การสตาร์ทรถสำคัญไฉน แล้วถ้าทำไม่ถูกวิธีจะเป็นอย่างไร
เมื่อคราวก่อนเราได้พูดถึง การดูแลรักษารถขั้นพื้นฐานกันไปแล้ว คราวนี้ก่อนทุกท่านจะขับรถก็ต้องมาสตาร์ทรถกันก่อน แล้วสตาร์ทรถต้องมีวิธีด้วยเหรอ เป็นคำถามที่ดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาครับ เพราะว่าเป็นความปลอดภัยขั้นแรกก่อนที่ท่านจะนำรถแล่นสู่ท้องถนนเลยทีเดียว แล้วเราจะต้องดูอะไรบ้าง ก่อนอื่นเลยท่านจะต้องแน่ใจด้วยว่า เกียร์จะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ว่าง และเบรกมือจะต้องถูกดึงขึ้นด้วย เกิดท่านหลงเกียร์แล้วสตาร์ท (สำหรับเกียร์ธรรมดา) รถของท่านจะวิ่งไปชนคันหน้าที่จอดอยู่ หรือไม่ก็ชนผนังบ้านได้ ถ้ายังไม่แน่ใจสำหรับผู้ขับขี่มือใหม่ ควรเหยียบคลัตช์ไว้ด้วยเพื่อป้องกันรถออกตัว และจะปลอดภัยมากขึ้นด้วย ก่อนจะสตาร์รถท่านเคยสังเกตหรือไม่ว่าจะมี ตัวอักษรสี่ตัวอยู่รอบๆสวิตช์กุญแจ ซึ่งมีอยู่ 4 ตำแหน่ง คือ Lock (Lock), A.C.C.(เอซีซี), On (ออน), และ Start (สตาร์ท) ส่วนแต่ละตำแหน่งมีหน้าที่หรือสำคัญอย่างไร ผมจะพูดถึงตำแหน่งของมันนะครับ จะเริ่มกันที่ตำแหน่งแรก คือ ตำแหน่งล็อค (Lock) เป็นตำแหน่งที่เสียบ รูกุญแจไปในตอนแรก ในต่ำแหน่งนี้ พวงมาลัยจะถูกล็อคและจะหมุนไปซ้ายขวาไม่ได้ ก็ให้บิดกุญแจหมุนไปยังตำแหน่งที่ 2 คือ เอ.ซี.ซี. สำหรับรถใหม่นั้น กุญแจจะหมุนไปตำแหน่งที่สอง แล้วลองขยับพวงมาลัยรถหมุนไปมาเบาๆ จะทำให้ลูกกุญแจหมุนปลดล็อคได้ง่ายขึ้น
สำหรับตำแหน่ง เอ.ซี.ซี. นั้นเป็นตำแหน่งที่สวิตช์กุญแจปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาหล่อเลี้ยงวงจรอำนวยความ สะดวกบางวงจร เช่น วิทยุ-เทป พัดลม ไฟหรี่ เป็นต้น ถ้าท่านสังเกตเวลาเราถอดกุญแจรถแล้วจะรู้สึกว่ากุญแจร้อน เวลาดับเครื่องสวิตช์ก็จะบิดมาอยู่ที่ตำแหน่งนี้เช่นกัน ตำแหน่งที่ 3 เป็นตำแหน่ง ออน (ON) ในตำแหน่งนี้ เมื่อเราปิดสวิตช์ไปในตำแหน่งที่ 2 ที่ตำแหน่งนี้สวิตช์จะปล่อยกระแสไฟฟ้าพร้อมที่จะหล่อเลี้ยงระบบไฟฟ้าต่างๆ ยกเว้นระบบสตาร์ทอย่างเดียว และตำแหน่งนี้แหละครับ ขณะที่เครื่องยนต์ติดเครื่องหรือวิ่งอยู่ ลูกกุญแจจะอยู่ในตำแหน่งนี้ตลอดเวลา
สำหรับตำแหน่งสุดท้าย คือตำแหน่งที่เราจะพูดคุยกันในตอนนี้แหละครับ สำหรับการสตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งแรกในหน้าฝนและหน้าหนาวนั้น จะทำให้เครื่องติดยาก ดีไม่ดีไฟหมดหม้อแบตเตอรี่ เห็นจะต้องรบกวนสมาชิกของบ้านช่วยเข็น ด้วยเหตุนี้การสตาร์ทในตอนเช้าอากาศหนาวๆนั้น การจะดึงโช้กสำหรับรถที่ใช้มือ และถ้าโช้กมือเสียก็แก้ไข โดยก่อนจะสตาร์ทให้เหยียบคันเร่งแรงๆ 2 ถึง 4 ครั้ง แต่สำหรับรถยนต์ที่ใช้โช้กอัตโนมัติ ก็ไม่มีอะไรยุ่งยากในการสตาร์ท ให้สตาร์ทได้เลย
วิธีการสตาร์ทกระทำได้ไม่ยาก เพียงบิดลูกกุญแจไปยังตำแหน่งสตาร์ท หรือตำแหน่งขวาสุด จะได้ยินเสียงไดร์สตาร์ทขับล้อช่วยแรงของเครื่องยนต์หมุนดัง แช้ดๆ พร้อมกันนี้ให้ท่านใช้เท้าขวาเหยียบคันเร่งเบาๆ แล้วเครื่องยนต์จะติด เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วให้ท่านปล่อยมือจากลูกกุญแจ ลูกกุญแจจะบิดกลับมาอยู่ในตำแหน่ง (ON) โดยอัตโนมัติ
เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้ว อย่างเร่งเครื่องหรือเบิลเครื่องแรงๆเพราะในการติดเครื่องครั้งแรกนั้น น้ำมันหล่อลื่นชิ้นส่วนทางตอนบนมีน้อยไม่เพียงพอ อันได้แก่ กระเดื่อง กดลิ้น เพลากระเดื่องกดลิ้น สิ้นไอดีไอเสียหรือเพลาลูกเบี้ยว สำหรับเครื่องยนต์แบบโอเวอร์เฮดแคมชาฟต์เป็นเครื่องยนต์ที่มีเพลาลูก เบี้ยวอยู่บนฝาสูบ จะทำให้ชิ้นส่วนเหล่านี้สึกหรอ เพราะเมื่อจอดทิ้งไว้ น้ำมันจะไหลหยดลงก้นอ่าง น้ำมันเครื่องหมด เมื่อเร่งเครื่องทันทีทันใดอย่างรวดเร็ว ขณะขาดน้ำมันหล่อลื่น จะทำให้เหล็กเสียดสีกัน การสึกหรอจึงมีสูง อายุการใช้งานจึงสั้น ฉะนั้นเมื่อติดเครื่องแล้ว ก็อย่าเร่งนะครับ ปล่อยให้เครื่องยนต์ติดในตำแหน่งเดินเบาของมันไปเรื่อยๆ ประมาณ 3-5 นาที และในการสตาร์ทอย่าสตาร์ทติดต่อกันนานเกิน 15 วินาที จะทำให้ไดชาร์ตและแบตเตอรืเสื่อมสภาพเร็ว
ในกรณีเครื่องเย็นและจอดรถไว้ไม่ได้ใช้ มาหลายวัน ก่อนจะสตาร์ทเครื่องยนต์ ให้เหยียบคันเร่งให้สุดแล้วปล่อยประมาณ 2-3 ครั้ง จะทำให้ส่วนผสมของไอดีหนาขึ้น แล้วจึงสตาร์ทเครื่องยนต์ แต่ไม่ต้องเหยียบคันเร่งแล้ว เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้ว ประมาณ 30 วินาที ให้ย้ำคันเร่ง 1-2 ครั้ง เพื่อให้เครื่องยนต์กลับมาสู่รอบเดินเบาปรกติ สังเกตได้จากแผงหน้าคอนโซลหน้ารถ ถ้าไฟอุณหภูมิดับ หรือ เข็มอุณหภูมิ อยู่กึ่งกลาง แสดงว่าเครื่องสามารถออกรถได้
ถ้าเครื่องยนต์ยังอุ่นอยู่ ให้เหยียบคันเร่งเพียงครึ่งเดียวแล้วบิดกุญแจสตาร์ท แต่ถ้าเครื่องยนต์ยังร้อนอยู่แต่สตาร์ทรถไม่ติด อาจเป็นเพราะน้ำมันท่วม ให้เหยียบคันเร่งสุดประมาณ 15-20 วินาที ขณะที่เหยียบคันเร่งสุดบิดกุญแจสตาร์ทประมาณ 20-30 วินาทีติดต่อกัน เพื่อกำจัดเชื้อเพลิงส่วนเกินที่เข้าไปในห้องเผาไหม้ แต่ถ้าเครื่องยนต์ยังไม่ติดอีก ให้รอสักครู่แล้วลองอีกที แต่อย่าย้ำคันเร่งเพียงแต่เหยียบคันเร่งให้สุดค้างไว้ก็พอ
เทคนิคเล็กน้อยๆ แบบนี้ก็สามารถช่วยให้คุณสามารถรักษาเครื่องยนต์และระบบภายในเครื่องยนต์ให้ อยุ่ในสภาพที่ดีได้ยืนยาว อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาเบื้องต้น ทำให้ไม่ต้องเสียเวลา เสียเงินไปเรียกช่างมาด้วยครับ ไว้คราวหน้าจะมาพูดต่อในเรื่อง การเตรียมรถยนต์เข้าสู่ฤดูร้อนครับ
Create Date : 27 มิถุนายน 2553 |
Last Update : 27 มิถุนายน 2553 21:41:34 น. |
|
0 comments
|
Counter : 267 Pageviews. |
|
|