วันพุธสุดวุ่นวาย พาพี่ไปหาหมอ และรับโทรศัพท์มือถือ



อาทิตย์แรกของการเรียนในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนจบลงแล้วค่ะ
มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย.. แต่เรากลับไม่มีเวลาจดบันทึกความทรงจำเหล่านั้นไว้ได้ทั้งหมด เลยจะขอยกมาเล่าแค่เรื่องสำคัญๆก็แล้วกันนะคะ


3 October 2012
วันนี้เป็นวันที่พุธที่ไม่มีคาบเรียนค่ะ เพราะตารางเรียนในวันนี้เป็นวิชาสายวิทยาศาสตร์ทั้งหมดซึ่งเราไม่ถนัดเลย จึงเป็นที่แน่นอนว่าจะไม่ลงเรียนเด็ดขาด วันพุธของเราจึงกลายเป็นวันว่างไป

แต่วันนี้เราก็ยังต้องออกไปข้างนอกอยู่ดี เพราะนัดกับพี่มิกกี้ไว้ว่าจะไปโรงพยาบาลด้วยกัน(นางป่วยเป็นแผลที่ลิ้นมาเป็นอาทิตย์แล้วยังไม่หาย เลยต้องไปหาหมอ) และหลังจากนั้นพวกเราก็ค่อยไปรับโทรศัพท์มือถือที่สั่งจองกับซอฟแบ้งค์ผ่านมหาลัยที่ตึก IC Hall ในมหาลัยค่ะ

และเนื่องจากตอนนี้เราได้รับบริจาคจักรยานจากพี่ต.มาแล้ว(พี่แกก็เอามาจากพี่คนไทยที่กลับประเทศไปแล้วนั่นล่ะค่ะ) เราเลยตัดสินใจปั่นจักรยานไปมหาลัยเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ตอนนี้เริ่มขี่ชำนาญขึ้นแล้วล่ะ แต่ตอนขึ้นเนิน เราก็ยังต้องจูงจักรยานขึ้นเนินอยู่ดี เพราะมันเหนื่อยมากค่ะ !


(จักรยานที่ได้มาค่ะ สภาพกลางเก่ากลางใหม่ ไม่มีเกียร์ แต่แค่มีตะกร้าข้างหน้าเราก็พอใจแล้วล่ะ Smiley)


ส่วนพี่มิกกี้ไม่มีจักรยานค่ะ พี่แกเลยจะเดินไปขึ้นโมโนเรลที่สถานียามาดะแล้วนั่งต่อไปจนถึงฮันไดเบียวอินแทน เบียวอิน「病院」แปลว่าโรงพยาบาลค่ะ ส่วนฮันได「阪大」เป็นการอ่านแบบย่อๆของโอซาก้าไดกาคุ「大阪大学」(มหาวิทยาลัยโอซาก้า) นั่นก็แสดงว่าโรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลในมหาลัยโอซาก้านั่นเอง

เราออกจากหอตอนเก้าโมงห้าสิบพร้อมกับพี่มิกกี้ แต่เราปั่นจักรยานไปเรื่อยๆจนถึงมอ และปั่นต่อพร้อมๆกับเปิดแผนที่มหาลัยกางทิ้งไว้ตรงแฮนด์เพื่อหาสถานที่ตั้งโรงพยาบาลค่ะ (เป็นสภาพที่อนาถยิ่งนัก...) แต่ในที่สุดก็คลำทางมาจนเจอโรงพยาบาลโดยใช้เวลาจากหอมาถึงที่นี่ราวๆยี่สิบห้านาที


ตรงหน้าโรงพยาบาล ฝั่งตรงข้ามถนนคือสถานีรถไฟโมโนเรลชื่อสถานีฮันไดเบียวอินมาเอะ(แปลตรงตัวว่า ที่หน้าโรงพยาบาลฮันได..<<ความคิดแรกของเราตอนที่ได้ยินชื่อสถานีคือ..เล่นง่ายๆแบบนี้เลยเรอะ Smiley) ตรงนี้จะมีป้ายรถเมล์ตั้งอยู่ เราเลยนั่งรอพี่มิกกี้อยู่ตรงนี้ราวๆยี่สิบนาทีได้ กว่าพี่แกจะเดินทางมาถึง Smiley


(หน้าสถานีค่ะ)

จากนั้นพวกเราก็เข้าไปในโรงพยาบาลกัน และเนื่องจากภาษาญี่ปุ่นของพวกเราไม่แข็งแรง(อีกทั้งเจ้าหน้าที่ก็พูดอังกฤษไม่ได้..) เจ้าหน้าที่เลยพาอาสาสมัครของโรงพยาบาลที่พูดอังกฤษได้มาช่วยแปล (ต้องแปลทั้งตอนที่จนท.อธิบาย และช่วยแปลตอนกรอกเอกสารที่เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน..)


(บรรยากาศในโรงพยาบาลค่ะ)

จากนั้นอาสาฯก็พาพวกเราไปหาหมอแผนกหู ตา คอ จมูก ที่ชั้นสามของโรงพยาบาลค่ะ เรานั่งรอหมออยู่ประมาณชั่วโมง ระหว่างนั้นพี่มิกกี้ก็นั่งเล่นไอแพดของเราไป ส่วนเราก็เอากระเป๋ามาทำเป็นหมอนแล้วเอนนอนบนเก้าอี้ไป..(นี่ชั้นไม่เคยคิดแคร์สื่ออะไรเลยสินะ.. เพิ่งรู้สึกตัว ๕๕๕)

พี่มิกกี้บอกว่าตอนพยาบาลมาเรียก นางทำหน้าเหวอนิดๆด้วยล่ะ เพราะตอนนางมา พี่มิกกี้ก็หลับตามเราไปเรียบร้อย แต่ยังนั่งพิงเก้าอี้อยู่นะคะ ๕๕๕

หมอที่เราเจอเป็นหมอวัยกลางคนค่อนไปทางหนุ่มค่ะ ที่น่ายินดีคือคุณหมอพูดภาษาอังกฤษได้.. โอ้ววว ขอบคุณสวรรค์ Smiley

คำถามที่หมอถามคือ ไปทำอะไรมา นอนกัดฟันรึเปล่า เป็นมานานเท่าไรแล้ว ทานยาอะไรบ้าง ไหนขอหมอดูลิ้นหน่อยซิ

พอพี่มิกกี้อ้าปากให้ดู หมอก็เอาไฟฉายส่องลงไปสำรวจ อีกมือนึงก็เอาเครื่องมือไปจิ้มๆสองสามที แล้วสรุปผลด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงโคตรญี่ปุ่นว่า..



"เมบี อิด อิส อะ เค็นซ่าทูมอร์"

เรา+พี่มิกกี้ : Smiley ห๊ะ อะไรนะคะ ขออีกที ฟังไม่ชัด
หมอ : เค็นซ่าทูมอร์ ยูโน้ว?
เรา+พี่มิก : ........... (พยายามทำความเข้าใจอยู่ ซักพักถึงเก็ท)


Cancer Tumor ค่ะ.. ออกเสียงซะเดาแทบไม่ออกเลยทีเดียว แถมเซอร์ไพรซ์ต่อด้วยความตกใจหลังจากเดาออกอีก.. นี่ท่านพี่มิกอาจเป็นมะเร็งหรือนี่ !?! Smiley

หมอ : แต่โอกาสเป็นมันต่ำมากๆเลยนะ..

ตอนนี้สีหน้าของทั้งคนไข้และคนมาเป็นเพื่อนกลายเป็นแบบนี้ค่ะ >> (; ̄Д ̄)
ไม่รอให้ช็อกจนเครียดค่อยบอกล่ะคะหมอ.. แหม.. แต่ก็นะ ก็ดีที่บอกทุกอย่างจริงๆแม้โอกาสเกิดมันจะน้อยมากๆๆๆๆๆก็ตาม

จากนั้นหมอก็สรุปว่าถ้าไม่ใช่ก้อนเนื้อมะเร็งก็เป็นแค่การอักเสบธรรมดาค่ะ แล้วก็ยื่นใบสั่งยามาให้ บอกให้ไปจ่ายเงินและรับยาที่ร้านขายยาตรงสถานีโมโนเรล เพราะในโรงพยาบาลไม่มีการขายยาให้คนไข้ ส่วนร้านขายยาก็จะขายยาบางตัวให้กับคนที่มีใบสั่งยาของหมอเท่านั้นค่ะ


(นี่คือยาที่ได้มาค่ะ เยอะขนาดนี้แต่จ่ายไปแค่ 1200 เยน(ราวๆเกือบห้าร้อยบาท)เองนะ เพราะประกันครอบคลุม 70% )

จากนั้นก็ไปจ่ายยาค่าหมอและค่าแรกเข้าของโรงพยาบาลอีก 5000 เยนค่ะ ตรงที่จ่ายตังไม่ได้จ่ายกับเค้าเตอร์ธรรมดานะคะ เป็นการจ่ายกับตู้ค่ะ(ประเทศนี้นี่ ตู้เวนดิ้งแมชชีนมีทุกอย่างจริงๆ ๕๕) เนื่องจากเรากับพี่มิกกี้ ต่างด้าวสองคนไม่เคยเห็นระบบแบบนี้มาก่อน เลยยืนซุ่มดูคุณลุงคุณป้าเขาจ่ายเงินกันก่อนเข้าแถวไปจ่ายตังค่ะ ขั้นตอนก็ง่ายๆ แค่ยัดบัตรประจำตัวผู้ป่วยที่โรงบาลออกให้ใส่เข้าไป จากนั้นกดปุ่มสีเขียว จะมีตัวเลขขึ้น ให้เอาตังใส่้เข้าไปตามจำนวนหรือมากกว่า เสร็จแล้วเครื่องจะออกใบเสร็จให้และทอนตังออกมา.. เป็นอันจบค่ะ


(หน้าตาเจ้าเครื่องจ่ายตังที่ว่า)


เป็นอันเสร็จเรื่องหาหมอไปค่ะ ตอนนี้เกือบบ่ายสองแล้ว เลทกว่าที่คิดไว้ตั้งสองชม.แน่ะ พวกเราเลยรีบเดินทางไปรับโทรศัพท์กัน หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาอยู่กันแบบยากลำบากมาก เพราะเวลานัดกันบางทีหากันไม่เจอค่ะ มันไม่มีโทรศัพท์อะ..


แต่น แต๊นนนนนนน.....

โทรศัพท์เราเองค่า น่ารักไหมๆ ทั้งเครื่องเป็น Theme Honey Bee มีผึ้งน้อยบินไปมาเยอะแยะเต็มไปหมด น่ารักมากกกกกก ซื้อกับซอฟแบ้งค์เราเลยโปรโมชั่นไวท์แพลนแต่ตัดเน็ตออกไปค่ะ ราคาต่อเดือนอยู่ที่พันหกร้อยเยน(หกร้อยกว่าบาท) โทรฟรีไม่จำกัดในเครื่อข่ายเดียวกัน(ยกเว้นช่วงเวลาสามทุ่มถึงตีหนึ่ง) ส่งsms ฟรีในเครือข่ายตลอด24 ชั่วโมง แต่ถ้านอกเครือข่ายเสียข้อความละ 3 เยน


หลังจากชื่นชมมือถือใหม่และแลกเบอร์กับพี่มิกกี้เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลากลับหอ.. แน่นอนว่าเราปั่นจักรยานกลับ เลยต้องแยกกับพี่มิกกี้ตรงทางออกของตึก จากนั้นก็แวะไปร้านหนังสือที่อยู่ระหว่างทางกลับหอค่ะ ข้างๆร้านขายของที่ชื่อ P-Mart ที่เคยบอกไปในบล็อกก่อนๆนั่นล่ะ

(เอาภาพมาให้ดูอีกรอบ)

ด้านขวาของรูปที่กล้องไม่ได้ถ่ายมีร้านหนังสือกับร้านขาย/ซ่อมจักรยานตั้งอยู่ค่ะ และนี่คือร้านหนังสือที่ว่า..



วันก่อน(ที่เราไม่ได้เล่าในบล็อก) เราเข้าไปซื้อหนังสือทั้งมือหนึ่งและมือสองจากร้านนี้ล่ะค่ะ เป็นการ์ตูน โดนไป ๑๑ เล่ม เกือบเจ็ดร้อยบาทไทย ราคาก็โอเคอยู่นะคะ ยิ่งถ้ามีแต่หนังสือมือสองจะยิ่งถูกค่ะ (โดยเฉพาะโซนหนังสือตูนวายเล่มเดียวจบ ที่สนนราคาต่อเล่มอยู่ที่ 84 เยน ถ้าซื้อสามเล่มจะลดเหลือ 200 เยน แอร๊ยยยย Smiley)

จบวันค่ะ ต่อไปจะขอข้ามวันพฤหัสที่มีแต่ชั่วโมงเรียนที่โทโยนากะ และการพบติวเตอร์ออกไปนะคะ เดี๋ยวจะเล่าของวันศุกร์ที่ได้เจอกับ Host Family แทน หึหึ..

(แถมรูปเล็กน้อย นี่คือรูปในสถานีโมโนเรลที่ชิบาฮาร่า โทโยนากะค่ะ เวลาเราไปเรียนที่แคมปัสโทโยนากะก็ต้องขึ้นรถไฟสายนี้นี่ล่ะ)








Create Date : 06 ตุลาคม 2555
Last Update : 6 ตุลาคม 2555 18:18:40 น.
Counter : 1403 Pageviews.

5 comment
ปาร์ตี้คนไทยในวันที่มีไต้ฝุ่น



30 September 2012

เรามีนัดไปปาร์ตี้ฉลองขึ้นบ้านใหม่ของพี่แพนด้า(นามแฝง) และฉลองวันเกิดของพี่คนไทยสองคนแถวโทโยนากะค่ะ (แถวๆสถานีอิชิบาชิที่เพิ่งนั่งกลับหอมาเมื่อตอนปฐมนิเทศนั่นล่ะ) พี่ต. ชวนเราและคนไทยทุกคนในหอไปด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ไปกันแค่สี่คนค่ะ คือพี่ต. ตัวเรา แก้ว แล้วก็พี่น. เพื่อนพี่ต.ที่อยู่บนชั้นห้า

พอดีคนที่จะมาปาร์ตี้ด้วยมีรถ พี่ต.เลยให้เค้าขับรถมารับพวกเราสี่คนที่หอ เพราะวันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าไต้ฝุ่นเจอลาวัตจะผ่านมาที่โอซาก้า อีกทั้งฝนก็ตกพรำๆมาตั้งแต่เช้า ถ้าออกไปเองคงไม่สะดวกเท่าไร

สิบเอ็ดโมงกว่าๆรถที่จะมารับก็มาถึง พวกเรานั่งรถไปราวๆยี่สิบนาทีก็ถึงบ้านพี่แพนด้า ที่อยู่ใกล้ๆกับม.โอซาก้าแคมปัสโทโยนากะ เป็นอพาร์ทเม้นเล็กๆแต่ราคาไม่เล็กตาม(สี่หมื่นห้าไม่รวมค่าน้ำไฟ) มีสี่ห้องคือห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องนอน และห้องน้ำ ดูเป็นสัดเป็นส่วนดีค่ะ แต่พอคนสิบเอ็ดคนเข้าไปหมกตัวอยู่รวมกันแล้วมันกลายเป็นแคบสุดๆไปเลย ฮ่าๆ

เพราะไปถึงเป็นกลุ่มแรกๆ เรา แก้ว และพี่น. จึงช่วยกันเตรียมหม้อไฟ เรากับแก้วช่วยกันหั่นผัก และใส่ไส้เกี๊ยว เรากับแก้วช่วยกันพับจับจีบเกี๊ยวด้วยนะคะ พับไปพับมาก็สนุกดี Smiley

(ผักที่พวกเราช่วยกันเตรียมค่ะ)


(ส่วนนี่คือเกี๊ยวที่พวกเราช่วยกันห่อค่ะ)

หลังจากเตรียมอาหารไปสักพัก คนก็มากันครบ พี่แพนด้าเจ้าของบ้านอบหมูแดงไว้นานแล้ว พวกเราก็เลยเอาออกมาชิมกัน อร่อยมากกกกกค่ะ Smiley


(น่าอร่อยใช่ไหมคะ อ้อ..ขอเซ็นเซอร์หน้าพี่เค้าหน่อยนะคะ ไม่ได้ขอเค้ามาลงอะ หุหุ)


(เรากับแก้ว)


หลังจากหม่ำเสร็จ ก็ถึงเวลาเป่าเทียนเค้กวันเกิดกันค่ะ เดือนนี้มีพี่ในกลุ่มเกิดสองคน เลยฉลองพร้อมกันไปเลยทีเดียว ทุกคนนั่งล้อมวงรอบโต๊ะโคทัตสึเล็กๆ ในมือถืออาวุธ(ช้อนกับส้อม)ไว้พร้อม หลังจากเป่าเค้กเสร็จทุกคนก็พร้อมทานเค้กทันที..


(โฉมหน้าเค้กที่ว่าค่ะ เป็นชีสเค้ก ส่วนที่เบลอไว้คือชื่อเจ้าของวันเกิดฮ้าฟ)

หลังจากจับเวลาไปได้ หนึ่งนาทีสิบห้าวินาที เค้กทั้งก้อนก็อันตรธานหายไปค่ะ Smiley
เป็นสถิติที่เร็วเหลือเชื่อเลยว่าไหมคะ? (แต่ก็นะ... สิบเอ็ดปาก ฮ่าๆ)

หลังจากนั้น พี่แพนด้าหนึ่งในเจ้าของวันเกิดและเจ้าของบ้านก็นำไอศกรีมถ้วยใหญ่ออกมาเลี้ยงน้องๆ เพราะกลัวน้องๆไม่อิ่มค่ะ ดีใจจังอิ่มจังตังอยู่ครบ พี่แพนด้าน่ารักที่ซู้ดดดดดดดSmiley

(ไอศกรีมที่ถ้วยใหญ่กับเศษซากอารยธรรมชิสเค้กค่ะ ฮ่าๆ)


ระหว่างปาร์ตี้ไต้ฝุ่นก็ผ่านเข้ามาเยือนละแวกนี้ตามพยากรณ์อากาศค่ะ ลมกรรโชกแรงขนาดที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างผ่านมุ้งลวดและผ้าม่านอีกสองชั้นมาเปียกคนที่อยู่ใกล้หน้าต่างได้ ได้ยินเสียงตึงๆเบาๆ เหมือนมีอะไรมากระแทกบ้านเป็นระยะๆ พวกเราเลยยังไม่กลับบ้านกัน

(ท้องฟ้าช่วงพายุสงบเป็นเวลาสั้นๆตอนห้าโมงเย็นค่ะ สีแดงเถือกเลยทีเดียว พวกเราเลยยังไม่กลับบ้านกันเพราะคาดว่าเดี๋ยวจะมีฝนตกมาอีกระลอกแน่ๆ)


แม้จะทานหม้อไฟ+ขนมกันไปจนอิ่มแล้วก็ตาม แต่พี่แพนด้าผู้แสนดีก็ยกขนมมาเลี้ยงน้องๆต่อเรื่อยๆนะคะ กะไม่ให้ปากว่างกันเลย สรุปคือวันนี้พวกเรานั่งทานอาหารตั้งแต่บ่ายหนึ่งยันหนึ่งทุ่ม อ้วนแน่งานนี้ ฮ่าๆ Smiley


นี่คือรูปตอนหกโมงกว่าๆค่ะ พายุผ่านพ้นไปแล้ว ทิ้งไว้แต่เศษซากจักรยานล้มที่กองระเนระนาดอยู่บนพื้น


ตอนขากลับเพื่อนพี่ต.ขับรถมาส่งพวกเราสี่คนที่หอ ก่อนจะกลับพี่แพนด้ายังให้ผักที่เหลือจากหม้อไฟมาถุงใหญ่ พวกเราเลยเอาไปแบ่งกันที่หอค่ะ


ขอบคุณพี่แพนด้ามากนะคะที่เลี้ยงข้าวและขนมในวันนี้ แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ ごちぞうさまでしたあああSmiley







Create Date : 30 กันยายน 2555
Last Update : 1 ตุลาคม 2555 12:54:00 น.
Counter : 1783 Pageviews.

3 comment
Orientation Days (3)



28 September 2012

วันนี้เป็นวันปฐมนิเทศวันสุดท้ายค่ะ เรา พี่มิกกี้ แก้ว เดินทางไปทัวร์มหาลัยที่แคมปัสโทโยนากะด้วย monorail จากสถานียามาดะ ไปลงสถานี Shibahara แต่ฝรั่งบางส่วนในหอเค้าแนวค่ะ ปั่นจักรยานไปเองตั้งแต่เช้า แล้วก็มาบ่นให้ฟังตอนเจอกันที่โทโยนากะว่าเหนื่อยมาก.. (อืม ก็สมควรอะนะ = ='')

จุดแรกที่เราจะไปทัวร์คือห้องสมุดค่ะ (ตรงนี้แก้วแยกออกไปเพราะเค้าแยกเด็กออกเป็นโปรแกรมๆ) ห้องสมุดที่โทโยนากะเป็น main library ตึกใหญ่มากกกกก มีทั้งหมดหกชั้น สี่ตึกย่อย(เชื่อมกัน) มีมุมให้นั่งเล่นคอมบริเวณชั้นสองตึกบีทั้งชั้น และมีห้องแคปซูลไว้ให้คุยโทรศัพท์ด้วยค่ะ ที่ไฮเทคสุดยอด(เราชอบสุดๆ)คือชั้นหนังสือเทพที่แค่กดปุ่มชั้นก็เลื่อนไปอีกฟาก ไม่ต้องใช้มือหมุนแบบห้องสมุดบางที่ในไทย

หลังจากชมทัวร์ห้องสมุดเสร็จก็มีอาสาสมัครพาชมมหาลัย เรากับพี่มิกกี้เดินไปกับเค้าไปประมาณครึ่งชม. ก็เบื่อ เพราะเรามีแผนที่ยูอยู่กับตัวอยู่แล้ว ประกอบกับความหิว.. เพราะขณะนั้นเป็นเวลาเกือบเที่ยง พอคณะพาชมมหาลัยเดินผ่านโรงอาหาร พวกเราเลยเนียนแอบเดินแยกออกจากกลุ่มไปทานข้าวกลางวันกันค่ะ ฮ่าๆ (ทำตัวไม่ดีนะเนี่ย) Smiley

Cafeteria ที่เราไปทาน ชื่อ Don Don ค่ะ เมนูในร้านนี้ส่วนใหญ่จะเป็นอุด้ง ราคาไม่แพงเลยค่ะ ถูกสุดราคา 150 เยน แพงสุดเท่าที่เห็นคือ 450 เยนค่ะ วิธีการสั่งอาหารจะเป็นระบบกดคูปอง นั่นคือจะมีเมนูให้เลือกบนป้ายพลาสติกขนาดใหญ่ ข้างๆจะมีตู้กดคูปอง ให้เราเอาเงินใส่ลงไปในตู้ และกดเลือกเมนูตามเลขบนป้ายพลาสติก คูปองจะออกมา ให้นำคูปองอันนั้นไปยื่นกับแม่ค้า และแม่ค้าจะตักอาหารที่เราสั่งใส่จานส่งให้ค่ะ ส่วนน้ำดื่มที่นี่มีให้เลือกทั้งน้ำเปล่า และน้ำชาเขียว ทั้งแบบร้อนและเย็น ที่สำคัญคือ... มันฟรีค่าาาาาา!!! Smiley


(ป้ายพลาสติกที่ให้เลือกเมนูค่ะ)


(จานนี้เป็นเมนูที่เราสั่งค่ะ โครอกเกะใส่อุด้งราคา 200 เยน(ราวๆแปดสิบบาท) นี่คือถูกที่สุดเท่าที่เคยเห็นตั้งแต่มาที่นี่แล้วค่ะ อร่อยใช้ได้เลย ที่สำคัญคือมันทานแล้วอิ่มด้วยล่ะ หุหุ)


จากนั้นเรากับพี่มิกกี้ก็นั่งเล่นอยู่ในร้านนั้นล่ะค่ะ จนบ่ายโมงถึงเวลานัดไปฟังวิธีการเข้าอินเตอร์เน็ตที่ Media Center พวกเราก็ตีเนียนกลับเข้ากลุ่มเหมือนเดิมค่ะ ฮ่าๆ


ราวบ่ายสองกว่าๆ การปฐมนิเทศก็จบลง เรากับพี่มิกกี้เดินไปเจอแก้วที่ฟังปฐมนิเทศอยู่อีกห้องเพื่อกลับหอด้วยกัน คราวนี้พวกเราตัดสินใจไม่กลับทางเดิมที่ใช้ Monorail ค่ะ ตามแผนที่มันมีสถานีรถไฟ Ishibashi อยู่อีกฟากหนึ่งนอกมหาลัย พวกเราเลยออกเดินทางตามหาสถานีรถไฟกัน.. Smiley

เส้นทางการเดินคือออกจากมหาลัย ผ่านมิวเซียมของมหาลัย แล้วลงเนินไปเรื่อยๆจนถึงถนนใหญ่ (มหาลัยตั้งอยู่บนเนินอีกแล้วค่ะ ช่างสรรหาที่จริงๆ Smiley) จากนั้นก็เดินไปตามทางเรื่อยๆ (อีกนัยหนึ่งคือ เราหมายความว่าถามทางชาวบ้านเค้ามาเรื่อยๆSmiley) จนไปสิ้นสุดอยู่ที่ซอยแห่งหนึ่งค่ะ...




อืม... ในซอยนี้มันจะมีสถานีรถไฟแอบซ่อนอยู่จริงๆเหรอเนี่ย.. มันดูเป็นซอยบ้านๆแบบที่ถ้าไม่ได้ถามทางชาวบ้านก็คงไม่คาดคิดว่าจะมีสถานีรถไฟตั้งอยู่แน่ๆ Smiley

แต่ยังไงก็ตามพวกเราก็ตัดสินใจเดินไปข้างหน้าค่ะ เดินเข้าไปสักสองสามร้อยเมตรก็เจอสถานีตั้งอยู่ด้านขวามือจริงๆ....

โอ้วววว สถานีมันตั้งอยู่ในทำเลที่คาดไม่ถึงจริงๆค่ะจอร์จจจจจจจ Smiley

และไม่ค่อยอยากจะเล่าเลย ว่าหลังจากขึ้นรถไปแล้วพวกเราดันลืมเปลี่ยนรถที่สถานีถัดไป จนต้องต่อไป Juso แล้วต่อรถไปสาย Kitasenri เพื่อเดินทางกลับ Minamisenri สรุปแล้วใช้เวลาเดินทางกลับประมาณสองชั่วโมงเศษๆค่ะ Smiley

(ความจริงอีกสาเหตุที่ช้าก็เพราะแวะเดินชมเมือง + ช้อปปิ้งด้วยล่ะ ฮ่าาาา)


พอกลับมาถึงหอพวกเราก็ทำอาหารเย็นทานด้วยกันอีกค่ะ แต่รอบนี้เรามีหม้อหุงข้าวไฟฟ้าแล้ววววว ได้รับบริจาคมาจากพี่ต. ที่ได้มาจากคนจีนที่ย้ายออกจากหอไปแล้วอีกทอดหนึ่งค่ะ Smiley

(หน้าตาหม้อหุงข้าวค่ะ ^ ^)









Create Date : 30 กันยายน 2555
Last Update : 30 กันยายน 2555 21:27:04 น.
Counter : 735 Pageviews.

1 comment
Orientation Days (2)



27 September 2012

วันนี้เป็นวันซื้อมือถือและวันพบ Host Family ของเด็กแลกเปลี่ยนบางส่วนค่ะ (ของเราจะได้เจอโฮสต์ตั้งวันที่ 5 ตุลาแน่ะ ช้ามาก อิจฉาพวกเจอโฮสต์ตั้งแต่วันนี้ชะมัด ชริ!)

เมื่อวานตอนเย็นเราได้เพื่อนใหม่ในหอมาอีกสองคนผ่านการแนะนำจากพี่มิกกี้ คนแรกชื่อโซเฟีย เป็นคนไต้หวันแต่ไปเรียนป.ตรีที่อเมริกา และมาแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นโครงการเดียวกับเรา ส่วนอีกคนชื่อแก้ว อายุเท่ากันกับเรา มาจากม.เกษตร เรียนโปรแกรม Regular ซึ่งใช้ภาษาญี่ปุ่นในการเรียน (เธอจึงกลายเป็นดิกชันนารีประจำกลุ่ม.. เวลาไปไหนมาไหนไม่ถูกก็ได้เธอนี่ล่ะ เป็นคนถามทาง สบายดีจัง โฮะๆๆ)

เราสี่คนออกจากหอไปมหาลัยตอนสิบเอ็ดโมงกว่าๆ ขึ้นโมโนเรลที่สถานียามาดะไปฮันไดเบียวอิน(โรงพยาบาลของมอโอซาก้า ตั้งอยู่ในแคมปัสเลยค่ะ อารมณ์เหมือนโรงพยาบาลธรรมศาสตร์มั้ง) จากนั้นก็เดินเท้าในมอมาอีกราวๆสิบกว่านาที(แน่นอนว่ามีการหลงทางเกิดขึ้นด้วย แต่คนแถวนั้นช่วยเราได้เสมอ ดังนั้นจงอย่าได้เครียดไป Smiley)

ที่บอกว่าเป็นวันซื้อมือถือ เพราะมหาลัยโอซาก้าทำสัญญากับ Soft Bank ค่ายมือถือหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นให้มาขายมือถือให้เด็กในราคาถูก ค่ายมือถือใหญ่ๆที่นี่เท่าที่รู้จะมีอยู่สามค่ายค่ะ คือ Soft Bank, AU และ Docomo ซึ่งระบบมือถือในญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างเป็นระบบปิด ทำให้ไม่สามารถนำมือถือจากไทยมาใช้ได้ ต้องซื้อใหม่สถานเดียว ดังนั้นเมื่อเราได้ยินว่ามันมีมือถือราคาถูกขาย จะไม่มาดูได้ยังไงล่ะคะ จริงไหม??

พอเข้ามาในห้องขายมือถือพวกเราก็ตื่นตะลึงค่ะ มือถือมันลดเหลือ 0 เยนนนนน มีแบบสมาร์ทโฟนด้วยนะ แต่ซื้อที่นี่เค้าจะบังคับให้ทำสัญญาสองปี ถ้าเราจะออกนอกประเทศต้องยกเลิกสัญญาก่อน เสียเงินราวๆ 10000 เยน ตกราวๆสี่พันบาท ซึ่งเทียบกับมือถือที่เอามาโชว์แล้ว เราว่าคุ้มค่ะ

(ภาพตัวอย่างมือถือสมาร์ทโฟนที่ซอฟแบ้งค์เอามาขายจากกูเกิ้ลนะคะ)

ความจริงสมาร์ทโฟนรุ่นนี้เค้าเอามาขายแปดสีค่ะ แต่สองสีนี้เราชอบที่สุด น่ารักดี อ้อ.. เป็นระบบ Android นะคะ

 แต่เราเลือกซื้อรุ่นนี้ สีนี้ค่ะ น่ารักมากกกก ชื่อก็กินขาดละ Honey BeeSmiley


(น่ารักใช่ม้าาาาSmiley)
รายละเอียดมือถือ

จริงๆมือถือที่ไม่ใช่สมาร์ทโฟนก็น่ารักค่ะ เป็นแบบฝาพับใหญ่ๆ สีลูกกวาดมาเลยทีเดียว แต่เนื่องจากเราคิดว่าไหนๆมันก็ลดเหลือศูนย์เยนแล้ว เลือกสมาร์ทโฟนไปเลยน่าจะคุ้มกว่า แถมรายเดือน(แบบตัดเน็ตออกไปแล้ว)ยังเยอะกว่าแบบธรรมดาแค่หกร้อยกว่าเยน เผลอๆอาจเอากลับมาใช้ในไทยต่อได้อีกต่างหากเพราะมี 3g ความถี่เดียวกับดีแทค Smiley

พี่มิกกี้และแก้วก็เลือกรุ่นเดียวกับเราค่ะ แต่เสียดายที่สีนี้เค้ามีโควต้ามาขายแค่สองเครื่อง และหญิงแก้วตัดสินใจเลือกช้ากว่าพี่มิกกี้และเรา เลยอด เธอเลยเลือกรุ่นเดียวกันสีดำไปแทน ดูเท่ไปอีกแบบ


จากนั้นเราก็รอบรรดาเพื่อนๆไปพบโฮสต์ค่ะ(อย่างที่บอกว่าเราได้คิวตั้งวันที่ ๕ แน่ะ อิจฉาเพื่อนๆจัง Smiley) พอเกือบบ่ายสี่พวกเราก็เดินทางไปยูโฉะ(ไปรษณีย์+ธนาคาร)ในมหาลัย เพราะเราจะไปจ่ายเงินค่าประกันสุขภาพอีกหมื่นกว่าเยนที่มหาลัยบังคับทำ หลังจากนั้นก็เดินทางกลับไปหอค่ะ คราวนี้เราทดลองเดินกลับด้วยรถไฟธรรมดาบ้าง ต้องไปขึ้นรถที่สถานีคิตะเซ็นรินอกมอ แล้วนั่งรถไปลงที่สถานีมินามิเซ็นริซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของหอค่ะ เป็นสถานีถัดจากยามาดะมานั่นเอง

(เอาแผนที่มาให้ดูอีกรอบ เผื่อจะลืม ว่าหอเราตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างสถานียามาดะกับมินามิเซ็นริเลย)

(ตรงแถวๆการ์เดนมอลล์นั่นล่ะค่ะ มีสถานีมินามิเซ็นริตั้งอยู่ อาคารมันเชื่อมต่อกันค่ะ)


แต่หลังจากตระหนักได้ว่าเรานั่งรถไฟโคตรจะบ่อย จะกดตั๋วทุกรอบก็เสียเวลาไปมากโขอยู่ พี่มิกกี้กับแก้วเลยชวนให้เราทำบัตรรถไฟคันไซค่ะ คล้ายๆบัตรบีทีเอสแบบเติมเงินบ้านเราแหละ แต่ว่าใช้แล้วทิ้ง ไม่มีการสมัครสมาชิกใดๆทั้งสิ้น เติมเงินซื้อเอาอย่างเดียว ถ้าเงินในบัตรหมดก็ต้องทำใหม่ ตั๋วมีสองราคาคือพันเยนกับสองพันเยน เราเลือกทำแบบสองพันเยนค่ะ

(หน้าตาบัตรค่ะ คำอธิบายก็ตามภาษาอังกฤษที่เราพิมพ์บอกไว้เลย คือพอจะขึ้นรถไฟ เครื่องตรวจตั๋วก็จะพิมพ์รายละเอียดลงไปในบัตรก่อนเข้าไปในสถานี และพอจะออก เครื่องตรวจตั๋วก็จะพิมพ์ชื่อสถานีปลายทางพร้อมจำนวนเงินที่เหลือในบัตรให้อีกทีนึงน่ะค่ะ)


พอถึงสถานีมินามิเซ็นริ เรา พี่มิกกี้และแก้ว ก็ปิ๊งไอเดียทำอาหารด้วยกันขึ้นมาค่ะ จุดประสงค์คือจะได้แชร์ค่าอาหารและได้ทานอาหารไทย พวกเรา(รวมโซเฟียด้วยนะ)ก็เลยแวะช้อปปิ้งที่การ์เดนมอลล์ข้างสถานีมินามิเซ็นริก่อนกลับบ้าน และเดินกลับบ้านด้วยกันโดยเดินตัดผ่านสวนสาธารณะมินามิเซ็นริตามแผนที่ด้านบนค่ะ


(สวนสวยมากค่ะ บรรยากาศดี มีคนมาออกกำลังกายทุกวัน นางแบบในรูปนี้คือแก้วค่ะ ได้รับอนุญาตให้ลงรูปจากเจ้าตัวแล้ว เธอบอกว่าถ้าคุณแม่มาอ่านจะได้เห็นว่าเธอมีความสุขดี และกล้ามขึ้นเป็นมัดๆเนื่องจากการแบกของ(ฮ่าๆ))


ในสวนจะมีบ่อน้ำใหญ่บ่อนึงค่ะ คุณลุงคนนี้กำลังนั่งทอดหุ่ยชมวิวริมน้ำอยู่


สามสาวขี้เกียจรอเราเลยเดินนำไปข้างหน้า เพราะเรามัวแต่ถ่ายรูปนี่ล่ะ แต่พวกนางเดินนำไปได้ไม่นานหรอก เพราะไม่เคยเดินทางนี้ คนนำทางคือเราค่ะ อิอิ Smiley


มื้อค่ำวันนี้ค่ะ แกงเผ็ดที่ทำไปทำมากลายเป็นแกงส้ม Smiley
ฝีมือของเราสามคน(ความจริงพีมิกกี้เป็นเชฟ มีเรากับแก้วเป็นลูกมือ ฮ่าๆ)

ปิดท้ายด้วยเพลงนี้ละกันค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยเล่าเหตุการณ์ในวันปฐมนิเทศวันสุดท้ายต่อ แต่ตอนนี้ดึกมากแล้ว แถมเรายังมีนัดกับพี่ต.ไปพบพี่คนไทยคนอื่นวันพรุ่งนี้อีก ดังนั้น.. โอยาสุมินะไซทุกท่านที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ (ท่านแม่ด้วยนะ...) ฝันดีค่ะ Smiley








Create Date : 30 กันยายน 2555
Last Update : 30 กันยายน 2555 1:01:02 น.
Counter : 1124 Pageviews.

0 comment
Orientation Days (1)



26 September 2012

วันนี้เป็นวันปฐมนิเทศวันแรกค่ะ ตามกำหนดการงานเริ่มเวลาเก้าโมงครึ่ง แต่ด้วยความที่ไม่เคยเดินทาง เราเลยออกจากหอตั้งแต่ตอนแปดโมงสิบห้า เพราะจะเดินไปเองโดยไม่พึ่งรถไฟ(งกนั่นเอง Smiley)

ญี่ปุ่นนี่สมเป็นแดนอาทิตย์อุทัยจริงๆเลยค่ะ พระอาทิตย์ที่นี่ขึ้นเร็วมาก ช่วงตีห้ากว่าๆก็สว่างแล้ว เราออกมาตอนแปดโมงเลยเจอกับแดดจ้า ยังดีที่อากาศไม่ร้อนเท่าไรเพราะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว

ภาพซอยข้างๆหอค่ะ เหมือนในการ์ตูนเป๊ะๆเลย มีบันไดลงไปด้วยเพราะแถวนี้มันมีแต่เนิน ฮ่าๆ


เดินต่อมาอีกเรื่อยๆไปทางทิศเหนือ ตัดผ่านสวนสาธารณะมา จะเจอวงเวียนค่ะ แต่นี่ยังไม่พ้นซอยบ้านนะ ต้องเดินต่อไปอีกประมาณห้านาทีถึงจะเจอสถานียามาดะค่ะ Smiley

(แถวนี้นี่ล่ะที่เราเดินเซอร์เวย์แล้วหลงทางตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ฮ่าๆ)




จากตรงนี้เราต้องเดินข้ามทางม้าลายไปทางซ้าย แล้วเดินต่อไปตามทางเรื่อยๆค่ะ



จะเจอห้างตามรูป ข้างๆห้างก็คือสถานียามาดะ ที่สถานีนี้มีทั้งรถไฟธรรมดาและ Monorail นับเวลาจากหอเดินมาถึงนี่ราวๆสิบห้านาทีค่ะ




มาตามทางเรื่อยๆ มองไปด้านขวาจะเจอซุปเปอร์อีกที่ค่ะ P-Mart นี่ขายพวกผักค่อนข้างถูก(แต่ต้องดูตอนมันลดราคานะ)



พอเดินต่อมาอีกราวๆห้านาที จะเข้าเขตพื้นที่สีเขียว แต่ถึงจะเห็นแบบนี้แต่ก็ไม่เปลี่ยวนะคะ เดินชิลๆมานี่มีจักรยานขับผ่านไปมาเป็นเพื่อนตลอด Smiley



ในที่สุดก็มาถึงมอแล้วค่ะ นี่เป็นประตูทางทิศใต้ของมอ รวมเวลาเดินชิลๆมาจากหอถึงที่นี่ราวๆสี่สิบนาทีได้ ถ้ามีจักรยานจะใช้เวลาแค่ยี่สิบห้านาที และจะเหนื่อยมากกกกก เพราะต้องขึ้นลงเนินหลายลูก Smiley

(แต่เคยถามเพื่อนฝรั่งในหอนะ ชีบอกว่าปั่นมาแค่สิบห้านาทีเอง กรี๊ดมากกกก ขาชีทำด้วยอะไรเค๊อะะะะะ กำลังขาดีมากกกก)


พอมาถึงสถานที่นัดพบ ก็เจอเด็กต่างชาติเยอะแยะเลยค่ะ เพราะโครงการแลกเปลี่ยนของโอซาก้าไม่ได้มีแค่โปรแกรมของเรา แต่มีโปรแกรมอื่นที่เรียนแตกต่างกันออกไปมาปฐมนิเทศพร้อมกันด้วย หลังจากฟังปฐมนิเทศเสร็จก็มีการพาทัวร์แคมปัสต่อ เราไปกับกลุ่มเด็กจีนค่ะ แต่ไกด์(อาสาสมัครนักศึกษาที่นี่)พูดได้สามภาษา คือจีน ญี่ปุ่น อังกฤษ เลยไม่มีปัญหาอะไร เราพอจะมั่วไปกับเค้าได้

ตกบ่ายก็กลับเข้ามาฟังปฐมนิเทศเฉพาะโครงการ OUSSEP ของเราต่อ เราเจอพี่คนไทยอีกคนชื่อพี่มิกกี้ เป็นนักศึกษาป.โทจากมหิดล แถมอยู่หอเดียว ชั้นเดียวกับเราด้วยอีกต่างหาก พอปฐมนิเทศเสร็จเราเลยตกลงว่าจะเดินกลับหอด้วยกันค่ะ

แต่......   ด้วยความที่เราสองคนเม้ามอยกันมากเกินไปจนลืมมองทาง.. เราเลยเดินหลงค่ะ! ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าเลี้ยวผิดมาตั้งแต่ตอนไหน แต่รู้ตัวอีกทีคือเห็นป้ายบอกทางไปอิเคดะหลังจากเดินมาแล้วเกือบชั่วโมง... ซึ่งมันไม่ใช่เลย.. เดี๊ยนจะไปยามาดะค่าาาา ไม่ใช่อิเคดะ Smiley


หลังจากถามทางคนที่ผ่านไปมาแถวนั้นมาเรื่อยๆ (ความจริงแถวนี้ไม่มีบ้านคน แต่อย่างที่บอก.. มันจะมีคนปั่นจักรยานหรือวิ่งจ๊อกกิ้งผ่านไปผ่านมาตลอด คนที่นี่รักการออกกำลังกายกันมาก..) เราก็มาเจอสาวนางหนึ่งกำลังจูงสุนัขเดินเล่น ซึ่งหลังจากเธอรู้ว่าเราหลงทาง.. เธอบอกว่าจะเดินไปส่งให้ถึงสถานียามาดะค่ะ ซาบซึ้งมากกกก Smiley

แถมทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆด้วยนะคะ เดินต่อมาอีกตั้งราวๆสิบห้านาที แต่เธอก็ยังเดินมาส่ง แถมตอนจะจากกันยังให้เบอร์มาอีก พร้อมกับบอกว่าถ้ามีปัญหาให้โทรมาถามได้ มีน้ำใจสุดๆ เราดีใจจังเลยที่ได้เจอแต่คนใจดี Smiley


จบวันแห่งการเดินแต่เพียงเท่านี้ค่ะ ไว้เดี๋ยวจะมาเล่าวันปฐมนิเทศวันต่อๆไปต่อนะคะ








Create Date : 29 กันยายน 2555
Last Update : 30 กันยายน 2555 0:48:32 น.
Counter : 963 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

แมวกับพระจันทร์
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]



New Comments