WishRich
Group Blog
 
All Blogs
 

การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เพื่อลดความเครียด























ความเครียดคืออะไร?




ความ
เครียด เป็นเรื่องของร่างกายและจิตใจ
ที่เกิดการตื่นตัวเตรียมรับกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง
ซึ่งเราคิดว่าไม่น่าพอใจ เป็นเรื่องที่หนักเกินกำลังทรัพยากรที่เรามีอยู่
หรือเกินความสามารถของเราที่จะแก้ไขได้ ทำให้รู้สึกหนักใจเป็นทุกข์
และอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกาย และพฤติกรรมตามไปด้วย



ทำอย่างไรให้คลาย
เครียด?




เมื่อรู้สึกเครียด คนเราจะมีวิธีการผ่อนคลายที่แตกต่างกันออกไป
ส่วนใหญ่จะเลือกวิธีที่ตนเองเคยชิน ถนัด ชอบหรือสนใจ
ทำแล้วเพลิดเพลินมีความสุข ซึ่งมีทั้งวิธีคลายเครียดทั่วๆ ไป
และวิธีที่เป็นเทคนิคเฉพาะ



วิธีคลายเครียดโดยทั่วๆ ไป เช่น




































































 
การพักผ่อน
นอนหลับ
 
ออกกำลังกาย
ยืดเส้นยืดสาย เต้นแอโรบิค รำมวยจีน
 
ดูหนัง
ฟังเพลง เล่นดนตรี
 
ปลูกต้นไม้
ทำสวน เลี้ยงสัตว์
 
อ่านหนังสือ
 
ท่องเที่ยว
เปลี่ยนบรรยากาศ
 
สะสมของรัก
ฯลฯ


วิธีคลาดเครียดที่เป็นเทคนิคเฉพาะ เช่น



























































 

การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
 
การฝึกการ
หายใจ
 
การทำสมาธิ
 
การจินตนาการ
 
การคลาย
เครียดจากใจสู่กาย
 
การนวดคลาย
เครียด


ซึ่งจะขอนำเสนอวิธีคลายเครียดที่เป็นเทคนิคเฉพาะ
โดยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ความเครียดมีผลทำให้กล้ามเนื้อหดตัว
สังเกตได้จากอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด กัดฟัน เป็นต้น นอกจากนี้ในขณะฝึก
จิตใจจะจดจ่ออยู่กับการคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ
ทำให้ลดการคิดฟุ้งซ่านและลดความวิตกกังวล เกิดสมาธิมากขึ้นกว่าเดิม



วิธีการฝึก



เลือกสถานที่ที่สงบ นั่งในท่าที่สบาย
คลายเสื้อผ้าให้หลวมถอดรองเท้า หลับตา ทำใจให้ว่าง
ตั้งสมาธิอยู่ที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย
โดยฝึกเกร็งและคลายกล้ามเนื้อสลับกันไปประมาณ 10 ครั้ง
โดยระยะเวลาที่เกร็งให้นับ 1-5 และระยะเวลาที่ผ่อนคลายนับ 1-10 ทำดังนี้






























































































































 


1.

  มือและแขนขวา โดยกำมือ
เกร็งแขน แล้วคลาย
 
2.
  มือและแขนซ้าย
โดยทำเช่นเดียวกันกับข้อ 1 และขณะกำมือระวังอย่างให้เล็บจิกเนื้อตัวเอง
 


3.

  หน้าผาก
โดยเลิกคิ้วสูงแล้วคลาย ขมวดคิ้วแล้วคลาย
 


4.

  ตา แก้ม จมูก
โดยหลับตาแน่น ย่นจมูกแล้วคลาย
 


5.

  ขากรรไกร ลิ้น ริมฝีปาก
โดยกัดฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานปากแล้วคลาย เม้มปากแน่นแล้วคลาย
 
6.
  คอ
โดยก้มหน้าให้คางจดคอแล้วคลาย เงยหน้าจนสุดแล้วคลาย
 
7.
  อก ไหล่ และหลัง
โดยหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้แล้วคลาย ยกไหล่สูงแล้วคลาย
 
8.
  หน้าท้อง
โดยแขม่วท้องแล้วคลาย
 
9.
  ก้น โดยขมิบก้นแล้วคลาย
 
10.
  เท้าและขาขวา
โดยเหยียดขางอนิ้วเท้าแล้วคลาย เหยียดขากระดกปลายเท้าแล้วคลาย
 
11.
  เท้าและขาซ้าย
โดยทำเช่นเดียวกันกับข้อ 10


เมื่อคุ้นเคยกับการผ่อนคลายแล้ว
ให้ฝึกคลายกล้ามเนื้อได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องเกร็งก่อน
และอาจเลือกคลายกล้ามเนื้อ เฉพาะส่วนที่เป็นปัญหาเท่านั้นก็ได้
ซึ่งไม่จำเป็นต้องคลายกล้ามเนื้อทั้งตัว
จะช่วยให้ใช้เวลาน้อยลงและสะดวกมากขึ้น



จะเห็นว่าวิธีการคลายกล้ามเนื้อ สามารถทำได้สะดวกไม่ต้องลงทุน
คุณสามารถเลือกที่จะฝึกกล้ามเนื้อที่คุณรู้สึกว่ามีอาการเกร็งหรือปวด
และมีหลักการง่ายๆ โดยการเกร็งและคลายกล้ามเนื้อ
โดยให้ระยะเวลาที่เกร็งกล้ามเนื้อสั้นกว่าการคลายกล้ามเนื้อ


 
     




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2553    
Last Update : 27 มิถุนายน 2553 23:02:13 น.
Counter : 314 Pageviews.  

คู่มือคลายเครียด (1)

ความเครียด
เป็นภาวะของอารมณ์ หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้น เมื่อเผชิญกับปัญหาต่างๆ
ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ คับข้องใจ หรือถูกบีบคั้นกดดัน
จนทำให้เกิดความรู้สึกทุกข์ใจ สับสน โกรธ หรือเสียใจ


ความเครียดที่มีไม่มากนัก จะเป็นแรงกระตุ้น
ให้คนเราเกิดแรงมุมานะ ที่จะเอาชนะปัญหา และอุปสรรคต่างๆ ได้
คนที่มีความรับผิดชอบสูง จึงมักหนีความเครียดไปไม่พ้น



ความเครียดที่เป็นอันตราย คือ
ความเครียดในระดับสูง ที่คงอยู่เป็นเวลานาน จะส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย
สุขภาพจิต พฤติกรรม ครอบครัวการทำงาน และสังคมได้



ดังนั้น เราจึงควรรู้จักการผ่อนคลาย
ความเครียดที่ถูกวิธี เพื่อให้การดำเนินชีวิตของเราเป็นสุข



ความเครียดเกิดขึ้นได้อย่างไร



ความเครียด เกิดจากสาเหตุ 3 ประการคือ
































 
1.
สาเหตุทางด้าน
จิตใจ ได้แก่ ความกลัวว่าจะไม่สมหวัง กลัวจะไม่สำเร็จ หนักใจในงาน
หรือภาระต่างๆ รู้สึกว่าตัวเอง ต้องทำสิ่งที่ยากเกินความสามารถ
มีความวิตกกังวลล่วงหน้ากับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
 


2.

สาเหตุจากการ
เปลี่ยนแปลงในชีวิต ได้แก่ การเปลี่ยนช่วงวัย การแต่งงาน การตั้งครรภ์
การเริ่มเข้าทำงาน การเปลี่ยนงาน การเกษียณอายุ การย้ายบ้าน
การสูญเสียคนรัก เป็นต้น
 
3.
สาเหตุจากการ
เจ็บป่วยทางกาย ได้แก่ การเจ็บไข้ ไม่สบายที่ไม่รุนแรง ตลอดไปจนถึง
การเจ็บป่วยด้วยโรคที่รุนแรงและเรื้อรัง เช่น เบาหวาน มะเร็ง
ความดันโลหิตสูง เป็นต้น


การเผชิญกับความเครียด



คนเรามีความสามารถ
ในการจัดการกับความเครียดได้อยู่แล้วทุกคน
แต่ในระหว่างที่เราต้องเผชิญกับความเครียด
เราควรมีแนวททางที่เหมาะสมดังนี้คือ









































 
1.
สำรวจตนเองว่าเครียดหรือไม่
 


2.

ยอมรับความจริงและคิดในเชิง
บวก
 
3.
การวางแผนแก้ปัญหา
 
4.
ผ่อนคลายความตึงเครียดด้วย
วิธีที่เหมาะสม


การยอมรับความจริงและคิดใน
เชิงบวก



เมื่อมีปัญหา อย่าเพิ่มความกดดันให้ตนเอง
โดยการมองโลกในแง่ร้าย ให้พยายามคิดในเชิงบวก และมองโลกในหลายๆ แง่มุม
เช่น
































 
มองว่างานหนัก
งานยาก เป็นการท้าทายความสามารถ เป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้กับตัวเรา
 

การที่คนอื่นตำหนิเรา เป็นการช่วยให้เราได้เห็นตนเอง ในส่วนที่ควรปรับปรุง
และสามารถพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นไปอีก
 
ยอม
รับว่าคนทุกคนมีโอกาสประสบกับปัญหา และมีโอกาสผิดพลาดได้ทั้งนั้น
และเราควรแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านั้น ทำสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นได้


การวางแผนแก้ไขปัญหา



เมื่อทราบว่าเรามีความเครียด
จนทำให้ชีวิตไม่มีความสุข หนทางที่เหมาะสมคือ
พยายามค้นหาสาเหตุของความเครียด แล้วแก้ไขให้ตรงจุด
ความตึงเครียดจะผ่อนคลายลงไปเอง ซึ่งการค้นหาสาเหตุของความเครียด
อาจใช้วิธีการสำรวจตนเอง นึกทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ และวิเคราะห์สถานการณ์
หรือความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในบางโอกาสอาจพูดคุยกับผู้ใกล้ชิด
เพื่อปรึกษาและช่วยค้นหาสาเหตุ และวิธีการแก้ไขปัญหาความเครียดนั้น
โดยอาจมองหา วิธีการแก้ไขปัญหาหลายๆ วิธี และพิจารณาวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
จึงลงมือแก้ไขปัญหา



การผ่อนคลายความเครียด



เมื่อทราบว่ามีความเครียด และรู้สึกว่าถูกรบกวน
จนทำให้ไม่มีความสุข ควรหาวิธีการผ่อนคลายความเครียดที่เหมาะสม
เพื่อมิให้ความเครียดนั้นเป็นอันตราย ต่อสุขภาพการและสุขภาพจิต
ซึ่งการผ่อนคลายความเครียดนั้นมี 2 ระดับ ดังนี้คือ





















 
ระดับ
ที่ 1 การคลายเครียดในภาวะปกติ
 






ระดับ
ที่ 2 การคลายเครียดในภาวะที่มีความเครียดสูง




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2553    
Last Update : 27 มิถุนายน 2553 23:00:14 น.
Counter : 307 Pageviews.  

วิธีขับไล่ความโกรธเกรี้ยว
















แม้ว่าอารมณ์โกรธ จะเกิดขึ้นกับใครก็ได้
จากที่ใบหน้าจะไม่รับแขก ไม่สนฝรั่ง หรือเมินไทย ที่เด่นชัดบนใบหน้า
ในเวลาที่คุณโกรธไฟลุกแล้วนั้น อารมณ์โกรธที่สะสมอยู่ภายในจิตใจนานๆ
ก็ยังจะก่อให้เกิดผลร้าย ต่อสุขภาพร่างกาย ได้มากมายเสมือน
ลูกไฟแห่งความโกรธที่ค่อยๆ สะสมขึ้นทุกทีๆ จนเผาไหม้ทั้งกาย
และใจคุณให้ร้อนรุ่มได้ ซึ่งผลกระทบที่มีต่อร่างกาย
อาจก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังต่อไปนี้
































 
โรคหัวใจ
เนื่องจากอารมณ์โกรธจะกระตุ้น ให้หัวใจคุณบีบตัวเร็วและแรงขึ้น
 
โรคซึมเศร้า
ขาดชีวิตชีวา
 
โรค
ความดันโลหิตสูง ฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง
ทำให้ร่างกายไม่สามารถ ทำงานได้อย่างเป็นปกติ


อกจากนี้ ยังเคยมีผลการศึกษาวิจัยพบว่า
หากสาวไหนที่เครียดสะสม ตั้งแต่ในวัยทำงาน ก็จะมีแนวโน้ม
ที่จะป่วยเป็นโรคหัวใจในวัยกลางคน ได้สูงกว่าคนปกติ ถึง 50 เปอร์เซ็นต์
อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้ว ต้องรีบหาทางขจัดอารมณ์โกรธด่วนเลย ดับไฟโกรธให้หมดสิ้นไปด้วย 4 วิธีที่ทรงประสิทธิภาพ



วิธีการที่จะช่วยให้คุณ
สามารถขจัดอารมณ์โกรธได้ดีที่สุด ก็คือ การไม่โกรธ อ๊ะๆ อย่าเพิ่งงงไปว่า
ทำไมทางแก้ มันถึงได้ขวานผ่าซากเสียขนาดนี้ แต่ที่บอกไปนั่นน่ะ
เป็นวิธีที่ผู้เชี่ยวชาญ หรือแม้แต่พระพุทธเจ้าของเราเอง ก็อบรมสั่งสอน
บอกกล่าวกันมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว นั่นก็คือ
การระงับความโกรธด้วยความไม่โกรธ แต่ถ้าสาวๆ สมัยใหม่
ยังไม่สามารถบรรลุสัจธรรมข้อนี้ได้ ก็ลองใช้วิธีการเหล่านี้ไปก่อน
เพราะว่าใช้ได้ผลดีใกล้เคียงกัน








































 
1.
เข้า
ใจความต้องการของตนเอง
คุณควรแสดงออก ซึ่งอารมณ์โกรธ ไม่พอใจ
ในวิถีทางที่ถูกต้องเหมาะสม มากกว่าการระบายอารมณ์
ด้วยความก้าวร้าวรุนแรง โดยคุณอาจจัดการง่ายๆ ด้วยการเข้าอกเข้าใจ
ความต้องการของตัวเองเสียก่อนว่า สิ่งที่คุณต้องการคืออะไรกันแน่
จากนั้น จึงหาวิธีที่จะได้สิ่งที่ต้องการมา ด้วยสันติวิธี ที่ไม่ทำร้าย
ทั้งความรู้สึกของตัวเอง และของผู้อื่น
 


2.

ระงับ
อารมณ์โกรธ
หากอารมณ์คุณค่อยๆ ลุกลาม พลุ่งพล่านขึ้นเรื่อยๆ
แล้วล่ะก็ คุณก็ต้องรีบระงับอารมณ์นั้นๆ ไว้ให้เร็วที่สุด
ด้วยการหยุดยั้งความคิด ที่รบกวนจิตใจคุณทันที และพยายามมองไปในสิ่ง
ที่จะช่วยให้อารมณ์ของคุณ รู้สึกสดชื่นแจ่มใสมากขึ้นได้ในขณะนั้น เช่น
หากคุณมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน คุณอาจหันเหความสนใจ
ไปคิดถึงเรื่องเดทกับหนุ่มฮอตเย็นนี้แทนก็ได้ เพื่อลบความขุ่นข้องหมองใจ
ที่มีอยู่ให้หมดไปโดยเร็ว แล้วก็แทนที่ด้วยความสดใสซาบซ่า
 
3.
สงบ
ผ่อนคลาย
ในเมื่อต้องการจะดับไฟให้มอด ก็ต้องใช้วิธีการรดน้ำลงไป
เพราะฉะนั้น วิธีการที่จะดับไฟอารมณ์ ที่รุ่มร้อนภายในจิตใจของคุณ
ก็ต้องเป็นการดับอารมณ์ ด้วยการเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
เอาความสงบนิ่งเข้าแทนที่ภายในใจ ซึ่งคุณอาจใช้วิธีการตั้งสมาธิ
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกโยคะ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงปวด
จากความรู้สึกโกรธ การตั้งสมาธิ ด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออก
เพื่อช่วยให้อารมณ์สงบเย็นลง หรือการมองไปที่ทัศนียภาพภายนอก ที่สวยงาม
เขียวขจีในสวนสาธารณะ ที่เต็มไปด้วยเหล่าแมกไม้ และสายน้ำที่สงบนิ่งก็ได้
 
4.
ออก
จากสภาวะการณ์ที่ตึงเครียด
หากคุณไม่สามารถระงับ
อารมณ์โกรธขึ้นในขณะนั้นลงได้จริงๆ แทนที่คุณจะฝืนทนกดดัน
อยู่ภายใต้บรรยากาศ และสภาวะที่ตึงเครียดเหล่านั้น
จนต้องระเบิดอารมณ์ร้ายแรงออกมาในที่สุด คุณควรหลีกเลี่ยง
ออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้นก่อน
เพื่อที่จะช่วยให้อารมณ์ที่ขุ่นเคืองของคุณค่อยๆ บรรเทาลง
ก่อนที่จะกลับเข้าไปแก้ไขปัญหา ด้วยความสงบ และสันติอีกครั้ง

 
     




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2553    
Last Update : 27 มิถุนายน 2553 22:58:31 น.
Counter : 284 Pageviews.  

อารมย์ขัน ใช่แค่สีสันชีวิต





ฮ่า ฮ่า ฮ่า...หัวเราะ
วันละนิดจิตแจ่มใส ไม่ใช่คำโม้ หรือโอ้อวดเกินจริงแต่อย่างใด
เสียงหัวเราะยังมีประโยชน์สารพัด ที่คุณจะประหลาดใจ



หัวเราะเป็น
ยาวิเศษ




การได้
หัวเราะแต่ละครั้ง นอกจากสร้างสีสันให้บุคลิก
และสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีได้แล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อจิตใจ
และร่างกายควบคู่กันด้วย เพราะ

ในขณะที่หัวเราะ กล้ามเนื้อบนใบหน้าและตามร่างกาย
จะหดยืดและคลายตัว ส่งผลช่วยคลายความตึงเครียดได้อย่างดี



ยิ่งกว่านั้น จากการค้นคว้าของ
ARISE (Associates for Research Into the Science of Enjoyment)
หรือองค์การวิจัยเพื่อศาสตร์แห่งความสุข ซึ่งเป็นสถาบันกลาง ที่รวมผลงาน
การค้นคว้าโดยผู้เชี่ยวชาญ ทั่วโลก ยังได้พบคุณค่าของการหัวเราะ
ที่มีผลต่อสุขภาพของคนเราอย่างมากมาย นั่นคือ



การหัวเราะ จะช่วยลดระดับฮอร์โมน
ที่ก่อให้เกิดความเครียดลง และยังกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารสำคัญ
ที่จะช่วยลดความเจ็บปวด และทำให้เรารู้สึกดีขึ้น
เมื่อใดที่หัวเราะร่างกายยัง จะผลิตเซลล์
ที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง
และเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสได้มากขึ้นด้วย ซึ่งเซลล์ที่ว่านี้
จะคงอยู่นานถึงอีกวันรุ่งขึ้นเลยทีเดียว



หัวเราะ
บริหารร่างกาย




นอกจากนี้ ถ้าได้หัวเราะบ่อยๆ ในแต่ละวัน
จะมีค่าเท่ากับเต้นแอโรบิคได้ถึง 10 นาที หรือ ปั่นจักรยานอยู่กับที่ 15
นาที เพราะขณะหัวเราะหัวใจจะเต้นเร็วขึ้น
ความดันโลหิตและอุณหภูมิก็เพิ่มขึ้น การได้หัวเราะแบบสุดๆ
จะช่วยให้ปล่อยลมหายใจได้เต็มที่ คุณรู้สึกสบายเช่นเดียวกับออกกำลังกาย
และยังเป็นการเพิ่มออกซิเจนในเลือด สูบฉีดไปยังผิวหนังช่วยเร่ง
การผลัดผิวให้สดใสยิ่งขึ้น



มาเพิ่ม
อารมณ์ขันกันดีกว่า





ด้วยเทคนิคการเพิ่มอารมณ์ขัน
ที่โครงการความสุขของสถาบันออกซ์ฟอร์ดจัดทำขึ้น ดังนี้



เริ่มต้นที่ตัวคุณแสวงหาสิ่งที่ทำ
ให้คุณรู้สึกขบขัน หรือลองเปลี่ยนวิธีมองโลกในด้านดี
ที่อาจทำให้คุณเห็นมุมขำๆ ที่คนอื่นคิดไม่ถึง หาเรื่องสนุกให้ตัวเอง เช่น
พบปะพูดคุยกับเพื่อนที่เต็มไปด้วยมุขตลก หรือดูหนังตลก
อย่าจมอยู่กับความโศกเศร้า โดดเดี่ยวหรือความเครียด รู้ตัวเมื่อไหร่
รีบพาตัวเองออกมาทำสิ่งสนุกๆ โดยด่วน สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้
คือการมองโลกในแง่ดี คิดในทางที่ดีเข้าไว้ ทุกปัญหามีทางออกเสมอ


ถึงคราวหัวเราะ
ครั้งต่อไป... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ให้เต็มที่ เพื่อรับประโยชน์ที่ดีกับสุขภ




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2553    
Last Update : 27 มิถุนายน 2553 22:54:41 น.
Counter : 313 Pageviews.  

อารมย์ขันบำบัด
















ันเวลาในแต่ละวันที่ผ่านไป
หลายคนมีความสุขจนล้นเหลือ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ดูจะไม่ค่อยมีความสุขเลย
สาเหตุที่ทำให้ไม่มีความสุขนั้น มาจากหลายสาเหตุ แต่ก็มีอีกสาเหตุหนึ่ง
ที่ทำให้เป็นอย่างนั้นได้นั่น คือ "ความเครียด"
และวิธีคลายเครียดอีกวิธีหนึ่งก็คือ กรมีอารมณ์ขัน
ถ้าวันๆ คุณไม่ได้หัวเราะกับใครเขาเลย นั่นแหละค่ะคุณกำลังป่วยอยู่นะคะ
และจงเปลี่ยนเถอะค่ะ เพราะอารมณ์ขันถูกพิสูจน์แล้วว่า
เป็นยาวิเศษที่ช่วยบกบัดโรคได้



นายแพทย์
Normal Cousins เป็นคนแรกที่เขียน เกี่ยวกับการอาการป่วย ankylosing
spondlitis ของเขา ซึ่งทำให้เขาเจ็บปวด เนื่องจากเนื้อเยื่อกระดูกสันหลัง
ที่เชื่อมโยงกันผิดปกติไป โรคนี้พบได้น้อยมาก และเขาได้ทดลองใช้
อารมณ์ขันในการบำบัดตัวเอง เขาพบว่า หลังจากหัวเราะงอหายอยู่สัก 15 นาที
จะช่วยให้เขาลดความเจ็บปวดลงได้ ถึง 2 ชั่วโมง นอกจากนี้
ตัวอย่างเลือดยังแสดงผลว่า การอักเสบลดลงด้วย แล้วในที่สุดเขาก็หายป่วย
จนกระทั่งเขา เผยแพร่เรื่องนี้ในบทความอันโด่งดังชื่อ "Anatomy of an
illness"



หลังจากนั้น มีการศึกษาเรื่องอารมณ์ขัน
ช่วยบำบัดอาการป่วยอย่างกว้างขวาง จนทุกวันนี้ ความสนใจเรื่องผลกระทบ
จากอารมณ์ขันรุดหน้าไปมาก และจัดเป็นความรู้หนึ่งในสาขา
Psychoneuro-immunology ซึ่งศึกษาเรื่องปัจจัยทาง จิตวิทยา สมอง
และระบบภูมิชีวิตที่ตอบสนองต่อสุขภาพ



ในอินเดียถึงขนาดมีการตั้ง "ชมรมหัวเราะ"
ซึ่งผู้ป่วยแต่ละคน จะมาพูดคุยและหัวเราะกันในตอนเช้า ข่าวว่ากิจการ
ของชมรมได้ผลดีมาก จนกระทั่งดังพอๆ กับชมรมโรตารี่ของอเมริกาเชียวละ



การหัวเราะเป็นภาษาสากล
และเป็นการติดต่อทางอารมณ์ด้วย (สังเกตดูว่าเวลาเห็นคนอื่นหัวเราะ
คุณมักจะ หัวเราะตาม) การหัวเราะเป็นความสนุกสนานโดยธรรมชาติ
ทำให้ผู้คนหันหน้าเข้าหากันพูดคุยกัน ทำลายกำแพงเฉพาะตัว
และที่ดีที่สุดคือ การหัวเราะไม่มีผลข้างเคียง ที่ทำความเสียหายใดๆ
ต่อร่างกายเลย



มาดูว่า
อารมณ์ขันและการหัวเราะ มีผลอย่างไนต่อร่างกายเรา
(จากหลักฐานที่มีการพิสูจน์แล้ว)



























































 
ความดันโลหิต
ลดลง
 
ฮอร์โมน
เกี่ยวกับความเครียดลดลง ขณะเดียวกันการทำงานของฮอร์โมนต่างๆ ก็เป็นปกติ
 
กระตุ้นระบบ
ภูมิชีวิต (Immune system) ทำให้ T-celll ซึ่งเป็นทหารประจำตัว
คอยกำจัดเชื้อโรคเพิ่มจำนวนขึ้น รวมถึงแอนติบอดีอื่นๆ ในร่างกายด้วย
 
คลายความเจ็บ
ปวด อารมณ์ขันทำให้ผู้ป่วยลืมความเจ็บปวด
และยังกระตุ้นการสร้างเอนดอร์ฟินในร่างกาย
ซึ่งเป็นฮอร์โมนระงับปวดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
 
กล้ามเนื้อ
ได้ผ่อนคลาย ขณะที่คุณหัวเราะ กล้ามเนื้ออื่นๆ
ที่ไม่ได้สัมพันธ์กับการหัวเราะ จะผ่อนคลาย และเมื่อ หยุดหัวเราะ
กล้ามเนื้อที่สัมพันธ์กับการหัวเราะ ก็จะผ่อนคลาย
เป็นการทำงานสองขั้นตอนเชียวนะ
 
หายใจดีขึ้น
การหัวเราะบ่อยๆ ทำให้ปอดโล่ง หายใจได้ลึกขึ้นดีมากๆ
สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการหายใจ


นอกจากนี้ การ
หัวเราะทำให้เรารู้สึกดีกับการมีชีวิตอยู่
คนที่สามารถ
สร้างอารมณ์ขัน และหัวเราะได้ ในยามที่ต้อง เผชิญสถานการณ์ที่เลวร้าย เช่น
ป่วยด้วยโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ว เป็นต้น นับว่าเป็นความกล้าหาญ
และจะทำให้ผู้นั้น รู้สึกถึงพลังในตัวเอง นอกจากให้ผลดีทางกาย
อย่างที่กล่าวแล้วข้างต้น ผู้ป่วยยังคลายความเศร้าหมอง
และช่วยเปิดทัศนคติในการมองโลก ด้วยแง่มุมที่กว้างขึ้น และเป็นไปในทางบวก



ทันทีที่คุณคิดถึงเรื่องโจ๊ก ตลกโปกฮา
สมองซีกซ้ายจะเริ่มทำหน้าที่ คิดวิเคราะห์จัดสรรถ้อยคำ ต่อมาสมองส่วนหน้า
ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอารมณ์ จะเริ่มตอบสนองโดยพลัน ชั่วครู่สมองซีกขวา
จะร่วมปะติดปะต่อเรื่องราวพริบตาเดียว คลื่นสมองจะเพิ่มขึ้น
และแพร่ขยายไปทั่วบริเวณของสมอง ก่อนที่จะเล่าเรื่องโจ๊กนั้นออกมาเสียอีก
แล้วในที่สุด ก็ระเบิดเป็นการหัวเราะนั่นเอง



อารมณ์ขัน
จึงทำให้สมองแทบทุกส่วน ได้ทำงานประสานกันยิ่งกว่ากิจกรรมหลายๆ
อย่างที่ทำกันเสียอีก
ฉะนั้น เวลาไปเยี่ยมคนไข้ครั้งต่อไป
แทนที่จะมัวจับเจ่า พาให้คนไข้เศร้าไปด้วย โดยไม่ได้ประโยชน์อะไร
จงเปลี่ยนมาหัวเราะ ร่วมกับเขาดีกว่า ถึงใครจะว่าผิดกาลเทศะ
แต่คู้รู้นี่ว่า คนไข้กำลังได้รับยาวิเศษ



 
     




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2553    
Last Update : 27 มิถุนายน 2553 22:51:00 น.
Counter : 343 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  

WishRich
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มาเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองไปพร้อม ๆ กัน เพื่อความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานครับ
Friends' blogs
[Add WishRich's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.