หนังสือ100ดีเล่ม ภาพสะท้อนการเสพย์วรรณกรรม
โอเค รู้ว่าไม่ชอบอะไรยาวๆ เอาไป50เล่มพอ
1. The Lord of the Rings, JRR Tolkien 2. Pride and Prejudice, Jane Austen 3. His Dark Materials, Philip Pullman 4. The Hitchhiker's Guide to the Galaxy, Douglas Adams 5. Harry Potter and the Goblet of Fire, JK Rowling 6. To Kill a Mockingbird, Harper Lee 7. Winnie the Pooh, AA Milne 8. Nineteen Eighty-Four, George Orwell 9. The Lion, the Witch and the Wardrobe, CS Lewis 10. Jane Eyre, Charlotte Brontë 11. Catch-22, Joseph Heller 12. Wuthering Heights, Emily Brontë 13. Birdsong, Sebastian Faulks 14. Rebecca, Daphne du Maurier 15. The Catcher in the Rye, JD Salinger 16. The Wind in the Willows, Kenneth Grahame 17. Great Expectations, Charles Dickens 18. Little Women, Louisa May Alcott 19. Captain Corelli's Mandolin, Louis de Bernieres 20. War and Peace, Leo Tolstoy 21. Gone with the Wind, Margaret Mitchell 22. Harry Potter And The Philosopher's Stone, JK Rowling 23. Harry Potter And The Chamber Of Secrets, JK Rowling 24. Harry Potter And The Prisoner Of Azkaban, JK Rowling 25. The Hobbit, JRR Tolkien 26. Tess Of The D'Urbervilles, Thomas Hardy 27. Middlemarch, George Eliot 28. A Prayer For Owen Meany, John Irving 29. The Grapes Of Wrath, John Steinbeck 30. Alice's Adventures In Wonderland, Lewis Carroll 31. The Story Of Tracy Beaker, Jacqueline Wilson 32. One Hundred Years Of Solitude, Gabriel García Márquez 33. The Pillars Of The Earth, Ken Follett 34. David Copperfield, Charles Dickens 35. Charlie And The Chocolate Factory, Roald Dahl 36. Treasure Island, Robert Louis Stevenson 37. A Town Like Alice, Nevil Shute 38. Persuasion, Jane Austen 39. Dune, Frank Herbert 40. Emma, Jane Austen 41. Anne Of Green Gables, LM Montgomery 42. Watership Down, Richard Adams 43. The Great Gatsby, F Scott Fitzgerald 44. The Count Of Monte Cristo, Alexandre Dumas 45. Brideshead Revisited, Evelyn Waugh 46. Animal Farm, George Orwell 47. A Christmas Carol, Charles Dickens 48. Far From The Madding Crowd, Thomas Hardy 49. Goodnight Mister Tom, Michelle Magorian 50. The Shell Seekers, Rosamunde Pilcher
ดูรายชื่อหนังสือต่อ
//www.bbc.co.uk/arts/bigread/top100.shtml
ต่อจากนี้เป็นการบ่นยาว อ่านแล้วน่าจะไม่สนุก แต่น่าให้ความสนใจและน่าคิด มากกว่าจะมุ่งให้ความเพลิดเพลิน
ทีนี้ เอามานี่ได้ประโยชน์อะไร ง่ายๆ อย่างน้อยก็ได้ผ่านตาชื่อหนังสือหรือนักเขียนที่(เขาว่า)ดี เพิ่มขึ้นอีกตั้งเยอะ กวาดตาแค่แป๊บเดียวก็ขยายพื้นที่ทางปัญญาได้อีกพอสมควร อีกแง่ก็เหมือนกับเป็นการทบทวนตัวเองว่า เอ ที่ฉันเสพย์วรรณกรรมเนี่ย ที่เขาว่าดีดีกันเนี่ย ฉันเคยเสพย์มันมั่งไหมนะ อ่านแล้วเป็นยังไง ชอบไหม ดีอย่างราคาคุยรึเปล่า
มาดูที่ลำดบกันบ้าง ลำดับบอกอะไรเรา ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่าลำดับนี้มาจากคนรักหนังสือที่โหวตหนังสือจนเกิดเป็นการ จัดลำดับโดยBBC สิ่งที่ถูกสะท้อนออกมาคือ "รสนิยม" การอ่านงานโดยรวมของฝรั่งเขาน่ะครับ การที่โหวตออกมาขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจที่ในอันดับต้นๆจะมีงานbest seller อย่างแฮรี่พ๊อตเตอร์หรือLTOR แต่ที่น่าสนใจ และน่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นคือ ในอันดับมีงานวรรณกรรมในระดับวรรณคดีปะปนอยู่มากเหมือนกัน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นงานที่ได้รับการการันตีว่า "เลอค่า" ในแต่ละยุคสมัย แสดงว่าอะไรครับ มันแสดงว่าในสังคมยุคปัจจุบัน ประชากรของเขายังคง "รู้จัก" และ "เสพย์" งานชั้นยอดเหล่านี้อยู่ และพวกเขา "โหวต" ซึ่งแปลว่่าพวกเขาเห็นคุณค่าและสามารถซาบซึ้งและเข้าใจสิ่งต่างๆที่อยู่ใน ตัวอักษรเหล่านั้นได้
เช่นงานของ เจนส์ ออสเทน ที่มาเป็นอันดับ2! งานเก่าแก่และเลอค่าที่โดดเด่นทั้งการใช้ภาษา และคุณค่าในเนื้อหาได้รับการโหวตให้อยู่เหนือแฮรี่พ๊อตเตอร์ !! นอกจากนี้งานสำคัญๆ ตัวแทนของแต่ละสมัยก็โผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ 1984 ของเออเวลที่ได้รับการยกย่องให้เป็นต้นแบบของนวนิยายอเมริกันสมัยใหม่ งานนิยายแบบต่างๆของสามพี่น้องตระกูลบรองเต้ ภาพสะท้อนความยากลำบากในยุคตื่นเมืองของดิกเก้น เรื่องยาวเหยียดแต่มันคือการเรียนรู้ความเป็นมนุษย์อย่างสงครามและสันติภาพ ของ ลีโอ ตอส์ตอย ต้นแบบของงานนวนิยายแบบโกธิคอย่างเค้าท์ มอนเตคริสโต งานเขียนเขียนเปรียบเทียบเสียดสีสังคมอย่างแอนนิมอลฟาร์มบลา บลา บลา
น่าประทับใจจริงๆ การอ่านงานของสุดยอดปราชญ์ของแต่ละยุค มันคือการ "แหก" โลกทัศน์ของคนอ่านให้ทั้งกว่าง ลึกและละเอียด มันทำให้เราเข้าใจโลก เข้าใจสังคม และเข้าใจมนุษย์มากขึ้น นี่แหละคือประโยชน์ของการเสพย์วรรณกรรมชั้นยอด มันเหมือนกับเราได้เห็นโลกผ่านสายตาของบุคคลที่ยอดเยี่ยมในแต่ละยุคสมัย ได้เข้าใจสิ่งที่พวกเค้าคิิด
ซึึ่งไม่ได้หมายความว่าเมืองไทยด้อยกว่ามากหรืออะไรนะ คนที่เสพย์วรรณกรรมเพื่อนสุนทรียะและการเรียนรู้ยังมีอยู่ แต่นับโดยรวมแล้วถือว่าน้อยมาก มันน่าสนใจนะว่ามันจะเกี่ยวข้องกับภาพรวมของการพัฒนารึเปล่า วรรณกรรมให้อะไรกับผู้เสพย์ ผู้เสพย์ต้องการอะไรจากวรรณกรรม เมืองไทยเวลาว่างนั้นไม่สนใจคำว่าสุนทรียะ(โดยส่วนใหญ่)ไม่สนใจการเสพย์ ศิลปะที่มีความล้ำลึก สิ่งที่คนไทยชอบคืออะไรก็ได้ที่ง่ายๆ เร็วๆ ไม่ต้องคิดมาก และเป็นแบบฉบับดั้งเดิม เห็นได้จากละครน้ำเน่า และการผลิตซ้ำของเรื่องราวที่ขาดความลุ่มลึก
สิ่งนี้แตกต่างออกไปในประเทศที่พัฒนาแล้วโดยส่วนใหญ่ ประเด็นการพูดคุยของคนในสังคมคือการสะท้อนถึงสถานะ บทบาท และความคิด รวมไปถึงการศึกษาของแต่ละคน โดยเฉพาะอย่างยิ่น ชนชั้นที่เรียกตัวเองว่า "ชนชั้นกลาง" ถ้าคุณสถาปนาตนว่าเป็นชนชั้นกลาง นั่นหมายความว่าคุณเป็นคนมีการศึกษา มีเงินที่จะใช้ชีวิต และแน่นอนว่าต้องมีรสนิยมในระดับหนึ่ง(และรสนิยมนั้นก็ย้อนมาจากการศึกษาอีก ที) ดังนั้นประเด็นในการพูดคุยของชนชั้นกลางในฐานะของแรงผลักสำคัญของสังคมก็จะ มีการพูดคุยกัน(และถกเถียง)อย่างกว้างขวางในเรื่องที่เป็นประเด็นต่างๆ ครอบคลุม การเมือง ปรัชญา ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม เหตุการณ์ความเป็นไปของสังคม บลา บลา บลา ซึ่งทั้งหมดจะสดงออกถึงระดับความสนใจของคนคนนั้น และมุมมองที่มีต่อสิ่งรอบตัวต่างๆ
ซึ่งน่าคิดว่าในสังคมไทย การพูดประเด็นต่างๆ(ยกเว้นเรื่องการเมือง) แทบจะหาได้ยากมาก ประเด็นการพูดคุยสำคัญ(ซึ่งแสดงถึงความสนใจในอะไรอย่างของคนในสังคม)นั้น ส่วนใหญ่อยู่ที่ ละครเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง พระเอกหล่อจริง นางเอกตบกับนางร้ายสนุกเหลือเกิน นักแสดง ก ไปมีชู้กับ ข ภาพหลุด นักร้องคนนั้น หนังเรื่องนี้นักแสดงหล่อจัง บลา บลา บลา แน่นอนว่าคนที่สถาปนาตัวเองว่าเป็นชนชั้นกลาง ก็ไม่มีทางที่จะพูดคุยกันเรื่อง "เออ แนวคิดในเรื่องสิทธิสตรีนี่มันยังไงนะ" "ว้าว วรรณกรรมเรื่องนี้สุดยอดเลย" "นี่เธอเคยอ่านบลาๆๆ ไหม ทำไมถึงเสนอแบบนั้นล่ะ เธอว่าไง"
ขอย้ำอีกครั้งว่านี่ไม่ใช่การพูดถึงทุกคน แต่กำลังพูดถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ คนกลุ่มที่ให้ความสนใจกับปรัชญาแนวคิด วรรณกรรม หรือวิทยาศาสตร์(หรืออะไรก็ตามที่มันsophisticatedหน่อย) มันมีน้อยมาก คนที่จะแบบ เฮ้ย นี่งานคุณวินทร์เล่มนี้สุดแล้วเลยนาย อ่านแล้วแบบ ซาบซ่านเห็นถึงภาพการใช้ชีวิต หรือแบบ โอว ใช่เลย งานคุณชาตินี่แหละ อ่านแล้วเราแบบ เห็นอีกมุมของสังคมเลย มันช่างหนอนจริงๆ หรือแบบ นี่เฮ้ย เหตุการณ์นั้นมันเป็นงี๊ๆ เออเหมือนในเรื่อง บลาๆ เลย เนี่ย เป็นเพราะความบีบคั้นทางสังคมชัวร์ ในเรื่องบลาๆ เนี่ยเหมือนกันเลย ฉันว่าชีวิตมันไร้จุดหมายนะนายว่าไง (พอเขียนไปแล้วก็รู้สึกแปลกดี เพราะยกตัวอย่างแบบสุดขั้ว แต่ขอบอกว่าฝรั่งคุยเรื่องพวกนี้แหละ ไม่เชื่อไปลองอ่านดู บริตเจตโจนส์ หรืออะไรก็ตาม ประเด็นการพูดคุยมันเป็นการบ่งบอกสถานะ รสนิยม และการศึกษา เหมือนมันบีบด้วยนะทำนองว่าถ้าคุณบอกว่าคุณมีการศึกษา คุณก็ควรสนใจอะไรแบบนี้ ไม่งั๊นคุณก็เป็นเลเบอร์ เลิกใช้สมองซะ(แบบนี้รึเปล่า มันถึงได้ก้าวไปไว))
น่าคิดนะว่าทำไมคนไทยถึงยี๊กับเรื่องพวกนี้ ชอบบอกว่าฉันทำงานหนัก อยากพักสมอง ดูแต่อะไรที่มันกลวงๆมั่ง ขี้เกียจคิด ขี้เกียจพัฒนาเซลสมอง(มันถึงได้ฝ่อลงทุกวัน?)
ไม่น่าแปลกหรอกที่เค้าจะบอกว่าคนไทยอ่านหนังสือ(ที่มีสาระและสนใจ สาระ)น้อยลงทุกวัน แถมรู้จักสิ่งดีๆที่มนุษย์สร้างสรรค์์ขึ้น น้อยลงทุกวัน
Create Date : 30 ตุลาคม 2552 | | |
Last Update : 30 ตุลาคม 2552 23:01:17 น. |
Counter : 998 Pageviews. |
| |
|
|
|