Group Blog
 
All blogs
 

ลั่นล่ากัน ณ สังขละบุรี



ช่วงนี้ฝนตกตลอดๆ อากาศเอาแน่เอานอนอะไรไม่ค่อยจะได้ เหมือนกับฉันและคนอื่นๆ เลย ที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้เหมือนกัน ^_^” คิดมาหลายเดือนคุยกันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าถ้าจะไปก็ให้โทรไปชวน พี่ๆ เพื่อนๆ ที่ทำงานเดิมไปทัวร์ถิ่นเราซะหน่อย

สุดท้ายก็ไม่มีใครไปกะเราเลย เป็นอันต้องยกเลิกทริป “สวนผึ้ง ชมเทียน เลี้ยงแกะ แช่น้ำพุร้อน เล่นน้ำตก” ไปแบบไม่เข้าใจว่าฉันชวนผิดจังหวะหรือไง ก็เคยชวนไว้ก่อนหน้านั้นทุกคนก็โอเคๆ ดี เพียงแต่ไม่ได้กำหนดวันก็เท่านั้น โธ่ฟ้าดินช่างโหดร้ายจริงๆ (โทษไปโน้น) ^^”
แต่มี ฤ ที่ฉันจะยอมให้วันหยุดที่มีค่าผ่านไปเฉยๆ พอถึงวันเสาร์ปุ๊บก็ไปปั๊บ แบบไม่ได้คิดไม่ได้เตรียมตัว ไม่ๆๆๆ ทั้งนั้น ก็จะไปนิ ฮ่าๆๆ (ฟังแล้วไม่ค่อยจะดีเลยนะ) แต่ก็สนุกนะ เพียงแต่เปลี่ยนจุดหมายก็เท่านั้น ไปกันเลยเย้ๆๆๆ ออกเดินทาง....

ออกเดินทางจาก กทม. เวลา 14.30 น. แวะกินข้าวที่องค์พระปฐมเจย์ดี จ.นครปฐม ตอน 16.50 น. (ร้านเขายังไม่ได้ตั้งเลย ^^) รอซักแปะ ร้านก็เริ่มทยอยตั้งแล้ว เย้ๆๆๆ ^^ แวะซื้อถั่วปั่น (แปลกแต่ก็อร่อยนะ ^^) แล้วก็นั่งลงสั่งข้าวหมกไก่ เกาเหลาซุปหางวัว กินกันอย่างหิวโซ (มื้อเที่ยงยังไม่ตกถึงท้องเลยคร๊า =0=) 17.30 น. ออกเดินทางต่อจุดหมายยังอยู่อีกไกล ไปโลด...^___<


แวะทานข้าวที่ นครปฐม ^^


ถึงตัวเมือง กาญจนบุรีเวลา 18.45 น. (ขับรถเร็วนะเรา) ชะลอรถแวะไหล่ทางเปิดแผนที่กันหน่อย ^^” ไปไม่เถิกๆ ดูเสร็จก็ออกรถไปกันต่อ ขับผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ฝนก็ตกพรำๆ ตลอด ทางก็เริ่มมืดตื๊ดตือ รถก็เริ่มน้อย ดูเกน้ำมันก็เริ่มจะตก ในใจก็ร้องเรียก ป๊าม ปาม ป๊าม ปั๊ม ปั๊มๆๆๆ อยู่หนายยย T^T โผล่มาซะทีนะ อ๊ะ!!! ที่นี่ที่ไหนค่ะ ทำไมมีแต่ป่าทั้งสองข้างทางเลยอะ แง๊ๆๆๆๆ หรือว่าเราจะหลง O0O” เห็นทีว่าไอ้แผนที่คิดปุ๊บมาปั๊บมันจะไม่เวิร์คแล้วละม๊างงเนี๊ย!!!! =*=

เวลา 20.30 น. เห็นป้าย อีก 500 ร้อยเมตรจุดพักรถ ปั๊ม ปตท. ใจชื้นขึ้นมาทันทีทันได้ ขนาดเป็นป้ายเล็กๆ นะเนี๊ยะ ^___^ ขับไปๆ ปั๊มๆ โน้นๆ ปั๊มจริงๆ ไม่ได้ตาฝาด เข้าไปเลย เรารอดแล้ว 555 (ทั้งที่เกน้ำมันยังเหลืออีกสิบลิตรกว่าๆ นะ) ก็มันดึกแล้วนี่ เอาแน่นเอานอนไม่ได้นี่นา แถมตลอดทางที่มาก็ไม่เห็นจะมีปั๊มเลยซักกะปั๊ม มื๊ดก็มืด พอเด็กปั๊มมา ก็เลยบอกไปว่า “น้องๆ เต็มถังเลยจร้า ^^” (กันไว้ดีกว่ามีเหลือดีกว่าขาดนะ ว่าไหม)

เวลา 20.50 น. ขับผ่านเขื่อน..................เอะฉันมาถูกทางเป่าหว่า เดียวๆ ชะลอรถดูหลัก กม. ข้างหน้าทีซิว่ามันที่ไหนหว่า แต่ทว่ามีรถตามมา ทางก็แคบ เลยชะลอไม่ได้ต้องไปต่อ หยิบแผนที่มากาง ดูๆ ไปในแผนที่เขื่อน..........มันอยู่ทางซ้ายนิ แต่นี้อยู่ทางขวา เอ....มาผิดทางเป่าอะ หันไปมองหน้าคนขับ แต่ปากก็บอกว่าถูกๆ ไปโลด จนกระทั้งพบป้ายบอกว่า อีก 1 กม. ถึง บ. ปิล๊อก.....ไอ้หย่า ซี๊เลี้ยวววววว ผิดทางนี่หว่า เราจะไปสังขละบุรีนะ ไม่ใช่ บ.ปิล๊อกนะ!! อ่า กลับๆๆ กลับรถด่วน!!! นี้เราพลาดตรงไหนเนี๊ยะ O0O” ดูแผนที่กันอีกที...แล้วก็ Go!!

หลงมาซะแล้ว มื๊ดตื๊อ



เวลา 21.30 วนกลับมาจนถึงสามแยก (ถ้าขับขึ้นมาจากปั๊มที่แวะเติมน้ำมันก็ประมาณ 200 ม เราต้องเลี้ยวขวา ตรงไฟแดง แต่ทว่าเราดันขับตรงมาซะนิ ^^” (ก็มืดนิ ทางมันไม่เคยมาคะ) วนกลับมาก็เลี้ยวซ้าย ตรงไฟแดงเพื่อไปสังขละบุรี (มาดึกๆ ฝนตกๆ มองไม่เห็นอะไรจริงๆ) ขับๆ ทางที่ไปนี้ก็สุดยอด เจอแต่ป้ายเลข 1 ตลอด (มันหมายความว่ากรุณาใช้เกียร์ต่ำค่ะ ^^) มีทางอยู่ช่วงหนึงที่ ถนนอีกฝั่งทรุดลงไป แต่ป้ายเขียนเตือนว่า “เหตุฉุกเฉินข้างหน้า” ไอ้เราก็คิดว่ามีป้อมให้แจ้งเหตุ ^.O อัตรายจริงๆ ถ้าคนไม่เคยมา (พูดเหมือนเคยมาเลย ฮ่าๆ นี่ครั้งแรกเหมือนกัน แถมไม่ได้ตระเตรียมอะไรเลยนะเธอนะ >”< )

เวลา 22.40 น. ขับรถผ่าสะพาน (ดูเหมือนจะพังแหล่มิพังแหล่) แต่มีป้อมทหารอยู่หัวสะพาน ฝนยังตกอยู่ หนักเบาสลับกันไป ในใจคิดพรุ่งนี้อากาศต้องดีแน่ๆ ^^ คิดเข้าข้างตัวเอง ทั้งๆ ที่กรมอุตุฯ ก็ประกาศว่าอาทิตย์นี้พายุเข้า ^^” ขับไปเรื่อยๆ ฝนเริ่มตกหนักมากขึ้นทางชันสูงขึ้นๆ มองไม่เห็นเส้นถนนเลยอ่า แย่แล้วๆ จะตกเขาไหมหว่า =”= ภาวนาในใจโอ้ยๆๆ ถึงซะทีๆ ......

เวลา 23.10 น. เหลือบไปเห็นป้ายข้างทาง อีก 5 กม. อ.สังขละบุรี เย้ๆ จะถึงแล้ว ดีใจจังวุ้ย ^0^ หลังจากผ่านเส้นทางแสนทรหด อากาศที่แปรปรวน บรรยากาศที่มืดมิด เงียบสงัด (ถึงแม้ว่าเราจะเปิดเพลงเสียงดังมาตลอดทางก็เถอะ) ในที่สุดก็เห็นแสงไฟดวงเล็กๆ ข้างหน้ายิ่งเราขับรถเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ดวงไฟก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นๆ และสว่างขึ้นๆ ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา (หวังว่าพรุ่งนี้เช้าฟ้าจะสวยใสไร้เม็ดฝนนะ ^^)

เวลา 23.40 น. เข้ามาใน อ.สังขละบุรีเป็นที่เรียบร้อย ขับรถวนหาที่พักกันก่อนนะ (มาซะดึกเลย) วนไปๆ ก็เอาที่นี้ แหละสามประสงค์ รีสอร์ทแต่ทว่าเต็มแล้วจร้า T^T ต้องกลับรถเพื่อหาที่พักต่อ แต่แล้วสายตาดีๆ ของเราก็เหลือบไปเห็นว่ามีรีสอร์ทที่ยังเปิดไฟใกล้ๆ อยู่ ด้วยความขี้เกียจ เหนื่อย เพลีย หิว เลยลองเสี่ยงเลี้ยวรถเข้าไปถาม อะโชคดีจัง >0< พี่เขาบอกว่าเหลืออีกสองห้อง ราคา 800 กับ 1,000 บาท/คืน (พี่ที่รีสอร์ทแอบกระซิบบอกว่านี้ราคาลดแล้ว ถ้าช่วงท่องเที่ยวจริงๆ ก็แพงกว่านี้ 200-400 บาท)
เวลา 24.00 น. หลังจากเช็คอินที่สวนแมกไม้รีสอร์ทแล้ว เราก็ยังไม่ได้ขนของเข้าห้อง แต่เราเดินออกมาแล้วขับรถออกไปเพื่อหาอะไรกิน (ก็มันหิวนิ) วนรถอยู่สองสามรอบ แต่ดูเหมือนว่าร้านค้าจะปิดหมด ยิ่งบรรยากาศฝนพร่ำๆ อีกด้วย ก็เลยตัดสินใจฝากทองไว้กับ 7-eleven ^^ ได้ข้าวผัด เกี๋ยวกุ้ง สปาเก็ตตี๊ผัดขี้เมา ขนมขบเคียวอีกสามสี่อย่าง หอบหิวกลับมานั่งกินกันที่ห้องพัก


บรรยากาศภายในห้องพัก


วันที่ 2 (28-8-2011)
เวลา 00.30 น. อาบน้ำแปรงฟัง เช็คข้อมูลใน E-mail (มี Wi-Fi ฟรีคะ) ดูแผนที่ว่าพรุ่งนี้จะไปที่ไหน อัพรูปการเดินทาง คุยกันเล็กน้อย เดินสำรวจระเบียง อีกแปะ จนเวลาล่วงเลยจนถึง 01.30 น. ก็ได้เวลานอนจริงๆ แล้ว ฝันดีนะคะ .....

เวลา 6.30 น. หมอกสลัวๆ อากาศเย็นสบายๆ รีบอาน้ำ แต่งตัว ออกมานั่งชิวๆ ที่ระเบียงรอสมาชิก วิวตรงระเบียงก็สวยใช้ได้แต่ติดตรงที่มีสายไฟมาบังทิวทัศน์อะ >o< 7.00 น. ออกไปเดินสำรวจข้างนอกเห็นรถหลายคันจอดริมทาง (มะคืนไม่มีเลยนะ) เดินๆ ไป ที่แท้เราก็พักอยู่ใกล้ๆ สะพานไม้นี้เองถึงว่า รถเยอะ ตอนเช้าฝนไม่ตกแล้วคะมีแดดอ่อน กับสายหมอกเย็นๆ ลองเดินสำรวจกันก่อนนะ พอสำรวจทางไปสะพานไม้ ท่าเรือ แล้วก็เดินกลับมาที่รีสอร์ท เพื่อมากินอาหารเช้ากันก่อน (อาหารเช้ามีข้าวต้มหมู อาหารตามสั่ง ชา กาแฟ โอวัลติน ขนมปัง) เวลา 8.00 น. เดินชมสะพานไม้กันต่อ ถ่ายรูป ฟังประวัติสะพานจากมัคคุเทศน์ตัวน้อยๆ ที่คอยส่งเสียงเจื้อยแจ้ว 8.30 น. เหมาเรือ 250 บาท/ลำ เพื่อไปดูวัดวังวิเวการามหลังเก่าที่จมน้ำเพราะการสร้างเขื่อน


ที่พักมะคืน ^^


บรรยากาศบริเวณห้องอาหารของรีสอร์ทค่ะ


เจอแล้วคร๊า ทางลงสะพานไม้ เย้ๆๆ



แพนอนริมน้ำค่ะ คืนละ 1,000 บาท ต้องจองก่อนล่วงหน้าค่ะ


บรรยากาศบนสะพานไม้ค่ะ


มองจากสะพานลงมาค่ะ คนหาปลากำลังพายเรือผ่านไป


นั่งเรือ ชิวๆ เพื่อไปดูวัดที่จมน้ำค่ะ


วิว ข้างๆ ริมน้ำ


ว๊าวๆๆๆ มันอะเมซิ่งจริงๆ คะ


ประตูทางเข้าแล้วค่ะ ข้างในยังมีพระพุทธรูปนะค่ะ


สุดยอดคะ


เวลา 9.00 น. เรือเทียบท่า เดินชิวๆ กลับที่พัก เก็บของ Check Out ออกเดินทางเพื่อไปดูปราสาทสีทองเหลืองอร่ามตาที่มีชื่อเรียกแบบเต็มๆ ว่า “เจดีย์แบบพุทธคยา” ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ด้วย แวะชมตลาดของฝาก แอบดูการทำบุญของคนที่นี่ (วันนั้นวันพระ) แต่ละคนจะแต่ตัวสวยงามบนหัวเทินของที่จะนำมาทำบุญ ^^ 9.30 น. ขับรถไปชม วัดวังวิเวการามหลังใหม่ ที่สวยงาม ถ่ายรูป ไหว้พระ


แวะอ่านประวัติกันก่อนนะ


สวยงามจริงๆ ค่ะ


สวยจริงๆ เลย


วัดหลังใหม่ ส่วนหลังเดิมก็ที่จมน้ำอยู่อะค่ะ


หลังนี้ห้องน้ำนะค่ะ สะอาดและสวยค่ะ

เวลา 10.00 น. ออกเดินเพื่อจะไปด่านเจย์ดีสามองค์ ชมทิวทัศน์สองข้างทาง จะมีไม้กวาดวางพาดไว้ขายนักท่องเที่ยว 11.20 น. ถึงด่านเจย์ดีสามองค์ ถ่ายรูป เดินชมตลาด แต่ไม่ได้ข้ามไปอีกฝั่งเพรพม่ายังปิดด่านอยู่ (ถึงว่าเงียบเหงาจัง ^^”) แวะหาอะไรกินก่อน กลับ


ถึงแล้วด่านเจดีย์สามองค์ ฟ้าสวยมากๆ


สุดเขตแล้วคะ น่าเสียดายที่พม่าปิดด่าน

เวลา 12.30 น. ออกจากด่านเจย์ดีสามองค์ ถ่ายรูปโค้ง วิว ข้างทางตามประสา มาเรื่อยๆ ชักเริ่มหิวแฮะ 14.50 น. แวะน้ำตก..........ซื้อไก่ย่าง ส้มตำ เขียดป่าทอดกระเทียมพริกไทย ^^” กินกันอย่างเอร็ดอร่อย ถ่ายภาพน้ำตกสีขุ่นๆ (หน้าฝนก็งี๊) ถ่ายรูปหอยทาก แล้วฝนก็โปรยลงมาอีกแล้ว ^^ เริ่มอิ่ม แล้วจร้า 15.30 น. ออกเดินทางต่อ จุดหมาย อยู่ที่ จ.ราชบุรี แล้วต่อด้วย กทม (เยอะเนาะ)


น้ำตกๆ เย้ๆ

เวลา 16.45 น. เลย อ. เมืองกาญจนบุรี มาแล้ว แวะซื้อของฝาก เราได้สละมา 5 กก. หน่อไม้ไผ่ตรง 4 หัว แคนตาลูป 2 ลูก แล้วก็บึ่งรถ อย่างรวดเร็ว (พอถึงช่วงนี้ฉันก็ขอเป็นคนขับบ้างน่ะ ^__^) ก็ขับอย่างหวาดเสียวเล็กๆ น้อยๆ ตามประสานานๆ ขับรถที แฮะๆๆ ^o^”


ทางเดินไปสะพานไม้ค่ะ


มารอต้อนรับนักท่องเที่ยวเลยนะ


ตามนี้เลยคะ


เดินมาอีกฝั่งแล้ว


ตลาดยามเช้า


เดินกลับมาแล้วนะ เหนื่อยเหมือนกันนะ


ชมบรรยากาศใต้สะพานกันบ้างนะ


วัดสวยๆ


เส้นทางสู่ด่านเจดีย์สามองค์คะ


บรรยากาศในร้านกาแฟ ณ ด่านเจดีย์สามองค์ ชิวมากๆ


ทางที่มามะคืนไง ตอนเช้าถึงมองเห็น ^0^


บ๊าย บาย จร้า


อ๋อ ที่น้ำตกหอยทากเยอะมากคะ

มาถึงบ้านที่ราชบุรี ราวๆ 17.50 น. ไม่มีใครอยู่บ้านซักคน โทรหาพ่อซะหน่อยตั้งว่าจะพาพ่อไปกินข้าวร้านโปรด พ่อบอกไปดูน้ำเข้านา อีกเดี๋ยวจะกลับ ไม่ถึง 10 นาที พ่อขับมอไซต์คันเก่าเข้ามาในบ้าน บอกว่ารอเดี๋ยวนะพ่อไปเปลี่ยนชุดก่อน (ไม่หล่อออกจากบ้านไม่ได้คะ นี่แหละพ่อฉัน ^^”) นั่งรอสมาชิกครบคนก็พร้อมไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าพ่อติดละครเกาหลี ทงอี ไปร้านอาหาร (ร้านอาหารป่าค่ะ) พ่อขอหนั่งโต๊ะใกล้ๆ ทีวี นั่งดูไปพากษ์หนังไป ฮ่าๆๆ ^___^” พออิ่ม ละครจบ มาส่งพ่อที่บ้านยกแคนตาลูปให้พ่อ 1 ลูก สละอีก 3 กก. แต่หน่อไม้พ่อไม่เอาบอกว่าเยอะแยะ เบื่อแล้ว 555 เสร็จสัพก็เดินทางสู่ กทม. พรุ่งนี้วันจันทร์แล้ว รู้สึกว่าวันหยุดมันช่างผ่านไปไวมากๆ O^O นะ ถึง กทม. ราวๆ 3 ทุ่มครึ่ง กว่าจะได้นอนก็ เกือบๆ ตีหนึ่ง นี้เราทรหดอดทนกันมากๆๆ ไปก่อนนะค่ะ ขอให้สนุกกับการเดินทางในทริปนี้นะค่ะ บ๊าย บาย...ค่ะ ^0^





สังขละบุรี
เป็นอำเภอชายแดนติดต่อกับพม่า ห่างจากตัวเมือง ประมาณ 220 กม.และอยู่ห่างจากอำเภอทองผาภูมิ 74 กม. เส้นทางคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา และตัดผ่านภูเขาเลียบทะเลสาบเขื่อนเขาแหลม มองเห็นทัศนียภาพที่งดงามอำเภอสังขละบุรี มีชาวมอญอาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นจำนวนมากตัวอำเภอตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า "สามประสบ" คือบริเวณที่ลำน้ำสามสาย อันได้แก่ ห้วยซองกะเลีย ห้วยบิคลี่ และห้วยรันตี ไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำแควน้อย
-----------------------------------------------------------------

วัดวังวิเวการาม
ตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอสังขละบุรีประมาณ 3 กม. มีวิหารริมแม่น้ำประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนอ้นงดงามและเป็นที่จำพรรษาของ "หลวงพ่ออุตตมะ" พระเกจิอาจารย์ชื่อดังซึ่งประชาชนชาวไทย ชาวมอญ รวมทั้งกระเหรี่ยงและพม่าที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นเคารพนับถือจากบริเวณวัดวังก์วิเวการามไปอีก 1 กม.จะเป็นที่ตั้งของเจดีย์แบบพุทธคยาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

ซึ่งของเดิมอยู่ในน้ำ แต่ได้สร้างใหม่อยู่บนที่สูงวัดและเจดีย์อยู่ห่างกัน1 กม. ควรเที่ยวทั้งของใหม่และของเดิม เจดีย์เป็นแบบพุทธคยาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วัดตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอสังขละบุรีประมาณ 3 กม. มีวิหารริมแม่น้ำประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนอ้นงดงามและเป็นที่จำพรรษาของ "หลวงพ่ออุตตมะ" พระเกจิอาจารย์ชื่อดังซึ่งประชาชนชาวไทย ชาวมอญ รวมทั้งกระเหรี่ยงและพม่า น่าเสียดายที่ปัจจุบันท่านมรณะภาพไปแล้ว

ส่วนวัดใต้น้ำต้องนั่งเรือไป ค่าโดยสารเหมาลำ 300 บาท ท่านสามารถติดต่อเรือหางยาวได้ทั่วไปริมสะพานไม้มอญ หรือแพลุงเณร โทร. 034-595360, 09-2212330 บริการดี แกรับพาเที่ยววัดจมน้ำ ตกปลา แพลาก แพล่อง แพเช่า ( เองก็ใช้บริการมาแล้ว) สามประสบเป็นอีกที่ที่น่าสนใจ คือจุดที่ แม่น้ำ สามสายมาประจบกัน คือ แม่น้ำรันตี ต้นกำเนิดจากป่าทุ่งใหญ่นเรศวร, แม่น้ำซองกาเลีย และแม่น้ำบิคลี้ สองแม่น้ำหลังนี้มีต้นกำเนิดจากพม่า น้ำจะมีสีออกแดง

-----------------------------------------------------------------

สะพานไม้มอญ
อยู่ไม่ไกลจากวัดวังก์วิเวการามนัก จะมีแยกทางเข้าเล็กๆ (สังเกตดีๆ นะ ยังหาไม่ค่อยเจอเลย) เมื่อเราเดินทางไปวัดฯ เราสามารถสังเกตเห็นสะพานไม้มอญได้แต่ไกล ลำพังสะพานนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรเด่นนัก แต่สิ่งที่ดึงดูดใจ มากที่สุดก็จะเห็นได้แก่ บรรยากาศรอบๆ ซึ่งจริงๆ แล้วอำเภอสังขละนี้อยู่บริเวณที่สูง สภาพอากาศที่นี่จะร่มเย็น และบางทีคลึ้มฟ้าคลึ้มฝนตลอดทั้งวัน ทิวทัศน์โดยรอบเมื่อมองไปก็จะเห็นสีเขียวของทุ่งหญ้าตัดกับพื้นน้ำ และขอบฟ้า สวยงามมาก

-----------------------------------------------------------------
เที่ยวป่าสังขละบุรี
เป็นบริการนำเที่ยวของสถานที่พักในเขตอำเภอสังขละบุรี โดยจัดให้นักท่องเที่ยวล่องเรือไปตามลำน้ำซองกะเลีย
แล้วต่อด้วยการนั่งช้างเที่ยวป่าและล่องแก่ง ผู้สนใจติดต่อล่วงหน้าที่บริษัทนำเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคกลางเขต 1 โทร. (034) 511200

จริงๆ แล้วที่ป่าสังขละยังมีน้ำตกลำธารอีกมากมาย ซึ่งยังเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว thai-tour.com มีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสมาบ้างแล้ว (น้ำตกซึ่งไม่มีใครตั้งชื่อ ดังรูปด้านขวามือ)
-----------------------------------------------------------------

ด่านเจดีย์สามองค์และชายแดนพม่า
ห่างจากตัวเมืองสังขละบุรี 22 กม. เดิมเรียกว่า หินสามกอง เป็นที่สักการะของคนไทยในสมัยโบราณก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่เขตพม่า ต่อมาในปี 2472 พระศรีสุวรรณคีรี เจ้าเมืองสังขละบุรีของไทย ได้เป็นผู้น้ำชาวบ้านสร้างเป็นเจดีย์ขนาดเล็กสามองค์ดังที่เห็นในปัจจุบันนี้ นอกจากนี้บริเวณด่านเจดีย์สามองค์ยังเป็นช่างทางเดินทัพที่สำคัญของไทยและพม่าในอดีต ปัจจุบันนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมตลาดชายแดนในเขตพม่าได้ โดยเสียค่าผ่านด่านชาวไทย 25 บาท ชาวต่างประเทศ 130 บาท ถ้าเราได้ข้ามไปฝั่งพม่า เลยไปตามทางลูกรัง ประมาณ 4-5 กม. เราจะพบ วัดเสาร้อยต้น ห่างจากชายแดนประมาณ 1 กม.จะมีตลาดของฝาก สินค้าส่วนใหญ่เป็น ไม้เฟอร์นิเจอร์ เครื่องหวาย ผ้า พลอย ของป่า

-----------------------------------------------------------------

น้ำตกตะเคียนทอง
เป็นน้ำตกที่ถูกปกคลุมด้วยป่าไผ่ ดงหวาย ดงเฟิร์นและไม้ใหญ่ยืนต้นนานาพันธุ์บริเวณเทือกเขาตะนาวศรี แนวเขตชายแดนไทย-พม่าในเขตสังขละบุรีตัวน้ำตกมีต้นน้ำอยู่ในเขตประเทศพม่าไหลเลาะเลื้อยมาตามแนวเขาที่กั้นเขตแดน สู่ประเทศไทยที่ห้วยซองกาเลียซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของต้นแม่น้ำแควน้อย จากความอุดมสมบูรณ์ของป่า ทำให้เป็นน้ำตกที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี แต่ละชั้นมีความงดงามแปลกตา ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นลานกว้าง มีน้ำตกไหลผ่านกระจายกันออกไปนักท่องเที่ยวสามารถเดินลุยน้ำไปตามน้ำตกเพื่อขึ้นไปชมชั้นสูงๆ ได้

การเดินทาง ขับรถจากทางแยก อ.สังขละบุรี-ด่านเจดีย์สามองค์ไปประมาณ 8 กม. จะมีป้ายบอกทางเข้าน้ำตกอยู่ริมถนนด้านขวาเลี้ยวตามทางแยกไปบนถนนลูกรังอีกประมาณ 12 กม. เส้นทางค่อนข้างแคบและบางช่วงมีเนินสูงชัน และต้องตัดผ่านลำธารเป็นบางช่วง จึงควรใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือรถกะบะในการเดินทาง เมื่อถึงจุดพักรถจะต้องเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 30 นาที จึงจะถึงตัวน้ำตกชั้นแรก หากต้องการความสะดวกควรติดต่อสอบถามรายละเอียดเส้นทางการเดินทางหรือว่าจ้างผู้นำทางจากชาวบ้านในเขตอำเภอสังขละบุรีหรือติดต่ออำเภอสังขละบุรี หรือติดต่อผ่านบริษัทนำเที่ยว ที่มีการจัดนำเที่ยวในเส้นทางน้ำตกสายนี้

-----------------------------------------------------------------

ถ้ำวังตะเคียน
อยู่ในเขตบ้านวังตะเคียน ห่างจากตัวเมือง 77 กม. ตามทางหลวงหมายเลข 323 ถึง กม.ที่ 10 แยกซ้ายเข้าทาง หลวงหมายเลข 3229 เป็นทางลูกรัง ภายในถ้ำวังตะเคียนมีหินงอกหินย้อยสวยงามมาก

-----------------------------------------------------------------

น้ำตกกระเต็งเจ็ง
เป็นน้ำตกที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม อ.สังขละบุรี เป็นน้ำตกที่มีความสูงถึง 36 ชั้น นักท่องเที่ยวจะต้องปีนป่ายผ่านสายน้ำขึ้นไปตามชั้นต่างๆ จนถึงชั้นบนสุด เมื่อขึ้นไปถึงแล้วนักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดินทางกลับได้ โดยไม่ใช้ทางเดิม แต่เปลี่ยนเป็นเส้นทางเดินป่าที่ยังคงสภาพป่าดิบอันสมบูรณ์ระหว่างทางจะผ่านดงเฟิร์นที่กว้างใหญ่ตระการตา ผ่านป่ามะไฟป่าและต้นไม้ยักษ์ที่มีขนาดใหญ่ถึง 13 คนโอบ ตลอดทางเดินจะได้ยินเสียงน้ำตกกระทบโขดหินดังก้องอยู่ในป่าตลอดเวลา จัดเป็นเส้นทางเดินป่าที่สวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง

การเดินทาง ไปน้ำตกกระเจ็งใช้เส้นทางทองผาภูมิ-สังขละบุรีจนถึงอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ซึ่งตั้งอยู่บริเวณขวามือของถนน ก่อนถึง อ.สังขละบุรีประมาณ 30 กม. นำรถจอดที่อุทยาน แล้วเดินทางเท้าต่อไปอีกประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก็จะถึงตัวน้ำตก การเดินทางควรติดต่อหาผู้นำทางที่เชี่ยวชาญโดยอาจติดต่อผ่านทางบริษัทนำเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี หรือในเขตอ.สังขละบุรี ทั้งนี้เนื่องจากสภาพป่ามีลักษณะเป็นป่าดงดิบ อาจทำให้เกิดพลัดหลงได้ และควรสวมเสื้อผ้าในชุดเดินป่าที่รัดกุม เนื่องจากมีทากชุกชุมตลอดเส้นทางทุกฤดูกาล

-----------------------------------------------------------------

ถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล
ตั้งอยู่ในเขตอำเภอสังขละบุรี ห่างจากด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนระหว่างไทยกับพม่า ประมาณ 1 กม. อาณาเขตของถ้ำแก้วสวรรค์บันดาลกินบริเวณกว้าง เนื่องจากเป็นถ้ำที่อยู่ในภูเขทั้งลูก
ภายในยังแบ่งเรียกเป็นถ้ำต่างๆ อีก 4 ถ้ำ คือ ถ้ำวังบาดาล ถ้ำมรกต ถ้ำแก้ว และถ้ำสวรรค์บันดาล แต่ละถ้ำมีความสลับซับซ้อน
สามารถเดินเชื่อมทะลุถึงกันได้หมดทุกถ้ำ ภายในมีหินย้อยรูปทรงต่างๆ งดงามมาก เมื่อกระทบกับแสงไฟจะสะท้อนแสงแวววาวคล้ายถูกโรยไว้ด้วยกากเพชร
การเข้าไปเที่ยวชมนักท่องเที่ยวควรแต่งกายด้วยชุดที่รัดกุม เลือกสวมรองเท้าที่เหมาะสมและต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะบางถ้ำมีโขดหินที่สูงชัน บางถ้ำต้องใช้ วิธีการคลานและมุดไปตามซอกของช่องหิน และบางถ้ำที่มีระดับน้ำสูงประมาณหัวเข่า หากต้องการจะเที่ยวชมให้ครบหมดทุกถ้ำ จะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงขึ้นไป

การเดินทาง ใช้เส้นทางอำเภอสังขละบุรี-ด่านเจดีย์สามองค์ โดยเลี้ยวขวาบริเวณศาลาพักร้อนริมทาง ที่อยู่ก่อนด่านเจดีย์สามองค์ประมาณ 1 กิโลเมตร จากนั้นขับรถไปตามถนนดินอีกประมาณ 700 เมตร เลี้ยวขวาไปตามเส้นทางอีก 200 เมตร
จะถึงบริเวณสำนักสงฆ์ที่เป็นที่ตั้งของถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล นักท่องเที่ยวสามารถสอบถามรายละเอียดของการเข้าไปเที่ยวภายในถ้ำได้จากพระสงฆ์ ที่จำวัดอยู่ในบริเวณสำนักสงฆ์แห่งนั้น

-----------------------------------------------------------------

น้ำตกคลีตี้
เป็นภาษากระเหรี่ยงแปลว่า “เสือโทน” มีต้นน้ำอยู่บนยอดเขาดีกะ ใกล้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร การเดินทางไปน้ำตกคลีตี้บนต้องใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 2 วัน จากบ้านกระเหรี่ยงคลีตี้ และจะต้องมีลูกหาบและคนนำทาง ส่วนน้ำตกคลีตี้ล่าง อยู่เหนือทะเลสาบแควใหญ่บริเวณลำเขางู ใช้เวลาเดินทางเรือจากท่าเรือกระดานหรือท่าหม่องกระแทะ ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง

-----------------------------------------------------------------

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
มีพื้นที่อยู่ในเขตอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี และอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับซับซ้อน ยอดเขาสูงสุดคือ เขาใหญ่ อยู่บริเวณตอนกลางของพื้นที่ เป็นต้นน้ำของลำธารหลายสาย มีป่าไม้หลายชนิดประกอบด้วยทุ่งหญ้า ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และป่าดงดิบ มีสัตว์ป่าหลายชนิดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
การเดินทาง ไปยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ยังไม่สะดวกนัก เนื่องจากสภาพถนนบางช่วงไม่ดี จากเส้นทางทองผาภูมิ-สังขละบุรี บริเวณแยกห้วยเสือ ไปยังบ้านคลีตี้ ระยะทาง 42 กิโลเมตร ต่อจากนั้นมีทางแยกไปที่ทำการเขตฯ ที่ห้วยซ่งไท้ อีก 40 กิโลเมตร ผู้ที่จะไปยังทุ่งใหญ่นเรศวรต้องทำหนังสือขออนุญาตล่วงหน้า 15 วัน ไปที่ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ บางเขน กรุงเทพฯ โทร. 579-4847

แม่น้ำต่างๆ เช่น แม่น้ำรันตี แม่น้ำบิคลี้ แม่น้ำซองกาเลีย ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาล่องแก่งที่นี่ น้ำตกตะเคียนทอง น้ำตก

อาหารอร่อย ที่ร้านอาหารพันนที แบบดูดีหน่อย อยู่ริมน้ำ เลยตลาดประมาณ 1.5 กม. หรือร้านข้าวแกง 59 หม้อ อยู่ในตลาด หรือหาทานแถวตลาดก็ได้

ที่พักสังขละบุรี รีสอร์ทส่วนใหญ่จะอยู่เรียงรายริมน้ำอยู่แล้วในตัวเมืองสังขละบุรี

การเดินทางสู่ อ.สังขละบุรี
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว

จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่าน จ.นครปฐม ขับมาประมาณ 9 กม.จะพบสะพาน ลอยข้ามไปทาง จ.กาญจนบุรี ขับไปตามทางหลวงหมายเลข 323 ขับมาประมาณ 7 กม.ท่านจะพบสี่แยกให้ท่าน เลี้ยว ขวา(แยกซ้ายไปบ้านโป่ง ตรงไปคือถ้ำค้างคาว) เพื่อไปยัง อ.เมืองกาญจนบุรี จากนั้นมุ่งหน้าสู่สี่แยกแก่ง เสี้ยนให้ขับไปทาง อ.ทองผาภูมิ ซึ่งจะผ่านทั้งไทรโยคน้อย และไทรโยคใหญ่ ( หลักกิโลเมตรที่ 125 ทางหลวง หมายเลข 323 ) ท่านจะพบสามแยก ( ตรงไปไปอำเภอทองผาภูมิ +เขื่อนเขาแหลม ถ้าเลี้ยวขวาไป อำเภอสังขละบุรี)ให้ท่าน เลี้ยวขวามือไป สังขละบุรี ซึ่งท่านจะผ่าน น้ำตกเกริงกะเวีย+น้ำตกไดช่องถ่อง ผ่านอช. เขื่อน เขาแหลม เมื่อไปถึงแยก ด่านเจดีย์สามองค์ ท่านไม่ต้องเลี้ยวขวา ให้ขับตรงไป ประมาณ 7 กม. จะพบแยก ซ้ายมือไปสะพานอุตตมานุสรณ์ ขับเข้ามาอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะพบสะพานอุตตมานุสรณ์ หากต้องการไป เที่ยววัดวิเววังการามจากแยกด่านเจดี่ย์สามองค์ไม่ต้องเลี้ยวขวาให้ขับตรงไป ประมาณ 7.4 กม.จะเห็นแยกขวา วัดวังก์วิเวการาม และแยกซ้ายไป เจดีย์พุทธคยา จำลอง ให้ท่านเลี้ยวซ้ายไปทางเจดีย์พุทธคยา จำลอง
2. โดยรถสาธารณะ

จากสถานีขนส่งสายใต้นั่งรถ กรุงเทพฯ - กาญจนบุรี ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยสามารถนั่งรถปรับอากาศ สายกรุงเทพฯ-กาญจนบุรี แล้วไปลงที่สถานีขนส่งจังหวัดกาญจนบุรี จากนั้นนั่งรถสายกาญจนบุรี - ทองผาภูมิ - สังขละบุรี(รถไม่มีแอร์ )แล้วไปลงที่ท่ารถสังขละบุรี ใช้เวลาในการเดินทางจากตัวเมืองถึงสังขละบุรีประมาณ 4ช.ม. จากนั้นต่อรถมอเตอร์ไซต์รับจ้าง ค่ามอเตอร์ไซต์รับจ้าง 10 บาท ไปที่ ซองกาเลีย รีสอร์ท จากนั้นสามารถ ใช้บริการรถ ของบริษัท เอเซียไทรโยคเดินรถ จำกัด ตั้งอยู่ที่ตัวเมือง
- อัตราค่าโดยสาร รถตู้ปรับอากาศ118 บาท, รถปรับอากาศใหญ่ 151 บาท
- เวลารถ 7.30-16.30 น ทุก 1 ชั่วโมง
- ระยะเวลาเดินทาง ประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที
- จากท่ารถสังขละบุรี นั่งรถมอเตอร์ไซต์ 10 บาท ไปยัง ซองกาเลีย รีสอร์ท

หมายเหตุ รถปรับอากาศชั้น 1 สายกรุงเทพ - กาญจนบุรี ค่าโดยสาร 79 บาท รถปรับอากาศชั้น 2 สายกรุงเทพ - กาญจนบุรี ค่าโดยสาร 62 บาท

ที่มา :
https://www.thai-tour.com/thai-tour/central/kan/data/place/sangkla.htm
https://www.thai-tour.com/thai-tour/central/kan/data/place/sangkha/index.htm
https://www.paiduaykan.com/76_province/central/kanjanaburi/sangkla.html

แผ่นที่






 

Create Date : 15 กันยายน 2554    
Last Update : 15 ธันวาคม 2560 13:26:07 น.
Counter : 7883 Pageviews.  

ทุ่งดอกกระเจียว จ,ชัยภูมิ

ทุ่งกระเจียวงาน ณ ชัยภูมิ

สวัสดีค่ะ ไม่ได้มาซะนานเลยนะ - o ^ ทุกๆ คนยังสบายดีกันนะค่ะ เอ๊า!! ขอเสียงหน่อย ^0^ แข็งแรงแข็งขันกันหน่อยนะค่ะเพื่อนๆ หลังจากที่ฉันเองได้เปลี่ยนสถานะ(Status) จาก “ว่างงาน” มาเป็น “มีงานทำ” (มนุษย์ต้องมีงานทำ ถึงจะมีเงินไปลั่นล่า เนาะ ;P ) ก็ทำให้การออกทริปไปลั่นล่ามีน้อยลง แต่ก็นะ มันไม่ใช่อุปสรรคสำคัญอะไรเลยค่ะ >O< โฮ๊ะๆๆๆ จริงไหมค่ะเพื่อนๆ ฮ่าๆๆ (ขอขำให้กับตัวเองหน่อย ~0~ )

หลังจากดูลู่ทางมาซักระยะก็ได้เวลาออกทริป (ผ่านทดลองงานแล้ว เย้ๆๆๆ หนีเที่ยวได้ ^_^”) สถานที่แนะนำในการท่องเที่ยวช่วง มิ.ย. – ส.ค. ก็ที่นี่เลยค่ะ “ทุ่งดอกกระเจียว” โฮ๊ะๆๆ แอบอิจฉาเพื่อนๆ ที่ได้ไปเยือนมาแล้วหลายต่อหลายคน คราวนี้ก็ถึงตาเราบ้างแล้ว คิ๊กๆๆๆ ออกเดินทางกันเลย!!!! Go! Go!

และเราก็ตัดสินใจว่าจะไปกางเต้นท์นอนค้างกันในอุทยานฯ 1 คืน ตอนเช้าเราจะได้ไปชมทุ่งดอกกระเจียวที่กำลังเบ่งบานชูช่อ ท่ามกลางสายหมอก (ดูในเว็บมีภาพสวยๆ หมอกจางๆ ว๊าวๆ ^u^) หลังจากนั้นถ้ามีเวลาเหลือก็จะได้แวะเที่ยวตามสถานที่ที่อยากแวะ (โปรใช้วิจารณญาณในการแวะเที่ยว อิอิ)

เราออกเดินทางจาก กรุงเทพฯ ตอนบายโมงกว่าๆ (รถก็ติ๊ดติด =”=) โชคดีที่ไม่มีแดด แต่ท้องฟ้าเทาๆ ขมุกขมัว ขยุกขยุ่ย ไงไม่รู้ แต่ก็ช่างเฮอะ ก็จะไปเที่ยวแล้วนิ ฮ่าๆๆๆ ^.^


กำลังจะออกเดินทางค่ะ เพิ่งเลิกงานเลยนะเนี๊ยะ อิอิ


เรามาถึงอุทยานฯ ประมาณ 5 โมงกว่าๆ หาที่จอดรถปุ๊บก็เดินไปหาเจ้าหน้าที่อุทยานปั๊บ สอบถามรายละเอียดทราบว่ายังสามารถขึ้นไปชมดอกกระเจียวได้ (เขาจะห้ามนำรถส่วนตัวทุกชนิดขึ้นทุ่งดอกกระเจียวในเวลา 6.00-16.00 น. ค่ะ แต่จะมีรถของอุทยานไว้บริการนักท่องเที่ยวแทน แต่หลังเวลานั้นสามารถนำรถส่วนตัวขึ้นไปได้) เราก็เลยซื้อตั๋ว 20/คน 30/คัน แล้วขับทยานผ่าสายฝนปรอยๆ เพื่อขอไปดูก่อนนะ ไหนๆ ก็มาก่อน


ดอกกระเจียววววววว ฮ่าๆๆๆ


ขอสักภาพนะ ^^



มีอีกเป็นทุ่งเลยนะ

ก็ขอถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกหน่อยน่ะ และแล้วฝนก็โปรยลงมา พร้อมกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่บอกว่าหมดเวลาแล้วครับ (แต่ขอชื่นชมเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่นี่เลยค่ะ กับการให้บริการที่ดี แถมพูดจาไพเราะมาก ทำให้ประทับใจสุดๆ ^0^)


ลงมาแล้วจร้า




ขับรถลงมาถึงลานกางเต้นท์ วนรถอยู่สองสามรอบ มองฟ้านิดนึง (หว๊าๆๆ คืนนี้ฝนตกหนักแหง่ๆ T^T ) ตกลงกันว่าจะไปหาโรงแรมด้านล่างอุทยานพักดีกว่าไม่อยากเสี่ยงเปียกปอน แต่ก่อนลงไปขอเดินชมหน่อนนะ เพราะเห็นมีร้านขายของที่ระลึก ต้นไม้ (อ๋อ!! ลืมบอกไปว่าระหว่างทางขึ้นอุทยานฯ มีร้านค้าแผงไม้เรียงราย มีการปลูกต้นดอกแตร ตลอดทางทาง สวยมากค่ะ ^^) แวะซื้อหม่ำกินกันหน่อย ลุงคนขายใจดีก็ถามว่าพักที่ไหน ก็เลยบอกแกไปว่าตั้งใจจะกางเต้นท์ แต่ดูท่าฝนจะตกหนักมากเลยกะจะลงไปหาที่พักทางล่างแทน ลุงแกก็ใจดีบอกว่าตรงโน้นมีเต้นท์ที่เจ้าหน้าที่กางไว้ให้ไปกางเต้นท์ใต้นั้นได้ มองหน้ากันอยู่สักพักก็ตัดสินใจไปเดินสำรวจ และก็เป็นอันตกลงว่างกางเต้นท์ :D


หลังจากกางเต้นท์เรียบร้อยก็ออกไปหาอะไรๆ กินกันก็ซักกะหน่อย ^^ แต่ฝนก็เริ่มโปรยปราย แบบเบาๆ แต่ลมโครตจะแรง 555 กลับมาก็อาบน้ำ (น้ำโครตจะเย็น 20 องศาเอง อากาศนะ แต่น้ำคงจะเย็นกว่า ^^”) เข้านอนพรุ่งนี้จะรีบๆ ตื่นจร้า >0<


ตื่นมาตอนเช้า เพื่ออาบน้ำ (อาบอีกแล้ว จริงๆ ไม่ได้เป็นคนรักสะอาดอะไรหร๊อก ที่อาบเพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกายเพื่อไม่ให้เป็นหวัดค่ะ เป็นความเชื่อส่วนตัวค่ะ ^^) พอเช้าคนก็มากันมากมายก่ายกอง (พอสมควร อิอิ) เราเดินผ่านเข้าอุทยานตามกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้าแถวรอซื้อตั๋วขึ้นรถ (20/คน) แต่เราไม่ซื้อ ฮ่าๆๆ (ไม่ได้โกงนะ) เราเดินขึ้นอะค่ะ ^^ ตามสไตล์ ว่ามาเก็บบรรยากาศ ระหว่างทาง ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ ดู แบบชิวๆ แล้วเราก็มาถึงอีกจนได้ (เมื่อวานเย็นมาแล้วทีนึง) เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันนะ ^^” แต่ก็ได้สุขภาพที่แข็งแรง ปอดที่ขยายขึ้น ถือว่าคุ้มค่ามากค่ะ ^0^


เช้าวันใหม่แล้วนะ



เดิน เดินๆ เราต้องเดิน



แมลงไรไม่รู้ค่ะ


เราเดินขึ้นไปบนผา............โดยเดินตัดทุ่งกระเจียว ไปทะลุบนผา...........สวยมากค่ะ (มาไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้น T^T) ถ้าขึ้นรถมารถจะไปจอดที่ผา............นี่ก่อนค่ะ แล้วทุกคนจะค่อยๆ เดินลัดเลาะลงมาจนถึงทุ่งดอกกระเจียว และมารอรถเพื่อไปต่อยังสวนหินงามค่ะ แต่ทว่าเราเป็นพวกย้อนศร ^0^ ฮิฮิ


เดินมาจนถึง


ในใจแอบเสียว แต่หน้าต้องระรื่นไว้ค่ะ


ถ้วยฟีฟ่า แต่คิดว่าเป็นไอติม


ยังมีแรงกระโดดนะ


เอ๊ะ!!นี่มันคืออะไร กระเจี๊ยวยักษ์นี่หว่า ฮ่าๆๆๆ


ส่งความสุขให้ทุกๆ คนเลยค่ะ



เดินมาเหนื่อยๆ ก็หิวอีกแล้ว ขนมปังมะเช้าหมดไปกับการเดิน กระโดด วิ่ง ฮ่าๆๆๆ แต่น่ายินดีที่มีร้านขายไส้กรอก หอยจ่อ ก็ซัดกันตุ๋ยๆๆ ก่อนที่จะเดินลง แต่ทว่าเหนื่อยจริงๆ เลยวิ่งไปถามรถที่รับส่งว่าพี่ค่ะๆ พอดีพวกหนูไม่ได้ซื้อตั๋วรถแต่เดินขึ้นมาถ้าจะขอเกาะไปลงที่สวนหินงามคิดเท่าไหร่ค่ะ คนขับใจดีบอกว่าไม่รู้เท่าไหร่เดี๋ยวลงไปจ่ายเงินด้านล่างละกัน ได้ทีพวกเราก็กระโดดขึ้นรถ สบายแล้วเรา ฮ่าๆๆๆ ^^”
พอลงมาถึงพื้นก็จ่ายค่ารถกันคนละ 10 บาท


จากนั้นก็แวะไปทำบุญไหว้พระที่พระธาตุเขายายหอมกันต่อ (ทางขึ้นเปลี่ยวเสียวมากค่ะ )




บอกแล้วว่าพลังเหลือเยอะ ฮ่าๆๆๆ






:: อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ::
ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาพังเหยในเขต ต.บ้านไร่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางสระบุรี - ชัยบาดาล ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 205 เส้นทางชัยบาดาล - เทพสถิต - ชัยภูมิ ก่อนถึงอำเภอเทพสถิต จะมี ทางแยกซ้ายมือไปป่าหินงาม อีก 29 กิโลเมตร หากเดินทางเส้นทางจาก จ.นครราชสีมา ก็จะใช้เส้นทางนครราชสีมา - เพชรบูรณ์ โดยจะวิ่งผ่าน ต.หนองบัวโคก ผ่านบ.คำปิง เข้าสู่อำเภอเทพสถิต และเลี้ยวขวาบริเวณ สามแยกเพื่อจะไปในเส้นทาง เทพสถิต - ซับใหญ่ และหากท่านมาจากตัว เมืองชัยภูมิ ก็ต้องใช้เส้นทาง ระเหว - ซับใหญ่ - เทพสถิต เมื่อออกจากตัว กิ่งอ.ซับใหญ่จะถึงทางแยกขึ้นอุทยานฯ ก่อนที่จะถึง อ.เทพสถิต...


:: แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ::

<< ป่าหินงาม >>
"ป่าหินงาม" หรือ (ลานหินงาม) อยู่ทางทิศตะวันตกของที่ทำการอุทยานฯ ทั่วบริวเวณเรียงรายไปด้วยหินก้อนน้อย ใหญ่ รูปร่างแปลก ๆ มากมายในพื้นที่กว่า 10 ไร่ เป็นลานหินซึ่งเกิดจากการกัดเซาะดิน และเนื้อหินทรายมานานนับลานปี วาง เรียงรายสลับซับซ้อน อยู่เต็มลานบ้างก็มีรูปรา่างเหมือนกับถ้วยฟุตบอลโลก บ้างก็เหมือนกบเรด้า และรูปต่าง ๆ แล้วแต่จะ จินตนาการ แต่เมื่อดูแล้วชวนให้เกิดความเพลิดเพลินใจเป็นยิ่งนัก...


<< ทุ่งดอกกระเจียว >>
"ทุ่งดอกกระเจียว" เกิดจากดอกกระเจียวป่า หลากหลายสายพันธุ์ ที่พร้อมใจกันขึ้นรายรอบบริเวณ ของอุทยานฯและจะมีอยู่บริเวณหนึ่งใช้พื้นที่หลายไร่ ที่จะมีดอกกระเจียวขึ้นอย่างหนาแน่นจนกลายเป็นทุ่ง ซึ่ง เวลามองดูก็จะเห็นเป็นสีชมพูปนขาว และมีสีเขียวของลำต้ันและก้านใบเป็นสีเขียวสด ประกอบกับสีเขียว ของหญ้าทีขึ้นมาแซม ทำให้ทุ่งกระเจียว เขียวขจี สวยงามเหมือนกับทุ่งในทรวงสวรรค์เลย โดยในช่วงฤดูฝน เริ่มต้นเดือนมิถุนายน ถึง ปลายเดือนกรกฎาคม ของทุก ๆ ปี ต้นกระเจียวจะออก ดอกสวยงามตระการตาไปทั่วผืนป่า จัดได้ว่าเป็น "นางเอกของอุทยานฯ" ก็ว่าได้ ทั้งนี้เพราะดอกกระเจียว จะไม่มีให้เห็นเลยนอกเสียจากในช่วงเวลาที่ว่านี่เท่านั้น...


<< จุดชมวิวสุดแผ่นดิน >>
"สุดแผ่นดิน" อยู่ทางด้านทิศเหนือของที่ทำการอุทยานฯ เป็นแนวหน้าผาและชะง่อนหิน เป็นจุดสูงสุดบนเทือกเขา พังเหย สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 846 เมตร เกิดจากการดันตัวของแผ่นดินภาคกลาง (ฉานไทย) ซุกเข้าไปใต้แผ่นดิน อีสาน (อินโต - ไซน่า) ทำให้เกิดแผ่นดินที่ยกตัวสูงชัน เรียกว่า "สุดแผ่นดิน" คือเขตรอยต่อของ 3 ภาคอันได้แก่
1. แผ่นดินซีกทางอุทยานฯ เป็นเขตของ จ.ชัยภูมิ (ภาคอีสาน)
2. แผ่นดินซีกทางตะวันตกของอุทยานฯ เป็นเขตของ จ.ลพบุรี (ภาคกลาง)
3. แผ่นดินซีกทางเหนือของอุทยานฯ เป็นเขตของ จ.เพชรบูรณ์ (ภาคเหนือ)ซึ่งมีความสวยงาม อากาศเย็นสบาย และในตอนเช้า ๆ จะมีกลุ่มหมอกลอยผ่านหน้าเราไป เหมือนกับหยอกเย้ากับผู้มาเยือนเลย


ที่มา ://www.kukrajeaw.com/




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 16 พฤษภาคม 2555 18:23:19 น.
Counter : 2404 Pageviews.  

สวัสดีเชียงคาน แค่ฉันไม่ขึ้นคาน อิอิ

หลังจากลงจากภูกระดึง ดึ๊ง ดึง พวกเราก็อาบน้ำกันซะหน่อย แต่ว่า สบู่ไม่มี ทำไง ทำไง? ไม่เห็นจะยากเลย ก็ไปซื้อมาซิจ๊ะ เออเนาะ ฮุฮุ ไปซื้อมา 1 ก้อน แต่มี 3 คน หั่นแบ่งกันๆ ที่เหลือเก็บไว้ อิอิ

แต่ว่าเมื่ออาบน้ำเสร็จสรรพ เจ้าสบู่ที่เหลือไว้เกือบค้อนก้อน ก็หายวับไปแล้ว (มีคนขโมยสบู่ T^T) โอ้มายก๊อดดดดด ฮ่าๆๆๆ ก็ได้แต่มองหน้ากัน แต่ก็ไม่ได้ติดใจ แค่ประมาณว่า อื๊ม!!! แบบนี้ก็มีด้วย ฮ่าๆๆ

พวกเราเดินทางไปแวะชิมและถ่ายภาพกันที่เชียงคาน แต่ไม่ได้พักที่นี้กันหรอกนะค่ะ เลยเก็บเอาวิวสวยๆ มาฝากนะค่ะ



















 

Create Date : 18 มกราคม 2554    
Last Update : 18 มกราคม 2554 20:07:59 น.
Counter : 1330 Pageviews.  

พิสูจน์รักแท้ ที่ภูกระดึง

แค่หัวข้อก็หวานและ ว่ามะ ฮ่าๆๆ ใครหลายๆ คนคงเคยไปเยือนสถานที่แห่งนี้มาแล้ว และใครอีกหลายคนใฝ่ฝันที่จะไปเยือนที่นี้ "ภูกระดึง" และฉันก็เป็นคนอีกคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันจะไปเยือนสถานที่แห่งนี้ซักครั้งหนึ่งในชีวิต มันคือความใฝ่ฝันในวัยเด็ก จริงๆ นะ ตอนนั้นสมัยนั้นถือว่าเด็ก (ตอนนี้ก็ยังเด็กอยู่ อิอิ) ตอนนั้นคงจะซัก ม.1 มั๊ง แต่ด้วยฐานะ และปัจจัยหลายๆ อย่างเลยทำให้ไม่มีโอกาสทันที่ที่จะไปในที่ที่อยากจะไปได้ทันที แต่ตอนนี้ฉันมีโอกาสที่จะทำฝันให้เป็นจริงอีกเรื่อง ฉันก็ไม่รอช้าที่จะทำ....

ออกเดินทางกันเลย ออกจาก กทม ตอนเที่ยงคืน แวะรับผู้ร่วมเดินทางเพิ่มที่อยุธยา และเริ่มเดินทางลัดเลาะไปตามเส้นทางที่จะนำพาพวกเราสู่ อ.ภูกระดึง จ,เลย แต่ราวๆ ตีสามเกิดเหตุไม่คาดฝัน โอ๊วววว!!! อะไรกันเนี๊ยะ เป็นวินาทีที่ตื่นเต้นและลุ้นระทึกจริงๆ นะ ก็จะอะไรกันอีกละนะ นะ น้ำมันจะหมด >"< ไฟเตือนที่หน้าปัดก็ติดขึ้น วินาทีนั้นมองไปรอบๆ มืดตื๊อ (ลืมบอกไปเราใช้เส้นทางลัด ไม่ใช้ถนนสายหลัก) ตื่นเต้นจริงๆ พวกเราเปิดกระจก ปิด แอร์ ปิดเพลง ขับไม่เกิน 80/H ขับรถต่อไป ด้วยความเงียบ (เพราะกำลังลุ้นสุดตัวว่าจะมีปั๊มไหนเปิดอยู่) บรรยากาศโดยรอบมื๊ดมาก ได้ยินเสียงหัวใจเต้น ตุ๊บ ตุ๊บ...


จองมองดูว่าขับต่อได้อีกกี่โลนะ ปั๊มจ๋า เธออยู่ไหน....

ขับไปราวๆ 80 กม หน้าปัดแสดงระยะทางว่าน้ำมันสามารถใช้ได้อีกราวๆ 15 กม (รถเดี๋ยวนี้ฉลาดเนาะมีการคำนวนให้ด้วย) ขับไปอีกหน่อยเห็นร้านไก่ย่าง ที่เปิดแต่เช้าตรู่ (ตีสามเนี๊ยะนะ โชคดีจัง ฮ่าๆๆๆ กินไก่ๆ ไม่ใช่ๆ) เราจอดรถและแวะถามลุงที่กำลังติดเตาย่างไก่ ลุงใจดีมากบอกว่าอีกประมาณ 11 กม มีปั๊มน้ำมัน แต่ลุงไม่แน่ใจว่าจะเปิดหรือเปล่า แต่นั้นก็ทำให้เราใจชื่นจนชุ่มฉ่ำ และเราก็ขับต่อไป โอ๊วววว ปั๊มๆๆๆ ไม่เคยเห็นปั๊มน้ำมันแล้วดีใจเท่านี้เลย ให้ตายซิ และแล้วแก๊สโซฮอลก็ช่วยเราไว้

และพวกเราก็ได้เห็นแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ปากช่อง จ.เพชรบูรณ์ สวยใช้ไหม

แล้วเราก็ออกเดินทางต่อเพื่อมุ่งไปยังจุดหมายปลายทางที่ตั้งมั่นเอาไว้ ไปโลด (เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานจริงๆ จะไม่ลืมว่าควรเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อนออกเดินทางเลย )

ราวๆ 9 โมงกว่าๆ เราก็ถึงจุดหมาย พวกเราขนของอันประกอบไปด้วยเป้คนละหนึ่งใบ เต้นท์และถุงนอน คนขับอาสาแบกเอง (แข็งแรงจริงๆ นะคุณ) เราเข้าไปจ่ายเงินเข้าอุทยานคนละ 30 บาท ค่าสถานที่กางเต้นท์คนละ 30/คืน และค่าฝากรถ 30 บาท เริ่มออกเดินทางกันเลย


รับใบเสร็จและตั๋วด้วยคร๊า


ก่อนขึ้นก็ขอดูระยะทางซะหน่อย ประมาณ 5.5 กม เอง จิ๊บๆ เนาะ


ซำหลายๆ ซำ (คนก็ยังสดชื่นอยู่)


ระหว่างทางเห็นพี่คนนี้แบกถังแก๊สกับถ่าน โอ๊วว สุดยอด ฉันเป้ใบเดี๋ยวยังหอบแฮกๆ เลย T^T


ตอนนี้หมดสภาพเลย นั่งหอบแฮกๆ เลยเรา


แต่พอเห็นวิวแบบนี้ก็ลืมเหนื่อยไปซักแป๊บ ฮ่าๆๆ ก็เหนื่อยมากๆ เลยนิ


คอนทางแล้วค่ะ โอ๊ย!!! หมดสภาพสุดๆ ฮ่าๆๆๆ


สู้ๆ ฉันจะไปถึงแล้วหลังแป หุหุ


เย้ๆๆ ถึงแล้ว แต่ยังไม่ถึงที่กางเต้นท์ อะ T^T ต้องเดินเท้าต่ออีก 3 กม ไปกันๆๆ บ่ายสามแล้วจร้า


ก่อนจะเดินขอซักหน่อยนะ ฉันมาถึงแล้วจร้า ภูกระดึง จ๋า!!!


ยังไม่ถึงอีกเหรอ อ่า....


เดินเก็บบรรยากาศ (จริงๆ ปวดขาเลยหยุดแวะ ไปเรื่อย ฮ่าๆๆๆ)


เย้ๆ ถึงจริงๆ แล้วคราวนี้ ฮ่าๆๆๆ


แล้วก็ให้หนุ่มๆ กางเต้นท์กันซะเลย แต่คนที่มาพร้อมกับเรา เขายังกางเต้นท์ไม่ได้เพราะจ้างลูกหาบ เลยได้แต่นั่งรอ ของที่จะขึ้นมาส่ง ก็คงได้อย่างเสียอย่างละมั๊ง หลังจากกางเต้นท์เสร็จก็จัดของแล้วทยอยไปอาบน้ำกัน แบบว่าเหงื่อแตกซิก (ไม่หนาวเลยซักกะติ๊ด) แต่น้ำทำไมโครตเย็นเลยอ่า ฮ่าๆๆๆ และก็แอบงี๊บหลับไป (เลยไม่ได้ไปดูพระอาทิตย์ตกดินเลย แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวเย็นพรุ่งนี้จะต้องไปดูแน่ๆ) ราวๆ หกโมงครึ่งก็เริ่มฟื้นคืนชีวิตชีวา เราก็ออกไปหาอะไรกินกันดีก่าเนาะ อิอิ (กองทัพต้องเดินด้วยท้องซิ)


กวางๆ เจอกวางเยอะแยะเลยค่ะ ตื่นเต้นจัง ฮ่าๆๆๆ


แวะซื้อโปสการ์ดแล้วเขียนส่งให้เพื่อนๆ (ส่งตรงจากยอดภูกระดึงเชียวนะค่ะ ฮ่าๆๆๆ) และเราก็เข้านอนกัน แต่ฉันซิต้องออกมาไล่กวางตอนดึก หนาวๆๆๆ จริงๆ กวางอะไรเนี๊ยะกินข้าวเหนียวก็เป็น ชิชิ ไปเลย แกจะพังเต้นท์ฉันแล้ว (ทะเลาะกับกวางอยู่พัก จนต้องยกข้าวเหนียวให้กวาง แล้วมันก็ไป) ราวๆ ตีห้า ก็ได้ยินเสียงประกาศว่า "ใครจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นขอให้มารวมตัวกันที่กองอำนวยการ เพราะเจ้าหน้าที่จะนำท่านไปเอง ห้ามไปเองโดยลำพังเด็ดขาด" เท่านั้นแหละก็อิดออดอยู่พักใหญ่แต่ก็กระดึ๊บๆ ออกมาจากถุงนอน ไม่ไปได้ไงไหนๆ ก็มาแล้วเนาะ ^___^


ไม่เสียแรงที่เดินฝ่าอากาศหนาวราวๆ 10 องศาและระยะทางราวๆ 2 กม กว่าๆ มาดูพระอาทิตย์ขึ้นเลย สวยจริงๆ


ระหว่างกลับก็แวะไหว้พระแก้ว และแวะถ่ายรูปน้ำค้างที่ใบสน สวยใช่ไหมละ


กลับมาถึงที่พักราวๆ 7 โมง กินอาหาร ล้างหน้า แปรงฟัน แล้วรอเวลา 8 โมง ก่อน เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าเลย 8 โมงแล้วยังไม่มีประกาศอะไรก็สามารถออกเดินทางเที่ยวบนยอดภูได้ ราวๆ 8.30 เราก็ออกเดินทาง และเก็บภาพสวยๆ เอามาฝากกันค่ะ ไปกันเลยค่ะ






สวยใช่ไหมละ เดินหาใบเมเปิ้ลกันอยู่นานเลยละ กว่าจะเจอ อิอิ เหนื่อยแต่ก็คุ้มนะ


ไปกันต่อ เราต้องเดินอีกไกล นี้เพิ่งจะสิบโลเอง เหลืออีกสิบโล ฮ่าๆๆๆ สุดๆ ไปเลย


เส้นทางต้องเดินตัดลำธารด้วย แต่ดีนะมาช่วงหน้าหนาวน้ำก็เลยไม่เยอะ สวยไปอีกแบบ


หมดแรงจนต้องนอนเลย กว่าจะมาถึง ขาชาไปเลย แต่ก็สวยนะ


เดินจนปวดเท้า จนต้องถอดเกือกแล้ว ทรมานจัง ฉันกำลังทำลายสถิติอะไรหรือเป่าเนี๊ยะ เอ๊าเดินต่อไป เพื่อที่เราจะได้ไปชื่นชมธรรมชาติ และชมพระอาทิตย์ตกเขากัน อิอิ


ในที่สุดก็ได้ดูพระอาทิตย์ตดเขา แต่เสียดายวันนี้เมฆเยอะไปหน่อย แต่ก้สวยนะ แล้วฉันยังต้องเดินอีกเหรอเนี๊ยะ อ่า....วันนี้เดินเกือบ 20 กม แล้วละมั๊ง เอ๊า!! ไปก้ไป ฮ่าๆๆๆ ซักครั้งหนึ่ง แต่ระหว่างทางโชคดีได้เห็น หมาป่าด้วย ตื่นเต้นจัง และก็เห็นพระจันทร์ดวงกลมโตเชียว


พระจันทร์นะนั้นนะ


เช้าวันใหม่ อาบน้ำ กินข้าว เก็บเต้นท์ แล้วก็ออกเดินเพื่อที่จะลงจากเขาค่ะ ขาลงนี้สุดๆ ไปเลย เหนื่อยยิ่งกว่าตอนขึ้นซะอีก เล่นเอาขาก้าวแทบไม่ออกเลยนะ เมื่อลงมาถึงพื้นราบอะ


ขอให้ทุกคนแข็งแรงนะค่ะ ถ้ายังมีแรงก็อยากกลับไปอีกครั้งค่ะ ชอบๆๆๆ

ลักษณะภูมิประเทศ
สภาพทั่วไปของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นภูเขาหินทรายยอดตัดอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของที่ราบสูงโคราช ใกล้กับด้านลาดทิศตะวันออกของเทือกเขาเพชรบูรณ์ ลักษณะโครงสร้างทางธรณีของภูกระดึงเกิดขึ้นในมหายุค Mesozoic เป็นหินในชุดโคราช ประกอบด้วยชั้นหินหมวดหินภูพานหมวดหินเสาขัว หมวดหินพระวิหาร และหมวดหินภูกระดึง พื้นที่ส่วนใหญ่ของภูเขาอยู่ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางระหว่าง 400-1,200 เมตร มีพื้นที่ราบบนยอดเขากว้างใหญ่คล้ายรูใบบอน ประกอบด้วยเนินเตี้ยๆ ยอดสูงสุดคือ ภูกุ่มข้าว สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,350 เมตร สภาพพื้นที่ราบบนยอดภูกระดึงมีส่วนสูงอยู่ทางด้านตะวันตกและตะวันออกเฉียงใต้ พื้นที่ค่อยๆ ลาดเทลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทำให้ลำธารสายต่างๆ ที่เกิดจากแหล่งน้ำบนภูเขาไหลไปรวมกันทางด้านนี้ เป็นแหล่งต้นน้ำของลำน้ำพอง ซึ่งหล่อเลี้ยงเขื่อนอุบลรัตน์และเขื่อนหนองหวาย ในจังหวัดขอนแก่น

ลักษณะภูมิอากาศ
ภูมิอากาศของอุทยานแห่งชาติภูกระดึงบริเวณที่ระดับต่ำตามเชิงเขา มีสภาพโดยทั่วไปใกล้เคียงกับบริเวณอื่นๆ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม ฝนตกชุกที่สุดระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน อุณหภูมิเฉลี่ยรายปี 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดในเดือนมกราคม และอุณหภูมิสูงสุดในเดือนเมษายน สภาพอากาศทั่วไปบนยอดภูกระดึง แตกต่างจากสภาพอากาศในที่ราบต่ำเป็นอย่างมาก โดยปริมาณน้ำฝนจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของปริมาณน้ำฝนบนที่ต่ำ เนื่องจากอิทธิพลของเมฆ/หมอกที่ปกคลุมยอดภูกระดึงเป็นเนืองนิจ ในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคมอุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยระหว่าง 0-10 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยระหว่าง 21-24 องศาเซลเซียส ส่วนในฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยระหว่าง 12-19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยระหว่าง 23-30 องศาเซลเซียส อากาศบนยอดภูกระดึงมักจะแปรปรวน มีเมฆหมอก ลอยต่ำปกคลุมบ่อยครั้ง อากาศจึงค่อนข้างเย็นตลอดปี
ในช่วงฤดูฝน มักเกิดภัยธรรมชาติ เช่น เกิดการพังทะลายของภูเขาและมีน้ำป่า ทางอุทยานแห่งชาติจึงกำหนดให้ปิด-เปิดการท่องเที่ยวเฉพาะบนยอดเขาภูกระดึง เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และให้สภาพธรรมชาติและสภาพแวดล้อมได้มีการพักฟื้นตัว หลังจากนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมอย่างมากในแต่ละปี ดังนี้

ปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน - 30 กันยายน ของทุกปี
เปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม - 31 พฤษภาคม ของทุกปี


ที่จอดรถ
มีลานจอดรถให้บริการแก่นักท่องเที่ยว

บริการอาหาร
เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับบริการที่ดี ทั้งคุณภาพอาหารและเครื่องดื่ม หากพบว่าไม่สะอาด ราคาไม่เป็นธรรม หรือมีการปลอมปน ขอให้นักท่องเที่ยวแจ้งเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวหรือโทรศัพท์หมายเลข 0-4287-1333 เพื่อดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายต่อไป สำหรับร้านอาหารและร้านจำหน่ายของที่ระลึกนั้น มีไว้คอยบริการตามจุดต่างๆ ดังนี้
1. บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐาน (เชิงเขา)
2. ระหว่างทางเดินขึ้นเขา บริเวณซำแฮก ซำกอซาง ซำกกโดน และซำแคร่
3. บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง (ยอดเขา) และจุดชมทิวทัศน์ต่างๆบนยอดเขา ดังนี้ ผาหมากดูก ผานาน้อย ผาเหยียบเมฆ ผาแดง และผาหล่มสัก

ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ทั้งบนยอดภูกระดึง และบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติซึ่งอยู่ด้านล่าง ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติ นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาขอรับบริการข้อมูลได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ระหว่างเวลา 8.00 - 16.30 น.

อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
หมู่ 1 บ้านศรีฐาน ต.ศรีฐาน อ. ภูกระดึง จ. เลย 42180
โทรศัพท์ 0 4287 1333, 0 4287 1458 โทรสาร 0 4287 1333

ที่มา : //travel.sanook.com/northeast/loei/loei_02944.php




 

Create Date : 11 มกราคม 2554    
Last Update : 11 มกราคม 2554 1:10:17 น.
Counter : 1964 Pageviews.  

แอ่วน่าน

วันหยุดที่ผ่านมามาดๆ ได้รับคำชวนจากเพื่อนๆๆ ว่าแกไปเที่ยวน่านไหม (บ้านแฟนเขาอยู่น่าน) และเพื่อนอีกคนก็อยากไปนักไปหนา ก็เลยตกลงปลงใจว่า โอเช ไปแอ่วน่านกันโล๊ดดด ตกลงปลงใจก็ได้เพื่อนร่วมทริปทั้งหมด 4 ราย รวมฉันด้วยนะ อิอิ

เราออกเดินทางกันจาก กทม ตอนตี 2 เพื่อจะไปถึง อ.ปัว จ.น่าน ก่อนมืด เพราะเพื่อนที่ไปรออยู่ก่อนบอกว่าเราจะขึ้นไปนอนกันบนดอยภูคา เพื่อที่เช้าวันใหม่จะได้แวะเที่ยวกันแบบชิวๆ ไม่รีบไม่ร้อน ^__^

ประมาณ 7 โมงเช้า เราก็เดินทางมาถึง จ.แพร่ ก็แวะหาอะไรรองท้องกันซะหน่อย (กองทัพต้องเดินด้วยท้องค่ะ)

ลูกทัวร์หลับกันตลอดทาง ตื่นมาก็โซ้ยแหลกเลยนะ สนใจกันหน่อย แดะ


และแล้วเราก็มาถึง อ.เมือง จ.น่าน ในเวลา 11.45 น. และชะแว๊บแอบไปไหว้พระธาตุแช่แห้ง (สำหรับคนเกิดปีกระต่ายโดยเฉพาะ แต่ฉันเกิดปีหมาอะ)


สวยใช่เปล่า


พระธาตุจร้า รอบๆ พระธาตูมีแต่กระต่ายเต็มไปหมดเลยละ


พระประธานค่ะ

พอแวะถ่ายภาพกันจนหน่ำใจพวกเราก็ออกเดินทางต่อเพื่อไปยัง ณ ที่หมายคือ อ.ปัว ถึงก็ราวๆ 15.30 น. เพื่อนออกมารับตรงปากทางและพาขับรถไปยังบ้าน เพื่อ อาบน้ำ กินข้าว ข้นเต้นท์ และเสบียง และเวลา 16.30 น. พวกเราก็ขึ้นดอยภูคากันแย้ว


ทางขึ้นดอยแคบและก็ชันมากๆ ค่ะ ตื่นเต้นไปอีกแบบ ฮ่าๆๆๆ


พวกเรามาถึงแย้วจร้า


ก่อนเข้าอุทยานก็ต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละ 40 บาทนะค่ะ


ถึงแล้วจร้าลานดูดาว คืนนี้เราจะกางเต้นท์นอนกันที่นี้ อิอิ


ช่วยกันกางเต้นท์หน่อยเร็วๆๆ อิอิ


เสร็จและ ไวปานวอกเลยมะ อิอิ ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกซะหน่อย


พระอาทิตย์จะตกเขาแล้ว หุหุ


เสบียง คิ๊กๆๆ หนาวๆๆ อุ่นๆๆ


ยิ่งมืดยิ่งหนาว แต่ก็เห็นดาวนะ อิอิ


วิธีการคลายหนาว ฮ่าๆๆๆๆ และแล้วค่ำคืนที่หนาวเหน็บ แถมเม็ดฝนที่โปร่ยปรายมาตอนยามสอง ก็ทำให้ฉันตื่นและกระดึบตัวไปแย้งผ้าห่มของเพื่อนเกศ ฮ่าๆๆ ก็มันหนาวอ่ะ


และแล้วฉันก้ผ่านค่ำคืนอันหนาวเหน็บมาได้ อุณหภูมิตอนเช้าวัดได้ 16 องศา เพื่อนมันบอกว่ายังไม่หนาวจริงๆ อ่า ฉันยังยืนเอาผ้าห่มพันตัวอยู่เลย นี้ยังไม่หนาวอีกเหรอเนี๊ยะ


อีกเดี๋ยวพวกเราจะไปชมวิวกัน แต่ตอนนี้หนาวออกท่าออกทางกันหน่อย ร่างกายจะได้อบอุ่น อิอิ


ยิ่งสูงยิ่งหนาว ฮ่าๆๆ หมอกหนาตึบ


เย้ๆๆ ถึงแล้วจุดชมวิว แต่มองอะไรไม่เห็นเลย นอกจากหมอกและเงาไม้ ฮ่าๆๆๆ


ภูคาอินเลิฟ คริๆๆ


หมอกเริ่มจางแล้ว เย้ๆๆๆ


อมหมอกเย็นๆ มาฝากจร้า ฮ่าๆๆๆ


ลงจากดอยก้แวะชมงานปีใหม่มง และก็แต่งตัวเป็นมงซะเลย อิอิ ขอบอกว่าเหมือนมากจนมีนักท่องเที่ยวคนอื่นมาขอถ่ายภาพด้วยเลย ฮ่าๆๆๆ


พออกจากหมู่บ้านมง พวกเราก็แวะเข้าบ้านเพื่อน เพื่อขนเต้นท์ ที่นอน ลงจากรถ และพักผ่อนสักครู่ ก่อนที่จะไปเล่นน้ำที่น้ำตกศิลาเพชร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเพื่อน (ประมาณ 1 กม) และก็กลับมาอาบน้ำ ที่บ้านเพื่อทำพิธี


พีธีบายศรีศสู่ขวัญค่ะ เพื่อนบอกว่าต้องทำทุกครั้งที่มา ประมาณครึ่งชั่วโมง เหน็บกินเล็กน้อย แต่ก็อบอุ่นดีค่ะ พอเสร็จพิธีเพื่อนๆ ตัวดีก้ไปนั่งจกไก่กันมือเป็นระวิง ส่วนฉันนะบาย ขอนอนซักงี๊บ เดี๋ยวจะต้องขับรถพาลูกทัวร์ไปถนนคนเดินต่อ จ๊กไก่เผื่อด้วยละกันนะ

พอทุ่มกว่าๆ ก็ขับรถไปถนนคนเดินแต่เสียดายก่อนที่เราจะมาฝนตกหนักมากทำให้ร้านค้าในวันนั้นเหลือน้อยเต็มที แต่ก้พอมีให้แวะชม เลยได้อิ่มกับขนมจีนน้ำเงี๊ยวกะเพื่อนเกศ ส่วนที่เหลือไปกินก๋วยเตี๋ยวกะละมังกัน กลับถึงบ้านก็สามทุ่มก่าๆ (ได้กระดง กะข้าวเหนียวดำมา 1 ถุง พร้อมด้วยเสื้อแอ่วน่าน มา 1 ตัว อิอิ) นอนก่อนนะ


ออกจากบ้านเพื่อนก็ราวๆ 9 โมง เพื่อนเดินทางกลับ กทม เพื่อนบอกว่าระหว่างกลับอยากถ่ายภาพหลักกิโลเมตรที่ 0 แต่มันอยู่ตรงทางแยกเลยจอดไม่ได้ ขับๆ ไปเหลือบเห็นหลัก กม ที่ 1 เลยจอดให้เพื่อนชักภาพมาซะ เอาน่าไงก็แค่ 1 อิอิ


ขากลับเพื่อนพาแวะเข้าเมืองน่านเพื่อชมภาพฝาผนัง กระซิบรักบรรลือโลก ณ วัดภูมิทร์ เพื่อนบอกว่าดังมากๆ ต้องมาดู เราไม่มีคู่เลยต้องกระซิบกะเพื่อนเกศที่ไม่มีคู่เช่นกัน ฮ่าๆๆๆ ในวัดมีไกด์ตัวน้อยๆ คอยให้ความรู้ด้วยนะค่ะ ยังไงก้อย่าลืมใช้บริการนะค่ะ


หลังจากแวะชม และไหว้พระกันแล้วเราก็จะไปสักการะเสาหลักเมือง ระหว่างทางก็เหลือไปเห็นวัดอีกฝัง เพื่อไม่ให้เสียเวลาก้ถ่ายภาพหมู่ซะหน่อย อิอิ


ถึงแล้วจร้า แหมๆ สวยไหมละ


หลังจากออกจากน่าน เราก็ขับผ่านดงอะไรไม่ทราบได้ แต่ดอกเหลื่องอร่ามอยู่ริมทางช่วงอุตรดิตถ์ เราก้แวะรถถ่ายภาพกันก่อน (แต่รถเพื่อนอีกคันก็ขับหายไปลิบๆ แบบว่าฉันไม่เห็นว่าพวกแกจอด แต่ไม่เป็นไรจิบๆ เดี๋ยวเราก็ตามทัน) เราใช้เวลาประมาณ20 นาที ในการชื่นชมและเก็บภาพ จากนั้นเราก้เหยียบเป็นร้อยผ่านโค้ง เพื่อกวดรถเพื่อนอีกคัน (ณ จุดนี้พวกเราต้องต๊กกะจาย เมื่อมีทางเบียงข้างหน้าแต่รถบรรทุกบังไว้ เกือบหลุดโค้งซะแล้ว แต่พวกเราก้รอดมาได้ ฮ่าๆๆ คุณพระคุ้มครอง) ลืมบอกไปว่าทางช่วงอุตรดิตถ์ตอนนี้มีการก่อสร้างขยายช่องทางค่ะ ไงก็ขับระวังๆ กันหน่อยนะค่ะ

และแล้วเราก็ขับรถมาจนทันรถเพื่อนคันหน้าตรงปากทางเข้าพระธาตุช่อแฮ จ.แพร่ แต่เพื่อนๆ บนรถบ่นเป็นเสียงเดียวว่าเริ่มจะเมารถซะแล้ว (จะไม่ให้เมาได้ไง ก้โค้งละร้อยอะ ฮ่าๆๆ แต่คนขับไม่เมานะ) ถึงแล้วเราก้ไปถ่ายภาพกัน แต่เพื่อนที่เป็นเจ้าบ้านไม่มาเพราะลูกงอแง


กำลังจะขึ้นไปแล้วจร้า


เปลี่ยนเครื่องทรงกันหน่อยเพื่อความเรียบร้อย และให้ความเคารพสถานที่กันหน่อย


สวยใช่เป่า ถ้าว่าก็ไปเที่ยวกันเนาะ หมดค่าน้ำมันรถคนละพันเอง ค่ากินก็คนละ 500 ส่วนค่าอื่นๆ ก็แล้วแต่ท่าน ฮ่าๆๆ กลับถึง กทม โดยสวัสดิภาพตอน 22.30 น. แวะส่งเพื่อนที่ อนุเสาวรีย์ (ทันรถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายแน่นอน ฮ่าๆๆๆ)

อุทยานแห่งชาติดอยภูคา อำเภอปัว จ.น่าน

ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น "ป่าต้นน้ำ ป่าดึกดำบรรพ์ปลายทางหิมาลัย ขุนเขาใต้ทะเล" อุทยานแห่งชาติดอยภูคา มีพื้นที่ประมาณ 1,680 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอ ได้แก่ ท่าวังผา ปัว เชียงกลาง ทุ่งช้าง บ่อเกลือ สันติสุข และแม่จริม เทือกเขาดอยภูคาประกอบด้วยแนวภูเขาสูงสลับซับซ้อน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของปลายเทือกเขาหิมาลัย โดยมียอดภูคาเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดน่าน สูงถึง 1,980 เมตร

ดอยภูคา เป็นต้นแม่น้ำสำคัญหลายสาย เช่น แม่น้ำน่าน ลำน้ำปัว บริเวณนี้เดิมเคยเป็นทะเลมาก่อน ก่อนจะเกิดการเคลื่อนตัวของแผ่นดินสองผืนใต้ทะเลเข้าหากัน ทำให้แผ่นดินโก่งตัวขึ้น น้ำทะเลใต้ดินระเหยไปเหลือเพียงสินแร่เกลือ ดังที่พบในเขตอำเภอบ่อเกลือ และการค้นพบสุสานหอยทะเลอายุประมาณ 200 ล้านปี บนดอยภูแวที่บ้านค้างฮ่อ ตำบลสะกาด อำเภอปัว มีลักษณะเป็นหอยแครงสองฝา ดร.จงพันธ์ จงลักษณ์มณี นักธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี สรุปว่า เป็นซากหอยที่มี ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า พาลีโอคาร์ดิต้า สปีชี่ (Paleocardita Species) อายุ 195-205 ล้านปี จัดว่าอยู่ในยุคไทรแอสซิก (Triassic) ตอนปลาย

ป่าไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ประกอบด้วยป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ทุ่งหญ้า และ ป่าสนธรรมชาติ เป็นแหล่งของพันธุ์ไม้หายากใกล้สูญพันธุ์ ได้แก่ ชมพูภูคา (Bretschneidera sinesis Hemsl.) ในเขตป่าดิบเป็นแหล่งต้นเต่าร้างยักษ์ ปาล์มดึกดำบรรพ์ เมเปิ้ลใบ 5 แฉก ต่างจากเมเปิ้ลที่อื่นซึ่งมี 3 แฉก และยังเป็นแหล่งนกเฉพาะถิ่นที่หายากสองชนิด คือ นกมุ่นรกคอแดง และนกพงใหญ่พันธุ์อินเดีย สถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ ได้แก่

ถ้ำผาแดง, ถ้ำผาผึ้ง เป็นถ้ำที่มีความสวยงามและยาวมากที่สุดในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา (บ้านมณีพฤกษ์) อ.ทุ่งช้าง ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม และยังมีน้ำตกและลำธารขนาดใหญ่ภายในถ้ำอีกด้วย นอกจากนี้ที่บ้านมณีพฤกษ์นี้ยังสามารถชมดอกชมพูภูคาซึ่งจะบานในราวเดือนกุมภาพันธ์ได้ด้วย

ถ้ำผาฆ้อง เป็นถ้ำขนาดกลางบริเวณปากถ้ำจะมีขนาดเล็ก ภายในถ้ำจะมีหินงอกหินย้อย และลำธารไหลผ่าน แต่ช่วงฤดูฝนไม่สามารถเข้าชมได้ เนื่องจากอาจมีน้ำท่วมในถ้ำอยู่ ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 7 กิโลเมตร และต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 2 กม.

น้ำตกต้นตอง เป็นน้ำตกหินปูนมี 3 ชั้น อยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา บนโตรกผามีพืชชุ่มน้ำ เช่นตะไคร่น้ำ เฟิร์นเกาะเขียวขจี หากในหน้าน้ำหลากน้ำในน้ำตกจะขุ่นแดง ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 3 กม. ทางเข้าอยู่ที่บ้านป่าเต๋ย และเดินเข้าไปประมาณ 1 กิโลเมตร (ไป-กลับ 2 กม.) ต้องผ่านพื้นที่ทำไร่ของชาวบ้าน ลักษณะทางเดินลาดชันมาก

น้ำตกศิลาเพชร น้ำตกลงมาจากหน้าผาหลายชั้นลดหลั่นกันไป เหมาะกับการเล่นน้ำ น้ำตกศิลาเพชรอยู่ที่บ้านป่าตอง ตำบลศิลาเพชร ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 71 กิโลเมตร ใช้ทางหลวงหมายเลข 1080 สายน่าน-ปัว ก่อนถึงอำเภอปัว ตรงหลักกิโลเมตรที่ 41-42 มีทางแยกขวามือเข้าทางหลวงหมายเลข 1170 ไปประมาณ 10 กิโลเมตร

น้ำตกภูฟ้า อยู่ในอ.แม่จริม การเดินทางเข้าไปยากลำบากจะต้องเดินเท้าประมาณ 2 วัน

น้ำตกตาดหลวง บ้านทุ่งเฮ้า อ.ปัว และเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ปลาพลวง

ล่องแก่งน้ำว้าตอนกลาง ในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นเส้นทางล่องแก่งระดับ 3-5 ประมาณ 20 กว่าแก่ง เป็นสุดยอดแห่งความตื่นเต้นสนุกสนานช่วงเวลาที่เหมาะกับการล่องแก่งอยู่ระหว่างเดือน ส.ค.-ธ.ค.

ยอดดอยภูแว เป็นยอดดอยที่มีวามสูงจากระดับน้ำทะเล 1,837 เมตร มีลักษณะโดดเด่นเป็นทุ่งหญ้าบนดอย อีกทั้งยังมีลานหินและหน้าผาสูงชันอีกด้วย และมีพรรณไม้เฉพาะถิ่นและพรรณไม้หายาก เช่น ค้อ กุหลาบพันปี ฯลฯ ในช่วงฤดูหนาว(พ.ย.-ก.พ.)นั้นจะมีความสวยงามมาก

การเดินทาง
โดยรถยนต์จากที่ทำการอุทยานฯ ไปถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติดอยภูคาที่ 9 (บ้านด่าน) ระยะทางประมาณ 63 กม. และเดินทางขึ้นยอดดอยภูแวประมาณ 8 กม. และมีลูกหาบไว้บริการ

สุสานหอย ซึ่งเป็นหอยทะเลอายุประมาณ 218 ล้านปี พบในบริเวณบ้านค้างฮ่อ อ.ทุ่งช้าง

เส้นทางศึกษาธรรมชาติชมพูภูคา ดอยภูคานับเป็นบ้านแห่งสุดท้ายของต้นชมพูภูคาพันธุ์ไม้หิมาลัย ดร.ธวัชชัย สันติสุข ผู้เชี่ยวชาญพฤกษศาสตร์ป่าไม้ กรมป่าไม้ เป็นผู้สำรวจพบเป็นครั้งแรกในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ชมพูภูคาจะผลิดอกตามปลายกิ่งเป็นช่อสีชมพูยาว 30-35 เซนติเมตร เมื่อบานจะทำให้ช่อดอกเป็นพุ่มสวยงาม ชมพูภูคาเป็นพันธุ์ไม้ที่เคยมีการสำรวจพบตามหุบเขาแถบมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของประเทศจีนและทางเหนือของเวียดนาม จากนั้นก็ไม่มีรายงานการค้นพบพืชชนิดนี้อีก พื้นที่ป่าดิบเขาดอยภูคาจึงอาจเป็นแหล่งกำเนิดสุดท้ายของชมพูภูคา ซึ่งเป็นไม้หายากใกล้สูญพันธุ์ชนิดหนึ่งในโลก จุดชมต้นชมพูภูคาที่เข้าถึงง่ายที่สุดจะอยู่ริมถนนห่างจากที่ทำการไป 5 กิโลเมตร

อุทยานฯได้จัดเส้นทางศึกษาธรรมชาติไว้ 2 วงรอบ รอบเล็ก 1.2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดิน 2 ชั่วโมง รอบใหญ่ 4.3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดิน 4 ชั่วโมง ระหว่างเส้นทางจะพบ ป่าสนสามใบ เป็นป่าปลูกทดแทนป่าเดิมซึ่งถูกทำลาย ป่ากล้วย มักพบใกล้แหล่งน้ำ กล้วยที่โตเต็มที่สามารถเก็บน้ำตามลำต้นได้ถึง 10-15 ลิตร ป่าดึกดำบรรพ์ที่มีต้นเต่าร้างยักษ์, ต้นชมพูภูคา, นางพญาเสือโคร่ง พบในเขตป่าดิบเขา สูงจากระดับน้ำทะเล 800-1,800 เมตร เปลือกมีกลิ่นหอมคล้ายการบูน มีสรรพคุณเป็นยา ดอยดงหญ้าหวาย เดิมบริเวณนี้เคยเป็นทะเลมาก่อน การเคลื่อนตัวของแผ่นดินใต้ทะเลสองผืนจนเกิดการโก่งตัวเป็นสภาพดอยในปัจจุบัน

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการท่องเที่ยว
คือ ช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ อุณหภูมิ 15-27 องสาเซลเซียส และฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายนซึ่งมีอากาศเย็นสบาย

สิ่งอำนวยความสะดวก
ในบริเวณอุทยานแห่งชาติดอยภูคา สถานที่สำหรับตั้งเต็นท์พักแรม บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา และลานดูดาวซึ่งเป็นจุดชมทิวทัศน์ได้ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ตามถนนสายปัว-บ่อเกลือ ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตรในบริเวณพื้นที่กางเต็นท์ทั้ง 2 แห่งนี้มีห้องน้ำ ห้องสุขาไว้บริการแก่นักท่องเที่ยว จองบ้านพักที่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โทร. 0 2562 0760 ป่าไม้จังหวัดน่าน โทร. 0 5471 0815 หรือ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา โทร. 0 1224 0789, 0 5470 1000 ตู้ปณ . 8 ตำบลภูคา อำเภอปัว จังหวัดน่าน 55120 หรือสำรองที่พักด้วยตนเองที่ //www.dnp.go.th

การเดินทาง
จากจังหวัดน่าน โดยทางรถยนต์ไปตามทางหลวงหมายเลข 1080 ถึงอำเภอปัว ระยะทาง 60 กิโลเมตรแยกไปตามทางหลวงหมายเลข 1256 (ปัว-บ่อเกลือ) ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ระยะทาง 25 กิโลเมตร

ผู้ที่เดินทางโดยรถโดยสารประจำทางสามารถใช้บริการรถสองแถวสีน้ำเงินสายปัว-บ่อเกลือ ซึ่งผ่านหน้าอุทยานฯ วิ่งบริการระหว่างเวลา 07.30-14.00 น. ท่ารถอยู่บริเวณสามแยกปัว-บ่อเกลือ

ที่มา //www.tat.or.th/




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2553    
Last Update : 16 ธันวาคม 2553 2:20:29 น.
Counter : 2578 Pageviews.  

1  2  3  4  

ปลาซิวน้อยในนาข้าวหอมมะลิ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ยิ้มวันละนิดชีวิตยืนยาวค่ะ




Friends' blogs
[Add ปลาซิวน้อยในนาข้าวหอมมะลิ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.