|
อัฟกานิสถาน : สมรภูมิแห่งปี 2010
ลงพิมพ์ในนิตยสาร Topgun ฉบับเดือนมกราคม 2553
โดย พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ
ทันทีที่ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่าแห่งสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศในสุนทรพจน์ที่โรงเรียนนายร้อยเวสต์ พอยท์ว่า เขาจะเพิ่มกำลังทหารสหรัฐฯ อีกจำนวน 30,000 คนเข้าไปในประเทศอัฟกานิสถานตามคำขอของผู้บัญชาการกองกำลังไอซาฟ (ISAF) พลเอกสแตนลี่ย์ แมคคริสตัล (General Stanley McChrystal) เพื่อสนับสนุนหน่วยทหารและตำรวจอัฟกานิสถานในการต่อสู้กับกลุ่มตอลีบันและอัล กออิดะฮ์ ประชาคมโลกก็มีความเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันขึ้นมา
ดังเช่น ความสับสนของรัฐบาลแคนาดาที่รัฐสภาได้ลงมติอนุมัติไปแล้วว่า แคนาดาจะเริ่มถอนทหารของตนออกจากอัฟกานิสถานในปี 2011 ในขณะที่กลุ่มประเทศนาโต้ซึ่งร่วมอยู่ในกองกำลัง ISAF ก็พยายามพิจารณาหาแนวทางการปฏิบัติของตนเอง เพราะต่างก็อ่อนล้าเต็มทีกับการรบในสงครามอันยืดเยื้อและไม่มีที่สิ้นสุดในประเทศที่ห่างไกล สังคมเต็มไปด้วยความล้าหลัง และภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยขุนเขาสูงชันดังเช่นอัฟกานิสถาน
แต่ในที่สุดนาโต้ก็มีมติให้ส่งกำลังทหารเข้าไปเพิ่มในอัฟกานิสถานอีก 7,000 นาย ทำให้ในปี 2010 จะมีกำลังทหารต่างชาติปฏิบัติภารกิจอยู่ในอัฟกานิสถานเป็นจำนวนถึง 150,000 นาย มากกว่าจำนวนทหารโซเวียตที่เคยส่งเข้าไปยึดครองอัฟกานิสถานในห้วงปี 1980 เสียอีก
และทำให้อัฟกานิสถานกลายเป็นสมรภูมิที่โดดเด่นขึ้นมาแทนที่อิรักทันที อีกทั้งยังทำให้สงครามในอัฟกานิสถานกลายเป็น สงครามของโอบาม่า ไปโดยปริยาย
หากจะวิเคราะห์ถึงเหตุผลที่ทำให้ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ซึ่งเพิ่งได้รับการประกาศรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพตัดสินใจส่งทหารเข้าไปเพิ่มในสมรภูมิอัฟกานิสถาน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาตัดสินใจที่จะยุติการปฏิบัติการทางทหารในอิรัก ด้วยการประกาศถอนกำลังทหารสหรัฐฯ ออกจากอิรักภายในปี 2010 คงเหลือไว้แต่เพียงที่ปรึกษาทางทหารที่จะคงอยู่จนถึงปี 2011 ก่อนที่จะถอนทหารสหรัฐฯออกจากอิรักทั้งหมด
โดยนักวิเคราะห์ตะวันตกมองว่า โอบาม่าได้ให้ความสำคัญในปัญหาอัฟกานิสถานมาตั้งแต่แรกแล้ว เนื่องจากเขามองว่าอัฟกานิสถานนั้นมีความสำคัญมากกว่าอิรัก เพราะเป็นภัยคุกคามสหรัฐฯ และประชาคมโลกโดยตรง เนื่องจากเป็นถิ่นพำนักของโอซามา บิน ลาเดน และกลุ่มอัล กออิดะฮ์ ซึ่งเป็นผู้ลงมือโจมตีสหรัฐฯ ในเหตุการณ์ 9/11 อันเป็นสาเหตุที่ทำให้โลกก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการก่อการร้ายอย่างเต็มรูปแบบ
ส่วนปัญหาในอิรักนั้น โอบาม่ามองในทางตรงข้ามกับอดีตประธานาธิบดี จอร์ช ดับเบิลยู บุช ว่าเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขด้วยกลไกทางการเมืองที่กำหนดขึ้นโดยประชาชนชาวอิรักเอง
ดังนั้นภายหลังจากที่สหรัฐฯ สถาปนาระบอบประชาธิปไตย อันเป็นอุดมการณ์ที่ใช้ในการแทรกแซงกิจการภายในประเทศของประเทศต่างๆ ทั่วโลก เข้าไปทดแทนระบอบซัดดัม ฮุสเซนเรียบร้อยแล้ว ก็ควรจะปล่อยให้ชาวอิรักตัดสินอนาคตของตนเองบนแนวทางประชาธิปไตยต่อไป
นั่นคือเหตุผลที่โอบาม่าต้องการจัดการกับปัญหาในอัฟกานิสถานให้เด็ดขาด อันนำมาสู่การเพิ่มกำลังทหารอีก 30,000 คนนั่นเอง
อย่างไรก็ตามการส่งกำลังทหารเข้าไปในอัฟกานิสถานคราวนี้ โอบาม่ามองว่าจะเป็นไปแบบ ระยะสั้น และ มีกำหนดเวลาที่แน่นอน เพราะเขาได้กำหนดเวลาในการจบภารกิจของกองทัพสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถานเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอัฟกานิสถานภายในเดือนมิถุนายน 2011
ดังเช่นที่โรเบิร์ต กิบส์ (Robert Gibbs) โฆษกทำเนียบขาวเปิดเผยว่า โอบาม่าจะส่งทหารเข้าไปในอัฟกานิสถานเพื่อฝึกฝนกองกำลังทหารและตำรวจของอัฟกานิสถานให้มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อกรกับกลุ่มตอลีบันและอัล กออิดะฮ์ ภายหลังจากนั้นก็จะถอนทหารออกมาทันที
โดยประธานาธิบดีโอบาม่าวางแผนว่าจะถอนกำลังทหารสหรัฐฯ เกือบทั้งหมดออกจากอัฟกานิสถานให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมกราคม 2013 ซึ่งเป็นห้วงเวลาช่วงสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกของโอบาม่า และจะมอบภาระความรับผิดชอบต่างๆ ให้กับกองกำลังของอัฟกานิสถานเป็นผู้รับผิดชอบอย่างเต็มตัว
แม้จะมีข้อกังขาอยู่อย่างมากมายว่า กำลังทหารและตำรวจของอัฟกานิสถานที่มีจำนวนกว่า 95,000 คนทั่วประเทศนั้นจะมีศักยภาพเพียงพอในการต่อสู้กับกลุ่มตอลีบันได้มากน้อยเพียงใด ถึงแม้สหรัฐฯ มีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังทหารอัฟกันเหล่านั้นให้มีจำนวนถึง 134,000 คนภายในเดือนตุลาคม 2010 และเพิ่มเป็น 240,000 คนภายในปี 2013 ก็ตาม
กำลังทหารจำนวน 30,000 นายที่ประธานาธิบดีโอบาม่าจะจัดส่งเข้าไปในอัฟกานิสถานภายในต้นปี 2010 นี้ เป็นหน่วยในระดับกองพลน้อย (Brigade) จำนวน 2 กองพล จัดจากหน่วยนาวิกโยธินจำนวน 1 กองพลน้อยและจากกองทัพบกอีก 1 กองพลน้อย รวมกับหน่วยกำลังสำรองอื่นๆ
โดยจะเข้าประจำการในพื้นที่ทางตอนใต้และตะวันออกของอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทหารสหรัฐฯ และนาโต้มีอัตราการสูญเสียสูง เนื่องจากมีการรบที่รุนแรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางตอนใต้ของประเทศที่ทหารสหรัฐฯ จำนวน 20,000 คนจากทั้งหมด 30,000 คนที่ส่งเข้าไปใหม่จะเข้าประจำการในบริเวณนี้ เช่น บริเวณตำบล อาร์กานดาป (Arghandab), ซารี (Zari) และ ปัญจวาล (Panjwal) ที่ตั้งอยู่ชานเมือง กันดาฮาร์ (Kandahar) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของอัฟกานิสถาน มีประชากรกว่า 1.3 ล้านคน
หน่วยทหารสหรัฐฯ จะทำหน้าที่เป็นกำลังเสริมให้กับหน่วยทหารแคนาดาจำนวนประมาณ 2,800 นายที่ประจำการอยู่เดิม โดยอยู่ใต้การบังคับบัญชาของทหารแคนาดาร่วมกับกองพันทหารราบของสหรัฐฯ อีก 2 กองพัน
คาดว่าด้วยกำลังทหารที่เพิ่มขึ้นจะทำให้การสู้รบกับกลุ่มตอลีบันและอัล กออิดะฮ์ที่หลบซ่อนตัวอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดนอัฟกานิสถาน ปากีสถานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พลเอกสแตนลี่ย์ แมคคริสตัล ผู้บัญชาการกองกำลัง ISAF ในอัฟกานิสถานได้เคยแสดงความเห็นที่ดุเดือดผ่านทางสื่อมวลชนเมื่อกลางปีที่ผ่านมาว่า หากสหรัฐฯ ต้องการเอาชนะกลุ่มตอลีบัน ก็มีความจำเป็นต้องส่งกำลังทหารอย่างน้อย 40,000 คนเข้าไปเสริม
แต่ในที่สุดประธานาธิบดีโอบาม่าก็ได้กำหนดจำนวนทหารที่จะส่งไปเข้าเพิ่มเพียง 30,000 คนน้อยกว่าที่เขาต้องการ แต่เมื่อรวมกับทหารนาโต้อีก 7,000 คนที่จะส่งเข้าไปเพิ่มอีก ก็ทำให้ตัวเลขทหารที่เพิ่มขึ้นในอัฟกานิสถานใกล้เคียงกับที่แมคคริสตัลต้องการ และเขาก็พร้อมที่จะเปิดฉากการรุกครั้งใหญ่ทันทีที่กำลังส่วนใหญ่เดินทางเข้าพื้นที่ดังคำกล่าวให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งว่า
.... ถึงเวลาแล้วที่จะรุกไปข้างหน้า ... ภารกิจของเราคือ การประกาศให้พวกตอลีบันและอัล กออิดะฮ์รับรู้ว่า โอกาสที่พวกเขาจะมีชัยชนะเหนือสหรัฐฯ และนาโต้นั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง ...
จากคำกล่าวของแมคคริสตัลทำให้หลายฝ่ายเชื่อมั่นว่า ในปี 2010 อัฟกานิสถานจะเป็นสมรภูมิที่ดุเดือดและนองเลือดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กำลังทางบกและทางอากาศของสหรัฐฯ และนาโต้จะโหมเข้าโจมตีที่มั่นของกลุ่มตอลีบันในพื้นที่ห่างไกลอย่างชนิดที่เรียกว่า ลืมหูลืมตาไม่ขึ้น
อาวุธที่มีเทคโนโลยีในการทำลายล้างขั้นสูงสุดจะปรากฏโฉมออกมาให้โลกได้เห็น เหมือนเมื่อครั้งที่จรวด โทมาฮอค (Tomahawk) ได้เผยโฉมให้โลกได้เห็นในการโจมตีอัฟกานิสถานและอิรักเมื่อปี 2001 2003
แต่ในครั้งนี้โลกจะได้เห็นอากาศยานโจมตีล่องหน (Stealth) แบบไร้นักบินมากมายหลายรุ่น เช่น รุ่น อาร์คิว 170 เซนทิเนล (RQ 170 Sentinel) หรือที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ตั้งฉายาไว้ว่า อสูรแห่งกันดาฮาร์ (The Beast of Kandahar) ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ล่าสุด เช่น รถถังเอ็ม 1 เอ 1 และ เอ 2 ของสหรัฐอเมริกาที่บริษัทเจเนอรัล ไดนามิคส์ได้ปรับปรุงใหม่ล่าสุดในปี 2008 ด้วยการติดตั้งชุดระบบพัฒนาขีดความสามารถ (SEP System Enhancement Package) ที่ทำให้พลประจำรถสามารถตรวจจับเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งมีระบบป้องกันตัวเองจากการโจมตีที่ดีเยี่ยม, รถถังชาลเลนเจอร์ 2 อีของอังกฤษซึ่งเป็นรุ่นที่พัฒนามาจากรถถังชาลเลนเจอร์ 2 ที่มีอานุภาพสูงโดยเฉพาะเกราะที่สามารถทนทานต่อระเบิดแสวงเครื่อง (IED Improvise Explosive Device) ที่เป็นภัยคุกคามสำคัญของรถถังที่ปฏิบัติการในอิรักและอัฟกานิสถานอยู่ในขณะนี้, รถถังเลโอปาร์ต 2 เอ 6 ของเยอรมันและแคนาดาที่เพิ่งพัฒนาออกจากสายพานการผลิตเมื่อปีที่ผ่านมา เป็นต้น ... สงครามในครั้งนี้ไม่ใช่สงครามเพื่อชัยชนะ (conquest) ไม่ใช่สงครามเพื่อผลประโยชน์ (profit) หากแต่เป็นสงครามที่ให้ทางเลือก (chance) แก่ประชาชนอัฟกานิสถาน ...
ผู้บัญชาการกองกำลัง ISAF ในอัฟกานิสถานกล่าวแก่สื่อมวลชนตอนหนึ่ง โดยเขาได้ระบุถึงยุทธศาสตร์สามประการของสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถานว่า ยุทธศาสตร์แรกคือการใช้กำลังทหารและอานุภาพทางสงครามกดดันและทำลายกลุ่มตอลีบัน เพื่อลดศักยภาพในการเป็นภัยคุกคามต่อรัฐบาลอัฟกานิสถาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนอัฟกานิสถานว่า รัฐบาลอัฟกานิสถานภายใต้การนำของนายฮาร์มิด คาร์ไซ (Hamid Karzai) จะเป็นผู้กำชัยชนะในสงครามครั้งนี้ รวมทั้งเป็นผู้มีสิทธิขาดในการกำหนดชะตากรรมของประเทศ
ดังนั้นหากกลุ่มตอลีบันต้องการอยู่รอด พวกเขาก็จำต้องยอมรับเงื่อนไขของรัฐบาลและออกมาร่วมกับรัฐบาลในการบริหารประเทศต่อไป
ยุทธศาสตร์ที่สอง คือการสร้าง วงแหวนแห่งความมั่นคง (ring of stability) นั่นคือการดึงกำลังทหารสหรัฐฯ และนาโต้ส่วนหนึ่งออกจากพื้นที่ป่าเขาห่างไกล แล้วเข้ายึดครองพื้นที่เขตเมือง ทั้งเมืองที่อยู่ในกำมือของรัฐบาลและเมืองที่อยู่ในเขตอิทธิพลของกลุ่มตอลีบัน
จากนั้นจะวางกำลังป้องกันเมืองเสมือนป้อมค่ายที่คอยปกป้องเมืองต่างๆ จากการเข้ามาแผ่อิทธิพลของกลุ่มตอลีบัน
ในขณะเดียวกันก็จะใช้การปฏิบัติงานด้านกิจการพลเรือนในเขตเมือง หรือที่มีการบัญญัติศัพท์ขึ้นมาใหม่คำหนึ่งว่า ซิล-มิล (Cil Mil มาจากคำว่า Civil - Military) ซึ่งเป็นการปฏิบัติการร่วมกันระหว่างองค์กรพลเรือนและกองทัพในการพัฒนาความอยู่ดีกินดีของประชาชน เพื่อสร้างแรงสนับสนุนจากชาวอัฟกานิสถาน กล่าวง่ายๆ ก็คือ ต้องการเอาชนะใจประชาชน นั่นเอง
อย่างไรก็ตามมีการวิเคราะห์ว่าการปฏิบัติการ วงแหวนแห่งความมั่นคง และการปฏิบัติการ ซิล-มิล นี้จะทำให้สหรัฐฯ และนาโต้ตกเป็นเป้าหมายต่อฝ่ายตรงข้ามได้ง่ายขึ้น เพราะได้เปลี่ยนยุทธวิธีจากการรุกมาเป็นการตั้งรับ
ดังนั้นประธานาธิบดีโอบาม่าจึงพยายามลดจุดอ่อนด้วยการเพิ่มกำลังทหารเข้าไปตรึงพื้นที่ชนบทห่างไกล เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มตอลีบันเคลื่อนไหวเข้าสู่เขตเมืองได้โดยง่าย ยุทธศาสตร์ที่สามคือ การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับทหารและตำรวจอัฟกานิสถาน เพื่อให้กองกำลังเหล่านี้เข้าควบคุมจุดยุทธศาสตร์ในเมืองต่างๆ ที่มี วงแหวนแห่งความมั่นคง แทนกำลังทหารของสหรัฐฯ และนาโต้
โดยการปฏิบัติการนี้เรียกว่า การแก้ปัญหาโดยคนอัฟกัน หรือ Afgan solution ซึ่งเป็นการปฏิบัติการด้วยการใช้ตำรวจอัฟกานิสถานจำนวนกว่า 92,000 นายเป็นกำลังหลัก และได้รับการสนับสนุนโดยกำลังทหารอัฟกานิสถาน
หากแผนการดังกล่าวประสบความสำเร็จจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนอัฟกานิสถานได้เป็นอย่างมาก ซึ่งยุทธศาสตร์นี้หลายฝ่ายยังคงสงสัยถึงขีดความสามารถของทหารและตำรวจอัฟกานิสถานว่า จะมีศักยภาพเพียงพอดังที่สหรัฐฯ คาดหวังเอาไว้หรือไม่
ที่กล่าวมาข้างต้นคือยุทธศาสตร์สามประการของสหรัฐฯ ในปี 2010 ซึ่งก็ไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้คนต่างๆ ไปเสียทุกคน แม้กระทั่งพลจัตวาเฟรดเดอริก ฮอดจ์ (Brigadier General Frederick Hodges) ผู้บัญชาการกองกำลัง ISAF ภาคใต้ของอัฟกานิสถานซึ่งเป็นคนหนึ่งที่มองว่า การเพิ่มกำลังทหารไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาการสู้รบในพื้นที่ทางตอนใต้ที่เขารับผิดชอบเท่าไรนัก ดังที่เขาได้ให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งว่า
...แม้จะส่งทหารมาทั้งยุโรป ก็ไม่มีวันที่เราจะมีทหารเพียงพอ เพราะพื้นที่ทางตอนใต้ของอัฟกานิสถานนั้นกว้างใหญ่ไพศาล และเต็มไปด้วยหุบเขามากมาย ในช่วงที่ผ่านมาพวกตอลีบันสามารถครอบครองพื้นที่ในตำบลอาร์กานดาปของเมืองกันดาฮาร์ได้มากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ มุลลาฮ์ นาคิป (Mullah Naqib) ผู้นำในพื้นที่ที่ทรงอิทธิพลและสนับสนุนกองกำลังสหรัฐฯ เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจตั้งแต่ปี 2007 ดังนั้นหากเราต้องการครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนใต้ให้ได้ในปี 2010 ก็ต้องโหมโจมตีที่มั่นต่างๆ ที่พวกตอลีบันครอบครองอยู่ ... ซึ่งแน่นอนว่า ... มันจะเป็นการรบที่หนักหนาสาหัสสำหรับพวกเราเลยทีเดียว ... มุมมองของฮอดจ์อาจจะถูกต้องก็เป็นได้ เพราะนับแต่อดีตเป็นต้นมา ดินแดนอัฟกานิสถานนั้นไม่เคยมีใครสามารถครอบครองพื้นที่ได้ทั้งหมด เนื่องจากพื้นที่มีความกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยขุนเขาสลับซับซ้อน
แม้แต่พวกตอลีบันในอดีตเองก็ไม่เคยครอบครองพื้นที่อัฟกานิสถานได้ทั้งประเทศ ดังที่จอห์น กริฟฟิธส์ (John Griffiths) ได้เขียนในหนังสือเรื่อง อัฟกานิสถาน : ประวัติศาสตร์แห่งความขัดแย้ง (Afganistan : A History of Conflict) ตอนหนึ่งว่า ... เนื่องจากอัฟกานิสถานเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศทุรกันดาร ในห้วงที่อัฟกานิสถานถูกปกครองโดยพวกตอลีบัน พวกเขาสามารถครอบครองอัฟกานิสถานได้เพียงแค่ 80 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เท่านั้น ส่วนใหญ่ของพื้นที่ที่ครอบครองก็เป็นเมืองใหญ่และเส้นทางถนนสายหลักๆ พื้นที่ต่างๆ นอกเหนือไปจากนั้น จะเป็นของชนเผ่าที่อยู่กันกระจัดกระจายและมีผู้นำเผ่าของตนเอง คนเหล่านี้ไม่สนใจว่าใครจะมาเป็น รัฐบาล ... รัฐบาล ที่พวกเขาที่ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ามันมีผลอะไรต่อชีวิตประจำวันของพวกเขาบ้าง ขอเพียงแต่ให้พวกเขามีชีวิตที่สงบสุข มีครอบครัว และมีอาหารทานในแต่ละวันก็เพียงพอแล้ว ... พื้นที่ห่างไกลเหล่านี้นี่เอง ที่เป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับการครอบครองดินแดนอัฟกานิสถานจากผู้รุกรานทุกชนชาติ เพราะไม่มีวันที่ใครจะสามารถครอบครองดินแดนแห่งนี้ได้ทุกตารางนิ้ว ...
เมื่อเปรียบเทียบข้อเขียนของกริฟฟิธส์ กับนโยบายในการเพิ่มกำลังทหารของประธานาธิบดีโอบาม่าในปี 2010 แล้วจะเห็นว่า โอบาม่าต้องการใช้กำลังทหารเข้าครอบครองพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มตอลีบันให้มากที่สุด โดยร่วมกับกำลังทหารของนาโต้ซึ่งปัจจุบันประกอบไปด้วย ทหารจากอิตาลี 2,400 นาย อังกฤษ 9,000 นาย เยอรมัน 4,365 นาย ฝรั่งเศส 3,095 นาย และแคนาดา 2,800 นาย
ซึ่งจำนวนเหล่านี้กำลังจะเพิ่มขึ้นอีก 7,000 นาย โดยจะร่วมกับกองกำลังทหารและตำรวจอัฟกานิสถานในการปฏิบัติการ ก่อนที่จะบีบให้กลุ่มตอลีบันต้องใช้วิธีการเจรจาและหันมาร่วมกับรัฐบาลของนายฮาร์มิด คาร์ไซ อันเป็นหนทางเดียวที่จะยุติความขัดแย้งในอัฟกานิสถานลงได้อย่างถาวร
อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการปฏิบัติการของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรในการสร้างอัฟกานิสถานขึ้นให้เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยจากกลุ่มตอลีบันและอัล กออิดะฮ์ในปี 2010 ก็คือ ความเป็นรัฐบาลที่ฉ้อฉลของนายฮาร์มิด คาร์ไซ ที่ถูกกล่าวหาว่าโกงการเลือกตั้ง และคอร์รัปชั่นงบประมาณทางทหารที่มีมากมายมหาศาล ซึ่งประธานาธิบดีโอบาม่าเองก็ตระหนักดีถึงเรื่องนี้ จนถึงกับประกาศในสุนทรพจน์ตอนหนึ่งของเขาว่า
... หมดเวลาแล้วสำหรับการจ่ายเช็คเปล่าให้กับรัฐบาลอัฟกานิสถาน ...
นอกจากจะกล่าวเตือนนายฮาร์มิด คาร์ไซแล้ว โอบาม่ายังส่งสัญญาณให้นางฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเตรียมหยุดการช่วยเหลือในทุกๆ ด้านแก่รัฐบาลอัฟกานิสถาน หากพบว่านายคาร์ไซยังคงตักตวงผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง
นอกจากการคอร์รัปชั่นกันอย่างมโหฬารแล้ว รัฐบาลของนายคาร์ไซยังได้ชื่อว่า มีการกระทำอันละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนมาโดยตลอด แต่สหรัฐฯ เองก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก เพราะบุคคลสำคัญในรัฐบาลของนายคาร์ไซ ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ชนิดที่เรียกว่า เคยร่วมหัวจมท้าย ในการโค่นล้มอดีตรัฐบาลตอลีบันมาด้วยกัน
เช่น นายมูฮัมหมัด คาซิม ฟาฮิม (Muhammad Qasim Fahim) รองนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มพันธมิตรภาคเหนือ หรือ นอร์ธเทิร์น อัลลายแอนซ์ (Northern Alliance) ที่ร่วมกับสหรัฐฯ โจมตีรัฐบาลตอลีบันมาตั้งแต่ปี 2001 จนสามารถล้มล้างกลุ่มตอลีบันได้ในที่สุด ฟาฮิมได้รับการขนานนามจากองค์การสิทธิมนุษยชนว่าเป็น หนึ่งในผู้นำอัฟกานิสถานที่มือเปื้อนเลือดมากที่สุด
นอกจากนี้ก็ยังมีนายโมฮัมหมัด อิสมาอิล ข่าน (Muhammad Ismail Khan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและน้ำ ที่มีส่วนสำคัญในการสังหารหมู่ผู้นำกลุ่ม มูจาฮิดีน จำนวนมากที่เป็นอริกับเขา ก่อนก้าวขึ้นสู่อำนาจ นอกจากความโหดเหี้ยมแล้วเขายังกอบโกยทุกอย่างที่ขวางหน้าพอๆ กับนายเซดิค ชาร์การี (Sediq Chakari) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฮัจจ์และอิสลาม ที่ถูกกล่าวหาว่าคอร์รัปชั่นเงินสนับสนุนผู้แสวงบุญในการเดินทางไปนครเมกกะ และนายมูฮัมหมัด อิบราฮิม เอเดล (Muhammad Ibrahim Adel) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแร่ธาตุ ที่ถูกกล่าวหาว่ารับเงินสินบนมูลค่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากบริษัทเหมืองแร่ของจีนในการเข้ารับสัมปทานเหมืองทองแดง
ซึ่งข้อกล่าวหานี้ได้รับการชี้แจงจากเขาว่า การพิจารณาให้สัมปทานเป็นไปอย่างโปร่งใสผ่านคณะรัฐมนตรีที่มีนายฮาร์มิด คาร์ไซเป็นประธาน ข้อชี้แจงนี้นอกจากจะฟังไม่ขึ้นแล้ว ยังเป็นการนำเอานายคาร์ไซเข้าไปพัวพันอีกด้วย
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า เส้นทางสงครามในอัฟกานิสถานปี 2010 ของประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า คงไม่ราบรื่นอย่างที่คาดเอาไว้ เพราะอุปสรรคจากพื้นที่อันกว้างใหญ่ทุรกันดาร และจากองค์กรรัฐบาลอัฟกานิสถานที่ล้มเหลว จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทหารสหรัฐฯ และนาโต้ต้องทุ่มเททรัพยากรสงครามมากกว่าที่ควรจะเป็น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างอัฟกานิสถานให้เป็นรัฐที่มั่นคง เข้มแข็ง
และที่สำคัญคือไม่หวนกลับไปเป็น สรวงสวรรค์ ของกลุ่มตอลีบันและอัล กออิดะฮ์ในการโจมตีสหรัฐฯ และสังคมโลกอีก สมดังที่ประธานาธิบดีโอบาม่าได้ตั้งความหวังเอาไว้
Create Date : 08 มีนาคม 2553 | | |
Last Update : 8 มีนาคม 2553 14:48:14 น. |
Counter : 7308 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
การโจมตีแบบพลีชีพ
การโจมตีแบบพลีชีพ (Suicide Attack)
ตีพิมพ์ในนิตยสาร Topgun ฉบับเดือนธันวาคม 2552
โดย พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ
"... การโจมตีแบบพลีชีพ ถูกผูกโยงเข้ากับการต่อสู้ทางศาสนา แต่ความจริงแล้ว การโจมตีดังกล่าวมีประวัติมายาวนานและไม่มีความเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ทางศาสนาเลยแม้แต่น้อย ..."
เสียงระเบิดที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งเมืองเปชาวาร์ (Peshawar) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถานเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2009 ที่ผ่านมา ได้ปลุกให้ประชาคมโลกหันมาให้ความสนใจกับการโจมตีด้วย ระเบิดพลีชีพ อีกครั้ง พร้อมๆ กับชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ 19 ชีวิตที่ได้ถูกมัจจุราชกระชากออกจากร่าง ทำให้บริเวณพื้นที่เมืองดังกล่าวกลายเป็นพื้นที่อันตรายที่ถูกโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพเป็นจำนวนถึง 6 ครั้ง ในเวลาเพียงไม่ถึงสองสัปดาห์ เป็นการตอกย้ำให้มวลมนุษยชาติได้ตระหนักว่า โลกยุคปัจจุบันคือ โลกแห่งยุคของการก่อการร้ายอย่างแท้จริง
นับตั้งแต่โลกได้เคลื่อนตัวผ่านยุค สงครามเย็น และก้าวเข้าสู่ยุคแห่ง การก่อการร้าย อย่างสมบูรณ์แบบ สังคมต่างๆ ดังเช่นสังคมในเมืองที่เงียบสงบแบบเมือง เปชาวาร์ ก็ถูกปกคลุมไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวจากศักยภาพของการปฏิบัติการของกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ เพราะการปฏิบัติการเหล่านั้น ไม่ได้มีเป้าหมายอยู่ที่สัญลักษณ์ทางการเมือง การทหาร หรือสิ่งที่แสดงถึงอำนาจของฝ่ายตรงข้าม
หากแต่มีเป้าหมายอยู่ที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ เด็ก สตรีและคนชรา การก่อการร้ายได้ก่อให้เกิดแนวความคิดที่ว่า ไม่มีที่ใดที่ปลอดภัยอีกต่อไป สถานที่หลายแห่ง เช่น โรงแรม สถานที่ตากอากาศ สถานีรถไฟ หรือห้างสรรพสินค้าที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า อาวุธแห่งการทำลายล้างที่รุนแรง เหี้ยมโหด ถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายผลิตคิดค้นขึ้นมา เพื่อต่อสู้กับอาวุธและอำนาจรัฐฯ ที่มีศักยภาพและความรุนแรงไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นระเบิดแสวงเครื่อง (IED Improvised Explosive Device) อาวุธเชื้อโรค (Biochemical weapon - Bioterrorist) อาวุธศักยภาพทำลายล้างสูง (Weapon of Mass Destruction) และระเบิดพลีชีพ (Suicide Bomb)
เมื่อกล่าวถึงการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพ หรือที่บางคนเรียกว่า ระเบิดแบบฆ่าตัวตาย ที่กำลังกลายเป็นเอกลักษณ์ของการก่อการร้ายที่เชื่อมโยงกับสงครามทางศาสนา จนดูเหมือนจะเกิดความเข้าใจผิดในกลุ่มคนรุ่นใหม่ว่า การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพ คือ ภารกิจหนึ่งของการเสียสละเพื่อทำสงครามทางศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งแนวคิดดังกล่าวได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการจำนวนหนึ่งว่า เป็นแนวคิดที่ถูกทำให้ผันแปรไปจากความเป็นจริง รวมทั้งมีความพยายามชี้ให้เห็นว่า การโจมตีแบบพลีชีพนั้น ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการทำสงครามทางศาสนาอย่างที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายบางกลุ่มมุ่งหวังจะให้เป็น
หากมองย้อนกลับไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เราจะพบว่านักรบกลุ่มแรกๆ ที่เปิดฉากการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพ ไม่ใช่นักรบที่สละชีพเพื่อศาสนา ไม่ใช่แม้แต่สละชีพเพื่อพระเจ้า หากแต่เป็นการสละชีพเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินมาตุภูมิของนักบินกองทัพอากาศญี่ปุ่น ที่สร้างวีรกรรมอันห้าวหาญด้วยการนำเครื่องบินขับไล่บรรทุกระเบิด ตอร์ปิโด หรือบรรทุกน้ำมันเต็มลำพุ่งเข้าชนเรือรบของสหรัฐฯ และสัมพันธมิตรภายใต้ชื่อ กามิกาเซ่ (Kamikaze) หรือ ลมศักดิ์สิทธิ์
ทั้งนี้เพื่อมุ่งผลในความแม่นยำของการโจมตีเป้าหมาย โดยกามิกาเซ่เริ่มปฏิบัติภารกิจครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 1944 ในการรบที่อ่าวเลย์เตของฟิลิปปินส์ เพื่อหยุดยั้งการรุกคืบหน้าของกองเรือสหรัฐฯ การปฏิบัติภารกิจของเหล่านักบินกามิกาเซ่เป็นการปฏิบัติที่กล้าหาญ เสียสละ และอุทิศตนต่อการทำลายเป้าหมายทางทหารของข้าศึก
ดังเช่นบันทึกตอนหนึ่งของ ร้อยโท ยูกิโอะ เซกิ(Lieutenant Yukio Seki) นักบินกามิกาเซ่ที่กล่าวว่า
เราสมควรตายดีกว่า หากจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างคนขี้ขลาด
ในขณะที่นักบินกามิกาเซ่ปฏิบัติการโจมตีด้วยการขับเครื่องบินพุ่งชนเรือรบของศัตรู ทหารราบญี่ปุ่นเองก็มีวิธีการโจมตีแบบพลีชีพ หรือที่โลกตะวันตกขนานนามว่า การโจมตีแบบบันไซ (Banzai Charge) ด้วยเช่นกัน
การโจมตีชนิดนี้จะเป็นการใช้คลื่นมนุษย์ของเหล่าทหารกองทัพญี่ปุ่น เคลื่อนที่เข้าโจมตีข้าศึกในการรบขั้นแตกหัก หรือการรบที่เต็มไปด้วยความเสียเปรียบ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับเป็นเชลย หรือการยอมแพ้
การที่ทหารอเมริกันเรียกการโจมตีชนิดนี้ว่า การโจมตีแบบบันไซ ก็เพราะขณะที่เคลื่อนที่เข้าโจมตี ทหารญี่ปุ่นจะตะโกนว่า เทนโนะเฮกะ บันไซ ซึ่งแปลว่า ขอให้องค์จักรพรรดิทรงพระเจริญ
การโจมตีแบบบันไซครั้งแรกๆ เปิดฉากขึ้นเมื่อญี่ปุ่นตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพ่ายแพ้ที่เกาะอัตสุ (Attu Island) ซึ่งพันเอกยาสุโกะ ยามาซากิ (Colonel Yasuko Yamazaki) สังกัดหน่วยนาวิกโยธินญี่ปุ่น ได้รวบรวมทหารจำนวนกว่าหนึ่งพันนาย เข้าตีที่มั่นของทหารอเมริกัน
โดยเขาถือดาบซามูไรนำหน้าเหล่าทหารด้วยความกล้าหาญจนสามารถเจาะแนวตั้งรับเข้าไปได้จนถึงกำลังส่วนหลังของกองทัพอเมริกัน สร้างความสูญเสียอย่างมาก ก่อนที่กำลังทหารญี่ปุ่นทั้งหมดจะถูกทำลายลง
ผลจากการรบ มีทหารญี่ปุ่นรอดชีวิตเพียง 28 นาย พลเสนารักษ์ของญี่ปุ่นที่รอดชีวิตจากการสู้รบ ได้เล่าถึงยามาซากิว่า
พันเอกยามาซากิเป็นนักรบที่กล้าหาญมาก เขารู้ว่าทหารญี่ปุ่นไม่มีโอกาสที่จะต่อสู้กับกำลังของฝ่ายสหรัฐฯ ที่มีจำนวนมากกว่าได้ แทนที่จะรอวันตาย เขากลับสั่งให้ทหารทุกนายวิ่งเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ ก่อนตายยามาซากิบันทึกไว้ในหนังสือไดอารี่ของเขาว่า ... ฉันกำลังจะสละชีพเพื่อผืนแผ่นดินนี้ หลังจากที่มีชีวิตอยู่มาเป็นเวลา 33 ปี ... ฉันไม่เคยเสียใจ และจะไม่เสียใจที่ตัดสินกระทำการเช่นนี้ ... ขอองค์พระจักรพรรดิจงทรงพระเจริญ ...
ทั้งการโจมตีแบบกามิกาเซ่และบันไซ ล้วนเป็นการโจมตีแบบพลีชีพทั้งสิ้น ไม่ต่างจากการโจมตีแบบพลีชีพที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในยุคปัจจุบัน หากแต่มีความแตกต่างตรงที่ กามิกาเซ่ และ บันไซ เป็นการโจมตีที่มุ่งหวังต่อกำลังพล สถานที่ทางยุทธศาสตร์และอาวุธยุทโธปกรณ์ของข้าศึก มิได้มุ่งหวังทำลายล้างชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงทำให้การโจมตีของกองทัพญี่ปุ่นทั้งสองรูปแบบ ได้รับการยกย่องว่าเป็นการปฏิบัติการรบที่กล้าหาญและเสียสละ
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด เรื่องราวของการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพก็เริ่มจางหายไปจากความทรงจำของผู้คน หลงเหลือไว้แต่เรื่องราวอันห้าวหาญของทหารเหล่านั้น จนกระทั่งกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลม (Liberation Tigers of Tamil Eelam) ในประเทศศรีลังกาได้เปิดฉากใช้การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพขึ้นมาอีกครั้ง
คราวนี้เป็นการโจมตีที่มีวัตถุประสงค์เพื่อต่อสู้และบั่นทอน ทำลายอำนาจรัฐ และสถาปนารัฐอิสระ ทมิฬ ขึ้นทางตอนเหนือและทางตะวันออกของประเทศศรีลังกา
คราวนี้ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้ว่ากลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลมเป็นกองกำลังกลุ่มแรกที่คิดค้น เข็มขัดพลีชีพ (suicide belt) อันลือชื่อที่กลุ่มก่อการร้ายต่างๆ นำมาใช้ในการโจมตีแบบระเบิดพลีชีพในปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังได้มีการจัดตั้งหน่วยพลีชีพที่มีชื่อว่า พยัคฆ์ดำ (Black Tiger) ที่มีสมาชิกทั้งชายและหญิง ทำหน้าที่ในการโจมตีแบบพลีชีพในทุกรูปแบบต่อหน่วยทหารศรีลังกา ผู้นำรัฐบาลและบุคคลสำคัญในวงการเมืองของศรีลังกา
นิตยสาร เจน (Jane) ได้สรุปสถิติการโจมตีแบบพลีชีพของหน่วยพยัคฆ์ดำว่าได้ออกปฏิบัติภารกิจจำนวน 168 ครั้ง ตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 1976 จนถึง 2009 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่กลุ่มต้องประสบกับความพ่ายแพ้ต่อฝ่ายรัฐบาลในที่สุด รวมถึงการโจมตีท่าอากาศยานโคลัมโบของศรีลังกาในปี 2001 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 16 คน และทำให้อากาศยานพาณิชย์และอากาศยานทางทหารของกองทัพอากาศศรีลังกาจำนวนหนึ่งได้รับความเสียหาย
นอกจากนี้ในปี 1998 กลุ่มพยัคฆ์ดำยังเป็นผู้โจมตีศาสนสถานของพุทธศาสนาในเมืองกันดี (Kandy) ซึ่งได้รับการจัดให้เป็นมรดกโลก และนับเป็นศาสนสถานที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของศรีลังกา การโจมตีครั้งนี้ทำให้มีผู้แสวงบุญจำนวน 8 คนเสียชีวิต
รวมทั้งนักรบพยัคฆ์ดำก็ยังเป็นผู้โจมตีแบบพลีชีพในการสังหารอดีตนายกรัฐมนตรีราจีฟ คานธี ของอินเดียในปี 1991 อีกด้วย ซึ่งการโจมตีแบบพลีชีพของกลุ่มนับเป็นการโจมตีบนพื้นฐานของการเมืองเป็นหลัก มิได้มีพื้นฐานอยู่บนหลักศาสนาแต่อย่างใด
การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพที่กำลังเป็นที่จับตามองในปัจจุบัน ก็คือการโจมตีในตะวันออกกลางซึ่งมีพื้นฐานมาจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ส่งผลให้เกิดความกดดันทางจิตใจต่อชาวปาเลสไตน์อย่างมาก
ดังเช่นที่สมาชิกกลุ่มฟาทาฮ์ (Fatah) ซึ่งปฏิบัติการต่อต้านอิสราเอลในฉนวนกาซาและเวสต์แบงค์เปิดเผยต่อสำนักข่าวตะวันตกว่า
... ความเคียดแค้น ชิงชังที่มีต่ออิสราเอลในการกระทำต่อชาวปาเลสไตน์นั้น เป็นสิ่งที่ทำให้มีจดหมายยื่นความจำนงเข้าเป็นมือระเบิดพลีชีพเพื่อต่อสู้กับอิสราเอลหลั่งไหลเข้ามามากมายราวกับสายน้ำเลยทีเดียว ในจำนวนนี้มีทั้งสตรีหม้ายที่สูญเสียทั้งสามีและบุตร มีทั้งเด็กเยาวชนที่สูญเสียบิดามารดาไปจากการโจมตีของทหารอิสราเอล ...
มือระเบิดพลีชีพเหล่านี้ได้ออกปฏิบัติภารกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนมีนาคม 2002 ที่กลุ่มฮามาสและฟาทาฮ์ได้โหมปฏิบัติการต่อเป้าหมายในอิสราเอลอย่างถี่ยิบ ตั้งแต่วันที่ 2, 5, 7, 9, 17, 20, 21, 27, 29, 30, 31 มีนาคม ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากเนื่องจากการโจมตีแต่ละครั้งมุ่งไปที่สถานที่ชุมชนของชาวยิวในเมืองสำคัญๆ
เช่นในวันที่ 29 มีนาคม กลุ่มฟาทาฮ์ได้ส่งมือระเบิดพลีชีพที่เป็นสุภาพสตรีปาเลสไตน์ผูกระเบิดจำนวนไม่ต่ำกว่า 10 กิโลกรัมรอบตัว ก่อนที่จะเดินเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ตในกรุงเยรูซาเร็ม และจุดระเบิดบริเวณเคาน์เตอร์ที่เต็มไปด้วยผู้คน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 28 คน
และต่อมาวันที่ 31 มีนาคม กลุ่มฮามาสก็ได้ใช้มือระเบิดพลีชีพโจมตีภัตตาคาร มัทซา (Matza restaurant) ซึ่งเป็นภัตตาคารหรูหราในเมืองไฮฟา ทำให้ชาวยิวที่กำลังรับประทานอาหารเสียชีวิตทันที 15 คน บาดเจ็บอีกกว่า 40 คน
อย่างไรก็ตามหากวิเคราะห์จากพฤติกรรมในการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพในอิสราเอลจะเห็นได้ว่า ไม่ได้เกิดขึ้นจากประเด็นทางศาสนาเป็นหลัก หากแต่เกิดขึ้นจากความต้องการในการตอบโต้ แก้แค้นและขับไล่อิสราเอลออกจากดินแดนปาเลสไตน์ รวมทั้งเป็นการโจมตีที่มีประเด็นของความกดดันทางจิตใจเป็นมูลเหตุสำคัญ แต่เนื่องจากความแตกต่างทางศาสนาในตะวันออกกลาง ทำให้การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพเริ่มถูกนำไปเชื่อมโยงกับความขัดแย้งทางศาสนา เพื่อสร้างความชอบธรรมและขยายแนวร่วมในการปฏิบัติการให้เพิ่มมากขึ้น
การเชื่อมโยงดังกล่าวทำให้การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพกลายเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ในสงครามศาสนาไปในที่สุด โดยเฉพาะการโจมตีกำลังทหารสหรัฐฯ และฝรั่งเศสในกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน ด้วยมือระเบิดพลีชีพที่ขับรถยนต์โดยสารบรรทุกระเบิดเต็มคัน ทำให้ทหารสหรัฐฯและฝรั่งเศสเสียชีวิตถึงกว่า 300 นายในปี 1983 และเป็นผลทำให้สหรัฐฯ ต้องถอนทหารออกจากเลบานอนในที่สุด
ความสำเร็จในครั้งนี้ถูกเชื่อมโยงเข้าสู่หลักศาสนาในการขับไล่ผู้รุกรานนอกศาสนาออกจากแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ในตะวันออกกลาง
จุดหักเหสำคัญที่ทำให้การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ทางศาสนาก็คือ ปฏิบัติการโจมตีแบบพลีชีพต่ออาคารเวิร์ลเทรดเซนเตอร์ (World Trade Center) และกระทรวงกลาโหม เพนตากอน (Pantagon) ของสหรัฐฯ ในเหตุการณ์ 9/11 อันสะเทือนโลกในปี 2001 ของกลุ่มอัลกออิดะฮ์ ซึ่งนำโดยโอซามา บิน ลาเดน ผู้ซึ่งเชื่อมโยงการก่อการร้ายและการโจมตีแบบพลีชีพเข้ากับการต่อสู้ในสงครามศาสนาจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ดังเช่นในปัจจุบัน
นับจากนั้นมา การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพก็เปิดฉากขึ้นมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกเปิดฉากส่งกำลังทหารเข้ายึดครองประเทศอิรักเพื่อโค่นล้มอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนเมื่อกลางปี ค.ศ. 2003
เป็นที่น่าสังเกตว่าการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพเพื่อต่อสู้กับสหรัฐฯ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใดในช่วงปีแรกของการยึดครอง ทั้งนี้จากสถิติการโจมตีต่อเป้าหมายของกลุ่มต่อต้านในอิรักในปี 2003 มีเพียงครั้งเดียวคือ ในวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ.2003 ณ โรงแรมคาแนล กลางกรุงแบกแดด มีผู้เสียชีวิต 22 คน รวมทั้งผู้นำระดับสูงขององค์การสหประชาชาติคือนาย เซอร์จิโอ เดอ เมลโล (Sergio De Mello) ด้วย
การโจมตีมาเริ่มต้นอย่างรุนแรงและต่อเนื่องในช่วงต้นปี 2004 โดยเฉพาะในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2004 เมื่ออันซาร์ อัล ซุนน่าห์ (Ansar Al Sunnah) หนึ่งในผู้นำกลุ่มต่อต้านได้ส่งมือระเบิดพลีชีพ 2 คนคาดเข็มขัดที่มัดด้วยระเบิดแรงสูงเข้าโจมตีสถานที่สำคัญ 2 แห่งในเมืองโมซุลของอิรัก ทำให้มีผู้เสียชีวิต 117 คน บาดเจ็บ 221 คน
และอีกสิบวันต่อมาคือวันที่ 10 กุมภาพันธ์ มือระเบิดพลีชีพก็ขับรถยนต์บรรทุกระเบิดจำนวน 250 กิโลกรัม พุ่งเข้าใส่สถานีตำรวจอิรักในกรุงแบกแดด ซึ่งเต็มไปด้วยประชาชนที่กำลังเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อสมัครเข้าเป็นตำรวจ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 55 คน บาดเจ็บอีก 67 คน
ต่อมาในวันที่ 2 มีนาคม 2004 ก็เกิดการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพในมัสยิดของชนนิกายชีอะห์พร้อมๆ กันทั้งที่กรุงแบกแดดและเมืองคาร์บาล่า โดยเชื่อว่าเป็นการลงมือปฏิบัติการของกลุ่มอัล กออิดะฮ์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวมกันถึง 171 คน และบาดเจ็บเกือบหกร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นเด็ก สตรีและคนชรา
และในวันที่ 17 พฤษภาคม ก็เกิดการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพในรถยนต์ใจกลางกรุงแบกแดด ส่งผลให้ เอซซาดิน ซาลิม (Ezzadin Salim) ประธานสภาปกครองอิรักเสียชีวิตพร้อมกับพลเรือนอีก 6 คน หลังจากนั้นตลอดทั้งปี 2004 ก็มีการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพประปราย แล้วเปลี่ยนมาใช้การโจมตีส่วนใหญ่ด้วยระเบิดแสวงเครื่อง เครื่องยิงลูกระเบิดและการซุ่มโจมตีที่มุ่งเป้าไปที่กำลังทหารสหรัฐฯ และชาติตะวันตกเป็นหลัก
โมฮัมเหม็ด เอ็ม ฮาเฟซ (Mohammed M. Hafez) จากสถาบันเพื่อสันติภาพของสหรัฐฯ (United States Institute of Peace) ได้วิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในอิรักไว้ในหนังสือของเขาเรื่อง ระเบิดพลีชีพในอิรัก (Suicide bombers in Iraq) ว่าเป็นที่น่าแปลกใจที่อิรักตกเป็นสถานที่แห่งการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพอย่างรุนแรงและต่อเนื่องตั้งแต่การเลือกตั้งในเดือนมกราคม 2005 เป็นต้นมา
โดยเฉพาะในเดือนเมษายน เมื่อรัฐสภาอิรักได้ลงมติรับรองรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งเป็นครั้งแรก ส่งผลให้ภายหลังจากวันลงมติหนึ่งวัน คือในวันที่ 26 เมษายน มีการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพถึง 16 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการสื่อสารให้โลกภายนอกได้รับรู้ว่า กลุ่มต่อต้านจะไม่ยอมรับการแก้ปัญหาภายในของอิรักบนแนวทางการเมืองอย่างที่โลกตะวันตกต้องการ ซึ่งจากจุดนี้เองที่ฮาเซฟชี้ให้เห็นว่า แท้จริงแล้ววัตถุประสงค์ของการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพนั้น มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง ไม่ใช่วัตถุประสงค์ทางศาสนาอย่างที่กลุ่มต่อต้านกล่าวอ้าง
นอกจากนี้โมฮัมเหม็ด เอ็ม ฮาเฟซยังให้เหตุผลว่า การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพในอิรักมีการพุ่งเป้าหมายไปที่พลเรือน มากเท่าๆ กับเป้าหมายทางทหาร โดยเฉพาะสถานที่สำคัญอันเป็นที่ปฏิบัติศาสนกิจของชนนิกายชีอะห์ ทั้งนี้เพื่อสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างชนนิกายสุหนี่และชีอะห์
อีกทั้งยังเป็นที่น่าประหลาดใจอย่างมากที่มือระเบิดพลีชีพส่วนใหญ่ในอิรักนั้นกลับไม่ใช่ชาวอิรัก หากแต่เป็นกลุ่มอาสาสมัครที่เดินทางมาจากประเทศต่างๆ เช่น อียิปต์ ซีเรีย จอร์แดน ลิเบีย โซมาเลีย และอัฟกานิสถาน ที่ต้องการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ ทั้งๆ ที่ชาวอิรักส่วนใหญ่โดยเฉพาะชนนิกายสุหนี่ ไม่มุ่งทำการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพ โดยเฉพาะการโจมตีใส่กลุ่มประชาชนผู้บริสุทธิ์
ฮาเซฟสรุปบทความของเขาว่า การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพในอิรัก จึงเป็นการโจมตีชาวอิรักโดยชาวต่างชาติที่ต้องการสละชีพเพื่อทำสงครามศักดิ์สิทธิ์บนดินแดนอิรัก และเพื่อดำเนินกลยุทธในการทำลายประเทศอิรักด้วยการสร้างสงครามกลางเมืองขึ้นระหว่างชนสองนิกาย ซึ่งจะส่งผลให้อิรักกลับไปสู่จุดต่ำสุดของประวัติศาสตร์ อันเป็นการทำลายโครงสร้างของประเทศลงอย่างสิ้นเชิง ก่อนที่จะเริ่มสร้างสังคมใหม่ที่เป็นสังคม ศาสนาบริสุทธิ์ ขึ้นมานั่นเอง
ปรากฏการณ์นี้ถือเป็นปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในบางประเทศ เช่นในประเทศกัมพูชาช่วงเขมรแดงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นั่นเอง จะแตกต่างกันก็เพียงแต่มีการนำหลักศาสนาเข้ามาเชื่อมโยงด้วยเท่านั้นเอง
จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น แสดงให้เห็นได้ว่าการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพที่กำลังเป็นภัยคุกคามสังคมอันสงบและสันติอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการทำสงครามทางศาสนาแต่อย่างใด หากเป็นการกระทำที่มีพื้นฐานมาจากความขัดแย้งทางการเมือง การทหาร เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ตลอดจนความขัดแย้งเกี่ยวกับดินแดน
อีกทั้งการโจมตีแบบพลีชีพนี้ก็มิได้เพิ่งเกิดขึ้นในโลกยุคก่อการร้าย หากแต่มีการปฏิบัติกันมาในสงครามหรือความขัดแย้งต่างๆ นับตั้งแต่อดีตมาแล้ว เพียงแต่การโจมตีเหล่านั้น มีเป้าหมายต่อกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ของข้าศึกรวมทั้งมุ่งหวังที่จะสร้างความได้เปรียบในการรบหรือทางยุทธวิธี ตลอดจนสร้างผลกระทบต่อสถานภาพทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของข้าศึก มิได้มุ่งหวังที่จะประหัตประหารชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นหลัก
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของมวลมนุษยชาติทุกคนที่จะต้องร่วมมือกันทุกวิถีทางในการหยุดยั้ง การโจมตีแบบพลีชีพ ซึ่งเป็น การสังเวยชีวิตตน เพื่อ ทำลายล้างชีวิตคนผู้บริสุทธิ์ โดยอ้างหลักศาสนาเพื่อสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ทั้งๆ ที่คำสอนของศาสนาทุกศาสนาล้วนแต่มุ่งหวังหล่อหลอมให้มนุษย์ทุกคนเป็นคนดีด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อนำสังคมแห่งความสงบสุขกลับคืนสู่พื้นพิภพแห่งนี้อย่างมั่นคงถาวรตราบชั่วลูกชั่วหลานสืบไป
Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2553 13:11:23 น. |
Counter : 4935 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|