ใส่ชุดกิโมโนชมซากุระที่เกียวโต
สถานที่ท่องเที่ยว : เกียวโต, Japan
พิกัด GPS : 35° 0' 12.20" N 135° 46' 44.40" E










⁞๕ เม.ย. ๒๕๕๖ (คำเตือน : รูปเยอะมาก)
ความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งที่เราอยากจะทำตั้งแต่มาอยู่ที่ญี่ปุ่นคือการแต่งกิโมโนเดินชมเมืองค่ะ

ในสายตาคนไทย การแต่งชุดประจำชาติเดินตามท้องถนนอาจจะดูแปลก และไม่มีใครทำกัน แต่ตรรกะนี้ใช้ไม่ได้กับประเทศญี่ปุ่น ที่แดนพระอาทิตย์อุทัยนี้ คุณสามารถพบเห็นคนแต่งกิโมโน ฮากามะ หรืออาจะเป็นยูกาตะในหน้าร้อนเดินไปมาเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่คนญี่ปุ่นทุกคนจะแต่งตัวเช่นนี้กันหมด แต่เชื่อว่าถ้าใครเคยมาเที่ยวประเทศนี้ เกินครึ่งน่าจะเคยเห็นคนแต่งกิโมโนเดินขึ้นรถไฟ

เรากับเพื่อนอีกสองคนตัดสินใจจะเช่าชุดกิโมโนและเดินชมซากุระในเมืองเกียวโตกัน นับเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างฉุกละหุก เนื่องจากตัดสินใจจะไปวันพุธ และไปจริงๆวันศุกร์ เลยหาจองร้านเช่าชุดกิโมโนไม่ได้ เพราะช่วงนี้เป็นไฮซีซั่น ทั้งคนต่างชาติและคนญี่ปุ่นนิยมไปเช่ากิโมโนใส่เดินเล่นกัน สุดท้ายเลยไปตายเอาดาบหน้าค่ะ ร้านเช่าชุดที่เล็งไว้เปิดเก้าโมง(เช็คจากในเว็บ) พวกเราไปถึงร้านตอนเก้าโมงเกือบครึ่ง และโชคดีมากที่แม้จะเริ่มมีคนเยอะแล้ว แต่ก็ไม่เยอะมากจนต้องรอคิวนาน เข้าไปถึงก็ได้เลือกกิโมโนเลยค่ะ


หน้าร้านค่ะ ทางเข้าร้านเป็นตรอกเล็กๆอยู่ทางซ้ายมือ ร้านอยู่ระหว่างทางขึ้นเนินไปวัดคิโยมิซุ
เว็บไซต์ร้าน : //www.okamoto-kimono.com/
ชุดที่ให้เลือกมีหลายราคา แพลนที่ถูกที่สุดคือ 3,150 เยน แพงขึ้นมาอีกหน่อยก็ราคา 4,250 เยน แบบแพงที่สุดคือ 5,250 เยน ซึ่งแต่ละแพลนความสวยงามของชุดก็จะแตกต่างกันไปตามราคา แบบถูกสุดจะมีชุดให้เลือกห้าสิบชุด ซึ่งแต่ละชุดจะมีโอบิมาให้อยู่แล้ว ไม่ต้องเลือกเอง แต่แบบชุดของเซ็ตนี้เรียบมากค่ะ น่ารักแต่ไม่อลังการเท่าไร ส่วนชุดสี่พันเยนนั้นจะมีลวดลายเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย และชุดห้าพันเยนจะมีลวดลายเยอะสุด เลือกโอบิได้เอง และมีเชือกประดับโอบิให้เลือกด้วยอีกต่างหาก (ดูตัวอย่างชุดได้จากเว็บร้านที่ให้ไปนะคะ)


ภายในร้านจะแบ่งเป็นโซนๆ โซนนี้เป็นโซนโอบิ(ผ้าที่คาดตรงเอวของกิโมโน)


โซนเซ็ตกิโมโนสามพันเยน

หลังจากเลือกเสร็จพวกเราสามคนก็ขึ้นไปชั้นสองของร้าน ชั้นสองจะเป็นห้องแต่งตัว ห้องทำผม ห้องน้ำ และห้องนั่งรอคิว เรานั่งรอคิวประมาณสิบห้านาทีก็ได้แต่งตัว พนักงานแต่งกิโมโนให้เร็วมาก ประมาณยี่สิบนาทีก็แต่งเสร็จ เราเลือกแพคเกจทำผมด้วย เพิ่มราคาไปอีก ๕๐๐ เยน เลยต้องไปรอทำผมต่อ ที่นี่มีแบบผมให้สามแบบค่ะ แบบแรกเป็นการมัดแล้วม้วนๆยีๆผมข้างหลัง แบบที่สองเป็นแบบที่เรียบร้อยมาก คือเอาผมมาเกล้ามวยด้านข้าง ส่วนแบบสุดท้ายเป็นทรงที่รวบผมมาด้านข้างแล้วม้วนปลายเป็นลอนๆ ถ้าเลือกทำผมด้วยจะสามารถเลือกเช่าเครื่องประดับผมได้ฟรีหนึ่งชิ้น


สรุปเราเลือกแบบแรก เพราะแบบที่สองคหสต.คิดว่าแก่ไป ส่วนแบบสุดท้ายเหมาะกับคนผมยาวมากกว่า



แต่งเสร็จเราสามคนก็ออกมาถ่ายรูปเล่นที่สวนในร้าน

ก่อนออกจากร้านก็ฝากสัมภาระไว้ที่ร้านก่อน บริการฝากฟรีค่ะ จากนั้นก็เลือกกระเป๋าถือเล็กๆเพื่อใส่ของมีค่าเวลาชมเมือง แน่นอนว่ากระเป๋าก็เช่าฟรี มีหลากหลายแบบ เลือกได้ตามใจชอบ


พอฝากสัมภาระก็ถึงเวลาจ่ายตัง หมดเงินไป 5,720 เยนถ้วน ตกเป็นเงินไทยราวๆ 1800 บาท (เรท 0.32) คิดค่าเช่าเป็นรายวัน เอาชุดมาคืนตอนไหนก็ได้ก่อนสองทุ่มครึ่งวันนี้

หลังจากใช้ตังกันไปจนตัวเบาแล้ว พวกเราก็ออกเดินไปเที่ยววัดคิโยมิซุกัน วันนี้อากาศแจ่มใส ซากุระเบ่งบานเต็มสองข้างทาง สวยงามมาก







ระหว่างทางขึ้นเนินไปวัด พวกเราถูกนักท่องเที่ยวต่างชาติขอถ่ายรูปเป็นระยะ ใครจะมาแต่งกิโมโนแบบนี้ต้องทำใจนิดนะคะ เพราะนอกจากจะโดนขอถ่ายตรงๆ ยังเจอแอบถ่ายอีกไม่รู้กี่ใบค่ะ แต่คาดว่าน่าจะเกินสิบ ทำเอาเราไม่กล้าคุยภาษาไทยกันเลย กลัวเค้าจะผิดหวังว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่น Smiley

แวะไปไหว้ขอพรเรื่องความรักกันก่อนค่ะ


บริเวณศาลเจ้านี้จะมีหินแห่งความรักก้อนใหญ่ๆอยู่สองก้อน ตั้งอยู่ห่างกันพอสมควร เชื่อว่าถ้าปิดตาเดินจากหินก้อนแรกไปก้อนที่สองโดยได้ความรักจะไร้ซึ่งอุปสรรค แต่เนื่องจากคนเยอะขนาดนี้ถ้าเดินคงเต็มไปด้วยอุปสรรคแน่นอน เพราะงั้นก็ขอบายนะคะ Smiley


กวักควันธูปแล้วไหว้พระกันก่อน



มุมมหาชนประจำวัดคิโยมิซุ


ดื่มน้ำสามสายอันเลื่องลือ (น้ำรสชาติอร่อยมากค่าาาSmiley)


จากนั้นก็เดินไปศาลเจ้ายาซากะกันต่อ ไม่ไกลเท่าไร เดินประมาณสิบห้านาที ศาลเจ้าอยู่แถวย่านกิอง


ข้างในศาลเจ้า นอกจากจะมีรูปปั้นแล้ว ยังมีร้านรวงขายของมากมายตั้งอยู่ท่ามกลางทางเดินที่เต็มไปด้วยต้นซากุระ




เดินเล่นเสร็จ พวกเราก็นั่งรถบัสไปพระราชวังเกียวโตที่เปิดให้ชมได้ฟรีไม่ต้องจองล่วงหน้าในวันนี้ จากสถานีคาวาระมาจิ นั่งรถสาย 201 ไปจนถึงด้านหลังของพระราชวังค่ะ

คนเยอะพอสมควรค่ะ



พระราชวังใหญ่โตมาก แต่เปิดให้ชมเพียงบางส่วน สถาปัตยกรรมเรียบง่ายตามแบบฉบับญี่ปุ่นนั่นล่ะ




สวนภายในพระราชวัง


ในพระราชวังก็มีซากุระนะเออ แต่น้อยมาก


ก่อนกลับ บังเอิญไปเห็นนินจาคน เอ้ย ตัวหนึ่งยืนอยู่ Smiley

ใครมาปล่อยหนูไว้ที่นี่คะลูก มาสืบราชการลับของวังเหรอคะ น่าร๊ากกกอะSmiley (เจ้าของไปไหนเนี่ย!)

เดินชมวังแล้วก็นั่งรถกลับมาชมซากุระที่ชิโจกันต่อ



เดินเลาะตามถนนเลียบแม่น้ำมาเรื่อยๆ เริ่มหิวก็ซื้อดังโงะปิ้งทาน น้ำจิ้มหวานๆเค็มๆ เนื้อแป้งเหนียวนุ่มอร่อยดี(๑๒๐ เยน)

จากร้านนี้ค่ะ


แดดร่มลมตก อากาศเริ่มเย็น พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า พวกเราเลยตัดสินใจเดินกลับไปคืนชุดที่วัดคิโยมิซุ




ที่โชว์หน้าร้านค้าระหว่างทางเดินกลับ สวยดีค่ะ


ข้างในวัดมี light up แต่เราไม่ได้ขึ้นไป เพราะต้องเสียตังอีกสี่ร้อยเยน กระเป๋าแห้งแล้วล่ะ เลยถ่ายรูปกับต้นซากุระข้างหน้าแทน

สักแชะก่อนคืนชุด


และแล้วการเดินทางของวันนี้ก็จบลง ก่อนกลับพวกเราแวะไปฝากท้องกับร้านราเมงแถวหน้าสถานีรถไฟค่ะ รสชาติอร่อยดี แต่คนเยอะมว๊าก รอคิวนานนิดหน่อย(ขนาดตอนไปถึงสองทุ่มแล้วนะ)




ถ้าซดน้ำซุปจนหมดจะเจอคำว่าขอบคุณที่ทานจนหมดอยู่ตรงก้นจานด้วย แต่ลืมถ่ายรูปมาค่ะ ฮ่าๆ

วันนี้สนุกมาก และเดินเยอะมากด้วย ใครจะมาญี่ปุ่นถ้างบน้อยแบบเราก็ทนเดินกันหน่อยนะคะ แต่รับรองประทับใจ ไม่มีผิดหวังแน่นอนค่ะ จขบ.ขอตัวไปเตรียมใจก่อน ใกล้เปิดเทอมเต็มทีละ ทริปนี้คงเป็นทริปสุดท้ายก่อนมหาลัยจะเปิดเทอมใหม่ บ๊ายบายค่ะ Smiley






Create Date : 07 เมษายน 2556
Last Update : 7 เมษายน 2556 23:24:04 น.
Counter : 9215 Pageviews.

4 comment
奈良・東大事と若草山焼き祭り




二週間前の土曜日(26/01/2013)私は初めて奈良へ行きました。実はその日風が強く吹いていました。だから、私は寮から出たくありませんでした。しかし、その日奈良で若草山焼き祭りがありました。この祭りは一年間に一回だけです。今回は行かなかったら、いつ行けるかどうか分かりません。そして、11時に私とタイ人の先輩と一緒に出発しました。


これは私の寮です。ここから自転車を乗って、15分くらいに桃山台駅へ着きました。桃山台駅から奈良県まで、途中で電車を一回乗り換えなければなりません。地不鉄の桃山台駅からなんば駅までのは一番安い道です。そして、なんば駅から近鉄線に乗り換えて、近鉄奈良駅まで行きました。駅の出口で奈良の地図をもらいました。それで、駅からまっすぐ歩いて五分くらいすると、公園が見えました。


この公園では鹿がたくさん歩いていました。近くにせんべい屋がありました。先輩と私はせんべいのパックを一つ、150円で買いました。せんべいをもらうとすぐに、突然たくさんの鹿達が私たちを取り囲みました


鹿達の目は「そのせんべいを僕にくれ!!」と言っているようでした。


ある鹿は先輩のコートをかんで、唾液がたくさんあったので、先輩のコートはきたなくなってしまいました。


鹿はかわいいですが、野生動物です。ご注意看板もありました。


後で、東大事に行きたいので、その道に歩いていました。途中はだんだん人々が少なくなって、とてもしずかでした。



建物は和風だったので、江戸時代に歩いているみたいでした。


二十分くらいすると、東大寺が見えました。京都にくらべて、そこは奈良よりにぎなかでした。




お寺の中には大仏がありました。大きくて、きれいでした。大仏の顔を見ると、人は誰でも今にも大仏が話し始めるように感じます"As one stares at the face of the Buddha, onegets the feeling that statue will begin talking at any moment."


大仏の後ろには大きい木の柱がありました。その柱には一つ穴がありました。その柱を通った人はみんな、必ず再び東大寺に来ると言われています


それで、東大事から10分歩いて若草山焼きの準備を見ました。大きい火はとてもすばらしかったです。


その日は寒かったので、私たちは火をちかくにいました。十七時くらいにお坊さん達は奈良県の有名な3つのお寺の名前が書いてある3つのランタンに大きい篝火から火をつけました。そして、皆は若草山へ行きました。



若草山は大きくて、茶いろ山です。木がありませんでした。



夕日空は美しかったですが、天気はとてもとてもさむかったです。



運よ
く、「無料足温泉」看板を見つけたので、私たちはもちろん入りました。(笑)




18時15分に
若草山焼きの花火を見ながら、足温に入りました。いい気持ちでした。体が温かくなりました。





お祭りの始めた時もきれいですが、戦争の時みたいでした。黒い夜空に満月が見え、火の赤い色は
後ろの景色と対照的で美しかったです



ようやくお祭りは終わりました。先輩と私と一緒に歩いて駅に行きました。その日はとても楽しかったです。











Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2556 1:46:35 น.
Counter : 1704 Pageviews.

0 comment
สวัสดีปีใหม่ 2013 - คอนขาวแดง ดูเพนกวิ้น ซื้อถุงโชคดี



ห่างหายไปนานเพราะมรสุมการบ้านรุมเร้าค่ะ 
โดยเฉพาะก่อนวันหยุดยาวฤดูหนาว (冬休み)นี่อาจารย์สั่งงานทุกวัน แถมมีการบ้านวันหยุดให้อีกต่างหาก กลัวว่าหนูจะว่างใช่ไหมคะ หะๆ =w='' 
(แต่จริงๆก็ไม่สนใจงานอยู่ดีล่ะ มาปั่นหลังปีใหม่อยู่ดี กร๊ากกกก)

ก่อนปีใหม่ได้ไปเที่ยวโตเกียวมาด้วยค่ะ ถ้าว่างจะมาอัพบล็อกเล่าทีหลัง เป็นทริปที่ทรหดมาก เดินทั้งวัน แต่ก็สนุกดี ฮ่าๆ

มาเล่าถึงปีใหม่กันดีกว่า 明けましておめでとうございます(した)(ย้อนหลัง) ค่าาาา 
คืนวันที่ ๓๑ เราฉลองเทศกาลปีใหม่ด้วยการนั่งดูคอนขาวแดงหน้าทีวีมาล่ะ เพราะผลาญเงินไปกับทริปโตเกียวเยอะแล้ว เลยตัดสินใจไม่ร่วมปาร์ตี้ใดๆทั้งสิ้น นั่งดูคอนนี่ล่ะเวิร์คสุด 

ชื่อจริงๆของคอนขาวแดงคือ 紅白歌合戦(Kohaku Uta Gassen) ค่ะ เป็นคอนเสิร์ตใหญ่ที่จัดขึ้นส่งท้ายปีเท่านั้น ฉายทั่วประเทศผ่านโทรทัศน์ช่อง NHK ตั้งแต่เวลา 17.15-23.45น. สาเหตุที่เรียกคอนขาวแดงเพราะจะแบ่งนักร้องออกเป็นสองทีม ฝ่ายหญิงสีแดง ส่วนฝ่ายชายสีขาว แล้วแข่งกันว่าฝ่ายไหนได้รับเสียงโหวตมากกว่าก็ชนะไป ซึ่งปีนี้สีขาวนำทีมโดยหนุ่มๆอาราชิก็ชนะไปค่ะ


หนุ่มๆ NYC ค่ะ ขอกรี๊ดให้ยามะจังกับชี่จัง น่ารักอ้ะ Smiley


คานะจังมาพร้อมกับเพลง Go for it! ความจริงอยากฟัง Always มากกว่าอะ แต่ธีมงานคือให้กำลังใจผู้ประสบภัย เพลงนี้คงเข้ามากกว่ามั้ง..


Always -Nishino Kana

ส่วนวงนี้นี่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เคยแต่ฟังเพลงเค้าบ่อยๆตามร้านอาหาร มาวันนี้เพิ่งจะรู้ว่าชื่อวง Funky Monkey Babys เพลงก็เพราะ(แบบแปลกๆ)ดีค่ะ サヨナラじゃない - นี่ไม่ใช่คำอำลา


จากนั้นวันรุ่งขึ้นเราก็นอนเล่นค่ะ... เพราะขี้เกียจออกจากห้อง.... 
แต่วันรุ่งขึ้น(วันที่สอง) เรากับพี่มิกกี้ตัดสินใจไปไหว้พระ พร้อมกับซื้อถุงลักกี้แบคกันในเมือง คือที่ญี่ปุ่นเนี่ย เค้ามีความเชื่อว่าต้องเริ่มปีใหม่ด้วยสิ่งใหม่ๆ ดังนั้นพอสิ้นปีเค้าจะโละของมาทำ Lucky bag หรือ 福袋(fukubukuro) ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งส่วนใหญ่ของในถุงจะเป็นการสุ่มให้ เราจะไม่รู้ว่าได้อะไรจนกว่าจะเปิดออก แต่ของในถุงจะมีมูลค่ามากกว่าราคาถุงเสมอ อย่างเช่นเราซื้อถุงโชคดีราคาสามพันเยนมา ของข้างในอาจราคารวมกัน(หลายชิ้น)ประมาณหมื่นถึงหมื่นห้าพันเยน เป็นต้น

นอกจากนี้ถ้าซื้อของช่วงนี้ถ้าร้านไหนไม่มีลักกี้แบ้ค ส่วนใหญ่ก็มีจะเซลกระหน่ำนะคะ มาญี่ปุ่นตอนนี้ถ้าจะมาช้อปปิ้งนี่คุ้มสุดๆค่ะ



ตัวอย่างร้านค้าในสถานีอุเมดะค่ะ ลดกระหน่ำรับปีใหม่กันแทบทุกร้าน


ถุงโชคดีของคิปลิ้งค์ราคาหมื่นกว่าเยน ของข้างในราคาสามหมื่นถึงสามหมื่นห้าพันเยนค่ะ


ร้านน้องหมี Rilakkuma Shop ไม่มีถุงโชคดี แต่มีจับฉลากลุ้นของรางวัลแทน มีตั้งแต่แก้วใส่เทียน แก้วน้ำ นาฬิกา ไปจนถึงตุ๊กตาตัวใหญ่

เราซื้อถุงโชคดีของ Ghibli Store กับ Disney Store มาอย่างละถุงค่ะ ถุงละสามพันเยน แล้วก็ถุงเครื่องสำอางแคนเมคอีก 700เยน ถุงของกินอีกสองถุงรวมเป็น 1500 เยน แค่นี้ก็แกลบแล้ว ไม่มีตังเหลือซื้อของแบนด์เนมกะเค้าหรอก ฮ่าๆ


พักทานข้าวที่ตึกกัปปะข้างๆกันก่อน..

แน่นอนว่าอยู่โอซาก้าก็ต้องทานโอโคโนมิยากิสิ


อิ่มท้องแล้ว พวกเราก็เดินทางต่อไปยังสถานี Osakako เพื่อไปชมพาเหรดนกเพนกวินที่ Kaiyukan ค่ะ เดินออกจากสถานีมาได้ห้านาที ก็เจอกับ Tempozan Ferris Wheel ชิงช้าสวรรค์(?)ขนาดใหญ่ มีไว้เพื่อชมวิวเมืองโอซาก้า 

แต่แน่นอนว่าเราไม่ขึ้น.. เพราะมันต้องเสียตัง ๗๐๐ เยน จุดหมายของเราคือตึกข้างๆค่ะ อะควาเรียมที่จะมีการจัดพาเหรดเพนกวิ้นให้ชมกันฟรีๆ ตอนบ่ายสามสี่สิบห้า


มีมาสคอตน้องหวิ้นด้วยนะเออ.. เด็กๆรุมกันถ่ายรูปเจ้าตัวนี้กันเยอะมาก




และแล้ว...



ในที่สุด..




แอร๊ยยยย พระเอกของงานมาละค่ะ เป็นพาเหรดเล็กๆ แต่เราได้ชมน้องกวิ้นอย่างใกล้ชิดมากกกก ฟิน..




เห็นหางเล็กๆนั่นไหม เวลาเดินหางน้องกวิ้นจะส่ายไปมาเหมือนคอยถูพื้นแทนเจ้าหน้าที่... รักสะอาดมากไปไหมคะ ฮ่าาาา


เดินแถวเป็นระเบียบสวยงาม...

แค่นี้ล่ะค่ะ เรามาเพื่อดูเพนกวิ้นเดินเท่านั้น ฮ่าาาาาาา

จากนั้นพวกเราก็เดินทางไปวัดชิเทนโนจิที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นค่ะ เสียดายที่กะเวลาพลาดไปนิด ไปถึงตอนเกือบห้าโมงเย็น วัดปิดไปแล้ว.. แต่ไม่เป็นไร เรามาด้วยใจ ดังนั้นไหว้อยู่นอกวัดก็ได้ ^ ^''





ขอปิดท้ายด้วยรูปนี้ค่ะ เจอตอนระหว่างทางเดินกลับไปสถานี ^ ^


สวัสดีวันปีใหม่(ย้อนหลัง)ค่ะ Smiley






Create Date : 06 มกราคม 2556
Last Update : 9 มกราคม 2556 20:49:35 น.
Counter : 2211 Pageviews.

1 comment
Candles Street :D



10 November 2012

วันนี้ขออัพบล็อกสั้นๆมาบอกเล่าบรรยากาศงาน festival ที่จัดขึ้นแถวๆหอเราค่ะ

โครงการที่เราเรียนอยู่ ทุกๆอาทิตย์จะมีการประชุมเด็กในโครงการเพื่อประชาสัมพันธ์ข่าวและกิจกรรมต่างๆของมหาลัย ตามทวงงาน ฯลฯ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาโทโยโนะซัง(ผู้ดูแลโครงการ)ได้ประกาศขออาสาสมัครไปช่วยเตรียมงาน Candles street light ที่สวนมินามิเซนริ ตัวเราเองเห็นว่ามันใกล้กับหอเราพอดีเลยลงชื่อไป

ถึงวันงานจริงๆ ตอนบ่ายกว่าๆแพรว(เพื่อนที่อยู่หอแถวๆคิตะเซนริ)ที่ลงชื่อไว้พร้อมกันก็นั่งรถไปมาถึงสถานีมินามิเซนริ เราเลยออกไปรับแล้วเดินเข้าสวนไปด้วยกัน ตอนนั้นเค้าเริ่มจัดงานกันไปได้สักพักแล้วล่ะค่ะ มีถ้วยกระดาษวางกองอยู่ทั่วสวนเลย อาสาสมัครต่างๆก็กำลังเอาเทียนใส่ถ้วยกันอยู่

เราเดินไปถึงเต้นท์อำนวยการ(ถามทางเค้ามาเรื่อยๆ =='') คุณป้าที่ประจำอยู่ตรงนั้นพอรู้ว่าเป็นเด็กฮันไดก็เอากระดาษมาให้ลงทะเบียน เสร็จแล้วก็แจกถุงมือพร้อมกับแถบผ้าปิดแขนเสื้อบอกกลุ่มโวลันเทียร์ให้เสร็จสรรพ แล้วชี้ให้เราไปช่วยคนอื่นใส่เทียนตามกลุ่มที่เราอยู่


งานของเราไม่มีอะไรมากค่ะ แค่เอาเทียนใส่ลงไปในถ้วยกระดาษที่มีดินใส่อยู่ แล้วเอาดินมากลบๆเทียนหน่อยให้ไม่ขยับง่ายๆแค่นั้นล่ะ เราทำอยู่ได้ชั่วโมงนึงโซนที่เราทำอยู่ก็เสร็จ



งานนี้มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาช่วยกันค่ะ เด็กๆน่ารักมาก



เราชอบตรงที่เค้าเก็บทุกรายละเอียด อย่างบนแก้วกระดาษที่ใช้ใส่เทียนแต่ละใบก็มีรูปภาพที่เด็กๆจากโรงเรียนประถมแถวนี้ช่วยกันวาด ช่วยกันแต่งเติม การจัดเรียงแก้วก็มีโซนที่ให้เด็กๆใช้ความคิดสร้างสรรค์จัดเป็นรูปต่างๆ ♥


แล้วพวกเราสองคนก็แอบเกรียนเล็กน้อย ด้วยการไปแย่งพื้นที่ของน้องๆเด็กประถมในโซนที่เค้าให้ออกแบบเทียนเองมานิดนึง วางเทียนเป็นคำว่า "ไทย(タイ)" กร๊ากกกก (ได้ยินเสียงน้องๆหนู อ่านคำว่าไทย แล้วทำเสียงงงกันใหญ่ เหอเหอ)

เสร็จแล้วเราก็กลับหอค่ะ รอเวลามาอีกทีเย็นๆเลย แพรวก็ไปนั่งเล่นที่หอกับเราด้วย
นั่่งไปได้สักพัก โฮสต์แฟมมิลี่เรา msg มาค่ะว่าเป็นไงบ้าง เธอกำลังช่วยงานอยู่ที่สวนมินามิเซนริ เราเลยเมสเสจกลับไปว่าเพิ่งกลับมาจากช่วยงานเหมือนกัน ปรากฎผ่านไปครึ่งชั่วโมง.. โฮสต์โทรเข้าเครื่องค่ะ ! OMG มากเพราะปกติก็พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่แล้ว เธอพูดอังกฤษไม่ได้เลย พิมพ์คุยกันยังเปิดดิกได้อะไรได้ Smiley

แต่เราก็กดรับ... แล้วก็ฟังไม่รู้เรื่องจริงๆ ฮ่าๆ เหมือนได้ยินเธอบอกประมาณว่าจะมาที่หอ พอวางมือถือเราเลยลงไปข้างล่างหอ แล้วก็เจอเธอจริงๆด้วย.. แสดงว่าสกิลการมั่วของเรายังพอใช้ได้ อิอิ

โฮสต์มานัดเราไปเลี้ยงข้าวกลางวันตอนวันเกิดค่ะ ดีใจจังSmiley
หลังจากนั้นโฮสต์ก็บอกเราว่าเค้าเริ่มจุดเทียนกันแล้วที่สวน เราเลยลากแพรวไปสวนด้วยกันเดี๋ยวนั้นเลย(ห้าโมงกว่าๆ)


ตรงนี้เป็นส่วนที่พวกเราช่วยกันวางเทียนค่ะ สวยม้าาาาา ปลื้มใจ ฮ่าๆ


ตรงนี้เป็นคำว่าไทยที่พวกเราทำไว้ Smiley


งานแสงเทียนกลางสวนนี่ความจริงเค้าจัดขึ้นเพื่อฉลองครบรอบห้าสิบปีเมืองเซนริค่ะ โอซาก้าเป็นเมืองเก่าก็จริง แต่ย่านที่เราอยู่(เซนริ) นี่เป็นเมืองใหม่นะคะ เพิ่งตั้งมาได้แค่ห้าสิบปีเอง ผังเมืองเลยค่อนข้างเป็นระเบียบ



มาดูบรรยากาศรอบงานกันดีกว่าค่ะ





มาเจอกล่องเทียนชื่อเราโดยบังเอิญ (P) ไม่รู้ว่าเด็กคนไหนทำ แต่วางอยู่ข้างๆคำว่าโคโคโระ(หัวใจ)ซะด้วย โรแมนซ์ซะไม่มี


แวะย้อนมาดูตัวโน้ตของเราอีกที เอ๊ะ..อ่านโน้ตไปมา มันเป็นโน้ตเพลง Twinkle little star นี่นา มิน่าล่ะ มีเทียนรูปดาวเยอะแยะไปหมดเลย (โด โด ซอล ซอล ลา ลา ซอล)











บนเวทีก็มีการแสดงคอรัส แสดงเต้น(เพลงวันพีซ..)จากโรงเรียนแถวนี้ แสดงการเต้นพื้นบ้านโดยชมรมจากมหาวิทยาลัยคันไซ และมหาวิทยาลัยโอซาก้า(ก็มหาลัยละแวกนี้อีกนั่นล่ะ..)




เราอัดวิดิโอมาด้วยค่าาา อันนี้เป็นระบำพื้นบ้านโซรัน(การจับปลา) แพรวบอกเราเพราะเธอเรียนศิลป์ญี่ปุ่นตอนมอปลาย เค้ามีสอนเต้นล่ะ

จากนั้นก็เดินไปส่งแพรวที่สถานีรถไฟตอนทุ่มกว่าๆค่ะ อากาศเริ่มเย็นละ เราไม่ได้ใส่โค้ทมาด้วยเลยรีบส่งแล้วรีบกลับหอ.. เป็นอันหมดวัน :))








Create Date : 14 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2555 15:53:00 น.
Counter : 1408 Pageviews.

5 comment
เดินเล่นชิลๆในวันที่สายลมพัดแรง แดดจ้า



(ฟังเพลงนี้ประกอบจะได้อารมณ์เข้ากับเนื้อหาในบล็อกวันนี้มากเลย /Kaze ni naru = จะกลายเป็นสายลม、 เพลงเริ่มตอน 3.35 นะคะ)


01 November 2012

วันนี้เป็นวันตรวจสุขภาพประจำปีของเด็กโอซาก้าค่ะ และเป็นวันหยุดด้วยเพราะเด็กที่นี่ต้องเตรียมงานแสดงชมรมมหาลัย เรากับแก้วตกลงกันว่าจะไปตรวจสุขภาพกันวันนี้ เลยออกจากหอกันตั้งแต่แปดโมงห้าสิบ เราปั่นจักรยานไป ส่วนแก้วเดินไป (ลืมเล่าให้ฟังว่า..หลังจากพี่มิกิทำจักรยานของแก้วหายไปแล้ว.. สรุปคือตามหาไม่เจอค่ะ เหอๆ)


(ป่าไผ่ระหว่างทางไปมหาลัย)


เราไปถึงมอก่อน เลยแวะไปเซ็นต์ชื่อรับทุนประจำเดือน เพราะเด็กที่ได้ทุน Jasso ทุกคนต้องมาเซ็นต์ชื่อที่มหาลัยทุกเดือนเพื่อยืนยันว่ายังเรียนอยู่ในญี่ปุ่นค่ะ ถ้าไม่เซ็นต์จะไม่ได้รับทุนในเดือนนั้นๆนะเออ

จากนั้นก็ไปรอแก้วที่ Health Center ของมหาลัย รอไม่นาน แค่ประมาณสิบนาทีแก้วก็มาถึง เลยเดินไปตรวจสุขภาพด้วยกัน ตอนไปถึงนี่เกือบสิบโมงแล้วค่ะ เค้านัดให้มาตั้งแต่เก้าครึ่ง ดังนั้นแถวเลยยาวเหยียดออกมานอกตึก เรายืนต่อแถวประมาณสิบห้านาทีกว่าจะได้เข้าไปตรวจ

สิ่งที่ต้องโดนตรวจคือ ตรวจปัสสาวะ วัดความดัน ส่วนสูง น้ำหนัก และเอ็กซเรย์ปอด การตรวจจริงๆกินเวลาไม่นาน แต่มานานตอนรอตรวจนี่ล่ะ กว่าจะเสร็จเลยปาไปสิบเอ็ดโมงกว่า

และเนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด ทุกคนเลยว่างช่วงบ่ายกันหมด เรา แก้ว และแพรว(เด็กแลกเปลี่ยนชาวไทยอีกคนในคลาสที่เจอตอนตรวจสุขภาพ) เลยตกลงกันว่าจะไปเดินเล่นแถวๆโอโนฮาระ ซึ่งเดินจากมหาลัยไปแค่ประมาณสิบนาทีก็ถึง แต่เป็นประตูทางออกคนละทางกับประตูที่ใช้ไปหอของเรา เราเลยไม่เคยเดินไปทางนั้นเลย งานนี้สาวแพรวเลยกลายเป็นไกด์จำเป็นนำทางให้พวกเราค่ะ (หอนางอยู่แถวนี้พอดี)


(ตึกในมหาลัยค่ะ ดูขลังดีเลยถ่ายมา หุหุ)

อากาศวันนี้อุ่นขึ้นจากเมื่อวานเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าเย็นอยู่เพราะลม.. ลมวันนี้แรงมากค่ะ พัดทีรู้สึกเหมือนตัวเองจะปลิวตามลมไปเสียให้ได้(รู้สึกได้แม้จะอ้วนก็ตาม ๕๕๕)

เดินออกจากมหาลัย เลี้ยวขวามาตามทางเรื่อยๆประมาณสิบนาทีก็ถึงโอโนฮาระแล้วค่ะ
สภาพพื้นที่เป็นถนนเส้นใหญ่ แต่สองข้างทางแวดล้อมไปด้วยร้านรวงต่างๆมากมาย


มีเซเว่นด้วยนะ แต่สัญลักษณ์เซเว่นที่นี่จะแตกต่างจากบ้านเรา และไม่ได้มีไว้ขายของอย่างเดียว เป็นที่กดเอทีเอ็มจากต่างประเทศได้ด้วย

เราสามคนแวะไปทานข้าวกลางวันที่มอสเบอร์เกอร์กันค่ะ



ราคาแพงสมกับเป็นญี่ปุ่น แต่รสชาติอร่อยกว่าของไทยล่ะ


(ร้านค้าตามถนน)

จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปสู่ร้านเค้กกันค่ะ ได้ยินเสียงลืมเสียงเล่าอ้างมาจากหลายคนละว่าร้านนี้เค้กอร่อยมาก ต้องลองชิมดูซะที

(ร้านชื่อ Delicius ค่ะ)


ภายในร้านตกแต่งได้อย่างน่ารัก Smiley

มีเค้กให้เลือกเยอะมากค่ะ ยี่สิบชนิดได้ แต่ราคาต่อชิ้นจะอยู่ที่ประมาณ 360-500 เยน ทำให้กินมากไม่ได้ ไม่งั้นกระเป๋าฉีกแน่ Smiley


เค้กของเราสามคนมาแล้วค่ะ เราสั่งสตรอเบอร์รี่ชอร์ทเค้ก แก้วสั่งชีสเค้ก ส่วนแพรวสั่งอะไรจำชื่อไม่ได้ แต่เป็นชีสเค้กอีกแบบหนึ่ง

"เค้กของเราเป็นสตรอเบอร์รี่ชอทเค้กค่ะ เสิร์ฟพร้อมกับวิปครีมรสหวานมันและสตรอเบอร์รี่ชิ้นเล็กพอดีคำ เมื่อกัดลงไปคำแรกจะรู้สึกได้ถึงรสสัมผัสอันอ่อนนุ่มและความฟูของเนื้อเค้กที่ผสมกับความหวานมันของเนื้อครีมสดได้อย่างลงตัว เมื่อรับประทานคู่กับเนื้อสตรอเบอร์รี่ที่ให้รสเปรี้ยวหวาน จะทำให้ไม่เลี่ยนจนเกินไป นับว่าเป็นเค้กที่ผสมวัตถุดิบต่างๆได้ในปริมาณที่เหมาะสมมากค่ะ" - ลองพากย์แบบทีวีแชมเปี้ยนดู อิอิ


ของตกแต่งหน้าร้าน น่ารัก สวยงาม ดูคลาสสิก Smiley

จากนั้นเราก็เดินกลับมหาลัยค่ะ ระหว่างทางลมยังคงพัดแรงเช่นเดิม แต่แสงแดดยามบ่ายที่อ่อนลงกว่าเมื่อตอนเที่ยงทำให้บรรยากาศดูโรแมนติกอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งมีตอนเดินผ่านดงต้นไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสีแล้วนี่ รู้สึกได้เลยว่านี่มันบรรยากาศในหนังชัดๆ!



อ่า... รู้สึกรักฤดูนี้จังเลยค่ะ บรรยากาศสวยงาม ลองหลับตาลง สูดลมหายใจลึกๆ สัมผัสกับบรรยากาศรอบดัว..จะรู้สึกได้ถึงความสดชื่นแห่งฤดูใบไม้ร่วงที่แทรกอยู่ในทุกอณูของอากาศโดยรอบอย่างชัดเจน

(ขอบคุณนางแบบกิตติมาศักดิ์(พ่วงตำแหน่งไกด์) เพื่อนแพรวค่ะ)







Create Date : 01 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2555 0:32:42 น.
Counter : 1422 Pageviews.

3 comment
1  2  3  4  

แมวกับพระจันทร์
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]



New Comments