การชงกาแฟเป็นศาสตร์และศิลป์เช่นเดียวกับวาดภาพหรือเขียนภาพ ทำอย่างไรจึงจะชงกาแฟให้ได้อรรถมากขึ้นนอกเหนือจากมีเมล็ดกาแฟพันธุ์ดีจาก แหล่งปลูกที่ดี, ผ่านขบวนการแปรรูปเป็นเมล็ดกาแฟดิบที่ถูกต้อง การคั่วและการบดที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่ใช้ (เครื่องชงกาแฟ) |
วิธีพื้นฐานที่ทำให้กาแฟอร่อยได้ คือ
|
|
1. อุปกรณ์ที่ใช้ต้องมีความสะอาดไม่มีสิ่งตกค้างใด ๆ อยู่ภายในของอุปกรณ์แต่ละชิ้น ควรล้างเครื่องชงด้วยน้ำ ผสมน้ำสมสายชูอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
2. ใช้เมล็ดกาแฟคั่วสดที่มีคุณภาพ
3. ใช้น้ำสะอาด ไร้กลิ่น รส
4. ควรบดเมล็ดกาแฟคั่วแล้วให้เท่ากับปริมาณ 2 ช้อนชา/น้ำ 60 ออนซ์ ที่จะใช้และชงทันที
5. ควรชงกาแฟในน้ำร้อนที่เกือบเดือด (90 – 98 องศาเซลเซียส) ถ้าชงในขณะ ที่น้ำร้อนเดือดจะทำให้รสชาติเสียไปและถ้าหากชงในขณะที่น้ำร้อนยังไม่ได้ที่ ก็จะทำให้ได้รสชาติกาแฟที่จืดชืด เพราะกาแฟจะถูกสกัดออกมาไม่หมด
6. อุ่นถ้วยกาแฟที่จะใส่กาแฟด้วยการใส่น้ำร้อนในถ้วยกาแฟแล้วเทออก ซึ่งจะ ช่วยให้กาแฟหลังชงและรินลงในถ้วยกาแฟร้อนนาน
7. ควรคนน้ำกาแฟก่อนเสิร์ฟ
8. ในกรณีที่ชงกาแฟไว้ในปริมาณมากกว่าที่จะดื่มหมด ควรเก็บไว้ในกระติกน้ำ ร้อนที่ป้องกันการสัมผัสกับออกซิเจน ซึ่งจะทำให้เสียรสชาติและไม่ควรอุ่น กาแฟบนเครื่องอุ่นกาแฟเกิน 20 นาที จะมีผลให้กลิ่นหอมรสชาติระเหยไป
9. ให้ดื่มกาแฟหลังชงหรือปรุงแต่งแล้ว จะได้อถรรถของการดื่ม และไม่ควรเอกาแฟที่ชงแล้วและเย็นมาอุ่นใหม่แล้วดื่ม |
|
|
1. Ibrik เป็นเครื่องกาแฟแบบดั่งเดิมของชาวตุรกี คือ Ibrik ที่ทำด้วยทองแดงหรือทองเหลือง รูปร่างด้านบนจะโค้งแคบและกว้าง ส่วนสูงมีด้ามจับยาว Ibrik วิธีการใช้เครื่องต้มกาแฟแบบ Ibrik คือ การต้มน้ำจนร้อนจึงใส่กาแฟที่บดแล้วลงในเครื่องชง แล้วต้มให้เดือดอีกครั้ง นอกจากกจะได้กาแฟที่เข้มข้น ดื่มคู่กับขนมหวานจัด
วิธีการใช้ : เทน้ำใส่ลงใน Ibrik (ประมาณ 90 มิลลิลิตร/การชงกาแฟ 1 ถ้วย) จนเดือดและใส่ผงกาแฟบดประมาณ 2 ช้อนชาพูน ปล่อยให้กาแฟพออุ่นแล้วต้มใหม่อีกครั้ง จะได้กาแฟที่เข้มข้นและมีฟองเล็กน้อย รินกาแฟลงถ้วยแล้วเสิร์ฟ |
2. French Press เป็นเครื่องชงกาแฟที่นิยมและใช้งานง่าย ทำด้วยแก้วใสมี ฝาปิด มีตะแกรงและก้านดึงกรองกากกาแฟ อยู่ภายในแก้วซึ่งทำด้วยโลหะไม่เป็นสนิม ราคาของเครื่องจะถูกหรือแพง ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ ขนาด และประเทศผู้ผลิต
วิธีการใช้ : เท ผงกาแฟที่บดปานกลางลงในเหยือกแล้ว เทน้ำร้อนที่ต้มจนเกือบเดือด ลงบนผงกาแฟให้ทั่ว ทิ้งไว้ 3 – 5 นาที วางตะแกรงกรองลงไปก้นเหยือกแก้ว จะได้น้ำกาแฟอยู่ด้านบนแล้วรินลงถ้วยกาแฟเสิร์ฟ
|
3. Drip Coffee Makers เป็นเครื่องชงที่ทั้งง่ายและประหยัดเวลาและยังชงได้มากกว่า 1 ถ้วยต่อครั้ง จึงเป็นที่นิยมในร้านกาแฟและสำนักงานหรือส่วนตัว โดยแบ่งเป็นเครื่องชงที่ใช้น้ำร้อนเทผ่านกาแฟคั่วบดผ่านกระดาษกรองลงสู่ ภาชนะรองรับ กับแบบเครื่องชงที่ใช้ไฟฟ้า (Electric Drip Machine) เครื่องชงที่เทน้ำร้อนลงบนกาแฟคั่วบดและผ่านกระดาษกรอง จะมีลักษณะส่วนบนคล้ายกับถ้วยกาแฟและมีหูจับด้านข้าง ส่วนด้านล่างจะแคบแบบโดยมีฐานเครื่องชงเป็นแป้นเรียบกลม ด้านในจะมีรูให้น้ำผ่านได้
วิธีการใช้ : ใส่กระดาษกรองลงในเครื่องชง ก่อนเทกาแฟคั่วบดใส่ประมาณ 1 – 2 ช้อนชาพูน วางเครื่องชง ลงบนถ้วยกาแฟหรือเหยือกแก้วใสที่สามารถรับปริมาณน้ำกาแฟได้ประมาณ 1 – 2 แก้ว |
4. Neopolitan drip Pots หรือ Reversible Drip Pots เครื่องชงกาแฟชนิดนี้ทำด้วยโลหะอลูมิเนียม แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนล่างใส่น้ำดิบ ส่วนกลางใส่ผงกาแฟ คั่วและส่วนบน สำหรับต้มผสมน้ำกับกาแฟคั่ว วิธีการทำงานคล้ายคลึ่งกับแบบอัตโนมัติแตกต่างกัน เพียง แค่น้ำเดือดจะไหลออกทางโพยกาเพื่อไปผสมกับกาแฟในหม้อกรอง จากน้ำเดือดและดันผสมกับ ผงกาแฟคั่วบดแล้วก็คว่ำด้านบนลง รอให้น้ำที่ต้มเดือดผสมกาแฟ จนได้ที่ (2 - 3 นาที) ก็คว่ำเครื่อง ลง น้ำกาแฟจะไหลลงสู่ส่วนล่างสุด เพื่อนำไปดื่มได้ |
5. Percolator เป็นเครื่องต้มกาแฟรูปทรงคล้ายเหยือก ภายในเหยือกจะมีตะแกรงใส่ผงกาแฟคั่ว
แบบหยาบและมีท่อน้ำสำหรับต้มน้ำเพื่อลวกผงกาแฟคั่วผ่านรูตะแกรง ส่วนด้านนอกเหยือกด้านบน
มีฝาปิด ด้านข้างด้านหนึ่งมีโพยกาให้น้ำออกอีกด้านหนึ่งมีหูจับ
วิธีการใช้ : เท น้ำไส้ลงในเหยือกประมาณครึ่งเหยือกหรือระดับแนวโพยกา จากนั้นเทผง กาแฟคั่ว
แบบบดหยาบลงบนตะแกรงภายในเหยือก ปิดฝาเหยือกแล้วนำไปต้ม เมื่อน้ำเดือดไอน้ำระดับน้ำผ่าน ท่อขึ้นมาเหนือรูตะแกรงที่มีผงกาแฟคั่วอยู่ด้านบน จะลวกกาแฟและซึมผ่านตะแกรงลงไป
ส่วนล่างของ เหยือกจนกว่าจะได้น้ำกาแฟต้มที่เข้มข้นจนยกลงแล้วเสิร์ฟ |
6. Cold – Water Method (การชงกาแฟแบบใช้น้ำเย็น) เป็นการชงที่เหมาะสำหรับการทำกาแฟเย็น กาแฟผสมเหล้าและผสมอาหารบางประเภท ข้อดีของการชง กาแฟแบบ นี้ คือ จะได้ผลดีกับกระเพาะอาหาร เนื่องจากน้ำมันธรรมชาติถูกสกัดออกมาในปริมาณน้อย ทำให้ ความเป็นกรดน้อย และเมื่อชงแล้วสามารถเก็บไว้ได้นานหลายสัปดาห์
วิธีการใช้ : ใส่กาแฟบด (แบบบดค่อนข้างหยาบ) ลงในภาชนะชงในอัตราส่วนกาแฟบด 500 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร คนให้เข้ากันปล่อยทิ้งไว้ 10 – 12 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็รินน้ำกาแฟลงใส่ภาชนะอีกใบหนึ่ง โดยจะ กรองในช่วงนี้หรือจะผ่านกรองช่วงที่จะชงดื่มก็ได้ แล้วเก็บไว้ในต็เย็น เมื่อจะดื่มให้เทน้ำกาแฟเย็นลง ในถ้วยกาแฟประมาณ ? ถึงครึ่งถ้วยแล้วเติมน้ำร้อนลงไปจนเกือบเต็มถ้วยดื่มได้ทันที |
7. Vacum Method เป็นการชงกาแฟแบบลักษณะสูญญากาศ ประกอบด้วยถ้วยแก้วใส 2 ใบ คือ ถ้วยแก้ว บนใส่ผงกาแฟคั่ว บดและถ้วยแก้วใบล่างใส่น้ำที่จะใช้ต้มกาแฟ มีลักษณะค่อนข้างกลม ส่วนบนถ้วยแก้ว มีปากถ้วยกว้างประมาณ 1 นิ้ว เพื่อใช้เป็นฐานต่อก้นถ้วยแก้วส่วนบน โดยมีขาตั้งที่มีด้ามจับมือถือ ด้ามยึดถ้วยแก้วส่วนล่าง
วิธีการใช้ : เทน้ำใส่ถ้วยแก้วส่วนล่างที่ยึดติดกับด้ามจับที่มีฐานตั้งจากนั้น ใส่ผงกาแฟคั่วบดลงบนถ้วยแก้ว ส่วนบน ซึ่งถ้วยแก้วจะมีแผ่นกรองและมีสายโซ่เพื่อต่อยึดติดกับขอบถ้วยส่วนล่าง ที่ใส่น้ำ จุดตะเกียง แอลกอฮอล์ท่อก๊าสขนาดเล็ก เพื่อใช้เป็นแหล่งให้พลังงานความร้อน เมื่อน้ำเดือดก็จะมีแรงอัดไอน้ำดูด น้ำจากถ้วยแก้ว ส่วนล่างขึ้นถ้วยแก้วด้านบนโดยจะผ่านกรองและกาแฟคั่วบดละเอียด จนน้ำถ้วยแก้ว ส่วนล่างน้ำหมด น้ำกาแฟที่ผสมกับกาแฟคั่วบด ประมาณ 1 – 2 นาที ก็จะไหลกลับลงสู่ถ้วยกาแฟ ส่วนล่างจนหมดเช่นกัน ก็จะได้กาแฟรสชาติเข้มข้น ากนั้นจึงเอาถ้วยแก้วส่วนบนออก ใช้มือจับที่ด้าม จับยกเสิร์ฟได้เลยแต่มีข้อควรระวัง คือ อย่าให้ถ้วยแก้วทั้ง 2 ส่วน กระทบกับน้ำเย็นเพราะจะทำให้แก้ว แตกได้ |
8. Espresso & Cappuchino Machine เป็นการชงกาแฟที่ต้องใช้ทั้งน้ำและแรงดันไอน้ำอัดผ่านผงกาแฟคั่วบดอย่างรวด เร็ว จะได้น้ำกาแฟที่มีความหอมและเข้มข้นและเมื่อมาตีกับน้ำร้อนกับ
ใส่ฟองนมที่เป่าด้วยเครื่องอัดไอน้ำหรือ Wip Cream ใ ส่บนกาแฟร้อน ก็จะเรียกกาแฟรสนุ่มนี้ว่า Cappuchino และเมื่อเสิร์ฟ อาจจะโรยด้วยผงโกโก้ หรือผงอบเชย (Cinnanon) ปนครีม หรืออาจจะใส่แท่งอบเชยในถ้วยกาแฟหรือบนจานรองเพื่อใช้คนกาแฟ จะทำให้มีกลิ่นหอมและชวนดื่มมากขึ้นสำหรับคนที่ชอบ |
|