จิปาถะ

wj42
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เช็คกล่องข้อความหลังไมค์

รวม Links แยกหมวดหมู่









Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add wj42's blog to your web]
Links
 

 

กระทู้แนะนำราชดำเนิน P4582703

ตามลิงค์ครับ

//www.geocities.com/morrowind2545/Politics/Map.pdf




 

Create Date : 27 สิงหาคม 2549    
Last Update : 27 สิงหาคม 2549 14:11:14 น.
Counter : 260 Pageviews.  

เพิ่งรู้ว่าเบื้องหลังทหารเขาเล่นกันยังงี้...(ตอนที่ 3)

นี่คือตอนที่ 3
ที่คัดมาจากจาก โพสต์ทูเดย์ ฉบับศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2549
หน้าพิเศษ 2


พัลลภมีความหลังที่ไม่ลืมกับ “บิ๊กจิ๋ว”
ทั้งที่ไม่เคยทำงานร่วมกันในกองทัพมาก่อน .....
เพราะเขาอยู่เหล่าราบ... แต่บิ๊กจิ๋วอยู่สื่อสาร

แต่บังเอิญ เสธ.หมึก ....พล.ท.พิรัช สวามิวัศดุ์ เพื่อนร่วมรุ่น จปร.7
และ พลต.จำลอง ศรีเมือง เป็นทหารสื่อสารลูกน้องบิ๊กจิ๋ว

ทำให้เขาได้รู้จักในฐานะนายเพื่อน ...
และที่ลืมกันไม่ลงตอนเกิดเหตุการณ์เมษาฮาวาย ระหว่าง 1- 3 เมษายน 2524
ที่มี พ.อ.มนูญ รูปขจร นำทีม จปร.7 ปฏิวัติ........

“วันนั้นเราตั้ง บก.ลับที่สวนรื่นฯ กับ พล.อ.หาญ ลีนานนท์ ผมหนึ่งในแกนนำต้องเข้ายึดสวนรื่นฯ.......จึงไปจับ พล.อ.ชวลิต ขังที่สวนรื่นฯ 1 วัน ไม่ได้คุยกันเลย .....รุ่งขึ้นผู้บังคับบัญชาก็สั่งให้ปล่อย เพราะได้ประสานกันว่าไม่อยากให้ต่อสู้กัน” พัลลภเล่า


นี่เป็นวันที่บิ๊กจิ๋วคงจดจำจนถึงวันนี้
เหตุการณ์ไม่จบแค่นั้น
เพราะเกิดเหตุจับตัว พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิต และ พ.อ. สาคร กิจวิริยะ
ทีมงานปฏิวัติ ของ จปร.7 ที่ดอนเมือง

“ผมรู้ก็บุกไปที่ดอนเมือง ไปพบพี่จิ๋ว ไปบอกว่า...ไหนว่าไม่มีอะไรกัน แต่ได้ข่าวจะเอาเพื่อนผมไปดร็อปทิ้ง ตอนนั้นบิ๊กหมง พ.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ อยู่ด้วย

พอบุกเข้าไปคุย พี่จิ๋วบอกว่าไม่รู้เรื่อง และขอเวลา 10นาที แล้วให้บิ๊กหมงเอาโอเลี้ยงกับข้าวราดแกงเทโพมาให้ ผมกินโอเลี้ยงไปแก้วหนึ่ง”


“พี่จิ๋วมาบอกอีกว่าไม่มีอะไร ผมก็ถามว่าจะจับไหมท่านบอกไม่จับ .....ผมก็บอกว่าไม่จับผมก็หนี ตอนนั้นมนูญหนีไปก่อนแล้ว”


พัลลภ ย้อนเหตูการณ์เมษาฮาวาย ให้ฟังว่า

“ได้รับข้อหาขัดพระบรมราชโองการ โดยฝากจดหมาย พ.ท.สนั่น ขจรประศาสน์ ไปให้ป่า ว่าขอรับผิดชอบข้อหากบฏ แต่ไม่รับขัดพระบรมราชโองการ”


“เรื่องก็คือว่า หลังตั้ง บ.ก.ปฏิวัติที่หอประชุม ทบ.ประมาณตีห้ากว่า พ.อ.เชาว์ คงพูลศิลป์ จปร.4 นายทหารม้าได้เข้ามาพบที่ บก.ปฏิวัติ ถามว่ามีอะไร .......

ท่านก็บอกว่าในหลวงรับสั่งให้ พล.อ.สัณฑ์ จิตปฏิมา กับ พ.อ.มนูญ เข้าเฝ้าฯ ผมก็พาไปพบ 2 คนนี้ แต่ 2 คนนี้ไม่ยอมไป

ต่อมาประมาณ 6 โมงเย็น พ.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาพบอีก บอกว่าในหลวงรับสั่งให้เข้าเฝ้าฯ เขาไปเจรจากับ 2 คนนั้นอีก แต่ผมไม่ได้อยู่ด้วย

พ.อ.สุรยุทธ์ บอกว่า 2 คนนั้น ไม่ยอมเข้าเฝ้า ก็เลยถามไปว่าทำไม มนูญบอกว่าไม่มีอะไรค่อยเข้าเฝ้าฯ ผมยังถามว่ากลัวเหรอ ถ้ากลัวผมจะไปด้วย ผมเดินมาส่งสุรยุทธ์......”
พัลลภเล่า

นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อ 23 ปีที่แล้ว
เป็นเหตุการณ์ที่พัลลภถูกปลดจากราชการพร้อมเพื่อน 17 คน
ที่ก่อการปฏิวัติ จนต้องลี้ภัยไปอยู่ลาว
ไปอยู่ได้ 2 เดือน จะลี้ภัยไปอยู่เยอรมนี
แต่มีการนิรโทษกรรมเสียก่อน........
"งานไปได้สวย ลูกค้าเต็ม แต่มารู้ภายหลังว่าคุณบุญชู (วังกานนท์ อดีตผู้การกองปราบ สมัยนั้น) ซึ่งเป็น จปร.5 สั่งบีบไว้หมด ทั้งที่ผมกับ จปร.5 ไม่ได้มีอะไรกัน บิ๊กตุ๋ย พ. อ. อิสระพงศ์ หนุนภักดี ก็เคยเป็นนายเก่า ท่านเป็นผู้บังคับกองร้อย ผมเป็นรองผู้การ สมัยหนุ่มๆ เที่ยวด้วยกันตลอด แม้แต่ภรรยาผม พล อ.อิสระพงศ์ก็เป็นคนแนะนำให้

เมื่อถูกเล่นงานหนัก พัลลภในฐานะเป็นนักรบรับจ้างเก่าสมัยอยู่เวียดนาม
และเป็นหัวหน้าชุดสังหาร ทบ.มาก่อน
จึงเบนเข็มไปตั้ง "ทีมล่าสังหาร" ขึ้น เพื่อถอนแค้น พล.อ.อาทิตย์ หรือ บิ๊กซัน
เพราะทราบว่าคำสั่งเด็ดหัวเขาทั้งหมด มาจาก บิ๊กซัน

รอยแค้นฝังใจที่ถูกกลั่นแกล้งจากรุ่นพี่ จปร.5 ทำให้วิญญาณนัก ฆ่ าเริ่มทำงาน

"ผมต้องการ ฆ่ า พี่ซันคนเดียว เพราะท่านอนุมัติให้จัดการกับผม
ทั้งผมสนิทกับท่านมาก ผมเป็นผู้หมวด ท่านเป็นผู้บังคับกองร้อย
แต่อยู่คนละกองพัน เวียดนามก็ไปด้วยกัน
ท่านเป็น พ.ท. ชอบกินเค้ก....

ผมไปตามล่าอยู่ 7 ครั้ง ท่านก็รู้
ตอนหลังก็เจอกัน ท่านยังเรียกชื่อเก่าผมว่าไอ้นาจ...
ตอนเรียนผมชื่ออำนาจ
มรึงลอบยิงกรู 15 ครั้งเชียวหรือ
ผมก็บอกติดตลกว่าแค่ 7 ครั้งเอง แต่ดวงท่านดีตลอด
ทั้งที่สมัยเป็นหัวหน้าทีมสังหาร ผมล่าใครไม่เกิน 2 ครั้ง
ไม่เคยพลาด.......
แต่ท่านรอดแบบไม่น่ารอด

ตอนหลังท่านยังด่าและเตะผมครั้งหนึ่ง
จากนั้นก็เลิกราต่อกัน..........




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2549    
Last Update : 28 สิงหาคม 2549 22:25:01 น.
Counter : 1722 Pageviews.  

เพิ่งรู้ว่าเบื้องหลังทหารเขาเล่นกันยังงี้.............

ที่มา : โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร คอลัมน์ร่มรื่นในเงาคิด นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๑๔๗ ปีที่ ๒๒ ประจำวันที่ ๑๒-๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๕

ในบทสุดท้ายของหนังสือ "บันทึกคำให้การ สุจินดา คราประยูร กำเนิดและอวสาน รสช."
วิทยานิพนธ์ของ "วาสนา นาน่วม" ที่กำลังฮอต

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี แกนนำนายทหาร จปร.7
ขอสิทธิชี้แจง ที่ถูก พล.อ.สุจินดา พาดพิงในวิทยานิพนธ์หลายเรื่อง
ซึ่ง วาสนา นาน่วม ได้นำคำสัมภาษณ์ดังกล่าวมาตีพิมพ์ไว้ด้วย
อ่านคำสัมภาษณ์นั้นแล้วรู้สึกตื่นเต้น ตื่นเต้น กับข้อมูล
อันเป็นเบื้องหลังของเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในมุมของ พล.อ.พัลลภ
ซึ่งเท่าที่ติดตามข้อมูลกรณีพฤษภาทมิฬมาหลายเวอร์ชั่น ยังไม่ได้รับทราบข้อมูลในส่วนนี้เลย
ไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่ "ตกข่าว" นี้ ..แต่ คิดคงไม่ใช่
น่าจะมีอีกหลายคนที่ยังไม่ได้รับทราบข้อมูลในส่วนดังกล่าว
เลยขอช่วย "วาสนา นาน่วม" เผยแพร่ข้อมูล
อีกด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์เหตุการณ์เดือนพฤษภาอันน่าตื่นเต้นนี้บางส่วน
อยากอ่านเต็มๆ ต้องไปหาหนังสือมาอ่าน

พล.อ.พัลลภ เล่าว่า.....
ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เนื่องจาก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่เป็นเสมือน "เพื่อนตาย" ได้โทรศัพท์มาบอกให้ไปอยู่เป็นเพื่อน ระหว่างที่กำลังอดข้าวประท้วง พล.อ.สุจินดา คราประยูร และ รสช.

"ตอนบ่ายผมไปหาเขาที่สภา ผมก็นั่งเป็นเพื่อนเขา แล้วโทรเรียกไอ้หมึก พลโทพิรัช สวามิวัศดุ์ มา เขามาถึง 5 โมงเย็น ก็นั่งเป็นเพื่อนจำลองมาตลอด"

และการมาอยู่เป็นเพื่อนนั้น พล.อ.พัลลภ ได้ยอมรับว่า มีการปรึกษาหารือกันว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ จะชนะได้ มี 2 ประการเท่านั้น ........

1) ทหารใช้อาวุธปราบประชาชน
2) วันไหนจับ พล.ต.จำลอง วันนั้น "เรา" ชนะ

ข้อมูลส่วนนี้ทำให้เรารู้ว่าการจับ พล.ต.จำลอง เป็นเกม ที่ถูกวางไว้ล่วงหน้าแล้ว ??
ด้วยมันเป็นปัจจัยสำคัญที่จะชี้ขาด เรื่องแพ้-ชนะ เลยทีเดียว
พล.ต.จำลอง ต้องถูกจับ ? ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ .....

พล.อ.พัลลภ ให้สัมภาษณ์ว่า
"การจับจำลองผมรู้ก่อน พอเที่ยงๆ ลูกน้องผมเยอะ โทรมาบอกว่าเขาจะไปจับจำลองนะ จำลองนอนอยู่โรงแรมมาเจสติค มันร้อน มันหนีขึ้นไปนอน..... พอผมรู้ปั๊บผมก็ขึ้นไปหาไอ้ลอง บอกไอ้ลองว่า.... เฮ้ย เข้าล็อกเราแล้ว เดี๋ยวเขาจะมาจับมรึง มรึงลงไปรอให้จับเลย"

"แล้วผมกับไอ้หมึกก็ไปนั่งดูบนป้อมที่เฉลิมไทย รอดูเขาจับจำลอง เขาคิดว่าจับจำลองแล้วจะจบ"

แต่จริงๆ แล้วไม่จบ เหตุการณ์กลับรุนแรงมากขึ้น.....
ซึ่งตามความเข้าใจของเรา มองว่า
เหตุการณ์ที่ขยายใหญ่ขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่ไร้การควบคุม... และไม่มีการจัดตั้ง
เป็นแรงผลักดันของคนที่โกรธแค้น มากกว่า .....

แต่ พล.อ.พัลลภ กลับบอกเป็น "นัย" ว่า "พอจับ จำลองไป เขาเปิดแชมเปญเลี้ยงเลยนะ ...เขาคิดว่าจับจำลองแล้วจะจบ พอไม่จบเขาก็มองที่ผมกับหมึก เขาสั่งจับตายผมนะ ...เด็กลูกน้องผมมาบอกว่าเขาสั่งจับตายผม แต่ผมไม่หนี นั่งอยู่โรงแรมรอยัล จนกระทั่งหน่วยรบเข้าทลาย ผมก็หนีออกไปอยู่วงเวียนใหญ่ แต่ไอ้หมึกโดนจับเพราะมันง่วง มันหนีไปนอน แต่ทหารรบพิเศษ ไม่ทำอะไร เพราะทหารมันมาจากลพบุรีเป็นลูกน้องผม
ไอ้หมึกเขาบอกว่า เฮ้ยกรูเพื่อนพันเอกพัลลภ มันก็เลยปล่อย..."

ส่วนจุดเริ่มต้นแห่งการ นองเลือดในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม
ที่ฝ่ายตรงข้าม พล.ต.จำลอง ระบุว่า พล.ต.จำลองพาคนไปตาย นั้น

พล.อ.พัลลภ ให้ข้อมูลในส่วนนี้ว่า
"วันที่เราจะ move มาที่สะพานผ่านฟ้า 3 โมงเย็น หมอที่ดูแลจำลองอยู่ เขาบอกว่าจะต้องให้พี่จำลองกินข้าวนะ ถ้าไม่กินข้าว ไม่รับรองความปลอดภัย อาจจะช่วยชีวิตได้ แต่จำลองจะปัญญาอ่อน

ผมก็หันมาปรึกษาไอ้หมึกว่า เราต้องหลอกให้ไอ้ลองกินข้าว มีทางเดียวเราต้อง move กำลัง แกล้งไปประจันหน้ากับทหาร..... แล้วหลอกให้ไอ้ลองกินข้าว ว่ามรึงจะตายไม่ได้ มรึงเป็นแม่ทัพแล้ว .....

ผมบอกไอ้หมึก ไปบอกพี่จิ๋ว พี่จิ๋วเขาร่วมอยู่ด้วย ไอ้หมึกหายไปสักพัก กลับมาเกือบ 5 โมงเย็นบอกว่าพี่จิ๋วไม่ยอมให้มีการ move คนจากสนามหลวงมาผ่านฟ้า เมื่อพี่จิ๋วไม่ยอม ถ้าเราไปพูดกับพรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่ยอม หมอเหวง หมอสันต์ องค์กรประชาธิปไตย นักศึกษาก็ไม่ยอม เราก็มาคิดว่าจะทำยังไงให้จำลองมากินข้าวให้ได้.....

เชื่อไหม ความเฮงของผม เกือบทุ่มหนึ่ง พี่ตุ๋ยเขาไปเอาครอบครัวทหารจาก พล.ร.9 มาสนามหลวง 500-600 คน เราจำได้ลูกน้องเราทั้งนั้น

ผมถามว่ามรึงมากันทำไม มันเล่าให้ฟังว่าให้มากวนๆ ในสนามหลวง ผมก็เลยบอกลูกน้องว่า.....เฮ้ย..ไปบอกพวกมรึงนะว่าเดี๋ยว 2 ทุ่มกรูจะเดินเอาจำลองไป แล้วมรึงเดินตามนั้น

พอสองทุ่มพี่ก็เอาทหาร พล.ร.9 แบกจำลองเดินมาผ่านฟ้า มันก็เลยตามกันมากันหมด พวกนั้นเขาก็โกรธมาก พี่จิ๋ว ประชาธิปัตย์ องค์กรประชาธิปไตย หาว่าทำโดยพลการ"

สําหรับ นาทีปะทะ พล.อ.พัลลภ ให้ข้อมูลว่า "(พอประจันหน้ากัน) ผมก็กลัวจะปะทะก็เดินตรวจ บอกพวกเราว่าอย่าเข้าไปใกล้ลวดหนามนะเพราะทหารอยู่ เราเดินไปถึงแยกภูเขาทอง เห็นนักศึกษากลุ่มใหญ่ไปเขย่ารั้วลวดหนาม ตำรวจอยู่ข้างหลัง เขาพูดอะไรไม่รู้ ปรากฏว่าตำรวจใช้กระบองตีนักศึกษา 2-3 คนลงไปชัก พวกนักศึกษาก็ฮือ พอฮือตำรวจมันก็ยิง ......

พอยิงปั๊บไอ้หมึกเขาโกรธเลยคว้าระเบิดมือจะขว้าง ผมจับมันไว้ว่าไม่ได้ อาวุธเรามีเยอะนะ แต่เราตกลงกันไว้ว่าจะไม่ใช้อาวุธ เพราะถ้าเราใช้อาวุธปั๊บเขาจะมีความชอบธรรมในการปราบทันทีเลย เชื่อไหมด้วยความโกรธนักศึกษานอนกับพื้นชกพื้นถนนจนมือแตก ร้องไห้กัน....

เราไม่รู้จะทำยังไง แว้บขึ้นมาตรงนั้นมีดับเพลิงภูเขาทอง ก็เข้ายึดเลย ตำรวจหนีหมด พอเข้าไปเปิดห้อง เจอขวดเบียร์ ขวดเหล้าบาน ก็นึกถึงระเบิดเพลิง.... เลยบอกนักศึกษาทำระเบิดเพลิงเอาน้ำมันจากรถดับเพลิง ชนวนก็เอาเสื้อยืดตำรวจนั่นแหละ นั่งทำกันได้ 50 ลูก

เชื่อไหมกำลังนั่งทำอยู่ วัดสระเกศมีร้านขายไม้เยอะ ชาวบ้านขนไม้หน้า 3 มาให้เป็นคันรถ เพื่อเอาไปตีกับตำรวจ ขนมาให้เป็นคันรถ พอทำเสร็จประมาณตี 1 ก็บอกไอ้หมึกว่าตีสองค่อยตีตำรวจเพราะนักศึกษาเขาไม่ยอม ผมก็เดินข้ามไปฝั่งโน้นไปบอกทหารว่าตี 2 เราจะตีตำรวจนะ พวกลื้อไม่เกี่ยวนะ อย่าใช้อาวุธนะ ทหารก็เชื่อ

พอตี 2 ไอ้หมึกเขาก็ตีตำรวจ เอาระเบิดขว้างเลย ทหารขึ้นรถหนีหายไปหมดเลย เราตีตำรวจแค่นั้นเอง ถ้าตำรวจไม่ตีนักศึกษาก็ไม่เกิดเรื่องหรอก นักศึกษาเขาโกรธ ก็เลยเผา สน.นางเลิ้ง เลย"

ส่วนม็อบมอเตอร์ไซค์นั้น พล.อ.พัลลภ อ้างว่า "ใช่ๆ เป็นม็อบของพี่จิ๋วเขา น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นเลขาฯ พรรคความหวังใหม่ ที่เพิ่งตั้งขึ้นมา เป็นม็อบของพรรคที่ น.ต.ประสงค์ เขามองว่ามอเตอร์ไซด์จะใช้เป็นหัวคะแนน ตั้งมา 4 พันคน พอดีเกิดเหตุการณ์ก็เลยเอามาใช้"




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2549    
Last Update : 26 สิงหาคม 2549 19:43:52 น.
Counter : 529 Pageviews.  

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : ผมสร้างตัวจากการรับจ้างรบ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี :
ผมสร้างตัวจากการรับจ้างรบ

ปกรณ์ พึ่งเนตร
อธิคม คุณาวุฒิ
กรุงเทพธุรกิจ : 3 สิงหาคม 2545

พวกแกนนำม็อบ ถ้ามาจากอีสาน เราก็ส่งคนไปบ้านมันทุกวันสิ...ไปบ้านเมียมัน ไปถึงก็ไม่ทำอะไร เช้าก็ไปนั่งคุยกับลูกกับเมียมัน เอาข้าวไปนั่งกิน กินเสร็จก็เล่นกับลูกมัน แค่ 3-4 วันเท่านั้นแหละ เดี๋ยวมันก็ต้องกลับบ้าน เพราะห่วงลูกเมีย นึกดูเมียมันก็โทรมาบอกว่าทหารมาทุกวันเลย เจออย่างนี้ก็ต้องกลับ เราไม่ต้องใช้กำลังอะไรเลย

ภาคใต้ตอนนี้มีกองกำลังติดอาวุธไม่เกิน 50 คน หัวหน้าอีก 4-5 คนเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ พวกนี้มันไม่ใช่โจรกระจอก พอมีคนบอกว่าเป็นโจรกระจอก เราก็พูดไม่ออกเลย ไม่รู้จะทำความเข้าใจกับชาวบ้านยังไง จะบอกว่าพี่น้อง...พวกโจรกระจอกพวกนี้มันยิงตำรวจตาย อย่าไปยุ่งกับมันนะ ชาวบ้านที่ไม่ชอบเราเขาจะได้สมน้ำหน้า

ถ้าจะถามถึงนายทหารที่โด่งดังที่สุดในชั่วโมงนี้ คำตอบอาจจะไม่ใช่ชื่อของผู้บัญชาการทหารบก...หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เหมือนที่คนติดตามข่าวสารคุ้นเคยกัน

แต่ด้วย 'บทบาท' และ 'ท่าที' อันโดดเด่น ในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รอง ผอ.รมน.) ซึ่งมีข่าวครึกโครมทางสื่อมวลชนแบบต่อเนื่องไม่มีตกกระแส ตั้งแต่กรณีแฉโพยส่วยตำรวจขอนแก่น การติดตามไล่ล่ากลุ่มคนร้ายยิงรถนักเรียนที่ราชบุรี เรื่อยมาจนถึงวิวาทะว่าด้วย 'โจรกระจอก' กรณีความรุนแรงในภาคใต้ ที่หลุดออกมาจากปากคนระดับคีย์แมนในรัฐบาล

ไม่แปลก - หากชั่วโมงนี้ ชื่อของ พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี จะถูกใครต่อใครพูดถึงอย่างถี่ยิบ

วิถีของพล.อ.พัลลภ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นสไตล์ของ 'ทหารแท้' คนหนึ่ง ประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาปะทะในแต่ละช่วงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นลูกบ้าดีเดือดซึ่งพิสูจน์ผ่านสมรภูมิสงครามครั้งแล้วครั้งเล่า...มุมมองของรอง ผอ.รมน.ที่มีต่อนักเคลื่อนไหวทางสังคม...วิธีคิดทางสังคมและการเมือง...รวมไปถึงการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งในฐานะแกนนำคนหนึ่งของกลุ่มยังเติร์ก (จปร.7) เขาผ่านมาแล้วทั้งในฐานะ 'ผู้ชนะ' และ 'ผู้แพ้'

จิ๊กซอว์ชีวิตทั้งหมดนั้น ประกอบกันขึ้นมาให้เราเห็นสัณฐานความคิดของนายทหารวัย 60 เศษ...นายทหารที่เดินตามนิยามดั้งเดิมทุกกระเบียดนิ้ว

ที่สำคัญคือ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี คนนี้ ยังเป็นหนึ่งในนายทหารระดับสูง ที่ขึ้นมามีอำนาจตามกติกาทางการเมือง และสามารถสร้างแรงกระเพื่อมต่อสังคมได้ทุกครั้งที่เขาขยับตัว แม้กระทั่งในนาทีนี้...นาทีที่คนส่วนใหญ่อาจเชื่อว่าเรากำลังอยู่ในยุคการเมืองใหม่ - ก็ตามที

กรุงเทพธุรกิจ : ถ้าเปรียบเทียบสถานการณ์ด้านความมั่นคงยุคนี้กับยุคก่อน การทำงานแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : ถ้าย้อนกลับไปยุคสงครามเย็น เปรียบเทียบกับปัจจุบันนี้ถือว่าผิดกันมาก เพราะตอนนั้นมีปัญหาภัยจากคอมมิวนิสต์ด้านเดียว แต่มาถึงวันนี้ ปัญหาภัยคุกคามความมั่นคงของชาติมันมีมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติด ปัญหาคนหลบหนีเข้าเมือง การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ กลุ่มอิทธิพลอำนาจมืด บ่อนการพนัน มันมีเยอะเหลือเกิน และเกี่ยวข้องกับความมั่นคงทั้งนั้น

กรุงเทพธุรกิจ : คือปัจจุบันดูเหมือนโจทย์มันจะเปลี่ยน แทนที่จะเป็นคอมมิวนิสต์เป้าใหญ่เป้าเดียวโดดๆ มันก็กลายเป็นปัญหากลุ่มเล็กกลุ่มน้อยเหลื่อมซ้อนกัน สถานการณ์อย่างนี้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ทำงานยากขึ้นมั้ยครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : พูดถึงอำนาจของคอมมิวนิสต์ขณะนั้น มันเป็นสงครามที่เราทำงานสบายกว่า คือสงครามมันเห็นเป้าชัดเจน และเป็นสงครามด้านเดียว แต่ทุกวันนี้สงครามด้านความมั่นคงมันเยอะไปหมดและเป็นภัยที่เห็นไม่ชัด ไม่เหมือนคอมมิวนิสต์ ดังนั้นทุกวันนี้จึงลำบากมาก โครงสร้างของ กอ.รมน.ปัจจุบันก็ผิดกว่าเมื่อก่อนด้วย

กรุงเทพธุรกิจ : มันผิดกันยังไงครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : ทุกวันนี้ กอ.รมน.ขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรี มีนายกฯ หรือรองนายกฯ ที่ได้รับมอบหมายเป็น กอ.รมน. และเดิม

รองผอ.รมน. เดิมเป็นโดยตำแหน่ง สมัยก่อนเลยคือผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) คนเดียว มาถึงปี 2544 รัฐบาลนี้เข้ามา ได้เปลี่ยนโครงสร้างเป็นรอง ผอ.รมน.มี 3 คน มีรองผอ.รมน.ที่นายกฯมอบหมาย ซึ่งก็คือผม ได้รับแต่งตั้งจากการเมือง อีกท่านหนึ่งคือ ผบ.สส. อีกท่านหนึ่งคือปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ช่วยมีผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และอธิบดีกรมการปกครอง

ที่เปลี่ยนอีกอันหนึ่งคือ กอ.รมน.จังหวัด เดิมขึ้นตรงต่อ กอ.รมน.ภาค แต่โครงสร้างใหม่เปลี่ยนไป คือ กอ.รมน.จังหวัดขึ้นกับ กอ.รมน.ใหญ่ สั่งการโดยตรง การปรับเปลี่ยนก็เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน เน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น

กรุงเทพธุรกิจ : มีส่วนร่วมแล้วตรวจสอบได้มั้ยครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : (หัวเราะ) ตรวจสอบได้ฮะ ตรวจสอบได้หมด วันนี้การทำงานก็ถูกตรวจสอบจากองค์กรอิสระต่างๆ อยู่แล้ว นอกจากนั้นยังมีคณะกรรมาธิการของ 2 สภา

กรุงเทพธุรกิจ : แล้วปัญหาของโครงสร้างใหม่นี้มันอยู่ตรงไหนครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : คือ กอ.รมน.ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2508 ชื่อว่ากองอำนวยการป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ (ป.ค.) ซึ่งมี พ.ร.บ.ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์รองรับ แต่มายกเลิกเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2544 ขณะนี้ กอ.รมน.ก็อยู่ในภาวะที่ไม่มีกฎหมายอะไรรองรับ ทำงานลักษณะผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ทำให้เกิดความยากลำบากในการทำงาน เพราะพื้นที่ที่ กอ.รมน.รับผิดชอบ เป็นพื้นที่ชายแดน พื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร และพื้นที่พิเศษ เช่น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

กรุงเทพธุรกิจ : พื้นที่รับผิดชอบลดน้อยลงหรือยังไงครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : มันก็ไม่น้อยลงหรอก เมื่อก่อนทั้ง 75 จังหวัด เป็นพื้นที่ของป.ค. แต่ทุกวันนี้ 31 จังหวัด คือ 30 จังหวัดชายแดน กับ ปัตตานี อีก 1 จังหวัด ส่วนที่เหลือ คำสั่งเขาใช้คำว่าให้ กอ.รมน.สนับสนุนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม หมายความว่าเราเข้าไปในจังหวัดอื่นได้ แต่ต้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานมากขึ้น

แต่ 31 จังหวัดที่ให้มา เป็นพื้นที่ชายแดน ห่างไกลการคมนาคมและพื้นที่พิเศษ เพราะฉะนั้นการทำงานจึงมีปัญหา เมื่อเราไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงรองรับ เราต้องอาศัยเจ้าพนักงาน แต่เจ้าพนักงานอยู่กับเราไม่ได้ตลอด อย่างตำรวจ เขาก็มีงานประจำของเขา พอเขากลับไปเราก็ไม่สามารถทำงานได้ หรือในสถานการณ์คับขัน เราอาจจำเป็นต้องใช้อาวุธ แต่เราก็ใช้ไม่ได้ อันนี้ก็ทำให้การทำงานของเราลำบากมากขึ้น

กรุงเทพธุรกิจ : สาเหตุที่ต้องมีการปรับปรุงกฎหมายและเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง มันเป็นเพราะที่ผ่านมา กอ.รมน.มีอำนาจมากเกินไปหรือเปล่าครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เมื่อก่อนเป็น บก.ป.ค. มีภารกิจในการปราบคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะ อำนาจมันก็เป็นอำนาจเฉพาะ แต่ทุกวันนี้มันต้องเปลี่ยนไป เพราะภารกิจมันเพิ่มมากขึ้น หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ความมั่นคงชายแดน แต่กลับไม่มีกฎหมายรองรับ และงานก็ไม่ใช่งานด้านการข่าวอย่างเดียวเหมือนที่คนทั่วไปเข้าใจ

กรุงเทพธุรกิจ : ฟังจากภารกิจ แสดงว่าตอนนี้รัฐบาลไทยตัดประเด็นเรื่องคอมมิวนิสต์ออกไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ?

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : ครับ ยุติโดยสิ้นเชิง ไม่มีแล้ว แต่มามุ่งเน้นเรื่องความมั่นคง

กรุงเทพธุรกิจ : อันนี้เรียนถามเป็นความรู้นิดนึงนะครับ...คือคนประเภทไหนบ้างที่จะถูก กอ.รมน.จับตาเป็นพิเศษ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : ก็พวกกลุ่มอิทธิพลอำนาจมืด ค้ายาเสพติด ซึ่งมีเยอะมาก

กรุงเทพธุรกิจ : อย่างพวกนักเคลื่อนไหวทางสังคม พวกเอ็นจีโอ พวกนี้โดนด้วยมั้ยครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : อ๋อ...พวกนี้ไม่ พวกนี้เราเข้าไปดูเงื่อนไขของเขาเฉยๆ ภารกิจข้อหนึ่งของ กอ.รมน.คือ แก้ไขความขัดแย้งทางสังคมด้วยสันติวิธี เพราะฉะนั้นเราจะเข้าไปหมด ที่ท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย โรงไฟฟ้าหินกรูด บ่อนอก ที่เขาโวยมาว่าทำไม กอ.รมน.เข้าไปยุ่ง แต่เราต้องไปเข้าไปดู เราต้องเก็บข้อมูล

อย่างท่อก๊าซที่เราเข้าไป เรามีหน่วยสันตินิมิต ซึ่งจะเป็นหน่วยที่เข้าไปแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี กรณีท่อก๊าซ เราก็เข้าไปเก็บข้อมูลว่าใครเป็นหัวหน้าฝ่ายคัดค้าน ถ้ารัฐบาลตัดสินใจตูมว่าต้องการจะทำ เราจะได้ประกบคนพวกนี้ได้ไง...ข้อมูลมันเป็นอย่างงี้ๆ คุณเฉยไว้ แต่เราไม่ได้ใช้วิธีรุนแรง เราก็ไปดึงประชาชนออกมา เป็นวิธีโดดเดี่ยวพวกหัวหน้า

เราก็ไปพูดกับประชาชนดีๆ ให้เห็นคุณประโยชน์ของท่อก๊าซ แล้วคุณอย่าไปยุ่งนะ พอไอ้หัวหน้ามันถูกโดดเดี่ยว มันก็ทำอะไรไม่ได้หรอก

กรุงเทพธุรกิจ : หมายถึงว่าแกนนำชาวบ้านทุกคน จะถูก กอ.รมน.บันทึกประวัติไว้ทั้งหมด ?

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : มีหมดทุกคน หินกรูด บ่อนอก...

กรุงเทพธุรกิจ : นักวิชาการก็โดนด้วย ?

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : มีทั้งนั้นแหละ เก็บไว้หมด เก็บไว้เพื่อใช้เมื่อรัฐบาลสั่ง แต่เราไม่ได้เอาเขาไปฆ่าไปแกงแบบสมัยก่อนนะ เราใช้วิธีแยกอย่างที่ว่า ใช้จิตวิทยา พอเขาไม่มีประชาชนสนับสนุนก็เสร็จ เขาจะไปเคลื่อนไหวกับใคร

ส่วนมากชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องมีเยอะ แต่แห่ตามเขา พวกนี้ไปปลุกระดม ชาวบ้านก็แห่ตาม เช่น ท่อก๊าซ เราก็ไปชี้แจงทำความเข้าใจว่ามันจะมีคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติมหาศาล ทั้งรายได้ พี่น้องจะมีงานทำ เราก็พูดไปเรื่อย หินกรูด-บ่อนอกก็เหมือนกัน ข้อมูลเราเตรียมไว้หมด

แต่มันไม่เหมือนสมัยก่อนที่เรามีหน่วยล่าสังหาร ไอ้อย่างนั้นเขาเอาชื่อมาให้ บอกว่าไอ้นี่แหละแกนนำ ผกค.(ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์) เราก็...เป้ง ! จบแล้วกลับมานอน อย่างนั้นมันง่าย (หัวเราะ)

กรุงเทพธุรกิจ : ปฏิบัติการทางจิตวิทยา (ปจว.) ที่ว่า..ทุกวันนี้ยังใช้ได้ผลอยู่เหรอครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : ได้ผลครับ เวลานี้ท่อก๊าซก็เข้าไปนานแล้วนะ ที่ชาวบ้านเขาโวยทีหนึ่งว่าทหารเข้ามาทำอะไร จำได้มั้ย...นั่นแหละกำลังพลของ กอ.รมน. แต่เราเข้าไปไม่ได้ติดอาวุธ ก็ไปนั่งคุยกับชาวบ้านว่ามันมีประโยชน์กับประเทศชาติยังไง ตอนนี้ก็น้อยแล้ว คัดค้านอยู่ไม่กี่คน

เหมือนสมัยรัฐบาลชวน ตอนนั้นสนั่น (พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์) เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย มนูญ (พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร) เขาเป็นประธานที่ปรึกษาอยู่ ชาวบ้านที่อีสานยกขบวนมาเยอะเลย รัฐบาลก็วางแผนรับกันใหญ่ เขาเรียกผมไป ผมบอกทำแบบนี้ไม่สำเร็จหรอก ใช้กำลังไปบล็อกไปอะไร เดี๋ยวปะทะกัน บาดเจ็บล้มตาย รัฐบาลก็เสียภาพพจน์ อยู่ไม่ได้หรอก

เรื่องแบบนี้มันไม่เห็นยากอะไร เราก็ดูสิว่าพวกที่มาประท้วงมีกี่กลุ่ม พวกไหนเป็นแกนหลัก พวกไหนเป็นตัวสนับสนุน พวกโดนหลอกมา ถ้าเราแยกได้มันไม่ยากเลย

ส่วนพวกแกนหลัก ถ้ามาจากอีสาน เราก็ส่งคนไปบ้านมันทุกวันสิ...ไปบ้านเมียมัน ไปถึงก็ไม่ทำอะไร เช้าก็ไปนั่งคุยกับลูกกับเมียมัน เอาข้าวไปนั่งกิน กินเสร็จก็เล่นกับลูกมัน แค่ 3-4 วันเท่านั้นแหละ เดี๋ยวมันก็ต้องกลับบ้าน เพราะห่วงลูกเมีย (หัวเราะ) นึกดูเมียมันก็โทรมาบอกว่าทหารมาทุกวันเลย เจออย่างนี้ก็ต้องกลับ โดยที่เราไม่ต้องใช้กำลังอะไรเลย

กรุงเทพธุรกิจ : สถานการณ์ที่ใกล้เข้ามาอย่างความรุนแรงทางภาคใต้ เห็นผู้ใหญ่ในรัฐบาลหลายคน ให้ข่าวทำนองว่าเป็นฝีมือของโจรกระจอก...จริงๆ แล้วปัญหาเป็นยังไงครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : ผมจะเล่าให้ฟัง...ผมนี่ไปอยู่ภาคใต้ตั้งแต่ปี 2520 สถานการณ์ตอนนั้นมันมีโจรอยู่ 4 กลุ่ม หนึ่งคือขบวนการโจรก่อการร้ายหรือขจก. มีกองกำลังติดอาวุธเป็นพันคน หัวหน้ามีถึง 270 คน สอง โจรจีนคอมมิวนิสต์อีก 3 กลุ่ม นอกจากนั้นยังมี ผกค. ตอนนั้นเคลื่อนไหวอยู่ที่ อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา และสี่คือโจรห้าร้อย อันนี้มีเป็นประจำอยู่แล้ว (หัวเราะ)

ซึ่งเราก็ปราบปรามพวกนี้มาตลอด กระทั่งถึงปีที่แล้ว กำลังพวกนี้ก็ลดน้อยลง หัวหน้าเหลือ 4-5 คน กองกำลังติดอาวุธเราคาดว่าไม่เกิน 50 คนที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ แต่พวกนี้มันไม่ใช่โจรกระจอก พอมีคนบอกว่าเป็นโจรกระจอก เราก็พูดไม่ออกเลย ไม่รู้จะทำความเข้าใจกับชาวบ้านยังไง จะบอกว่าพี่น้อง...พวกโจรกระจอกพวกนี้มันยิงตำรวจตาย อย่าไปยุ่งกับมันนะ ชาวบ้านที่ไม่ชอบเราเขาจะได้สมน้ำหน้า ส่วนชาวบ้านที่เขาไม่เห็นด้วย เขาก็ไม่รู้จะไปยุ่งด้วยทำไม

การพูดว่าโจรกระจอก ทำให้ปฏิบัติการทางจิตวิทยามันเดินไม่ได้

กรุงเทพธุรกิจ : เล่าเรื่องชีวิตราชการของท่านให้ฟังบ้างได้ไหมครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : ผมจบ จปร.7 ปี 2503 จบมาบรรจุที่ศูนย์การทหารราบ เรียนหลักสูตรผู้หมวด ผู้บังคับกองร้อยจบ ก็มาอยู่ที่ ร.1 พัน 3 รอ. (กรมทหารราบที่ 1 กองพันทหารราบที่ 3 มหาดเล็กรักษาพระองค์) ทีแรกผมสมัครไปอยู่อุดร เพราะผมไปโตที่นั่น อยู่ที่นั่น 10 ปี แต่เขาไม่ให้ไป เพราะผมเป็นนักรักบี้ของโรงเรียนนายร้อย พอจบมาก็เล่นรักบี้ให้กองทัพบก เขาก็เลยให้เล่นรักบี้ ก็เลยมาอยู่ที่ ร.1 พัน 3

จากนั้นปี 2504 เกิดกรณีเขาพระวิหาร เป็นครั้งแรกที่ผมออกสนาม กองทัพก็ส่งผมไปป้องกันชายแดนที่ตาพระยา ปราจีนบุรี กลับมาผมก็ไปเรียนหลักสูตรจู่โจม (แรงเยอร์) แต่ผมเรียน 2 รุ่นเลย รุ่นแรกผมสอบเข้าไปเรียน จะจบอยู่แล้ว อีกไม่ถึง 8 ชั่วโมงจะจบ ผมทำปืนลั่นใส่เท้าทะลุ (หัวเราะ) พล.อ.พิจิตร (กุลละวณิชย์) ตอนนั้นท่านรับผิดชอบ เป็นครูฝึกอยู่ ท่านไม่ยอมให้ผมจบ ผมก็ต้องเรียนต่ออีกรุ่นหนึ่ง กลายเป็นเรียน 2 รุ่น

จบแล้วก็ไปเรียนหลักสูตรพลร่ม ต่อด้วยหลักสูตรซีไอ มีหน่วยรบพิเศษของอเมริกันมาสอน พอจบก็กลับมาทำงาน อยู่มาวันหนึ่ง ปี 2508 ก็มีเอกสารลับมากจากกองทัพบก ผู้พันก็เรียกไปพบ ในเอกสารบอกว่า กองทัพบกเห็นว่าท่านเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ขอให้ไปทำงานเป็น ผบ.ชุดสตาร์ทีม (Special Thai Ranger Army) ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไง แต่ชื่อมันเพราะดี (หัวเราะ) ผมก็ไปรายงานตัว แล้วก็รับคำสั่งให้เดินทางไปรายงานตัวที่อุดร

ผมก็ไปพบกับลูกทีมอีก 5 คนจากหน่วยรบพิเศษ ทีมแบบนี้จะมี 6 คน หัวหน้าคือผม รองเป็นจ่า เจ้าหน้าที่สื่อสาร 2 คน พลฯเสนารักษ์ 1 คน และระเบิดทำลาย 1 คน 6 คนนี้จะไปคุมกองโจรลาวที่เรารับมาฝึกเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าไปทำงานในลาว

กรุงเทพธุรกิจ : ภารกิจตอนนั้นคืออะไรครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : เขาใช้คำว่าขัดขวางการเคลื่อนที่ของทหารเวียดนามเหนือที่ผ่านช่องมูเกีย มาตามเส้นทางโฮจิมินห์ ไม่ให้เข้าเวียดนามใต้ ไม่ให้เข้าเขมรและเข้าประเทศไทย นี่คือภารกิจ

ตอนนั้นยูเอ็น (องค์การสหประชาชาติ) เขาแบ่งเป็นเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ จะล้ำกันไม่ได้ แต่เวียดนามเหนือฉลาด เขาเจาะเข้าไปในประเทศลาว ผ่านทางช่องมูเกีย เสร็จแล้วก็ทำทาง เรียกเส้นทางโฮจิมินห์ เป็นเส้นทางธรรมดา ลอดต้นไม้ เครื่องบินตรวจการไม่เห็น ลอดแล้วก็แอบส่งกำลังพลเข้าเวียดนาม เข้าเขมร และเข้าประเทศไทยได้ทางมุกดาหาร เราก็อยู่ตรงนั้น หน้าที่ก็คือขัดขวางการเคลื่อนที่ ซุ่มโจมตี ตีฉกฉวย วางกับระเบิด ซุ่มยิง สารพัด Hit and Run น่ะ ยิงแล้วหนี

ไปครั้งนั้นผมเป็นร้อยโท ก่อนไปเขาให้เซ็นชื่อลาออกจากกองทัพ เพราะถ้าถูกจับขึ้นมามันก็จะได้ถือว่าผมไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพ ก็ไปทำงานอยู่ปีหนึ่ง เป็นสิ่งที่เรียกว่าที่สุดในชีวิต มานั่งคิดทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่ารอดมาได้ยังไง

กรุงเทพธุรกิจ : มันเป็นยังไงครับ ที่สุดในชีวิตที่ว่า..

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : คือตอนแรกมันก็สนุกดี...เพราะเวียดนามเหนือยังไม่รู้ เราก็ซุ่มโจมตีขบวนยานยนต์บ้าง วางกับระเบิดบ้าง วันไหนขี้เกียจขึ้นมาก็ไปซุ่มยิงนายทหาร เพราะซุ่มยิงมันง่าย สังเกตนายทหารเวียดนามจะใส่หมวกกะโล่ มีปืนพก และจะถือไม้คอยไล่ตีพวกทหารที่ไม่ค่อยเดิน เราก็แอบอยู่ ยิงแล้วก็หนี

มีวันหนึ่งไปซุ่มยิงอย่างนี้แหละ ก็ไปกันไม่กี่คน กะยิงนายทหารเขา แต่เขาไหวตัว พอยิงเปรี้ยง ! มันส่งกำลังเข้าตามล่าเลย ตามล่าชนิดที่ว่าไม่ยอมปล่อยเลย ไป 6 คนก็เลยแบ่งกันออกเป็น 2 ทีม ทีมละ 3 คน มันไล่ล่า 3 วัน 3 คืน ตามล่าชนิดกระชั้นชิด กระทั่งหมดแรง ข้าวก็ไม่ได้กิน 3 วัน ไม่รู้จะไปไหนแล้ว คิดว่ายังไงก็ต้องตาย เอาปืนพาด ระเบิดมือวาง

วันนั้นเป็นวันที่เรียกว่าที่สุดในชีวิต กลัวที่สุดในชีวิต ไม่คิดว่าจะรอด ก่อนจะตายก็นอนนึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วอย่างที่เขาว่าจริงๆ คิดถึงพ่อแม่เพราะตายแล้วไม่เห็นศพ และที่ผมไปพ่อแม่ก็ไม่รู้ว่าไปไหน รู้แต่ว่าไปราชการชายแดนเท่านั้น ตายที่นั่นต้องทิ้งศพด้วย คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงแฟน (หัวเราะ) นึกในใจเราไม่น่ามาตายตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นอายุ 28 เอง

เชื่อมั้ยมันเดินมา มันเคาะไม้ ไล่ เอ้วๆ ๆ ...กรามเราแทบหักติดปากเลย ไม่ใช่ไม่กลัว...กลัวตาย สั่นไปหมด หันไปมองทหารลาวที่มากับเรา เราก็อายมัน กัดฟันไว้ไม่ให้กระแทก แต่ขานี่ตีดินเลย คิดว่ายังไงก็ไม่รอด แต่โชคดีมันขึ้นมาไม่ทันถึงเรา มันหักขวาลงไปเฉยๆ โอ้โห...โล่งอกเลย เหมือนตายแล้วเกิดใหม่

ลูกน้องอีกทีมที่ไปด้วยกัน ที่แตกหนีแยกกันไป มีอยู่คนหนึ่งเชื่อมั้ย...มาเจอกันที่จุดนัดพบของฐาน ผมมันเคยดำๆ ...ขาวหมดเลย หน้ามันเต้น ต้องส่งกลับเลย เป็นโรคประสาท

กลับจากหัวหน้ากองโจร ผมไปรบที่เวียดนามใต้ ถูกล้อมอยู่ 18 วันกว่าจะรอดออกมาได้ กลับจากเวียดนาม ผมเป็นหัวหน้าชุดล่าสังหารของกองทัพบก ตอนเป็นหัวหน้าชุดล่าสังหารผมไปทั่วหมด ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน ภูหินร่องกล้า ไปหมดทุกที่ตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่ง

กรุงเทพธุรกิจ : ในป่าก็รบมาแล้ว ในเมืองก็รบด้วย อย่างปฏิวัติรัฐประหาร...?

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : (ยิ้ม) ปฏิวัติหลายครั้ง

กรุงเทพธุรกิจ : เคยนับมั้ยครับกว่ากี่ครั้ง

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : จริงๆ มันก็ 2 ครั้ง แต่ถ้าคิดแล้วมันก็ 3 ครั้ง ตอนที่ไปนั่งปฏิรูปด้วย ปี 2519 ตอนนั้นร่วมกับเขาเฉยๆ ไม่ได้ใช้กำลัง ตอนนั้นมันง่าย ไล่หม่อมเสนีย์ (ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี) ปุ๊บเดียวก็จบ

พอมา 20 ตุลา 2520 อันนี้เล่นเองเลย 3 คนมีผม จำลอง (พล.ต.จำลอง ศรีเมือง) มนูญ 3 คนเป็นหัวหอก อันนั้นเอากำลังเข้ายึดเลย

แล้วก็มา 1 เมษา 2524 ที่แพ้ จริงๆ แล้วเมษาฮาวายมันไม่ใช่แพ้หรอก ไม่ได้ยิงกันซักนัด กำลังผมตั้ง 44 กองพัน กระสุนอย่างดี แต่เรามองแล้วว่าเราผิด เราก็ยอมแพ้ แต่ไม่ได้สู้กัน จะเรียกว่าแพ้ไม่ได้หรอก เราก็ยอมเฉยๆ ยอมถอนกำลังกลับ เสร็จแล้วก็หนี ลี้ภัยไปต่างประเทศ หนีไปอยู่ลาว ถูกจับขังอยู่ 2 เดือน

กรุงเทพธุรกิจ : การยึดอำนาจนี่จริงๆ มันยากมั้ยครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : การยึดอำนาจตอนนั้น เรายังเด็กเป็นพันโทเท่านั้นเอง เรื่องยากมันไม่ยากหรอก แต่มันเสี่ยง ถ้าพลาดปั๊บเป็นกบฏเลย โทษไม่จำคุกตลอดชีวิต ก็ประหารชีวิต แต่ที่เราต้องทำเพราะอะไร อย่าง 6 ตุลา 2519 ที่ธรรมศาสตร์รบกันอุตลุดหมด นักศึกษากับตำรวจทหารรบกัน เราก็ต้องยึดอำนาจ ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองก็ฆ่ากันตาย

สำหรับ 20 ตุลา 2520 เป็นเหตุการณ์หลังจาก 6 ตุลา 2519 ถ้าจำได้ พอเราล้มรัฐบาลเสนีย์ ก็ตั้งรัฐบาลหอยขึ้นมา ก็เป็นเผด็จการพลเรือน จะเห็นว่าประชาชน นักศึกษา เกิดความแตกแยก หนีเข้าป่า เอาอาวุธมาสู้กัน ผมไปรบมาทั้งลาว เวียดนาม เรามามองสภาพว่าถ้าเราปล่อยอย่างนี้ บ้านเราก็คงเป็นแบบเวียดนาม ลาว เขมร ซึ่งเราไม่อยากให้เป็น

บ้านเมืองลาว เวียดนาม เขมร มันเป็นยังไงรู้มั้ย จะเห็นว่าเราจะไปทางไหน จะเต็มไปด้วยเด็ก ผู้หญิงและคนพิการ อย่างที่เวียดนาม เวลารถทหารไทยผ่าน 2 ข้างทางจะเต็มไปด้วยเด็ก ผู้หญิง คนพิการ มายืนรอเอาอาหาร แน่นไปหมด ทหารไทยก็โยนอาหารไปให้ ก็ตีกันฉิบหายเลย แย่งอาหารกัน

เราผ่านสงครามแบบนี้มา แล้วก็มาเห็นเมืองไทยช่วงปี 2520 หนีเข้าป่าสู้กัน ฆ่ากันเอง เรามองแล้วไม่อยากให้ประเทศไทยเป็นแบบนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ก็มีทางเดียวคือต้องยึดอำนาจ

กรุงเทพธุรกิจ : การวางแผนปฏิวัติรัฐประหารนี่..เสี่ยงมั้ยครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : เสี่ยง (ทำเสียงสูง) แล้วมันไม่ได้อะไรด้วย เพราะพันโท ไม่รู้จะทำอะไร ยึดเสร็จก็อย่างที่ว่า ถ้าแพ้ก็เป็นกบฏ โทษจำคุกตลอดชีวิต หรือไม่ก็ยิงเป้า ชนะคราวนั้นก็ไม่ได้อะไร อ้อ..จะว่าไม่ได้อะไรเลยก็ไม่ถูก ได้เหรียญหลวงปู่แหวนมาองค์หนึ่ง พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ (อดีตนายกฯ) ท่านให้ เลี่ยมทองมาสลึงเดียว นี่เรื่องจริง (หัวเราะ) แต่ถ้าผมพลาดผมก็ติดคุก

กรุงเทพธุรกิจ : ครั้งนั้นเป็นต้นคิดเองหรือมีใครมาชวน

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : อ๋อ...คิดกันเองเลย แล้วก็ไปทาบทามหลายคนมาเป็นหัว หลายคนปฏิเสธไม่ยอมรับ หาหัวหน้าไม่ได้ ไปหาหลายคนเลย พูดง่ายๆ เป็นสิบๆ คน บางคนเขาก็นั่งฟังเราแล้วก็ปฏิเสธ บางคนก็ไม่ให้พบเลย จนมาได้ พล.อ.เกรียงศักดิ์

กรุงเทพธุรกิจ : คนรู้เยอะอย่างนี้แล้วเรื่องไม่แตกก่อนหรือครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรนะ คิดอย่างเดียวคือทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ เพื่อให้คนไทยยุติสงครามกลางเมือง เท่านั้นเอง จะเห็นได้ว่าพอทำเสร็จ ผมขอร้องนายกฯเกรียงศักดิ์เลย ข้อแรกคือนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองก่อน ล็อตแรกที่นิรโทษออกมา 265 คน ออกมาหมดเลย ตอนนี้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีเป็นอะไรกันเต็มไปหมด สนั่น ขจรประศาสน์ ก็ด้วย

นายกฯเกรียงศักดิ์ ท่านก็อยู่ได้ปีกว่าๆ รัฐมนตรีบางคนของท่านก็เริ่มคอรัปชั่น ผมจับได้ ผมก็เลยไปขอร้องให้ท่านลาออก พอลาออกเสร็จ ก็ไปเชิญป๋า (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์) เข้ามา ป๋าก็มาออกนโยบาย 66/23 ก็ยุติสงครามกลางเมืองตั้งแต่นั้นมา

กรุงเทพธุรกิจ : แล้วเมษาฮาวาย (1 เมษา 2524) ใครมาชวนครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : อ๋อ...ตอนนั้นมนูญกฤตเขามาชวน ผมอยู่ชายแดนที่อรัญประเทศ ป๋าเปรมเป็นนายกฯ

กรุงเทพธุรกิจ : จริงๆ ป๋าเปรม ก็เป็นคนที่ท่านเชิญมาเองไม่ใช่หรือครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เรื่องป๋าเนี่ย ถ้าพวกผมเป็นคนเฉยๆ นะ เอาแค่เฉยๆ นะไม่ต้องประจบ พวกผมจะมีอำนาจมหาศาลเลย เพราะว่าช่วงนั้นป๋าเปรมเป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็น ผบ.ทบ. อย่างผมนี่กลับมาจากใต้ อยากไปหาป๋า ผมไปเลย ไปหาท่าน ไปนั่งทานข้าวในบ้าน ไม่มีใครมีโอกาสดีเท่าผมหรอก

แต่มันเกิดเรื่องขึ้นเพราะป๋าต่ออายุราชการ ผบ.ทบ.เกษียณ 60 ท่านต่อครั้งแรกเราก็เฉย เพราะตอนนั้นสถานการณ์มันยังไม่ดี พอมาอีกปี ท่านขอต่ออีก เราก็มองว่าถ้าต่อแบบนี้มันไม่ถูก ก็คัดค้านท่าน เพราะตอนนั้นบ้านเมืองสงบแล้ว อันนี้เป็นเรื่องแรกเลย พอคัดค้านท่าน พูดง่ายๆ ท่านก็ไม่พอใจว่าทำไมเราไม่สนับสนุนท่านเหมือนเดิม

อีกเรื่องที่มีปัญหาก็คือ ช่วงนั้นเรากินเหยื่อ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ จปร. 1 ท่านจัดเลี้ยงที่สโมสรกองทัพบก เลี้ยง จปร.1-8 เว้นรุ่น 7 อันนี้เป็นสาเหตุจริงๆ เลยนะ ก็เลยถามเพื่อนๆ ดู พอเรารู้อย่างนั้น ก็มีหลายคนเข้าไปพบป๋า ถามว่าป๋าปล่อยอย่างนี้ได้ยังไง เพราะมันแตกแยกกัน ทีนี้ก็มองกันว่าป๋าอยู่เบื้องหลัง เพราะไม่พอใจเรา...สาเหตุก็เท่านี้เอง

พอหลังจากนั้น ก็มีคำสั่งปล่อยออกมาเรื่อย จะย้ายมนูญ จะย้ายพัลลภ จะย้ายประจักษ์ (พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร) พวกในกลุ่มเนี่ย พอข่าวออกมาปั๊บ มนูญเขาก็ตัดสินใจทำ คือพูดง่ายๆ ก็กินเหยื่อเขาล่ะ เขาปล่อยข่าวมา รุ่นพี่เขาก็หมั่นไส้เราน่ะนะ

แต่ถ้าพูดถึงว่ารุ่น 7 แซงรุ่นพี่นี่ไม่จริง เพราะคำสั่งที่ผมเป็นผู้การ รุ่นผมมี 3 คน รุ่น 5 มี 4 คน รุ่น 8 นี่ 5 คนเลย คำสั่งเดียวกับผม ทำไมไม่ไปว่ารุ่น 8 ทั้งที่รุ่นผมเสี่ยงมาตลอด เสี่ยงทำอะไรต่ออะไร...

กรุงเทพธุรกิจ : เรื่องหมั่นไส้รุ่น 7 นี่จริงใช่มั้ยครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : เรื่องจริงเลย หมั่นไส้รุ่นผม พวกเราก็ยอมรับตรงๆ นะว่ามีหลายคนที่อยู่ในกลุ่มเป็นประเภทปากไม่ดี แล้วก็ประเภท...ลืมตัว กูเข้าบ้านนายกฯได้...อันนี้ยอมรับ ทำให้รุ่นพี่ใหญ่ๆ เขาหมั่นไส้

กรุงเทพธุรกิจ : การเมืองมีผลให้ทหารแบ่งเป็นกลุ่มเป็นพวก...พูดอย่างนี้ได้ไหมครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : ก็ยอมรับว่ามีผล ทำให้เราแตกกัน แต่ว่าเราก็มีส่วนทำให้มันแตกด้วย บางคนปากไม่ดี ลืมตัว ไปเบ่งกับรุ่นพี่เขา ไม่ใช่ไม่มี ทำให้รุ่นพี่เขาหมั่นไส้ ก็เลยมีปัญหาขึ้นมา มีการจัดเลี้ยงรุ่น 1 ถึงรุ่น 8 เว้นรุ่น 7 เราก็เข้าใจผิดคิดว่าป๋าอยู่เบื้องหลัง ก็อย่างว่าก็เลยโกรธว่าทำไมทำอย่างนั้น ก็เลยเกิด 1 เมษา ขึ้นมา พอเรารู้ว่ามันไม่จริง เราถึงยอมวางอาวุธ

พอวางอาวุธคราวนั้นผมรู้เลยว่าผมเสี่ยง ผมรู้เลยว่าวันนี้ผมโดนปลดแน่ๆ ผมต้องติดคุกแน่ เรารู้แต่เรายอม ยอมแบบลูกผู้ชาย...กระสุนนัดเดียวไม่ออกจากลำกล้อง ถ้าสู้กันวันนั้น ไม่แน่นะว่าผมจะแพ้ แต่ว่าเราดูแล้วเลือดนองแผ่นดิน เราก็เลยยอม

แต่ผมต้องหนี เพราะโทษผมหนักกว่าเพื่อน นอกจากโดนคดีอาญาฐานกบฏแล้ว ผมยังโดนกฎหมายทหารอีกข้อหาหนึ่ง คือถ้าผู้บังคับหน่วยทหารถอนกำลังต่อหน้าอริราชศัตรู โทษประหารชีวิต ตอนนั้นผมยันอยู่ชายแดน แล้วผมถอนกำลังมาปฏิวัติ ฉะนั้นผมแรงกว่าเพื่อน โทษถึงประหารชีวิต ผมจึงต้องหนี แต่ก่อนจะหนีผมก็ถอนกำลังส่งกลับเข้าฐานเสร็จเลย แล้วก็หนีเข้าลาว ติดคุกอยู่ในลาว 2 เดือน (หัวเราะ)

กรุงเทพธุรกิจ : ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับ พล.ต.มนูญกฤต เป็นยังไงบ้างครับ เพราะต่างฝ่ายต่างก็มาเล่นการเมือง แล้วอยู่กันคนละพรรค

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : ผมกับมนูญกฤตนี่ไม่มีเสื่อมหรอก เพราะเป็นเพื่อนตายกัน

กรุงเทพธุรกิจ : ต่อให้อยู่คนละขั้วการเมือง...?

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : ใช่ เป็นเพื่อนตายกัน ผม มนูญกฤต จำลอง ไม่มีทางขาดกัน เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยกันมา ทั้งในสนามรบ สนามปฏิวัติ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็พร้อมที่จะช่วยกันอยู่ เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหา

กรุงเทพธุรกิจ : ชีวิตราชการและงานการเมืองที่ผ่านมาถือว่าภาคภูมิใจ ?

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : คืออย่างนี้...ผมมาจากตระกูลชาวนา อำเภอสามพราน นครปฐม และสู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก จนมาเป็นทหาร ก็ได้ยศถึงพลเอก ซึ่งเป็นยศสูงสุดในกองทัพ ดังนั้นผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ในชีวิตผมเคยอยู่ในศูนย์กลางอำนาจรัฐมาไม่รู้กี่ครั้ง ถ้าผมคิดหาผลประโยชน์ใส่ตัว ผมมีเงินไม่รู้เท่าไหร่แล้ว

แต่ชีวิตผมสร้างตัวมาจากการรับจ้างรบ อย่างตอนที่ผมไปเป็นหัวหน้ากองโจรในประเทศที่สาม เงินเดือนผม 1,400 บาท ผมไปได้เงินพิเศษอีก 3,500 บาท แล้วผมไม่ได้ใช้เลย เข้าธนาคารหมด ผมไปเวียดนามอีก ได้เยอะ แล้วผมก็ใช้เงินพวกนี้ไปซื้อที่ดินไว้ ผ่อนไว้เกือบ 10 แปลง ที่ดินเหล่านี้ตอนหลังผมเอามาขายเลี้ยงลูก ขายปลูกบ้านที่อยู่ทุกวันนี้ นี่คือชีวิตผม ฉะนั้นบ้านที่ผมอยู่ ทุกอย่างที่ผมมี ผมแลกมาด้วยชีวิตผมทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นผมถึงไม่แคร์ใคร ถ้าสิ่งนั้นทำไม่ถูก ผมไม่แคร์ ใหญ่เท่าใหญ่ ผมพร้อมแตกหักเลย แต่ถ้าผมผิดนะ ให้ผมไปกราบขอโทษ ผมไปทุกระดับ นี่ผมพูดจากใจจริง

กรุงเทพธุรกิจ : มีเรื่องภูมิใจแล้ว ทีนี้ถ้าให้ทบทวนชีวิตการงานที่ผ่านมา...มีช่วงไหนไหมครับที่นึกย้อนกลับไปแล้วรู้สึกเสียใจ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : (นิ่งคิดสักพัก) ตอนที่ผมรบอยู่ภูหินร่องกล้า...รบกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ รู้มั้ยช่วงนั้นวิทยุปักกิ่งของผกค. มันด่าผมทุกวัน มันบอกว่านายพัลลภเป็นคนจิตใจเหี้ยมโหดฆ่าคนเป็นว่าเล่น ก็ด่าผมเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ด่าทุกวัน ตอนนั้นมันเรียกผมว่านายพัลลภเลยนะ..มันไม่เรียกยศทหารของผม

กรุงเทพธุรกิจ : เสียใจที่ถูกวิทยุของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยด่าเหรอครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : ไม่ใช่หรอก เรื่องด่าไม่เท่าไหร่...แต่เวลาอยู่ในสนามรบมันก็ต้องมีปะทะ ตอนอยู่ภูหินร่องกล้าผมเคยโดนทหารคอมมิวนิสต์ไล่ล่า ตามมาติดๆ เลย ผมก็เห็นทหารของมันมีทั้งผู้หญิงมีทั้งเด็ก แต่พอมันก็ไล่มาติดๆ ผมทำไงรู้มั้ย ไอ้ปืนใหญ่ระยะหวังผล 11 กิโลเมตร...ผมก็เอามาตั้งแล้วยิงจ่อๆ ระยะ 400 เมตร

คุณคิดดูก็แล้วกัน ปืนใหญ่ระยะ 11 กิโลเมตร ผมยิง 400 เมตร พอยิงตูมพวกนั้นก็เละเทะไม่รู้ใครเป็นใคร แต่เสร็จแล้วยังไงรู้มั้ย พวกที่ฐานด่าผมฉิบหายเลย..เฮ้ย มึงเอาไปยิงระยะนั้นเดี๋ยวก็โดนพวกเดียวกันตายห่าหมดหรอก (หัวเราะ)

กรุงเทพธุรกิจ : ตอนนั้นคิดไหมครับว่าเป้าที่เราเล็งปืนใหญ่แล้วยิงไป..มันก็คนไทยด้วยกัน

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : คิดสิ...แต่ตอนนั้นมันเป็นหน้าที่ ผมมีหน้าที่ปกป้องรักษาประเทศ พวกนั้นเป็นคนไทยก็จริง แต่กำลังทำลายประเทศ

กรุงเทพธุรกิจ : ช่วงหลังพอเป็นข่าวมากๆ เคยได้ยินว่าท่านคิดจะลาออกอยู่บ่อยๆ อันนี้จริงเท็จยังไงครับ

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : ทุกวันนี้ ถ้ามีคนมาบอกว่าพัลลภเลิกเถอะ ผมกลับทันทีเลยนะ อยากกลับไปตีกอล์ฟ เพราะเมียผมอยากให้กลับอยู่แล้ว เคยสัญญากับเขาว่าเกษียณแล้วจะพาไปเที่ยว นี่ก็ผิดสัญญาเขามานาน 6-7 ปีแล้ว

กรุงเทพธุรกิจ : แล้วใครบ้างครับที่จะบอกให้ท่านเลิกได้

พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี : ผมมีนายอยู่ 2 คนเท่านั้น คือนายกฯ กับ พล.อ.ชวลิต (ยงใจยุทธ) ถ้า 2 คนนี้บอกให้เลิก ผมไปทันทีเลย แต่ตอนนี้คนทั่วไปมีแต่โทรเข้ามาขอร้องไม่ให้ออกทั้งนั้น ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง ผมก็บอกว่าหาคนมาแทนผมบ้างสิ (หัวเราะ)




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2549    
Last Update : 26 สิงหาคม 2549 19:40:07 น.
Counter : 2269 Pageviews.  

1  2  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.