มนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ในจักรวาลนี้
Group Blog
 
All blogs
 
ธรรมกาย ในพระไตรปิฎก

คำว่า ธรรมกาย ในพระไตรปิฎก

[๕๕] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสต่อไปว่า ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ เธอทั้งสองคนมีชาติก็ต่างกัน มีชื่อก็เพี้ยนกัน มีโคตรก็แผกกัน มีตระกูลก็ผิดกัน พากันทิ้งเหย้าเรือนเสีย มาบวชเป็นบรรพชิต เมื่อจะมีผู้ถามว่า ท่านทั้งสองนี้เป็น พวกไหน เธอทั้งสองพึงตอบเขาว่า ข้าพเจ้าทั้งสองเป็นพวกพระสมณศากยบุตร ดังนี้เถิด

***ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ผู้ใดแล มีศรัทธาตั้งมั่นเกิดขึ้นแล้วแต่ รากแก้วคืออริยมรรค ประดิษฐานมั่นคง อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือผู้ใดผู้หนึ่งในโลก ไม่พรากไปได้ ควรเรียกผู้นั้นว่า เป็นบุตรเกิดแต่พระอุระ เกิดแต่พระโอฐของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดแต่พระธรรม เป็นผู้ที่พระธรรม เนรมิตขึ้น เป็นผู้รับมรดกพระธรรม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคำว่า ธรรมกาย ก็ดี ว่าพรหมกาย ก็ดี ว่าธรรมภูต ก็ดี ว่าพรหมภูต ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต ฯ

ที่มา : พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค

//84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=1703&Z=2129
*************************************
สังเกตคำว่า "เป็นผู้เกิดแต่พระธรรม เป็นผู้ที่พระธรรม เนรมิตขึ้น" ...."เพราะคำว่า ธรรมกาย ก็ดี ว่าพรหมกาย ก็ดี ว่าธรรมภูต ก็ดี ว่าพรหมภูต ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต ฯ"
บ่งชี้ชัดตรงตัวไม่ต้องตีความว่า พระธรรมทำให้เกิดกาย มีธรรมนำหน้า มีกายตามหลัง เรียกว่า ธรรมกาย
*************************************

***๕. สรภังเถรคาถา ***
***คาถาสุภาษิตของพระสรภังคเถระ ***

[๓๖๕] เราหักแขมด้วยมือทั้งสองทำกระท่อมอยู่ เพราะฉะนั้น เราจึงมีชื่อ โดยสมมติว่า สรภังคะ วันนี้เราไม่ควรหักแขม ด้วยมือทั้ง สองอีก เพราะพระสมณโคดมผู้เรืองยศ ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่ เราทั้งหลาย เมื่อก่อน เราผู้ชื่อว่าสรภังคะไม่เคยได้เห็นโรคคือ อุปาทานขันธ์ ๕ ครบบริบูรณ์ทั้งสิ้น โรคนั้น อันเราผู้ทำตามพระ ดำรัสของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ได้เห็นแล้ว พระ สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า พระวิปัสสี พระสิขี พระ เวสสภู พระกกุสันโธ พระโกนาคม พระกัสสป ได้ เสด็จไปแล้วโดยทางใดแล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ก็ได้เสด็จไปแล้ว โดยทางนั้น

****พระพุทธเจ้า ๗ พระองค์นี้ ทรงปราศจากตัณหา ไม่ทรงถือมั่น ทรงหยั่งถึงความสิ้นกิเลส
****เสด็จอุบัติแท้ โดยธรรมกาย ผู้คงที่ ทรงเอ็นดูอนุเคราะห์ สัตว์ทั้งหลาย ได้ทรงแสดงธรรม คือ อริยสัจ ๔ อันได้แก่ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางเป็นที่สิ้นทุกข์ เป็นทาง ไม่เป็นไปแห่งทุกข์ อันไม่มีที่สุดในสงสาร เพราะกายนี้แตก และ เพราะความสิ้นชีวิตนี้ การเกิดในภพใหม่อย่างอื่นมิได้มี เราเป็น ผู้หลุดพ้นแล้วจากสรรพกิเลสและภพทั้งปวง.

ที่มา : พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘ ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา

//84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=26&A=6780&Z=6805
*************************************
สังเกตคำว่า "ทรงปราศจากตัณหา ไม่ทรงถือมั่น ทรงหยั่งถึงความสิ้นกิเลส" : ทรงเข้าถึงปรมัตถอัตตาแท้เพราะละวางไม่ยึดมั่นถือมั่น (อนัตตา) จึงเข้าถึง ธรรมกาย คือ กายที่เกิดด้วยธรรม

สังเกตคำว่า "เสด็จอุบัติแท้ โดยธรรมกาย ผู้คงที่" แปลว่า เสด็จเกิดขึ้นจริงๆ ด้วยธรรมกาย ผู้คงที่(ปรมัตถอัตตา)

*************************************

พึงมีศีลบริสุทธิ์ มีปัญญาหมดจดดี มีจิตตั้งมั่น ประกอบความเพียร

*****เจริญวิปัสสนา มีปกติเห็นธรรม วิเศษ พึงรู้แจ้งธรรมอันสัมปยุตด้วยองค์มรรคและโพชฌงค์ (พึงรู้แจ้ง องค์มรรคและโพชฌงค์) นักปราชญ์เหล่าใดเจริญสุญญตวิโมกข์ อนิมิตต- วิโมกข์ และอัปปณิหิตวิโมกข์ ไม่บรรลุความเป็นพระสาวกในศาสนา พระชินเจ้า นักปราชญ์เหล่านั้นย่อมเป็น

****พระสยัมภูปัจเจกพุทธเจ้า มีธรรม ใหญ่ มีธรรมกายมาก มีจิตเป็นอิสระ ข้ามห้วงทุกข์ ทั้งมวลได้ มีจิต โสมนัส มีปกติเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง เปรียบดังราชสีห์ เช่นกับนอแรด พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านี้ มีอินทรีย์ระงับ มีใจสงบ มีจิตมั่นคง มีปกติ ประพฤติด้วยความกรุณาในสัตว์เหล่าอื่น เกื้อกูลแก่สัตว์ รุ่งเรืองในโลกนี้ และโลกหน้า

ที่มา : พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑

//84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=32&A=147&Z=289
*************************************
สังเกตคำว่า "เจริญวิปัสสนา มีปกติเห็นธรรม วิเศษ พึงรู้แจ้งธรรม" ทั้งเห็นแจ้งและรู้แจ้ง ไม่ใช่คิดเดา จึงจะเรียกว่าวิปัสสนา เห็นก็คือเห็น ไม่ใช่นึก ไม่ใช่คิด ต้องเห็นจริงๆ เห็นวิเศษ เห็นอย่างยิ่งจึงจะเรียกว่า เห็นธรรม

สังเกตคำว่า "มีธรรม ใหญ่ มีธรรมกายมาก มีจิตเป็นอิสระ"
กายก็คือกายตรงตัวไม่ยอกย้อนไม่ต้องแปลต่อ เพราะเป็นคำภาษาไทยแท้ๆ ไม่ใช่คำสมาส มีธรรมกายมาก คำนี้ บ่งชี้ว่ามีจำนวน

สังเกตคำว่า "ข้ามห้วงทุกข์ ทั้งมวลได้ มีจิต โสมนัส" ตรงกับพุทธภาษิตที่ว่า นิพพานัง ปรมัง สุขขัง : นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
*************************************

อัตถสันทัสสกเถราปทานที่ ๗ (๑๓๗)
ว่าด้วยผลแห่งการชมเชยพระพุทธเจ้า ๓ คาถา

[๑๓๙] เรานั่งอยู่ในโรงอันกว้างใหญ่ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตระ ผู้เป็นนายกของโลก ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ผู้บรรลุพลธรรมแวดล้อมด้วย ภิกษุสงฆ์ ภิกษุสงฆ์ประมาณ ๑ แสน ผู้บรรลุวิชชา ๓ ได้อภิญญา ๖ มีฤทธิ์มาก แวดล้อมพระสัมพุทธเจ้า ใครเห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส ใน มนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลกไม่มีอะไรเปรียบ ในพระญาณของพระสัมพุทธเจ้าองค์ใด ใครได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีพระญาณไม่สิ้นสุด แล้ว จะไม่เลื่อมใสเล่า ชนทั้งหลายแสดงธรรมกาย และไม่อาจทำ รัตนากรทั้งสิ้นให้กำเริบได้ ใครได้เห็นแล้วจะไม่เลื่อมใสเล่า พราหมณ์ นารทะนั้นชมเชยพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระผู้ไม่แพ้ด้วย ๓ คาถา นี้แล้วเดินไปข้างหน้า ด้วยจิตอันเลื่อมใสและด้อยการชมเชยพระพุทธเจ้า นั้น เราไม่ได้เข้าถึงทุคติเลยตลอดแสนกัลป ในกัลปที่ ๓๐๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์พระนามว่าสุมิตตะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอัตถสันทัสสกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.

ที่มา : พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑

//84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=32&A=4023&Z=4041&pagebreak=0
************************************
สังเกตคำว่า "เรานั่งอยู่ในโรงอันกว้างใหญ่" ที่ใดที่กว้างพอจะจุพระจำนวน 1 แสนองค์ได้ครับ?
"ภิกษุสงฆ์ประมาณ ๑ แสน" จำนวนเยอะมากนะครับไม่ใช่น้อยเลย?
"ผู้บรรลุวิชชา ๓ ได้อภิญญา ๖ มีฤทธิ์มาก" ที่สำคัญเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ถามว่าบนโลกใบนี้เกิดขึ้นไม่ได้ง่ายๆ นะครับ
"แวดล้อมพระสัมพุทธเจ้า" ตรงตัวไม่ต้องแปลต่อแล้วครับ
************************************

****มหาปชาบดีโคตมีเถริยาปทานที่ ๗ ****
****ว่าด้วยบุพจริยาของพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ****

………..ข้าแต่พระสุคตเจ้า หม่อมฉันเป็น มารดาของพระองค์ ข้าแต่พระธีรเจ้า พระองค์เป็นพระบิดาของ หม่อมฉัน ข้าแต่พระโลกนาถ พระองค์เป็นผู้ประทานความสุข อันเกิดจากพระสัทธรรมให้หม่อมฉัน ข้าแต่พระโคดม หม่อมฉัน เป็นผู้อันพระองค์ให้เกิด ข้าแต่พระสุคตเจ้า รูปกายของพระองค์นี้ อันหม่อมฉันทำให้เจริญเติบโต ธรรมกายอันน่าเพลิดเพลินของ หม่อมฉัน อันพระองค์ทำให้เจริญเติบโตแล้ว หม่อมฉันให้พระองค์ ดูดดื่มน้ำนมอันระงับเสียได้ ซึ่งความอยากชั่วครู่ แม้น้ำนม คือ พระสัทธรรมอันสงบระงับล่วงส่วน พระองค์ก็ให้หม่อมฉันดูดดื่ม แล้ว ข้าแต่พระมหามุนี ในการผูกมัดและรักษา พระองค์ชื่อว่ามิได้ เป็นหนี้หม่อมฉัน ………
……………..ต่อแต่นั้น พระนางก็สละอุบาสิกาเหล่านั้นเสีย เข้าปฐม ฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน แล้วเข้าอากาสานัญ- จายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน และ เนวสัญญานาสัญญายตนฌานตามลำดับ แล้วพระโคตมีเถรีเจ้าก็เข้า ฌานทั้งหลายโดยปฏิโลม แล้วก็เข้าปฐมฌานไปตราบเท่าถึงจตุตถฌาน ครั้นออกจากจตุตถฌานนั้นแล้วก็ดับไป เหมือนเปลวประทีป ที่หมดเชื้อดับไป ฉะนั้น…………
…………..ท่านพระอานนท์เป็นผู้หมดความแช่มชื่น มีตานองไปด้วยน้ำตา ได้กล่าวด้วยเสียงอันน่าสงสารว่า ขอ พระภิกษุทั้งหลายผู้เป็นโอรสของพระสุคตเจ้าซึ่งอยู่ในทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตกและทิศเหนือ จงมาประชุมกัน พระภิกษุณี ผู้ยังพระสรีระสุดท้ายของพระมุนีให้เจริญด้วยน้ำนม พระมารดาของ กระผม พระโคตมีภิกษุณีนั้นถึงความสงบ เหมือนดวงดาวในเมื่อ พระอาทิตย์ อุทัย ฉะนั้น พระนางยังความรู้พร้อมกันว่า เป็น พระพุทธมารดา ให้ดำรงอยู่แล้วไปสู่นิพพาน ในที่ใดถึงคนมี ๕ ตาก็เห็นไม่ได้ ในที่นั้น พระผู้มีพระภาคซึ่งเป็นผู้นำทรงเห็นได้ ขอพระโอรสของพระสุคตเจ้าผู้มีความเชื่อในพระสุคต หรือเป็น ศิษย์ของพระมหามุนีจงทำสักการะแด่พระพุทธมารดาเถิด ………….
ที่มา : พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก

//84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A=4471&Z=4887

************************************
สังเกตคำว่า "...รูปกายของพระองค์นี้ อันหม่อมฉันทำให้เจริญเติบโต ธรรมกายอันน่าเพลิดเพลินของ หม่อมฉัน... "

สังเกตคำว่า "พระพุทธมารดา ให้ดำรงอยู่แล้วไปสู่นิพพาน" แปลว่า ไปถึงได้ถ้าไม่มีฝั่งจะมีคำว่าไปสู่ หรือคำนี้เป็นภาษาไทยตรงๆ แทบไม่ต้องแปลเลย

สังเกตคำว่า "...สู่นิพพาน ในที่ใดถึงคนมี ๕ ตาก็เห็นไม่ได้ ในที่นั้น พระผู้มีพระภาคซึ่งเป็นผู้นำทรงเห็นได้ "
ประโยคนี้ชี้ชัดมากว่า ผู้ที่จะเห็นพระนิพพานได้ หรือเข้าถึงนิพพานได้มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น พระนิพพานมีอยู่จริงถ้าไม่มีท่านจะกล่าวย้ำนักย้ำหน้าว่าพระนิพพาน เป็นที่สงัดของสัตว์โลกได้อย่างไร ย้ำว่าพระนิพพานมีเต็มพระไตรปิฎกเลยครับ



Create Date : 06 มิถุนายน 2549
Last Update : 6 มิถุนายน 2549 17:23:22 น. 2 comments
Counter : 386 Pageviews.

 
อ่านจบสลบไปเลยค่ะ ตาลายเลยจ๊ะ


โดย: JOYSA วันที่: 6 มิถุนายน 2549 เวลา:20:54:16 น.  

 
อนุโมทนาครับ...


โดย: สมถะ(ปราชญ์ขยะ) IP: 125.24.146.184 วันที่: 22 ธันวาคม 2549 เวลา:10:04:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

XLmen
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีเพื่อนๆ ทุกท่านครับ สำหรับท่านที่มีความสนใจทางด้านดาราศาสตร์ หรือโหราศาสตร์ถ้าสนใจที่จะเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ หรือเสวนาธรรมเชิญได้นะครับยินดีรับใช้เพื่อนๆ ทุกคนครับ
ก้าวแรกสู่การค้นพบ
Friends' blogs
[Add XLmen's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.