที่ตลอด แล้วจะมีการปรับขึ้นเป็นครั้งคราว แต่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณเคสที่รับ ไม่ใช่รับมากได้มาก รับน้อยได้น้อย แต่รับเท่าไหร่ก็ได้เท่าเดิมตามที่กำหนดไว้

หลายๆ คน อาจจะมองว่า ทำงานในสายวิชาชีพแพทย์ (หมายถึง หมอคน หมอฟัน หมอสัตว์) แล้วรายได้จะดีมากๆ ถ้าเป็นหมอคน หมอฟันอาจจะใช่ครับ แต่คงต้องยกเว้นหมอสัตว์นะครับ ตัวเลขอาจจะดูสูงอยู่ แต่ถ้าเทียบกับชั่วโมงการทำงานต่อวัน และปริมาณวันหยุดแล้ว ก็ไม่ได้เยอะเท่าไหร่เมื่อเทียบกับพนักงานบริษัททั่วๆ ไป ที่ทำงานแค่ จันทร์-ศุกร์ เวลาราชการครับ

พอดี ช่วงนี้ ตามกระทู้ต่างๆ ที่ผมอ่านที่โต๊ะจตุจักร จะเห็นได้ชัดว่า กลุ่มลูกค้าที่เชียงใหม่ มีจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินเลือกใช้บริการสถานพยาบาลสัตว์ ด้วยราคา ที่ไหนถูกก็ไปที่นั่น ถึงขั้นเปรียบเทียบว่าราคายาเม็ดต่อเม็ด วัคซีนเข็มต่อเข็มกันเลยทีเดียว

ซึ่งปกติสถานพยาบาลสัตว์ทุกแห่ง จะต้องมีใบแจ้งราคาค่ารักษาต่างๆ รวมไปถึงค่าวัคซีนให้ลูกค้าได้ดู ได้เลือกเปรียบเทียบก่อนที่จะใช้บริการครับ

วันก่อนมีลูกค้า เดินเข้ามาถามเคาน์เตอร์ข้างหน้าว่า ที่นี่คิดค่าอัลตร้าซาวน์ให้ราคาเท่าไหร่ ?? อัตราที่ผมทำงานจะอยู่ประมาณ 300 บาทขึ้นไป (เครื่องอัลตร้าซาวน์มูลค่าเกือบ 3 แสนบาทครับ -- หมอใหม่อย่างผมก็ยังใช้ไม่ได้นะ ต้องให้พี่ๆ ทำ) เธอตกใจแล้วบอกว่า ทำไมเห็นที่อื่น (ไม่รู้ว่าที่ไหน) คิดแค่ 100 เดียว แล้วก็เดินสะบัดบ๊อบออกไปจากร้าน .... ทุกคนก็ดูงงๆ

คือ ... ผมเองก็ไม่เห็นด้วยกับการคิดค่ารักษาพยาบาลที่สูงลิบลิ่วจนเกินไป
แต่ผมก็คิดว่า ต้นทุนการดำเนินงานของสถานพยาบาลสัตว์แต่ละแห่งมีความแตกต่างกันมาก

อย่างในเชียงใหม่ มีโรงพยาบาลสัตว์เอกชนแห่งหนึ่ง(แห่งเดียว) ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งตอนสมัยผมเรียนผมเคยขอเข้าไปดูงานครั้งหนึ่ง ต่อมาได้มีการปรับปรุงใหม่ใหญ่โตและดูโอ่อ่ากว่าเดิมมาก ใช้หมอผลัดเป็นกะ ทำงานเวลา 8.00 - 20.00 น. และ อีกกะหนึ่งจะทำงาน 20.00 - 8.00 น. (แต่จะมีวันหยุดให้ 2 วัน/สัปดาห์) มีหมอดูแล ward อยู่ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน และมีอุปกรณ์เครื่องใช้ที่เยอะทีเดียว และเขาก็มีอุปกรณ์หลายๆ อย่างอาทิเช่น เครื่องตรวจเลือดที่ให้ผลได้รวดเร็วฉับไว แต่มูลค่าเครื่องมือที่ค่อนข้างสูงมาก (ส่วนสถานพยาบาลสัตว์อื่นๆ มักจะใช้วิธีการส่งตรวจกับบริษัท LAB ข้างนอก ซึ่งสมมุติส่งเช้ารู้บ่าย ส่งบ่ายรู้เย็น ส่งเย็นรู้ผลอีกวันหนึ่ง เป็นต้น จะช้ากว่า แต่ประหยัดกว่ามาก)

ดังนั้น ต้นทุนการดำเนินงานที่นี่จึงค่อนข้างสูงมาก ค่าบริการเลยค่อนข้างสูงลิบลิ่ว จนหลายๆ คนอาจจะรู้สึกตัวเบาเมื่อไปใช้บริการ ขนาดบางรายการ มีลูกค้าที่ย้ายมาเล่าให้ผมฟัง ผมยังรู้สึกขนลุกซู่ไป รักษาไปเลย แต่ผมก็เข้าใจเขานะครับ เหมือนกับโรงพยาบาลเอกชนของคนครับ ที่มีหลายระดับ ตามความพึงพอใจของลูกค้าครับ ....

ส่วนอีกเคสหนึ่ง ที่ผมเคยเจอ เป็นลูกค้าที่ย้ายมาจากกรุงเทพ เคยไปรักษาและฝาก admit ที่โรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท ฝากไปทั้งหมด 2 คืน เจอค่าตรวจและค่ารักษาไปประมาณ 5 หลักเห็นจะได้ ..... (ไม่ได้มีการผ่าตัดนะครับ) ผมก็งงสิครับ รักษายังไงหว่า ให้คิดค่ารักษาได้ถึง 5 หลัก อย่างนั้นก็เกินไปหรือเปล่าครับ ..... เพราะถ้ารักษาให้ได้มูลค่ามากถึงขนาดนั้น นี่ รักษาน้องหมาที่เป็นโรคลำไส้อักเสบตลอดทั้งคอร์สจนหายได้เกือบ 10 ตัวเลยนะนั่น

ทีนี้ บางที สำหรับตัวผมเองก็จะต้องประเมินความเสี่ยงของลูกค้าใหม่ ที่ทำการรักษา และเพิ่งมาเป็นครั้งแรกด้วย เพราะเคยเกิดกรณีที่ลูกค้าชิ่ง ไม่ยอมชำระเงิน แล้วทีนี้แพะก็จะอยู่ที่ตัวหมอเอง .... อย่างลูกค้าใหม่ เวลาฝากรักษาเติมน้ำเกลือน้องหมาช่วงกลางวัน แล้วช่วงเย็นจะรับกลับ จะรบกวนให้ติดต่อเคาน์เตอร์ด้านหน้าเพื่อชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดหรือบางส่วนไว้ก่อน แต่ถ้าเป็นลูกค้าประจำหรือลูกค้าเก่า ที่มารักษาอยู่บ่อยๆ อาจจะค่อยมาชำระตอนรับสัตว์กลับบ้านก็ได้ ... เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นนั่นเอง

ด้วยความที่กติกาเป็นอย่างนี้ ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมก็เลยได้รับโทรศัพท์จากลูกค้าท่านหนึ่ง ซึ่งเธอรู้สึกไม่ค่อยพึงพอใจเท่าไหร่ ว่าผมทำไมจะต้องกลัวเธอไม่ชำระค่าใช้จ่ายขนาดนั้นด้วย .... คือเธอไม่ค่อยได้มารักษาที่นี่บ่อยๆ หน่ะครับ ผมก็บอกเธอไปตอนก่อนที่จะฝากน้องหมาไว้ดูแลช่วงกลางวันว่า ... พี่ครับ พี่จะเลือกชำระค่าใช้จ่ายไว้ก่อน หรือจะค่อยมาชำระก็ได้นะครับ ซึ่งเธอก็เลือกที่จะชำระทั้งหมด แต่พอตกช่วงเย็น สุนัขอาการดูไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่ เธอตัดสินใจที่จะฝากสุนัขไว้ดูอาการ

ทีนี้ตามระเบียบของโรงพยาบาลสัตว์ จะขอให้ลูกค้าช่วยวางเงินมัดจำค่ารักษาพยาบาล ตามปกติคือ 2,000 บาท (แต่ผมเห็นว่า เธอน่าจะไม่มีปัญหาอะไร เลยแจ้งกับฝ่ายการเงินว่า มัดจำซัก 1,000 บาทก็พอ)
ปัญหาเกิดตรงทีว่า บัตรเครดิตของเธอรูดไม่ผ่าน แล้วเธอก็เลยต้องชำระเป็นเงินสด เธอบอกว่า เธอไม่มีเงินสดเหลือพอที่จะไปซื้อของที่จำเป็นอย่างอื่นต่อ ... เธอก็เลยรู้สึกหงุดหงิด แล้ววันต่อมาเธอก็เลยโทรคุยกับผมว่า ทำไมต้องวางมัดจำด้วย ทีคุณหมอคนอื่นที่เคยรักษาไม่เห็นจะต้องให้เธอวางมัดจำเลย ทำไมกลัวที่จะไม่จ่ายขนาดนั้น ....

ผมจึงได้อธิบายไปว่า เป็นระเบียบของโรงพยาบาลสัตว์ ที่ลูกค้าทุกคนจะต้องชำระค่ามัดจำก่อนที่จะฝาก admit เป็นอย่างนี้ทุกรายครับ ผมเองก็เครียดครับ ผมไม่อยากให้ใครมองว่าหน้าเงิน แต่ทุกอย่างก็คือหน้าที่ผม ที่ผมเองก็อยากจะทำตามระเบียบขององค์กร เพื่อจะไม่ได้เป็นผลเสียแก่ตัวผมในภายหลัง (เพราะถ้าเกิดปัญหาลูกค้าชิ่งขึ้น จะยิ่งไปกันใหญ่ครับ) สุดท้ายแล้วเรื่องนี้เราก็เข้าใจกันดีครับ .....

ดังนั้น ผมเองก็จะต้องสังเกตลูกค้ามากขึ้นกว่าเดิม
แต่ปกติแล้ว ถ้าลูกค้าถามถึงค่าใช้จ่ายในการรักษา ผมก็จะบอกเบื้องต้นคร่าวๆ แจ้งให้ทราบก่อนที่จะดำเนินการรักษา เพื่อเจ้าของจะได้ตัดสินใจก่อน ว่ารักษาน้องหมาน้องแมวแล้ว สบายใจ สบายเงินในกระเป๋าหรือไม่? เพื่อจะได้ไม่รู้สึกมากินแหนงแคลงใจกัน .....

-----------------------------------------------------------------------------------
สัปดาห์นี้ เคสที่ผมเจอค่อนข้างเยอะมาก ก็คงจะไม่พ้นโรคลำไส้อักเสบ รักษากันจนเพลินไปเลยครับ โรคนี้จะพบได้เยอะมากๆ ในพวกกลุ่มลูกหมา อายุน้อยๆ ซัก 2-3 เดือน หรือมากกว่านั้น แต่มักจะพบได้น้อย ในกรณีสุนัขที่อายุกว่า 1 ปี



อาการเบื้องต้นของโรคนี้ก็คือจะมีอาการถ่ายท้องเสีย ร่วมกับการอาเจียน ตอนแรกๆ อาจจะแค่ถ่ายท้องเสียเฉยๆ ต่อมาก็อาจจะเริ่มเป็นมูกๆ หรือมีเลือดปน บางตัวมีอาการอาเจียนมีเลือดปนด้วย

เมื่อตรวจอุจจาระ จะพบเห็นเม็ดเลือดแดงค่อนข้างเยอะ เชื้อแบคทีเรียเป็นแท่งๆ ก็เยอะ แล้วบางทีอาจมีพวกเชื้อบิด เข้ามาร่วมด้วยก็เป็นได้ครับ

โดยปกติแล้ว จะมีชุดตรวจ Canine Parvo Virus / Corona Virus โดยใช้ cotton bud สอดเข้าไปในรูทวารหนัก เพื่อเก็บตัวอย่างอุจจาระ มาปั่นในน้ำยา แล้วหยดลงในชุดตรวจ รอแป๊บเดียว ก็จะเห็นผลว่าเป็นหรือไม่เป็น .... แต่ชุดตรวจนี้ สำหรับผมแล้ว ผมถือว่าเป็นออฟชั่นเสริมสำหรับ เจ้าของสัตว์ ที่อยากจะทราบและฟันธงว่า ใช่หรือไม่ใช่ (แต่เนื่องด้วยค่าชุดตรวจจะอยู่ประมาณ 500 บาท จึงต้องแจ้งให้เจ้าของสัตว์ทราบก่อนว่า สนใจอยากจะฟันธงไหม)

แต่ถ้าเวลาตรวจ สัณนิษฐานว่าน่าจะเป็นโรคลำไส้อักเสบแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะลืมตรวจไม่ได้ ก็คือเลือดครับ จะดูปริมาณเม็ดเลือดขาว ณ เวลานั้น เพื่อจะได้ประเมินถึงความรุนแรง แล้วก็จะได้บอกเจ้าของว่า อาการหนักมากขนาดไหน ....

ปกติแล้วน้องหมาที่ปกติดี จะมีค่าเม็ดเลือดขาวอยู่ประมาณ 1x,xxx ต้นๆ - กลางๆ แตน้องหมาที่เป็นโรคลำไส้อักเสบ ค่าเม็ดเลือดขาวก็จะลดลงเรื่อยๆ จากหมื่นต้นๆ ก็อาจจะเหลือแค่ 4,000 - 5,000 และต่อไปอาจจะเหลือแค่ 2,000 จนกระทั่งบางตัวเหลือเพียง 500 - 700 เท่านั้น ซึ่งถ้าหากไม่ได้ทำการรักษา ก็จะไม่รอดตอนช่วงนี้นั่นเอง ....

ปกติแล้ว การรักษาที่ผมทำเป็นประจำก็คือ ต้องให้สารน้ำเข้าทางเส้นเลือดตลอดทั้งวัน (หรือทั้งคืน กรณี admit ไว้ แต่ถ้าจะไม่ฝาก เลือกแบบไปเช้า-ค่ำกลับก็ไม่เป็นไร) แล้วก็ให้ยาปฏิชีวนะเข้าทางเส้นเลือด ร่วมกับยากลุ่มระงับการอาเจียน แล้วทำการตรวจเลือดดูระดับค่าเม็ดเลือดขาว ถ้ามีแนวโน้มลดลงต่ำมาก ก็จะใช้ยากลุ่ม anabolic steroid เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว

ถ้าหากน้องหมาตอบสนองต่อยาดี อาการก็จะเริ่มดีขึ้น ค่าเม็ดเลือดขาวก็จะเริ่มกลับมาสูงขึ้น จากแค่ 1,xxx กว่าๆ ก็อาจจะขึ้นเป็น 3,000 หรือ 4,000 แล้วก็จะขึ้นไปเรื่อยๆ การถ่ายท้องเสีย และ อาเจียนก็จะน้อยลงกว่าเดิม และซักพักหนึ่งก็จะเริ่มทานอาหารได้ ซึ่งถ้าเริ่มทานได้ ก็จะจัดยากลับบ้านแล้วหล่ะครับ โดยปกติก็จะใช้เวลารักษาประมาณ 1 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับระดับภูมิคุ้มกันในตัวน้องหมา ถ้ามีมาก หรือเคยทำวัคซีนก่อนแล้ว อาการอาจจะดีขึ้นเร็ว บางตัวแค่ 4 วันก็หายแล้ว แต่ถ้าไม่เคยทำเลย หรือดูค่อนข้างอ่อนแอมากๆ อาจจะใช้เวลาร่วม 2 อาทิตย์ แต่ก็รอด

พอกินได้แล้ว ก็เอาไว้หายชัวร์ๆ ก่อนซัก 1 สัปดาห์ ค่อยทำวัคซีนกันต่อไปครับ

-----------------------------------------------------------------------------------
นอกจากลำไส้อักเสบแล้ว ....
เคสหนึ่งที่ผมเจอบ่อยช่วงนี้ ก็เป็นปัญหาเรื่อง มดลูกอักเสบ หรือ มดลูกเป็นหนอง นั่นเอง

มักจะเจอได้บ่อยมากๆ ในสุนัขที่มีประวัติว่าเคยฉีดยาคุมมา ....
ที่ซ้ำร้าย บางตัว ผสมไปแล้ว เจ้าของไปฉีดยาคุมซ้ำ แล้วดันผสมติดซะงั้น
ซึ่งกรณีนี้ จะต้องผ่าคลอด เพราะแม่สุนัขก็จะไม่มีการเบ่งคลอด โดยจะเห็นน้ำไหลซึมออกมาจากช่องคลอดก็ต่อเมื่อ ลูกในท้องตายแล้วเท่านั้น ถ้าไม่ผ่าแม่ก็ไม่รอดเช่นกันครับ ....

ตอนที่ผมเรียน อาจารย์จะพร่ำสอนเสมอว่า การฉีดยาคุมสามารถเหนี่ยวนำทำให้เกิดภาวะมดลูกอักเสบได้ ดังนั้น เมื่อลูกค้ามาขอฉีดยาคุม ผมเองก็จะถามว่า ยังอยากจะให้น้องหมาเค้ามีลูกอยู่หรือเปล่า ถ้าเจ้าของไม่อยากให้มีอีกแล้ว แนะนำว่าให้ทำหมันจะดีที่สุด .... เพราะถ้าไม่ทำหมัน ฉีดยาคุมไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วถ้าเป็นมดลูกอักเสบ ก็ต้องได้ผ่าตัดอยู่ดีครับ ....



ซึ่งเมื่ออธิบายแล้ว เจ้าของส่วนใหญ่มักจะรับฟังและเข้าใจได้ง่าย หรือบางบ้านสงสารน้องหมาตัวเมีย ก็จะนำน้องหมาตัวผู้มาทำหมันแทน เพื่อไม่ให้ผสมกันได้ติด

ทีนี้หล่ะครับ กรณีที่น้องหมาบางตัว ที่มีประวัติถูกฉีดยาคุมไปเรื่อยๆ พอเริ่มอายุมากๆ แล้ว บางทีก็จะเริ่มแสดงอาการซึมหงอย ไม่อยากกินข้าว บางตัวท้องอาจจะดูกางๆ บางตัวเจ้าของอาจจะบอกว่าเหมือนมีเมนส์มา แต่เห็นเป็นของเหลวขุ่นๆ ไหลออกจากช่องคลอด เมื่อวัดไข้ อาจพบมีไข้ขึ้น ... สุนัขบางตัวอาจมีอาการตาแดงๆ อักเสบๆ ด้วย ซึ่งปกติแล้ว สามารถตรวจยืนยันได้โดยการ x-ray เพื่อดูขนาดมดลูก ร่วมกับการตรวจเลือดดูค่าเม็ดเลือดขาว -->> ซึ่งทีนี้ กรณีมดลูกอักเสบ จะตรงกันข้ามกับ ลำไส้อักเสบนะครับ ถ้าสุนัขที่เป็นมดลูกอักเสบ ค่าเม็ดเลือดขาวจะเพิ่มขึ้นสูงมากๆ อาจจะมากกว่า 40,000 - 50,000 บางตัวอาจจะทะลุไปถึง 70,000 ซึ่งยิ่งมากก็ยิ่งน่ากลัว แสดงให้เห็นถึงภาวะการติดเชื้อที่มีสูงมากขึ้น

ถ้าปล่อยไว้ ไม่ได้ทำการรักษาด้วยการผ่าตัดเอามดลูกออก จะมีการติดเชื้อมากขึ้น เชื้อที่อยู่ภายในมดลูกก็จะซึมเข้ากระแสเลือดที่ไปเลี้ยงมดลูกมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดสัตว์ก็จะมีภาวะ ติดเชื้อในกระแสเลือดทั่วร่างกาย แล้วก็จะไม่รอด ...

ดังนั้น ถ้าใครอยากจะฉีดยาคุม อาจจะต้องระวังดีๆ นะครับ ....
ถ้าต้องการไม่ให้น้องเค้ามีลูกแล้ว ทำหมันถาวร จะสบายใจที่สุดครับ

-----------------------------------------------------------------------------------
อีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมเจอบ่อยมากๆ ก็คือ ....

สุนัขถูกวางยาเบื่อมา ....

ช่วงเดือนก่อน ที่เหมือนจะเป็นฤดูกาลผสมพันธุ์ของน้องหมาหลายๆ ตัว สุนัขหนุ่มๆ บางตัวอาจจะไปแทะโลมสุนัขสาวๆ ทำให้เจ้าของน้องหมาสาวไม่พึงพอใจก็เป็นได้

และคนเราบางคนก็ใจร้ายใจดำเสียเหลือเกิน ผสมยาเบื่อลงในอาหารให้สุนัขกิน
แล้วสุดท้าย สุนัขก็ชักดิ้นชักงอ น้ำลายฟูมปาก เจ้าของก็ต้องรีบพามาหาหมอ ซึ่งผมยอมรับว่า ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ผมเจอเคสกรณีอย่างนี้ไปไม่น้อยกว่า 5-6 ราย ซึ่งไม่น้อยหรอกครับ และผมเองก็จะรู้สึกสลด ทุกครั้ง (ที่ผ่านมาก็กู้ได้ทุกครั้งครับ เพราะเจ้าของสุนัขเห็นแล้วรีบเอาเกลือ เอาไข่ เอาผงชูรส กรอกปากเพื่อกระตุ้นการอาเจียนมาก่อนแล้ว)



กลุ่มยาเบื่อก็จะมีอยู่ไม่กี่กลุ่มอ่ะครับ กลุ่มที่ได้รับความนิยม
และจะทำให้สัตว์มีอาการชัดเจนมากที่สุด ก็คือ ยาเบื่อกลุ่ม Organophosphate
ซึ่ง สุนัขที่ถูกยาเบื่อกลุ่มนี้มาน้ำลายก็จะฟูมปาก และ กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ก็จะสั่นเป็นริ้วๆ เหมือนเป็นลูกคลื่น เป็นลักษณะเด่นของยาเบื่อกลุ่มนี้

การรักษาไม่ซีเรียสครับ (เพราะเจอบ่อยที่สุด) สิ่งแรกที่หมอทำก็คือการให้น้ำเกลือเข้าทางเส้นเลือดดำ เพื่อเจือจางสารพิษ แล้วจะได้ขับสารพิษออกทางปัสสาวะได้ และจะเตรียมยาที่ มีฤทธิ์ต้านกับยาเบื่อกลุ่มนี้ ฉีดเข้าทางเส้นเลือด และทางใต้ผิวหนัง

เมื่อน้องหมาได้รับน้ำเกลือและยา ก็จะมีอาการดูดีขึ้นแบบทันตาเห็นครับ น้ำลายก็จะไหลน้อยลง กล้ามเนื้อก็จะสั่นน้อยลงด้วย เมื่อผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง ทุกอย่างก็จะคืนสู่ภาวะปกติ สามารถลุกขึ้นยืนเดิน กล้ามเนื้อหยุดสั่นกระตุก แล้วก็ปล่อยกลับบ้านได้ครับ

แต่บางทีสุนัขอาจจะไม่ได้รอดทุกรายไปนะครับ .... ดังนั้น เจ้าของเองเมื่อเห็นน้องหมากินอะไรแปลกๆ เข้าไป สิ่งที่ทำได้ ณ เวลานั้น ก็คือการกระตุ้นให้อาเจียนโดยเร็วที่สุด กรอกไข่ขาวลงไปก็ช่วยได้ (มีบางบ้านที่รีบกรอกผงชูรส กับเกลือ เข้าปากสุนัข) แล้วพาไปหาสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุดครับ อย่าปล่อยไว้เชียวครับ ...

-----------------------------------------------------------------------------------
เอาหล่ะครับ ตอนนี้ก็ค่อนข้างยาวนะครับ เรื่องวิชาการจริงๆ ผมก็ไม่ค่อยแม่นเท่าไหร่หรอกครับ แต่ก็อาศัยประสบการณ์จากพี่ๆ ที่สอนมาแล้วก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ด้วยครับ บางทีไม่เข้าใจก็จะรีบเปิดหนังสือดูเช่นกัน ....



อ้อ ... ช่วงนี้ผมก็เจอสัตว์แปลกๆ ค่อนข้างเยอะครับ อย่างเรื่องนกปีกหัก หรือกระต่ายท้องเสีย ก็รักษากันไปครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาจนจบครับ


Create Date : 11 มกราคม 2551
Last Update : 11 มกราคม 2551 23:08:17 น. 2 comments
Counter : 4803 Pageviews.

 
อ่านแล้วสนุกดีจังค่ะ
ได้ความรู้ด้วย

แต่เอ ไม่มีแมวไปรักษาบ้างเหรอคะ


โดย: mungkood วันที่: 11 มกราคม 2551 เวลา:23:59:36 น.  

 

ข้อ มูล ดี มากกกก เยยยยยย ก๋าบบบบบบบ


โดย: dogamania วันที่: 12 มกราคม 2551 เวลา:0:46:55 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ยุ่งชะมัด..สัตวแพทย์
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 37 คน [?]




Friends' blogs
[Add ยุ่งชะมัด..สัตวแพทย์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.