Things must run their courses. <ทุกสิ่งทุกอย่างต้องดำเนินไปตามวิถีของมัน>
Group Blog
 
All Blogs
 
คิดถึงมากมาย...

ประมาณร้อยกว่าวันแล้วน่ะเนี่ย ที่คนที่เรารักสุดหัวใจจากเราไป

บางคนที่ไม่เคยรับรู้ถึงความสูญเสียก็อาจจะไม่เค้าใจอารมณ์ของเรา

ส่วนใครที่เคยผ่านความรู้สึกนี้มา ก็คงเข้าใจว่ามันเป็นยังไง

สำหรับเราคนคนนี้ ถือได้ว่าเป็นคนให้ชีวิตเรามาก็ว่าได้

เทียบเท่ากับพ่อแม่เราเลยเชียวหล่ะ เราเรียกเค้าคนนี้ว่า"ยาย"

ถึงแม้ยายไม่ได้เป็นแม่แท้ๆของแม่น่ะ (เป็นป้าของแม่เรา)

แต่เราก็รู้สึกรักเค้าเหมือนยายแท้ๆเลยหล่ะ (ยายก็รักเดียร์ใช่มั้ย)

ยายอยู่กับเราและให้เราทุกๆสิ่งมาตั้งแต่เราเกิด อันนี้พ่อแม่บอกมา

วันที่เราเกิดพ่อแม่เค้าไปเที่ยวกัน ไม่ได้เตรียมของอะไรไปเลย

พอเราเกิดปุ๊บ พ่อก็โทรให้ยายเอาของตามมาให้ที่โรงพยาบาล

เห็นมั้ยว่ายายให้เรามาทกสิ่งตั้งแต่วันแรกที่เราลืมตาดูโลกนี้

จากนั้นยายก็ช่วยพ่อแม่เลี้ยงดูเรามาจนเราโต

ฝีมือกับข้าวของยายเนี่ย ไม่มีใครเทียบเทียมได้เรย

เพื่อนเราบางคนที่เคยชิมอาจจะรู้เรื่องนี้ดี

ยายจะถือว่าเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ หลานจะอ้วนก็ไม่สน

ยังจำได้ว่าสมัยประถม มีเรียนพิเศษตอนเย็นๆ กับเพื่อนๆ

แล้วเรามักจะหาอะไรกินกับเพื่อนจนอิ่ม กลับไปบ้านก็เจอยายอยู่ในครัว

เพราะยายกำลังรอกินข้าวพร้อมเรา แต่เราอิ่มมาแล้ว ก็ไม่สนใจ ไม่กิน

โดยไม่ได้คิดเลยว่ายายนั่งรอเพื่อที่จะกินข้าวพร้อมเรา (ก็เด็กอยู่นิ)

ตอนนั้นเราปล่อยให้ยายนั่งกินข้าวคนเดียวได้ไงก็ไม่รู้ (เดียร์ขอโทษ)

แต่ตอนหลังก็สำนึกได้ อิ่มยังไงก็ต้องนั่งกินกับยายทุกๆตอนเย็น

พอจบประถม ไปเรียนต่อมัธยมที่ในเมือง ก็ต้องไปอยู่หอ

ได้กลับบ้านก็วันศุกร์เย็น ถึงจะได้อยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว

ทุกวันศุกร์ กลับไปบ้านต้องมีของกินชุดใหญ่อยู่เสมอ

อะไรที่เราชอบกิน ก็จะวางอยู่บนโต๊ะในครัว เราก็ต้องจัดการให้เรียบ

ยายชอบนั่งดูทีวีหลังกินข้าวเสร็จประจำเลย เราก็ชอบไปนั่งกับยาย

นั่งอย่างเดียวไม่ได้ด้วยสิ ต้องหอมแก้ม ต้องกอด โอ๊ย...ชื่นใจมากมาย

ตั้งอีกอาทิตย์นึงกว่าจะได้ทำอย่างนี้อีก (ไม่อยากให้ถึงวันอาทิตย์เรย)

วันอาทิตย์เราก็ต้องกลับหอ พ่อกับแม่เป็นคนไปส่ง บางครั้งยายก็ไปด้วยบ้าง

ยายไปนี่ต้องแวะเดินห้างกัน 55+ จะเอาอะไรหยิบได้ทุกอย่าง

ยายเป็นคนที่เน้นเรื่องการเรียนมาก สนับสนุนให้เรียนอย่างสุดๆ

ดีหน่อยน่ะ ที่เราพอจะเรียนหนังสือกับเค้าใช้ได้อยู่บ้าง

แต่มีอยู่อย่างเดียวที่ไม่สนับสนุน คือ ไปเป็นเด็กแลกเปลี่ยน

ตอนเราอยู่ม.5(สอบแลกเปลี่ยนปีสุดท้าย) แม่อนุญาตแร้ว แต่ก็อดไป

เพื่อนๆสนิทเรารู้ดี ที่เราอดไปแลกเปลี่ยนก็เพราะว่ายายไม่ให้ไป

เล่นกันแบบว่า เป็นลม เข้าโรงพยาบาลกันไปเลย

ก็เหมือนกับว่ายายจะรู้แหละมั้ง ถ้าให้ไปเวลาของเราสองคนก็คงน้อยลง

เพราะหลังจากนั้นไม่ถึงปี ตอนที่เราอยู่ ม.6 จำได้แม่นมากมาย

ช่วงนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยว หัวต่อ ยายก็รอดูอยู่ว่าเราจะเอายังไง

เพราะเราเล่นไล่สอบมั่วซั่วไปหมด เทอม1 จำได้ว่า สอมสมาร์ทบ่อยมาก

แต่ผลก็ออกมางั้นๆ ประมาณเดือนกันยาได้มั้ง มีให้สมัครสอบตรง มฟล.

บอกยายทันทีเลยว่า อยากไปอยู่เชียงราย อยากขาวกว่าเดิม หุหุ

เพราะจำได้ว่ามหาลัยนี้น่าอยู่มาก เคยดูในทีวีกับยายตอนที่เค้ามีพิธีเปิด

ยายก็เห็นดีเห็นงาม เราจะไปกันยกบ้าน เดียร์ไปสอบ แล้วก็ได้เที่ยวกันด้วย

อีกอย่างมันตรงกับปิดเทอมเล็กพอดี พาน้องๆกันไปให้หมด

ตอนนั้นก็จิตใจจดจ่อกับการไปเที่ยวเหนือมาก พูดกับที่บ้านทุกวัน

จนถึงวันอาทิตย์ก่อนเราจะสอบปิดเทอมเดือนตุลาอ่ะ

จำได้ว่าอาทิตย์นั้นเราไม่กลับบ้าน แม่กับยายก็เลยมาเยี่ยมที่หอ

แล้วก็พาไปซื้อของที่โรบินสัน วันนั้นเราทะเลาะกับแม่นิดหน่อย

อยากได้ขาสั้น แต่แม่บอกมันสั้นไปไม่ซื้อให้ หงุดหงิดอ่ะ

ยายบอกว่าจะซื้อให้ แม่ก็ไม่ให้ซื้อ ยายถามว่าเดียร์อยากได้อะไรอีก

ก็เอาเลยน่ะ เราก็บอกไม่เอาอะไร อารมณ์เสีย แล้วเราก็ไปลงที่ยาย

มันเป็นอะไรที่แย่มาก ยายก็ไม่ว่าอะไรซักคำ ชวนเราไปซื้อของกันต่อ

จากนั้นก็กลับหอกัน เห้อ..... ตอนนั่งรถกลับมาหอ ยายก็ถามเราว่า

วันก่อนร้องไห้ทำไม อย่าไปเชื่อคำพูดของพี่ มันล้อเล่นน่ะ

(ยายโทรคุยกับพี่ บอกว่าให้รีบจบหน่อย ยายรอไม่ค่อยไหวแล้ว)

เราก็ร้องอีก บอกว่ายายอย่าทิ้งเดียร์ไปน่ะ สัญญาด้วยหล่ะ

ยายพูดแค่ว่า อื้อ อย่าร้องสิ เดี๋ยวยายอยู่จนเดียร์เรียนจบ แต่งงานโน่น

ยายอยากดูหน้าหลานเขยก่อน 55+ ยายยังมีอารมณ์ขันอีก

ถึงหอเราก็หยุดร้อง เอาของเข้าไปเก็บ แล้วกลับมาที่รถ มาสวัสดีแม่กับยาย

มาหอมแก้มยาย กอดยาย แล้วก็บอกว่าวันพฤหัสหน้าเจอกันเพราะปิดเทอม

เราไม่คิดเลยว่าวันนั้นจะเป็นวันสุดท้ายที่เราได้คุยกับยาย

หากย้อนเวลากลับไปได้หรือรู้ล่วงหน้า เราก็คงไม่ทำอย่างนั้นใส่ยาย

เพราะวันที่เราปิดเทอม เราไม่ได้กลับไปหายายที่บ้าน แต่เป็นโรงพยาบาล

หากวันนั้นใครเจอเราที่โรบินสันก็คงเห็นเราร้องไห้กลางห้างอ่ะ

เพราะเราวางแผนไว้แล้ว พ่อกับแม่มารับ จะต้องไปซื้อของตามที่จดไว้

แต่พ่อกับแม่บอกว่าค่อยซื้อวันอื่น ตอนแรกเราก็ไม่ยอม คนมันจะซื้ออ่ะ

พ่อบอกว่ากลับก่อนเหอะ สุดท้ายแม่ก็บอกว่า ไปหายายที่โรงพยาบาลก่อน

เราตกใจมาก ถามแม่ว่ายายเป็นอะไรมากมั้ย แม่ก็เงียบไม่พูดอะไร

เราน้ำตาแตกตรงนั้นเลย ถามว่ายายไปโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไหร่

แม่บอกว่าตั้งแต่วันอังคาร แล้วทำไมเดียร์ไม่รู้หล่ะแม่ ทำไมไม่บอกกันบ้าง

แม่บอกว่าไม่กล้าบอก กลัวจะไม่ได้อ่านหนังสือแล้วก็ทำข้อสอบไม่ได้

เมื่อไปถึงโรงพยาบาล เราก็ร้องไห้อีก คิดว่ายายไม่สบาย เป็นลมเฉยๆ

ที่ไหนได้เราต้องเข้าไปหายายที่ห้อง ไอซียู ซ้อกมาก ก้าวขาไม่ได้เลย

ยายไม่รู้สึกอะไรไปครึ่งตัว พูดไม่ได้ สายระโยงระยางไปหมด

แม่บอกให้เราหยุดร้อง เดี่ยวยายจะเสียใจ แต่มันก็หยุดไม่ได้

จากนั้นที่บ้านก็รักษายายกันมาโดยตลอด เข้า-ออก โรงพยาบาลกันบ่อยๆ

เราก็ดูแลยายตามที่เราจะทำได้ แล้วเราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด

อาการยายก็ขึ้นๆลงๆ ทรงตัวบ้าง แย่บ้าง เป็นอย่างนี้อยู่ตลอด

มีอยู่ช่วงหนึ่ง พ่อกับแม่พาเราขึ้นมาสอบสัมภาษณ์ที่ สบพ.

น้าโทรมาบอกแม่ว่ายายดูเศร้า แต่หลังจากนั้นอีกประมาณ 3-4 วัน

เป็นวันที่ผลสอบแอดมิชชั่นออก ครอบครัวเราก็ยังอยู่กันที่กรุงเทพฯทั้งหมด

พศินเป็นคนที่ดูผลแอดให้กับเรา บอกว่าเราติดธรรมศาสตร์ เราดีใจลั่นบ้าน

ให้แม่โทรไปบอกน้ากับตาที่อยู่ที่บ้าน ทุกคนดีใจกับเรา

หลังจากนั้นไม่นาน ตาก็โทรกลับมาบอกว่า ยายดีใจกับเดียร์น่ะ

ยายรู้ว่าเดียร์ติดธรรมศาสตร์ ยายร้องไห้ น้ำตาไหลออกมาเลยน่ะ

เราฟังโทรศัพท์ตาก็น้ำตาไหลไปอีกรอบ อย่างน้อยเราก็ทำให้ยายได้ภูมิใจ

อยากให้ยายพูดออกมาซักคำ เรารู้ยายอยากพูดน่ะ แต่ไม่เป็นไรไม่พูดก็ได้

แต่ไปๆมาเราก็เรียนที่ สบพ.แทน เพราะพ่อไม่พ่อใจกับสาขาที่เลือก

ส่วนแม่ก็ไม่อยากให้ติดขึ้นมา อยากให้เราเรียนมนุษย์ กศบ. 5ปี

ถ้าตอนนั้นยายพูดคุยกับเราได้ ก็คงจะดีกว่านี้ คงมีคนเข้าใจเราแน่นอน

แต่ไม่เป็นไร เรียนที่ สบพ.ก็ได้อยู่ เราต้องสู้กับมัน ถึงแม้เราจะไม่ถนัดนัก

อยากให้ยายอยู่พร้อมกันเมื่อวันแห่งความสำเร็จนั้นมาถึง

แต่มันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะยายจากเราไปเมื่อ 2 ต.ค. 52

เราคิดว่าเราทำใจมาแล้วว่าสักวันมันต้องเกิด แต่ไปมาๆก็รับไม่ได้

สุดท้าย ก็ขออโหสิทุกอย่างที่ทำไว้กับยายน่ะ

ไม่มีอีกแล้ว คนที่คอยให้เงินหลานๆ

ไม่มีอีกแล้ว คนที่ปรารถนาดีสำหรับเราในทุกๆเรื่อง

ไม่มีอีกแล้ว แก้มนุ่มที่ให้เราได้หอม

ไม่มีอีกแล้ว ร่างอ้วนๆอุ่นๆที่ให้เราได้กอด

เดียร์คิดถึงยายน่ะ คิดถึงมากๆ คิดถึงสุดๆ

เดียร์จะไม่ลืมยายแน่นอน ยายอยู่ในใจเดียร์เสมอน่ะ

รักมากมาย ...



Create Date : 16 มกราคม 2553
Last Update : 16 มกราคม 2553 0:26:49 น. 7 comments
Counter : 194 Pageviews.

 


โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 16 มกราคม 2553 เวลา:9:07:54 น.  

 
ความรู้สึกบางครั้งบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ แต่คนที่เคยผ่านเหตุการณ์นี้มาจะเข้าใจจะเข้าใจกันมากกว่า เพราะเราเองบางครั้งยังคิดว่าคุณตายังอยู่กับเรา ไม่ได้ไปไหน


โดย: blog pu วันที่: 16 มกราคม 2553 เวลา:11:05:45 น.  

 
อะไรที่ผ่าน ไปแล้ว คือบทเรียน พรุ่งนี้ยังมีเสมอ ค่ะ^^


โดย: februaryหนูมุก วันที่: 16 มกราคม 2553 เวลา:13:06:28 น.  

 
สู้ต่อไปค่ะ


โดย: ตัวหนังสือสีรุ้ง วันที่: 16 มกราคม 2553 เวลา:13:21:17 น.  

 
ท่านไปสบายแล้วค่ะ


โดย: โสดในซอย วันที่: 16 มกราคม 2553 เวลา:15:16:43 น.  

 
ขอบคุนทุกกำลังใจค่ะ


โดย: deanna-idea วันที่: 16 มกราคม 2553 เวลา:21:10:53 น.  

 
อ่านแล้ว ร้องไห้เลย คิดถึงตากะยายเหมือนกัน ตากะยายเราก็ใจดีมากๆๆกับหลานๆ


โดย: rasinee วันที่: 17 มกราคม 2553 เวลา:3:10:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

deanna-idea
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีน่ะค่ะ...ทุกคน
(มือใหม่น่ะค๊า ฝากเนื้อฝากตัวด้วย)
Friends' blogs
[Add deanna-idea's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.