โยคะเป็นไปเพื่อดับการปรุงแต่งของจิต
Group Blog
 
All blogs
 

เ มื่ อ ค รู โ ย ค ะ จะ วิ่ ง ม า ร า ธ อ น ตอนที่ 6- สมดุลชีวิต วิ่งและโยคะ

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 


ซ้อมวิ่งในฟิตเนส วันนี้ฝึกโยคะก่อนสัก 40 นาที(จริงๆมัน 1 ชม. แต่มาสาย 555) และเวลาฝึกก็ไม่บ้าจี้ตามครูที่นำฝึกนะ เอาแค่ยืดเบาตามที่ร่างกายตัวเองต้องการ ตอนจบคลาสมีหลายคนที่เดินออก ไม่พักท่าศพ รู้สึกเสียดายแทนเขานะ การพักในท่าศพตอนท้ายเนี่ยสำคัญมาก การฝึกโยคะหรือฝึกวิ่งก็ตาม การได้ปล่อยให้ร่างกายได้ฟื้นฟู แถมบางคนยังอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักกันอีก ร่างกายไม่มีอะไรเพื่อฟื้นฟูร่างกายภายหลังการใช้งาน 


พลังงานที่ถูกมาใช้ในกิจกรรมต่างๆของร่างกายประจำวันมาจากสองทางคือ 1.รับเข้าไปในรูปอาหาร น้ำ อากาศทางหนึ่ง และ2.พลังงานที่ถูกดึงออกมาจากภายในร่างกายซึ่งคือพลังงานชีวิต ถ้าเราทานอาหารน้อยมันจะไม่เพียงพอต่อการเผาผลาญหรือพลังงานที่รับเข้าไปตัวนี้จะเป็นตัวดึงพลังงานสะสมในร่างกายออกมาใช้ด้วย เหมือนตัวล่อ แต่ถ้าเราทานน้อยมาก ตัวล่อมันไม่พอให้ดึงพลังงานสะสมหรือส่วนเกินที่อยู่ในร่างกายออกมาใช้ ทำให้ต้องดึงพลังงานชีวิตที่เป็นเชิงลึกออกมาใช้ ซึ่งพลังงานชีวิตนี้เรามีเท่ากันทุกคน ซึางก็คืออายุขัย ดึงออกมามากๆอายุขัยก็จะลดลง จึงเป็นเหตุว่าบางคนก็อายุยืน บางคนก็อายุสั้นเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 


แล้วเกี่ยวอะไรกับการวิ่งเนี่ย??


ถ้าคุณไม่เคยวิ่งหรือออกกำลังกายเลย การจัดการพลังงานในร่างกายจะยังไม่คุ้นเคยกับการออกกำลังกาย จะต้องค่อยๆเริ่มทีละน้อยๆ และการฟื้นฟูร่างกายหลังการออกกำลังกายนั้นก็สำคัญมาก ถ้าไม่ฟื้นฟูจะทำให้ร่างกายดึงพลังชีวิตออกมาใช้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่เราพบนักกีฬาหลายประเภทเสียชีวิตจากอาการหัวใจวาย(ขอใช้คำว่าอาจจะนะ) ทีนี้หากเราไม่เคยสังเกตุตนเองมาก่อน เมื่อเราออกกำลังกายไปสักพักจะรู้สึกว่าเหมือนร่างกายมันพองฟู เพราะฮอร์โมนในร่างกายเริ่มมีการปรับเปลี่ยน ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เราไม่ทันได้สังเกตุข้อจำกัดของร่างกาย เช่น ถึงเวลาที่ควรดื่มน้ำแล้ว แต่เราไม่ดื่ม เพราะเห็นว่าไหว ไม่มีการเพิ่มสารอาหารที่ให้พลังงานเข้าไปในร่างกาย ร่างกายทำกิจกรรมได้ด้วยฮอร์โมนที่หลั่งออกมา บางคนกลับมองว่าดี ร่างกายได้เผาผลาญเพิ่มขึ้น อยากจะลดน้ำหนักหรืออะไรก็ตาม  แต่มันไม่เป็นผลดีกับอวัยวะภายในเลย เพราะอาจจะส่งผลต่อการระบายความร้อนในร่างกาย กระบวนการเผาผลาญต่างๆในอนาคต อย่างนี้เป็นต้น


ในมุมมองของครูโยคะที่กำลังฝึกวิ่งสู่การวิ่งมาราธอน ก็ไม่ใช่ว่าฉลาดนัก แต่อาศัยว่าได้ศึกษาเรื่องการออกกำลังกายจากการเรียนผู้ฝึกสอนส่วนตัวบ้าง และได้คำแนะนำจากน้องสาวที่ฝึกมาก่อนหน้าบ้าง และอีกมุมหนึ่งจากคำสอนในโยคะคือ การรู้รักษาความสมดุลของทุกสิ่ง


การวิ่งถ้ามองในแง่ของการใช้งานร่างกายแล้ว การวิ่งเป็นการหดตัวของกล้ามเนื้อซะเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นมุมตรงข้ามกันคือต้องคลายกล้ามเนื้อด้วย ซึ่งพอพิจารณาแล้วก็เข้ากันดีกับโยคะ(ในมุมมองของหมวยเองนะคะ) เพราะโยคะจะช่วยคลายกล้ามเนื้อได้ และยังมีอีกหลายๆมุมที่ทำให้โยคะกับการวิ่งมาราธอนคล้ายๆกัน(ตอนนี้ยังไม่ถึงกับวิ่งมาราธอนแต่เขียนอธิบายไว้ก่อนนะ) การวิ่งมาราธอนและโยคะเป็นการฝึกความทนทาน ในขณะที่การวิ่งช่วยฝึกความทนทานของร่างกาย การฝึกโยคะจะช่วยเรื่องความทนทานของจิตใจ การวิ่งและโยคะไม่ต้องมีอุปกรณ์มากมาย วิ่งก็ขอให้มีรองเท้า ในขณะที่ฝึกโยคะก็มีเพียงแค่เสื่อ(ถ้าในความเห็นของหมวยเอง ไม่มีเสื่อก็ฝึกได้ตลอด  และทั้งสองอย่างจะต้องฝึกให้ฝึกด้วยตนเองเพราะคุณสามารถหยุดเมื่อไหร่ก็ได้ มันทำให้ต้องท้าทายตนเองเสมอๆว่า...ขออีกนิดละกัน หรือไม่งั้นก็...ไม่ไหวละจะทำไปทำไม หยุดดีกว่า... ทำนองนี้แล


ซึ่งมุมมองพวกนี้ต้องพิจารณาหลายๆอย่างประกอบด้วย เช่น โดยส่วนตัวเป็นคนที่อืดมาก ทำอะไรก็ช้า ยิ่งฝึกโยคะในแบบช้าๆก็มีแนวโน้มว่าจะช้าลง(หยิน-เย็น) ดังนั้นต้องเพิ่มความเร็ว(หยาง-ร้อน) บางคนที่ชอบฝึกโยคะแบบไดนามิค อาจจะต้องมามองการบริหารอื่นๆที่ช่วยให้สบายตัวมากขึ้นแทนก็ได้ ก็ต้องพิจารณาเป็นรายบุคคลไป


บทความอันนี้จึงเป็นเหมือนการตอบคำถามของใครหลายๆคนที่ถามหมวยไว้ว่า …ไปวิ่งทำไม ทำไมต้องเป็นวิ่งมาราธอน


และนอกจากการฝึกวิ่งแล้ว ตอนนี้ก็ยังเสริมโยคะนิทราเพื่อผ่อนคลายหรือลดความเครียดเข้าไปด้วย ทำให้ได้ฟื้นฟูร่างกายอย่างเต็มที่จริงๆ ^^


วันนี้วิ่งบนลู่ไป 4.3 กม. ใช้เวลาไป 40 นาที ซึ่งมีเป้าหมายว่าจะวิ่งเหยาะๆเช่นนี้ให้ได้ครบชั่วโมงแล้วค่อยไปเพิ่มความเร็วอีกที


แล้วเจอกันนะ เจ้าปิศาจกิโลเมตรที่ 5 ^O^




 

Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 2 มีนาคม 2558 20:39:29 น.
Counter : 495 Pageviews.  

เ มื่ อ ค รู โ ย ค ะ จะ วิ่ ง ม า ร า ธ อ น ตอนที่ 5 นาฬิกาวิ่งเรือนแรก

สวัสดีค่ะ 


วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558 หลังตัวเบาเพราะแจกแต๊ะเอียเด็กๆไป -_-


เช้านี้ที่บึงสะแกงามสามเดือนและบึงมะขามเทศ กำลังเห่อนาฬิกาวิ่งเรือนใหม่ Tomtom Multi-sport range 


ตอนแรกกะว่าจะซื้อนาฬิกาวิ่งอย่างเดียวก่อน แต่พอจะมีงบแบบกัดฟันได้อีกนิดก็เลย...จัดไป!!



นาฬิกาเรือนนี้ก็ยังคงบอกเวลาได้ตามปกติด้วย แต่ที่เพิ่มมาก็คือมี GPS มีเซ็นเซอร์ตรวจการเต้นของหัวใจโดยไม่ต้องใช้สายคาดอก มีให้เลือกได้ว่าจะวิ่ง ปั่นหรือว่ายน้ำ และนอกจากนี้ยังมีฟรีสไตล์กรณีที่ออกกำลังกายแบบอื่น เมื่อต่อเข้ากับเครื่องคอมก็จะส่งผลออกมาเป็นภาพและกราฟทุกระยะการวิ่ง ประมาณนี้



คือ…ตอนนี้รู้แค่นี้ 555

ช่วงนี้ตรุษจีน วันหยุดด้วย บังเอิญลูกก็หยุดก็เลยได้มีโอกาสไปวิ่งที่บึงแถวบ้านซึ่งเป็นเส้นทางปั่นจักรยานแต่ก็วิ่งได้ค่ะ 


ไปตั้งแต่เช้ามืด ไปถึงก็เพิ่งรู้ว่าเขาเปิดตอน6 โมงเช้า แป่ววววว ไปถึงก่อนตั้งเกือบครึ่งชม. ช่วงระหว่างรอมีผู้ที่มารอเพื่อปั่นจักรยานก่อนแล้ว และที่ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ เนื่องจากว่าไม่เคยมาที่นี่ก็เลยสอบถามเส้นทางกับคนที่มาปั่นจักรยานสักนิด


บึงสะแกงามสามเดือนและบึงมะขามเทศเช้านี้ บึงนี้มีเส้นทางปั่นจักรยานยาวทั้งหมดประมาณ 4.3 กม. โดยถ้าปั่นจักรยานไปทางเดียวไม่มีย้อนศร แต่จะมีแยกเพื่อปั่นสั้นๆหรือวิ่งสั้นที่กิโลเมตรที่ 1.6 ซึ่งถ้าวิ่งรอบเล็กก็เลี้ยวขวา น่าจะได้ราวๆ 2 กิโลเมตรกว่าๆ ถ้าเป็นการวิ่งก็นับว่าเป็นเส้นทางที่ดีทีเดียว โดยเริ่มสั้นๆที่ 2 กม.กว่าๆ แล้วเพิ่มไปเป็นรอบใหญ่แล้วก็เป็นรอบใหญ่+รอบเล็ก ทำนองนี้

วันนี้ตั้งใจจะให้ครบรอบ 4.3 กม. แต่ว่าวิ่งแค่ 3 กม. และที่เหลือเป็นเดินสลับวิ่ง ซึ่งเช้านี้ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อระหว่างฤดูหนาวกับฤดูร้อน พระอาทิตย์ยังมาสายไปบ้างทำให้เส้นทางซึ่งไม่มีไฟส่องตลอดทางดูจะมืดไปบ้าง แต่พอวิ่งไปแล้วก็มีจักรยานเวียนมาเป็นเพื่อนอยู่เป็นระยะๆ

การวิ่งที่นี่นับว่าเป็นเส้นทางที่กำลังดี เพราะตั้งใจจะวิ่งแค่ 3 กม.ก่อน ที่เหลือก็จะคูลดาวน์ และเดินสลับวิ่งไป และนอกจากนี้ข้อดีของที่นี่อีกอย่างคือมีตัวอักษรบอกระยะบนพื้นทุกๆ200 เมตร ทำให้มีแรงอึดเรื่อยๆ แบบว่า.... อีกนิดนะ จวนละ เช้านี้เลยได้กราฟออกมาประมาณนี้




แม้ว่าจะมีรูปแบบหรือแผนการฝึกที่หาได้มากมายตามอินเตอร์เน็ต แต่ขอบอกเลยว่า …ไม่มีแผนใดที่สมบูรณ์แบบ หลายแผนมีทั้งการวิ่งมาก วิ่งน้อยสลับกับการพัก แต่เมือ่พิจารณาแล้วแผนฝึกๆพักๆคงไม่เหมาะกันเราสักเท่าไหร่เพราะปกติจะต้องฝึกโยคะเป็นประจำ จึงเรียกว่ามีกิจวัตรที่ต้องใช้ร่างกายอยู่แล้ว ดังนั้นแผนการฝึกจึงเปลี่ยนไปตามสภาวะร่างกายและจิตใจ แต่แน่นอนว่าคงจะต้องมีการพิจารณาถึงการพัฒนาที่เหมาะสมด้วย

ตอนนี้จึงยึดหลัก...วิ่งเพิ่มสัปดาห์ละ 0.5-1 กม. ไว้ก่อนค่ะ และต่อด้วยการยือเหยียดแบบโยคะวันละ ครึ่งชม.-1 ชม. และมีวันหยุดพักไม่ทำกิจกรรม 1 วัน ประมาณนี้ ซึ่งต่อไปก็จะใช้นาฬิกานี้เพื่อการฝึกโยคะด้วย ดูพัฒนาการของร่างกายด้านต่างๆ

แล้วเจอกันนะ นักวิ่งทั้งหลาย ^^




 

Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 2 มีนาคม 2558 20:39:50 น.
Counter : 397 Pageviews.  

เ มื่ อ ค รู โ ย ค ะ จะ วิ่ ง ม า ร า ธ อ น ตอนที่ 4-ปิศาจของนักวิ่ง

สวัสดีค่ะ


วันนี้หลังจากจบภารกิจยุ่งๆประจำวัน แล้ว ไม่ว่าจะส่งของ ดูแลหมาๆ ต้อนรับแขกที่มาโดยไม่ได้นัดหมาย หมวยก็ไปวิ่งต่อที่สวนสาธารณะที่ใกล้เคหะคลองจั่น 


บางคนอาจจะสงสัยยังไม่จบว่าทำไมครูสอนโยคะจะต้องมาวิ่งทั้งที่บอกว่าแข็งแรงด้วยโยคะ แน่นอนค่ะว่าหมวยยังคงแข็งแรงในแบบปกติทั่วๆไป ไม่มีโรคประจำตัวอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะพิจารณากันต่อคือ โดยลักษณะของหมวยเป็นคนเฉื่อย อีกทั้งการฝึกโยคะก็เป็นแบบเฉื่อยๆซะเป็นส่วนใหญ่ หากพิจารณาไปแล้วก็จะต้องมีการสมดุลด้วยการเติมความกระปรี้กระเปร่าเข้าไปเพื่อให้มีความกระตือรือร้นในการทำงานตามปกติ ส่วนคนที่ปกติแล้วเป็นคนที่ชอบทำโน่นทำนี่ไม่หยุด ไม่ค่อยอยู๋นิ่ง เหล่านี้อาจมีแนวโน้มที่กล้ามเนื้อจะเกร็งตลอดเวลา ก็เหมาะกับการฝึกโยคะในแบบนิ่งๆช้าๆค่ะ


ที่นี้เรามาเข้าเรื่องสำหรับวันนี้ดีกว่า


ถ้าหากใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง รัก 7 ปี ดี 7 หน และเป็นตอนที่เล่าเรื่องถึงการวิ่งมาราธอน และปิศาจกิโลเมตรที่ 35 ….สำหรับคนที่ไม่เคยวิ่งไม่เคยออกกำลังกายคุณจะพบว่า...เมื่อคุณย้อนกลับมาคิด...มันไม่มีปิศาจกิโลเมตรที่ 35 แต่มีปิศาจตั้งแต่กิโลเมตรที่ 1 ที่ตามหลอกหลอนมาตลอด และปิศาจตัวนี้จะเปลี่ยนรูปแบบ โดยเริ่มต้นปิศาจตัวนี้คือปิศาจขี้เกียจ -_-


ปิศาจตัวนี้เริ่มตั้งแต่คุณจะหาเหตุผลมาออกกำลังกาย เริ่มหารองเท้าและเสื้อผ้าที่เหมาะสม พอเห็นรองเท้าคู่ละเป็นพันก็เริ่มคิดแล้วว่าเอารองเท้าธรรมดาไปก่อนก็ได้ หรือ วิ่งสักนิดหน่อยก็โอเคน่า พอคุณมีรองเท้ามีเสื้อผ้าแล้วพอจะก้าวเท้าลงจากเตียงปิศาจขี้เกียจก็หาข้ออ้างให้คุณอีก พอตื่นสายปิศาจขี้เกียจก็บอกว่า...ตอนเย็นละกัน … 555


มันคอยตามมาเรื่อยๆตลอด เมื่อคุณหลุดจากมัน มันก็หาเหตุผลอื่นมาอ้างต่ออย่างไม่รู้จบ


สำหรับหมวยแม้จะพ้นช่วงต้นมาแล้ว แต่ก็ยังไม่พ้นดีหรอก ตอนนี้ก็เจอปิศาจกิโลเมตรที่ 2 อยู่ คอยบอกให้หยุดอยู่ร่ำไป -_- อย่าเพิ่งงงนะว่าอะไรกัน แค่ 2 กม.เอง …2กม.ที่พยายามอยู่นี้คือพยายามวิ่งอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพักเดินค่ะ ^^


แต่ไม่มีใครจะทำให้ปีศาจตัวนี้หยุดได้ นอกจากตัวเราเอง...จริงมั๊ย? 


และต่อให้วางแผนมาดีขนาดไหน ใครมีแผนการวิ่งที่เจ๋งขนาดไหนมาให้ก็ตาม ก็คงต้องถามตัวเองว่า...ร่างกายและจิตใจ พร้อมที่แผนไหนกันแน่


แล้วเจอกันนะ …ปิศาจกิโลเมตรที่ 3 ^^





 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 2 มีนาคม 2558 20:40:39 น.
Counter : 642 Pageviews.  

เ มื่ อ ค รู โ ย ค ะ จะ วิ่ ง ม า ร า ธ อ น ตอนที่ 3-เริ่มหาสูตรวิ่ง

สวัสดีค่ะ


วันนี้วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์


หลังจากวิ่ง 10.5 กม. ไปเมื่อวาน วันนี้ก็กลับมาวางแผนการซ้อมวิ่งอีกครั้ง


บางคนที่เริ่มมีความคิดที่จะวิ่งมาราธอนใหม่ๆอาจจะเหมือนหมวยก็ได้ เลยคิดว่าอยากจะลองแบ่งปันบางอย่างกับเพื่อนๆดูบ้าง


แรกๆหมวยก็แค่ความคิดแวบเข้ามาหล่ะว่า เฮ้ย!!ปีนี้อายุ40แล้ว(ปี2557นะคะ) ฉันอยากวิ่งมาราธอน แต่ว่าคิดตอนสิงหาคม เริ่มวิ่งตอนตุลาคม อยากจะวิ่งมาราธอนกันในปีที่แล้วมันคงไม่เอื้อหละค่ะ กลับมาโดนน้องสาวเล่นซ้าาาาาา ก็เลยขอคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ซะก่อน ซึ่ง…ก็คือน้องสาวของอิฉันนี่เอง 5555 คำแนะนำแรกที่เธอบอกคือ …วิ่ง Fun Run ให้ได้แบบต่อเนื่องซะก่อน Fun Run คือการวิ่งครึ่งนึงของ Mini Marathon อีกที ประมาณ 5-6 กม. เธอบอกว่าพยายามวิ่งให้ได้ต่อเนื่องไปก่อน ก็เลยพยายามตามนี้ไปค่ะ ตอนนี้ก็ยังไม่ต่อเนื่องนะ 5555 ได้ประมาณ 3 กม.ค่ะ แต่การหายใจดีขึ้น


ทีนี้พอหันกลับมาพิจารณาแล้ว เฮ้ยยยย มันจะต้องพิจารณาปัจจัยอะไรบ้าง ซึ่งดูแล้วก็น่าจะมีอยู่สองข้อค่ะ คือ ความอึดกับความเร็ว บางคนอาจมีความอึดเป็นทุนเดิมวิ่งได้นานแต่ไม่เร็ว บางคนวิ่งได้เร็วแต่ไม่อึด ไอ้เรารึ?...ไม่อึดและไม่เร็ว 55555 แล้วยังไงล่ะ? เมื่อพิจารณาจากการวิ่งมาราธอนแล้วสิ่งที่สำคัญแรกเริ่มคือความอึดก่อนหล่ะ(สำหรับหมวยนะ) เพราะมาราธอนมันคือความอึดนะ ยกขาดันตัวให้ได้ต่อเนื่องเป็นชั่วโมง เป็นความอึดแท้ๆ เลยคิอว่าต้องพัฒนาความอึดก่อน ก็เริ่มตามที่คุณน้องสาวบอกล่ะค่ะ ทดลองวิ่งต่อเนื่องแบบเหยาะๆ ได้มา 2 กม. ถามว่า...ได้มากกว่า 2 กม.มั๊ย ก็ได้นะ แต่ถ้าเกินจาก 2กม.ไปจะทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติแล้ว จะขึ้น-ลงบันไดมันก็ยกไม่ไหว อันนี้มาจากประสบการณ์การวิ่งหนแรกที่ไม่ได้มีการซ้อม ไปวิ่ง Midnight Run 6 กม. กลับมาเดี้ยงไปสองวัน ดังนั้นเลยขอเริ่มจาก 2 กม. นี่แหละ เอาจังหวะวิ่งแบบไม่อ้าปากหอบ ยังคงวิ่งสบายๆโดยหายใจทางจมูกได้อยู่


ในช่วงสองสัปดาห์ก่อน ก็เริ่มวิ่ง 2 กม.นี่แหละในตอนเช้า ข้างนอก2-3 วัน และวิ่งในฟิตเนส 2 วัน อันนี้ไม่รวมการยืดเหยียดด้วยโยคะนะ เพราะต้องทำอยู่ตามปกติอยู่แล้ว และกำหนดไว้ว่าไม่มากกว่านี้ ครบแล้วก็หยุด


ในช่วงสัปดาห์ที่แล้วก็จะมีการเพิ่มความเร็วขึ้นในการฝึกบนเครื่องวิ่ง โดยสัปดาห์แรกกำหนดความเร็วแค่ 6 กม./ชม. สัปดาห์ถัดมาเมื่อรู้สึกอึดได้พอสมความแล้วก็เพิ่มความเร็วเล็กน้อยที่ 6.5 กม./ชม. และในวันศุกร์ก่อนวันวิ่งจริงสองวันก็เพิ่มเป็น 7กม./ชม. ก็ยังอยู่ในเวลา 20 นาทีเท่านั้นยังไม่มากกว่านี้


พอกลับมาจากวิ่งในวันอาทิตย์(ในบทที่ 2) ก็พบว่าดีขึ้น อาการปวดหลังไม่มี ปวดขาปวดตัวลดลงเลยคิดว่าจะปรับโปรแกรมขึ้นมาเล็กน้อย ตามรูป



ซึ่งดูแล้วน่าจะมีความเป็นไปได้สูง

โดยที่เป้าหมายอยู่ที่การวิ่งมาราธอนในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2558 

ดังนั้นก็จะสามารถทำโปรแกรมพัฒนาการวิ่งได้ 3 โปรแกรมพอดีคือ ช่วงละ 10 สัปดาห์ 
ช่วงแรก10 สัปดาห์ถัดจากนี้ พัฒนาเพื่อการวิ่ง 10 กม.ให้ดีขึ้น
ช่วง 10 สัปดาห์ที่สอง พัฒนาเพื่อการวิ่ง 21 กม.
และช่วง 10 สัปดาห์ที่ 3 เพื่อพัฒนาสูการวิ่งมาราธอน
และก็จะมีช่วง ที่สามารถเว้นพักได้ในแต่ละช่วงประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วก็มีเวลาซ้อมตามโปรแกรมเพื่อการวิ่งมาราธอนต่ออีกประมาณ 6 สัปดาห์ก่อนถึงเวลาวิ่งจริง

นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ต้องพิจารณาอีกคือเรื่องสารอาหารและน้ำ เพราะพิจารณาตัวเองแล้วไม่น่าจะทนอดน้ำได้ถึง 2กม. จึงต้องพกขวดน้ำเล็กๆขนาด 250 ml. ไว้ เพื่อเตือนตัวเองให้ดื่มน้ำทุก 1 กม. และก็มีวิตามินซีและบีรวมสำหรับเด็กพกติดตัวไว้ด้วยเวลาวิ่ง หรือไม่งั้นก็เป็นน้ำเกลือแร่ และมีช็อกโกแลตชิ้นเล็กๆพกติดตัวไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่คนนะแต่จากที่เรียนการฝึกสอนส่วนบุคคลมาพลังงานในกระแสเลือดมันจะหมดไปภายในเวลา 1.30-2 ชม. ดังนั้นก็ต้องเผื่อไว้ก่อน

ทั้งนี้ทั้งนั้นอันนี้เป็นความคาดหวัง ที่เหลือต้องทำมันขึ้นมา โปรแกรมก็อาจจะปรับเปลี่ยนไปบ้างตามความเหมาะสมเพราะบอกแล้วมันต้องพิจารณาความอึดกับความเร็วไปด้วยกัน ไม่งั้นมีหวังจบมาราธอนด้วยเวลา 8 ชม.เป็นแน่แท้ หรือไม่งั้นก็...ขึ้นรถพยาบาลไปก่อน 5555

จบข่าว ไปฝึกก่อนดีกว่า ^^




 

Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 2 มีนาคม 2558 20:41:53 น.
Counter : 346 Pageviews.  

เ มื่ อ ค รู โ ย ค ะ จะ วิ่ ง ม า ร า ธ อ น ตอนที่ 2-ฉัน…วิ่ง

วันนี้วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558 

เป็นอีกก้าวสู่การวิ่งมาราธอน วิ่งจบไปรายการที่ห้าแล้ว วันนี้วิ่งระยะทาง 10.5 กม. ทำเวลา 1 ชั่วโมง 42 นาที โดย 6 กม.แรก ดูเวลาผ่านไป 52 นาที นับว่าไม่เลว พอย้อนกลับมาดูตอนวิ่งไนกี้ ทำเวลา10 กม.-1:45 ชั่วโมง แปลว่าดีขึ้นมาเล็กน้อย

ช่วงที่ผ่านมานับว่าขี้เกียจซ้อม เพิ่งมาสองอาทิตย์ก่อนหน้าที่เริ่มลงมือซ้อมโดยวิ่งแถวบ้านกับวิ่งบนลู่และเข้าคลาสยืดเหยียดด้วย เพราะไม่งั้นก็ไปไม่ถึงมาราธอนกันซะที >_ในช่วงแรกพยายามวิ่งเหยาะๆอย่างต่อเนื่องพบว่าตัวเองวิ่งต่อเนื่องได้ประมาณ 2 กม.เท่านั้นเอง ดูน่าท้อแท้ไปบ้างแต่ก็พยายามคงระยะที่จะวิ่งอย่างต่อเนื่องในระยะเท่านี้ไปก่อน แล้วค่อยเพิ่มขึ้นไปสัปดาห์ละ 500 เมตร -_-

ช่วงที่วิ่งสำรวจความรู้สึกของร่างกายตัวเองว่าแตกต่างกับรายการอื่นๆอย่างไร? การวิ่งที่ผ่านมาสี่ครั้งแรกมีอาการปวดหลังในตลอดระยะทางที่วิ่ง น่าจะเป็นด้วยการลงเท้าที่ยังไม่เหมาะสม การแกว่งแขน การเคลื่อนไหวของร่างกายที่ไม่เคยซ้อมหรือเตรียมตัวไม่มากพอ บวกกับน้ำหนักตัวและกล้ามเนื้อที่ไม่แข็งแรงพอ หนนี้รู้สึกได้ว่า...ไม่ปวดหลังขณะที่วิ่งแล้ว สบายตัวมากขึ้นในขณะที่วิ่ง มีแค่ฝ่าเท้าและปลายนิ้วเท้าเกิดความปวดตึงและชาบ้างซึ่งอาจจะเป็นที่ร้องเท้าหรือการลงเท้าที่อาจจะยังไม่เหมาะสมอีกเช่นกัน ก็คงต้องค่อยๆพิจารณาไป

เคยอ่านเจอคนที่สงสัยว่าทำไมพวกที่วิ่งชอบโพสลงว่าวิ่งได้แค่นั้นแค่นี้ แค่วิ่งเอง ไม่เห็นจะต้องภูมิใจขนาดนั้น

กีฬาแต่ละประเภทก็มีการใช้ร่างกายที่ต่างกันออกไป การฝึกโยคะก็เรื่องหนึ่ง การวิ่งก็เช่นกัน มันต้องต่อสู้กับความขี้เกียจของตัวเอง ความต้องการจะหยุดวิ่งอยู่ตลอดเวลา ช่วงที่วิ่งในรายการแรกๆก็ถามตัวเองตลอด.....นี่กูทำอะไรอยู่วะ ไม่เห็นจะต้องทรมานตัวเองอย่างนี้ก็มีสุขภาพดีพอแล้ว แต่ก็ยังพยายามวิ่งต่อไปเพื่อพยายามค้นหาคำตอบให้กับคำถามนั้น ในขณะที่พยายามวิ่งก็มีหยุดและเดินบ้าง มองผู้คนที่ทั้งวิ่งและเดินบ้าง พวกเขาคิดอะไรกันอยู่? แล้วก็หันมามองความคิดตัวเองบ้าง วิ่งสิ ตอนนี้กำลังวิ่ง สติต้องอยู่กับการวิ่ง! 

สำหรับตัวฉันเองเป็นเหมือนความท้าทายใหม่ๆ ค้นหาขีดจำกัดของร่างกายและความเป็นไปได้ ค้นพบความสมดุลของร่างกายและจิตใจ

จากก้าวหนึ่งไปอีกก้าวหนึ่ง เมตรหนึ่งไปอีกเมตรหนึ่ง ไม่มีอะไรมากไปกว่า...ขอแค่อีกก้าว...เท่านั้น

ฉัน…วิ่ง




 

Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 2 มีนาคม 2558 20:43:14 น.
Counter : 352 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

หมวยเกี๊ยะA2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




สาวน้อย(อิอิ)ธรรมดา ที่มีพี่ๅน้องแสนฉลาด พี่สาวคนโตจบดอกเตอร์ทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร พี่ชายคนโตจบศิลปะแต่ได้ผันตัวเองมาทำงานภาพยนตร์จนเป็นผู้กำกับ พี่ชายคนเล็กก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารที่คนเขาแย่งตัวกัน ส่วนน้องสาวคนเล็กก็เป็นหมอฟันประจำตัวให้เราน่ะเอง

ส่วนตัวเองเรียนจบมาทางด้านภาพยนตร์ ที่ล้วนแล้วแต่มายา แต่ดันผ่าอยากศึกษาด้านธรรมะและโยคะ เพราะความล้มเหลวด้านชีวิตครอบครัวเป็นเหตุ

วันดีคืนดีจึงนั่งเครื่องบิน บินไปอินเดียที่เป็นแหล่งกำเนิดโยคะและศึกษาอย่างจริงจัง (เที่ยวอย่างจริงจังด้วย)
ที่ Yoga Vidya Gurukul
ณ เมืองนาสิก ประเทศอินเดีย
เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ.2549

ตอนนี้ก็รับสอนโยคะอย่างจริงจังมาก็เริ่มปีที่ห้าแล้ว

ในปี 2553 ได้จบหลักสูตรต่างๆทุกหลักสูตรที่มีอยู่ในสถาบันแล้ว รวมทั้งศึกษาศาสตร์อื่นๆมามากมายก่ายกอง ไม่ว่าจะเป็น โยคะบำบัด อายุรเวท เรกิ ธรรมชาติบำบัด :-D

ตอนนี้เริ่มสอนอีกครั้งแล้วค่ะ ถ้าสนใจเรียนเป็นกลุ่มหรือเรียนตัวต่อตัวหรือเป็นวิทยากร
ก็ติดต่อมาได้นะคะ
Tel.+66 (0)85 1420201
[Add หมวยเกี๊ยะA2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.