เ มื่ อ ค รู โ ย ค ะ จะ วิ่ ง ม า ร า ธ อ น ตอนที่ 6- สมดุลชีวิต วิ่งและโยคะ
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558
ซ้อมวิ่งในฟิตเนส วันนี้ฝึกโยคะก่อนสัก 40 นาที(จริงๆมัน 1 ชม. แต่มาสาย 555) และเวลาฝึกก็ไม่บ้าจี้ตามครูที่นำฝึกนะ เอาแค่ยืดเบาตามที่ร่างกายตัวเองต้องการ ตอนจบคลาสมีหลายคนที่เดินออก ไม่พักท่าศพ รู้สึกเสียดายแทนเขานะ การพักในท่าศพตอนท้ายเนี่ยสำคัญมาก การฝึกโยคะหรือฝึกวิ่งก็ตาม การได้ปล่อยให้ร่างกายได้ฟื้นฟู แถมบางคนยังอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักกันอีก ร่างกายไม่มีอะไรเพื่อฟื้นฟูร่างกายภายหลังการใช้งาน
พลังงานที่ถูกมาใช้ในกิจกรรมต่างๆของร่างกายประจำวันมาจากสองทางคือ 1.รับเข้าไปในรูปอาหาร น้ำ อากาศทางหนึ่ง และ2.พลังงานที่ถูกดึงออกมาจากภายในร่างกายซึ่งคือพลังงานชีวิต ถ้าเราทานอาหารน้อยมันจะไม่เพียงพอต่อการเผาผลาญหรือพลังงานที่รับเข้าไปตัวนี้จะเป็นตัวดึงพลังงานสะสมในร่างกายออกมาใช้ด้วย เหมือนตัวล่อ แต่ถ้าเราทานน้อยมาก ตัวล่อมันไม่พอให้ดึงพลังงานสะสมหรือส่วนเกินที่อยู่ในร่างกายออกมาใช้ ทำให้ต้องดึงพลังงานชีวิตที่เป็นเชิงลึกออกมาใช้ ซึ่งพลังงานชีวิตนี้เรามีเท่ากันทุกคน ซึางก็คืออายุขัย ดึงออกมามากๆอายุขัยก็จะลดลง จึงเป็นเหตุว่าบางคนก็อายุยืน บางคนก็อายุสั้นเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
แล้วเกี่ยวอะไรกับการวิ่งเนี่ย??
ถ้าคุณไม่เคยวิ่งหรือออกกำลังกายเลย การจัดการพลังงานในร่างกายจะยังไม่คุ้นเคยกับการออกกำลังกาย จะต้องค่อยๆเริ่มทีละน้อยๆ และการฟื้นฟูร่างกายหลังการออกกำลังกายนั้นก็สำคัญมาก ถ้าไม่ฟื้นฟูจะทำให้ร่างกายดึงพลังชีวิตออกมาใช้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่เราพบนักกีฬาหลายประเภทเสียชีวิตจากอาการหัวใจวาย(ขอใช้คำว่าอาจจะนะ) ทีนี้หากเราไม่เคยสังเกตุตนเองมาก่อน เมื่อเราออกกำลังกายไปสักพักจะรู้สึกว่าเหมือนร่างกายมันพองฟู เพราะฮอร์โมนในร่างกายเริ่มมีการปรับเปลี่ยน ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เราไม่ทันได้สังเกตุข้อจำกัดของร่างกาย เช่น ถึงเวลาที่ควรดื่มน้ำแล้ว แต่เราไม่ดื่ม เพราะเห็นว่าไหว ไม่มีการเพิ่มสารอาหารที่ให้พลังงานเข้าไปในร่างกาย ร่างกายทำกิจกรรมได้ด้วยฮอร์โมนที่หลั่งออกมา บางคนกลับมองว่าดี ร่างกายได้เผาผลาญเพิ่มขึ้น อยากจะลดน้ำหนักหรืออะไรก็ตาม แต่มันไม่เป็นผลดีกับอวัยวะภายในเลย เพราะอาจจะส่งผลต่อการระบายความร้อนในร่างกาย กระบวนการเผาผลาญต่างๆในอนาคต อย่างนี้เป็นต้น
ในมุมมองของครูโยคะที่กำลังฝึกวิ่งสู่การวิ่งมาราธอน ก็ไม่ใช่ว่าฉลาดนัก แต่อาศัยว่าได้ศึกษาเรื่องการออกกำลังกายจากการเรียนผู้ฝึกสอนส่วนตัวบ้าง และได้คำแนะนำจากน้องสาวที่ฝึกมาก่อนหน้าบ้าง และอีกมุมหนึ่งจากคำสอนในโยคะคือ การรู้รักษาความสมดุลของทุกสิ่ง
การวิ่งถ้ามองในแง่ของการใช้งานร่างกายแล้ว การวิ่งเป็นการหดตัวของกล้ามเนื้อซะเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นมุมตรงข้ามกันคือต้องคลายกล้ามเนื้อด้วย ซึ่งพอพิจารณาแล้วก็เข้ากันดีกับโยคะ(ในมุมมองของหมวยเองนะคะ) เพราะโยคะจะช่วยคลายกล้ามเนื้อได้ และยังมีอีกหลายๆมุมที่ทำให้โยคะกับการวิ่งมาราธอนคล้ายๆกัน(ตอนนี้ยังไม่ถึงกับวิ่งมาราธอนแต่เขียนอธิบายไว้ก่อนนะ) การวิ่งมาราธอนและโยคะเป็นการฝึกความทนทาน ในขณะที่การวิ่งช่วยฝึกความทนทานของร่างกาย การฝึกโยคะจะช่วยเรื่องความทนทานของจิตใจ การวิ่งและโยคะไม่ต้องมีอุปกรณ์มากมาย วิ่งก็ขอให้มีรองเท้า ในขณะที่ฝึกโยคะก็มีเพียงแค่เสื่อ(ถ้าในความเห็นของหมวยเอง ไม่มีเสื่อก็ฝึกได้ตลอด และทั้งสองอย่างจะต้องฝึกให้ฝึกด้วยตนเองเพราะคุณสามารถหยุดเมื่อไหร่ก็ได้ มันทำให้ต้องท้าทายตนเองเสมอๆว่า...ขออีกนิดละกัน หรือไม่งั้นก็...ไม่ไหวละจะทำไปทำไม หยุดดีกว่า... ทำนองนี้แล
ซึ่งมุมมองพวกนี้ต้องพิจารณาหลายๆอย่างประกอบด้วย เช่น โดยส่วนตัวเป็นคนที่อืดมาก ทำอะไรก็ช้า ยิ่งฝึกโยคะในแบบช้าๆก็มีแนวโน้มว่าจะช้าลง(หยิน-เย็น) ดังนั้นต้องเพิ่มความเร็ว(หยาง-ร้อน) บางคนที่ชอบฝึกโยคะแบบไดนามิค อาจจะต้องมามองการบริหารอื่นๆที่ช่วยให้สบายตัวมากขึ้นแทนก็ได้ ก็ต้องพิจารณาเป็นรายบุคคลไป
บทความอันนี้จึงเป็นเหมือนการตอบคำถามของใครหลายๆคนที่ถามหมวยไว้ว่า
ไปวิ่งทำไม ทำไมต้องเป็นวิ่งมาราธอน
และนอกจากการฝึกวิ่งแล้ว ตอนนี้ก็ยังเสริมโยคะนิทราเพื่อผ่อนคลายหรือลดความเครียดเข้าไปด้วย ทำให้ได้ฟื้นฟูร่างกายอย่างเต็มที่จริงๆ ^^
วันนี้วิ่งบนลู่ไป 4.3 กม. ใช้เวลาไป 40 นาที ซึ่งมีเป้าหมายว่าจะวิ่งเหยาะๆเช่นนี้ให้ได้ครบชั่วโมงแล้วค่อยไปเพิ่มความเร็วอีกที
แล้วเจอกันนะ เจ้าปิศาจกิโลเมตรที่ 5 ^O^
Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2558 | | |
Last Update : 2 มีนาคม 2558 20:39:29 น. |
Counter : 495 Pageviews. |
| |
|
|
|