ยุทธการรุ่งอรุณแดง (ซัดดัม ฮุสเซน) ตอนที่ 1
ยุทธการรุ่งอรุณแดง (OperationsRed Dawn) ตอนที่ 1 จากหนังสือเรื่อง "ยุทธการขจัดทรราช" โดย พันเอกศนิโรจน์ ธรรมยศ Master of International Relations (with merit) Victoria University, New Zealand ข้อเขียนนี้สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ห้ามทำซ้ำเพื่อการพาณิชย์ ให้ใช้เฉพาะเพื่อการศึกษาหรือค้นคว้าเท่านั้น
ยุทธการรุ่งอรุณแดง (OperationsRed Dawn) เป็นภารกิจในการค้นหาตัวอดีตผู้นำอิรักประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน (Suddam Hussen) ภายหลังจากถูกสหรัฐฯ เข้ายึดครอง ยุทธการนี้เปิดฉากขึ้นในพื้นที่เมืองอัด-วาดร์ (Ad-Wadr) ใกล้กับเมือง ทิกริท (Tikrit) ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา หน่วยที่เข้าปฏิบัติการคือชุดปฏิบัติการรบกองพลน้อยที่ 1 สังกัดกองพลทหารราบที่ 4 ร่วมกับชุดเฉพาะกิจ 121 (Task Force 121) ของสหรัฐฯ รวมกำลังพลที่เข้าปฏิบัติการในครั้งนี้กว่า 600 คนและสามารถตรวจพบ รังแมงมุม (spider hole) ซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของซัดดัม ฮุสเซน ในเวลาประมาณ 20.30น. ซึ่งแม้ซัดดัมจะมีอาวุธปืนเอเค 47 (AK-47) อยู่ในมือ แต่เขาก็ไม่ได้ต่อสู้แต่อย่างใด เขายอมมอบตัวต่อทหารสหรัฐฯ โดยดี และอีกไม่นานศาลอิรักก็มีคำสั่งให้ประหารชีวิตเขาด้วยการแขวนคอในที่สุด ประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน เกิดเมื่อวันที่ 28 เมษายน ค.ศ.1937 ที่เมืองอัลญะห์ (Al-Awja) ทางตอนเหนือของอิรัก อยู่นอกเมือง "ทีกรีท" (Tikrit) ออกไปประมาณ 13 กิโลเมตร ชื่อ "ซัดดัม" เป็นภาษาอารบิคแปลว่า "ผู้เผชิญหน้า" (he who confronts) บิดาของเขาชื่อ "ฮุสเซน อาบิด อัลมาญิด" (Hussein Abid al-Majid) ซึ่งหายสาปสูญไปก่อนที่ซัดดัมจะเกิด บางข้อมูลกล่าวว่าเขาถูกสังหาร ในขณะที่บางข้อมูลบอกว่าเขาทอดทิ้งครอบครัวไปเพื่อมีภรรยาใหม่ ซัดดัมเติบโตมากับมารดาของเขาที่ชื่อ "ซุบฮะห์ ตุลฟะห์ อัลมุสซาลัท" (Subha Tulfah al-Mussallat) ในวัยเด็กชีวิตของเขาไม่ราบรื่นเหมือนเด็กทั่วไป เขาสูญเสียพี่ชายวัย 13 ขวบจากโรคมะเร็ง ก่อนที่จะถูกมารดาของเขาส่งไปอยู่กับลุง ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของแม่ที่ชื่อ "ไครัลเลาะห์ ตัลฟะห์" (Khairallah Talfah) พอซัดดัมอายุได้ 3 ปี มารดาก็แต่งงานใหม่กับสามีที่ดุร้าย ซัดดัมโชคไม่ดีนัก เมื่อแม่รับเขากลับมาอยู่ด้วยและต้องเผชิญหน้ากับพ่อเลี้ยงที่ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด จนในที่สุดซัดดัมทนไม่ไหว ต้องหวนกลับไปอยู่กับลุงอีกครั้ง เมื่ออายุประมาณ 10 ขวบและลุงของเขาคนนี้นี่เอง ที่คอยให้คำปรึกษากับซัดดัมในแทบทุกเรื่อง ตั้งแต่การเข้าเรียนในระดับมัธยม ไปจนถึงเข้าศึกษาต่อด้านกฏหมายในระดับอุดมศึกษา แต่ซัดดัมก็เรียนกฏหมายอยู่ได้เพียง 3 ปี ก่อนที่จะลาออกเพื่อเข้าร่วมกับพรรคการเมืองที่ชื่อ "พรรคบาธ" (Ba'ath) ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่การเมืองของเขา ภายในเวลาไม่นานนัก ซัดดัมก็ฝ่าฟันสมรภูมิการเมือง ที่มีทั้งการปฏิวัติรัฐประหาร จนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรองประธานสภาปฏิวัติ หรือ เทียบเท่ากับตำแหน่งรองประธานาธิบดีของอิรัก ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 เขาแสดงออกถึงความเป็นผู้นำที่ต้องการเปลี่ยนแปลงอิรักไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยทุ่มเททรัพยากรทุกอย่างในการสร้างความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชน มีการให้สิทธิเสรีภาพสตรีในการทำงานหน้าที่ต่างๆ ในสังคมเท่าเทียมกับผู้ชาย ที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่ง ก็คือการประกาศใช้กฏหมายตามแบบสากล ทำให้อิรักเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่ไม่ได้นำกฎหมายอิสลามมาใช้เป็นกฏหมายในการปกครองประเทศ การปรับเปลี่ยนประเทศให้เป็นสากลนี้ ทำให้ซัดดัม ฮุสเซนกลายเป็นที่ชื่นชมของชาวอิรักเป็นอย่างมาก รวมทั้งการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของเขา ส่งผลให้เขาได้รับรางวัลจากองค์การยูเนสโก (UNESCO: United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) ขององค์การสหประชาชาติอีกด้วย แม้ว่าซัดดัม ฮุสเซน จะนับถือศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่ก็จริง แต่เขาก็ทุ่มเทพัฒนาเงินทองและทรัพยากรต่างๆ มากมายในการพัฒนามัสยิดและสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาของชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ โดยไม่แบ่งแยกหรือกีดขวางสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาของนิกายดังกล่าว แม้ว่าในขณะนั้นอิหร่านกำลังมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยรัฐบาลของพระเจ้าชาห์หรือ "โมฮัมหมัดเรซา ปาห์ลาวี" (Mohammad Reza Pahlavi) ได้ถูกผู้นำทางศาสนานิกายชีอะห์ ที่รู้จักกันในนาม "อยาตุลเลาะห์โคไมนี" หรือ "ซาอีดรูห์ฮัลเลาะห์ มอสตาฟาวี มูซาวี โคไมนี" (SayyedRuhollah Mostafavi Musavi Khomeini) ทำการโค่นล้มและสถาปนารัฐที่ปกครองที่ด้วยหลักกฏหมายบริสุทธิ์ ซึ่งซัดดัม ฮุสเซน มีความกังวลว่าแนวความคิดในการสถาปนารัฐอิสลามบริสุทธิ์นี้ จะคืบคลานเข้ามายังอิรักและโค่นล้มอำนาจเขาลงเช่นเดียวกัน ในที่สุดซัดดัม ฮุสเซน ก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศอิรักอย่างสง่างามในปี ค.ศ.1979 เขาเร่งสร้างกระแสชาตินิยมขึ้นในหมู่ประชาชนอิรัก โดยอ้างถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเมโสโปเตเมียในอดีต มีการกล่าวอ้างถึง "พระเจ้าเนบูชัดเนซซา" (Nebuchadnezzar) ที่ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรบาบิโลน และ "พระเจ้าฮัมมูราบี" (Hammurabi) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอิรักในอดีต รวมทั้งเชื่อมโยงมาถึงซัดดัม ฮุสเซนว่าเปรียบเสมือนบุตรของพระเจ้าเนบูชัดเนซซา อันเป็นลักษณะเดียวกับที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (AdolfHitler) ผู้นำพรรคนาซีของเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 พยายามสร้างอาณาจักรไรซ์ที่ 3 ขึ้นมา โดยอ้างถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรไรซ์ที่ 1 ซึ่งก็คืออาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (TheHoly Roman Empire) และยิ่งใหญ่ที่ปกครองยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 9 ถึงศตวรรษที่ 19 และอาณาจักรไรซ์ที่ 2 ในยุคของเจ้าชายบิสมาร์ค (Princeof Bismarck) หรือ"ออตโต ฟอน บิสมาร์ค" (Otto Von Bismarck) ที่รวบรวมแคว้นต่างๆ ของเยอรมันจนรุ่งเรือง ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งการสร้างกระแสชาตินิยม โดยใช้ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่เกรียงไกรในอดีตนั้น จะนำมาซึ่งความรักชาติความภาคภูมิใจในชาติและส่งผลให้เกิดความเป็นปึกแผ่นในที่สุด แต่ในขณะเดียวกันการใช้ประวัติศาสตร์ในการสร้างกระแสชาตินิยมก็มีผลในทางลบ คือการหลงชาติของตนเองจนเลยเถิด กลายเป็น "ความคลั่งชาติ" และดูถูกเหยียดหยามชาติที่เป็นศัตรู หรือชาติที่ด้อยกว่าในอดีตเช่น ชาวเยอรมันดูถูกเหยียดหยามชาวโปแลนด์และชาวยิวเหมือนกับที่ชาวอิรักเหยียดหยามชาวเคิร์ด (Kurd) นั่นเอง (โปรดติดตามตอนต่อไป)
Create Date : 22 พฤศจิกายน 2556 |
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2556 10:25:10 น. |
|
1 comments
|
Counter : 3791 Pageviews. |
|
|
doudoune moncler shop //www.mandeure.fr/typo3/mod/file/moncler-pas-cher/9oHUnccq1g/