VUW - Victoria University of Wellington, New Zealand
Group Blog
ชีวิตนักเรียนไทยในนิวซีแลนด์
การประชาสัมพันธ์ยุคใหม่
บันทึกจากติมอร์
บทวิเคราะห์การเมืองโลก
สงครามโลกครั้งที่สอง
บันทึกจากชายแดนใต้
ท่องเที่ยว
ตามรอยสกุลธรรมยศ ณ ลำปาง
หวนอดีต
All Blogs
เมื่อนโยบาย "อเมริกา เฟิร์ส" แผลงฤทธิ์
ไอเอส บนเส้นทางที่มืดมน
ข้อพิพาทเหนือดินแดนหมู่เกาะสแปรตลีย์
การก่อการร้ายในบ้านเกิด (Homegrown terrorism)
แผนที่ "เส้นประ 9 เส้น" (nine-dash-line) ในทะเลจีนใต้ ตอนที่ 2
แผนที่ "เส้นประ 9 เส้น" (nine-dash-line) ในทะเลจีนใต้ ตอนที่ 1
กองทัพฟิลิปปินส์ ตอนที่ 3
กองทัพฟิลิปปินส์ ตอนที่ 2
กองทัพฟิลิปปินส์ ตอนที่ 1
"ฟูโกกุ เคียวเฮ" การสร้างแสนยานุภาพของญี่ปุ่น ตอนที่ 2
"ฟูโกกุ เคียวเฮ" การสร้างแสนยานุภาพของญี่ปุ่น ตอนที่ 1
การหวนกลับมาของสหรัฐฯ สู่อาเซียน
ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ตอนที่ 2
ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ตอนที่ 1
Chinese Dream "นโยบายความฝันของจีน" ในปัจจุบัน
จับตาหมู่เกาะสแปรตลี
ยุุทธการรุ่งอรุณแดง (ซัดดัม ฮุสเซน) ตอนที่ 5
ยุทธการรุ่งอรุณแดง (ซัดดัม ฮุสเซน) ตอนที่ 4
ยุทธการรุ่งอรุณแดง (ซัดดัม ฮุสเซน) ตอนที่ 3
ยุุทธการรุ่งอรุณแดง (ซัดดัม ฮุสเซน) ตอนที่ 2
ยุทธการรุ่งอรุณแดง (ซัดดัม ฮุสเซน) ตอนที่ 1
กลไกด้านการบรรเทาสาธารณภัยของประชาคมอาเซียน ตอนที่ 2
กลไกด้านการบรรเทาสาธารณภัยของประชาคมอาเซียน ตอนที่ 1
การเสริมสร้างแสนยานุภาพของอาเซียน
มองพม่า : ขุมทองแห่ง AEC
มองหลากมุม AEC
การเข้ามาของมหาอำนาจในประชาคมอาเซียน
ภัยด้านความมั่นคงของประชาคมอาเซียน
อินโดนีเซียกับแนวทางการแก้ปัญหาการก่อการร้าย
รู้จักกับกองทัพพม่า ก่อนก้าวสู่ประชาคมอาเซียน (ตอนที่ 4)
รู้จักกับกองทัพพม่า ก่อนก้าวสู่ประชาคมอาเซียน (ตอนที่ 3)
รู้จักกับกองทัพพม่า ก่อนก้าวสู่ประชาคมอาเซียน (ตอนที่ 2)
รู้จักกับกองทัพพม่า ก่อนก้าวสู่ประชาคมอาเซียน (ตอนที่ 1)
กองทัพกับการก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน ตอนที่ ๓
กองทัพกับการก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน ตอนที่ ๒
กองทัพกับการก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน ตอนที่ ๑
บันทึกผู้กล้าแห่งสมรภูมิอัฟกานิสถาน
การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุในแอฟริกา (2)
การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุในแอฟริกา (1)
อัฟกานิสถานบนเส้นทางที่มืดมน
กองทัพไทยกับการปฏิบัติการรักษาสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี
อัฟกานิสถานและเวียดนาม ... ประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอย ?
เลนิน วีรบุรุษแห่งการปฏิวัติหรือนักล่าฝันแห่งเครมลิน
5 สมรภูมิแห่งความทรงจำในอิรัก
ข้าคือ ... ตาลีบัน
การตอบโต้การก่อการร้ายของโลกอาหรับ
ตำนานแห่งสมรภูมิอิรัก
พลเอกเดวิด เพทเตรอุส ขุนพลสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน
มารู้จักกับกองทัพแคนาดากัน (Canadian Forces)
"เยเมน ฐานแห่งใหม่ของอัล กออิดะฮ์
ฺBlackwater นักรบรับจ้างในอิรัค
เพชฌฆาตผู้พิชิตรถถังเอ็ม 1 อับบรามส์
อัฟกานิสถาน : สมรภูมิแห่งปี 2010
การโจมตีแบบพลีชีพ
ผู้เด็ดปีกพญาอินทรี
ทหารเด็ก (Child soldiers) - นักฆ่ารุ่นเยาว์
การฟื้นคืนชีพของกลุ่มอัลกออิดะห์
ภัยคุกคามของรถถังยุคปัจจุบัน
ความมั่นคงของโลกในกำมือโอบาม่า
การตอบโต้การก่อการร้ายของโลกอาหรับ
การตอบโต้การก่อการร้ายของโลกอาหรับ
โดย พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ
Master of International Relations (with merit)
Victoria University of Wellington, New Zealand
สงวนลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่ ทำซ้ำ โดยไม่ได้รับการอนุญาตจากผู้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
นับตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 ที่กลุ่มอัลกออิดะฮ์ของโอซามา บิน ลาเดน โจมตีอาคารเวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์และตึกเพนตากอนของสหรัฐฯ โลกก็ได้เคลื่อนตัวผ่านจาก "ยุคหลังสงครามเย็น" เข้าสู่ "ยุคก่อการร้าย" อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้มวลมนุษยชาติต่างได้ประจักษ์ถึงอันตรายจากภัยคุกคามรูปแบบใหม่ซึ่งไม่มีแนวรบที่แน่นอน และไม่มีที่ใดที่ปลอดภัยอีกต่อไป สถานที่ทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า ร้านอาหาร สวนสนุก โรงพยาบาล โรงเรียนหรือแม้แต่สวนดอกไม้หลังบ้าน ก็อาจแปรสภาพเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายได้ทุกเวลา
ดังเช่นเหตุการณ์ระเบิดพลีชีพครั้งรุนแรงล่าสุดทางตอนใต้ของเมือง "เควทตา" (Quetta) ของปากีสถานเมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมาส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันที 53 คน และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
ความรุนแรงและความร้ายกาจของการก่อการร้ายก่อให้เกิดปฏิกิริยาขึ้น 2 ลักษณะในสังคมนานาชาติ โดยลักษณะแรกเป็นการปฏิบัติการที่กลุ่มก่อการร้ายกระทำการอย่างเหี้ยมโหด รุนแรงและไร้มนุษยธรรมต่อประเทศต่างๆ เพื่อสร้าง "อาณาจักรแห่งความหวาดกลัว" ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดินแดนในซีกโลกตะวันตก เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ สเปน หรือซีกโลกตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น ปากีสถาน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
แม้กระทั่งกลุ่มประเทศโลกอาหรับ เช่น ซาอุดิอารเบีย เยเมน จอร์แดน ซึ่งประชากรส่วนใหญ่มีแนวคิด ความเชื่อทางศาสนาเฉกเช่นเดียวกับกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ ก็ยังตกเป็นเป้าหมายของการปฏิบัติการก่อการร้าย ทำให้ปฏิกิริยาในลักษณะที่หนึ่งนี้ กลายเป็นการสร้างศัตรูอย่างสากลและกว้างขวางของกลุ่มก่อการร้าย โดยอ้างความชอบธรรมบนพื้นฐานของหลักการทางศาสนาในการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ หรือที่เรียกกันว่า "จิฮาด" (Jihad) เพื่อสถาปนารัฐในอุดมคติที่ปกครองด้วยหลักศาสนาบริสุทธิ์ตามแนวคิดอุดมคตินิยม (idealism) ตามทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ปฏิกิริยาลักษณะที่สองเป็นการสนองตอบต่อปฏิกิริยาที่หนึ่งคือ การตอบโต้ของรัฐต่างๆ ที่ถูกโจมตีจากกลุ่มก่อการร้าย ส่งผลให้เกิดการรวมตัวกันของกลุ่มประเทศเป้าหมาย เพื่อดิ้นรนหาหนทางปกป้องอำนาจรัฐและประชาชนผู้บริสุทธิ์ของตน หากเป็นชาติตะวันตกก็ใช้การรวมตัวกันทางด้านการข่าว ด้านการทหารและด้านเศรษฐกิจ เพื่อเป็นปราการในการสกัดกั้นการโจมตีและการขยายตัวของเครือข่ายกลุ่มก่อการร้าย
แต่ที่น่าจับตามองที่สุดในปัจจุบันคือ ปฏิกิริยาในการต่อต้านจากกลุ่มโลกอาหรับและกลุ่มประเทศที่มีศาสนาประจำชาติเฉกเช่นเดียวกับกลุ่มก่อการร้าย เช่น บังกลาเทศ มาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรืื่อยๆ จนถึงระดับการประกาศสงครามศักดิ์สิทธิ์หรือ "จิฮาด" เพื่อปกป้องหลักศาสนาที่บริสุทธิ์และถูกต้องจากการกระทำของกลุ่มศาสนาหัวรุนแรง จนเกิดการเผชิญหน้าของ "จิฮาด" จากฝ่ายผู้ถูกกระทำและ "จิฮาด" จากฝ่ายผู้กระทำ
ผู้ต้องหากลุ่มอัลกออิดะฮ์ที่ถูกทางการเยเมนควบคุมตัว
ในช่วงแรกๆ ของยุคการก่อการร้ายนับตั้งแต่โอซามา บิน ลาเดนเปิดฉากการโจมตีสหรัฐฯ ในเหตุการณ์ 9/11 ส่งผลให้เครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์กลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว กล่าวกันว่าถนนทุกสายจากทั่วทุกสารทิศที่มุ่งหน้าสู่หุบเขาอันเป็นที่มั่นของพวกเขาในอัฟกานิสถานล้วนเต็มไปด้วยผู้คนที่มุ่งมั่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ ทั้งจากตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกา และเอเชีย ผู้คนเหล่านี้ได้แปรสภาพของตนเองจากเยาวชนหรือคนธรรมดาสามัญสู่ความเป็น "นักรบของพระเจ้า" ในที่สุด
นอกจากนี้กลุ่มอัลกออิดะฮ์ยังได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกของกลุ่มที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ทั้งการสนับสนุนทางการเงิน กำลังคน เส้นทางการหลบหนี สถานที่พักพิงในทวีปยุโรปและสหรัฐฯ ตลอดจนการสนับสนุนด้านการจัดหายุทโธปกรณ์และการฝึกศึกษาด้านต่างๆ จนทำให้ปี ค.ศ. 2001-2004 กลายเป็นช่วงเวลา "นาทีทอง" ของกลุ่มอัล กออิดะฮ์ไปอย่างปราศข้อกังขาใดๆ ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งกลุ่มอัลกออิดะฮ์มีการเคลื่อนไหวมากขึ้นเท่าใด ดูเหมือนการโจมตีของพวกเขาที่อ้างว่าเป็นการทำลายชาติตะวันตก กลับมีผู้รับเคราะห์เป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งใดๆ มากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้สายการข่าวของโลกตะวันตกต่างก็เพิ่มระดับความเข้มข้นในการหาข่าวที่มีความแม่นยำมากขึ้น จนทำให้สามารถจับตามองความเคลื่อนไหวของสมาชิกกลุ่มอัลกออิดะฮ์ได้ชนิดที่เรียกว่า "ทุกฝีก้าว" ก็ยิ่งทำให้สมาชิกของกลุ่มทำงานได้ยากลำบากมากยิ่งขึ้น จนสมาชิกของกลุ่มต้องหันมาโจมตีเป้าหมายที่ง่ายกว่าในพื้นที่ของตนเองแทนการโจมตีเป้าหมายในประเทศตะวันตก
เช่น การโจมตี "สาหรีคลับ" ซึ่งเป็นไนท์คลับชื่อดังบนเกาะบาหลีของอินโดนีเซีย การวางระเบิดในงานแต่งงานของชุมชนท้องถิ่นในจอร์แดน หรือการโจมตีสถานที่ท่องเที่ยวของอียิปต์ ซึ่งแม้กลุ่มอัลกออิดะฮ์จะอ้างว่าเป็นการโจมตีเป้าหมายที่มีชาวตะวันตกอาศัยอยู่ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผู้คนบริสุทธิ์ที่ไม่ใช่ชาวตะวันตกต่างก็ได้รับผลกระทบจากการกระทำดังกล่าวทั้งทางตรงและทางอ้อมด้วยเช่นกัน
การก่อการร้ายในประเทศจอร์แดน
การจุดประกายในการต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายของตะวันออกกลางดูเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังในปี ค.ศ. 2004 เมื่อซาอุดิอารเบียถูกโจมตีจากกลุ่มอัล กออิดะฮ์ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ตั้งแต่ย่านชุมชนของชาวตะวันตก เรื่อยไปจนถึงศูนย์กลางของอำนาจรัฐ เช่น บุคคลสำคัญ สถานที่ทำการกระทรวงมหาดไทยและคลังเก็บน้ำมันของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ในประเทศซึ่งเป็นรากฐานสำคัญทางเศรษฐกิจ
การโจมตีแบบไม่เลือกหน้านี้กลายเป็นการกระทำที่บีบบังคับให้ซาอุดิอารเบียต้องอยู่ในสภาวะ "หลังจนฝา" และจำต้องลุกขึ้นสู้อย่างไม่มีหนทางเลือก นับเป็นการเดินหมากที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ของกลุ่มอัลกออิดะฮ์ เพราะซาอุดิอารเบียนั้นเป็นประเทศที่เสียงดังมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลกอาหรับ ไม่เพียงแต่เพราะความมีอิทธิพลอันเก่าแก่และยาวนานทางด้านประวัติศาสตร์และการเมืองในภูมิภาคเท่านั้น หากแต่ซาอุดิอารเบียยังมีอิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจอย่างมหาศาลอีกด้วย
ในปี ค.ศ. 2005 กษัตริย์อับดุลเลาะห์ (King Abdullah) แห่งซาอุดิอารเบียได้สั่งการให้มีการตอบโต้การก่อการร้ายของกลุ่มอัล กออิดะฮ์อย่างเปิดเผยและเต็มรูปแบบ ทั้งการตอบโต้ด้วยการปฏิบัติการด้านการข่าวที่ทรงประสิทธิภาพ การตอบโต้ทางด้านการทหารและการตอบโต้ด้วยการเอาชนะทางความคิด ผู้นำทางศาสนาที่มีชื่อเสียงร่วมกับนักการเมืองและนักวิชาการชั้นนำต่างดาหน้าออกมากล่าวโจมตีการปฏิบัติการด้วย "ระเบิดพลีชีพ" ของอัลกออิดะฮ์ว่าไม่ใช่การกระทำที่ถูกต้องตามแนวทางของศาสนา มีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งในสถานที่ประกอบกิจทางศาสนา โรงเรียนและชุมชนอย่างต่อเนื่อง
กองกำลังของซาอุดิอารเบีย
ผู้ก่อการร้ายและผู้ต้องสงสัยจำนวนมากถูกตามล่า ตรวจค้นและควบคุมตัวชนิด "พลิกแผ่นดิน" ก่อนที่จะถูกนำตัวเข้าโครงการ "ฟื้นฟูสภาพ" ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ ใช้ทุนในโครงการจำนวนมหาศาล มีการวางแผนอย่างครบวงจร ทั้งด้านระบบการศึกษาเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และเปิดโลกทัศน์ของหลักการศาสนาสากล การฝึกอาชีพและการสนับสนุนด้านการประกอบอาชีพ และด้วยเม็ดเงินจำนวนมากมายนี้เอง ทำให้โครงการฟื้นฟูสภาพของรัฐบาลซาอุดิอารเบียประสบความสำเร็จอย่างมาก ผู้ก่อการร้ายที่ผ่านโครงการล้วนแปรสภาพเป็นผู้กลับตัวเข้าสู่สังคม เป็นผู้ที่มีอาชีพการงานที่มั่นคงและมีรายได้ที่งดงาม สามารถเลี้ยงดูจุนเจือตนเองและครอบครัวได้ในระดับหนึ่ง
พลเอกเดวิด เพทเตรอุส (David Petraeus) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถานได้เล่าให้ ฟารีด ซากาเรีย (Fareed Zakaria) ผู้สื่อข่าวของนิตยสาร "นิวสวีค" (Newsweek) ฉบับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 ถึงประสบการณ์เมื่อครั้งร่วมกับรัฐบาลซาอุดิอารเบียในการต่อสู้กับอัลกออิดะฮ์ว่า
"บทบาทของซาอุดิอารเบียในการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย อัล กออิดะฮ์นั้น ไม่เพียงแต่มีการใช้กำลัง (forces) เท่านั้น หากแต่ยังมีการใช้เครื่องมือทางการเมือง สังคม ศาสนาและการศึกษา เป็นปัจจัยประกอบในการต่อสู้เพื่อเอาชนะทางความคิดในครั้งนี้ นับเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญที่สุดอีกครั้งหนึ่งในสงครามต่อต้านการก่อการร้ายของโลก"
ผู้ก่อการร้ายกลุ่ม "เจไอ" ถูกทางการอินโดนีเซียควบคุมตัว
นอกจากการเคลื่อนไหวชนิดที่เรียกว่า "ยักษ์ตื่น" ของซาอุดิอารเบียแล้ว ความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่ไม่อาจละเลยไปได้คือการเปิดฉากตอบโต้กลุ่มก่อการร้ายของรัฐบาลอินโดนีเซีย ภายหลังจากที่ถูกกลุ่มศาสนาหัวรุนแรงรุกไล่จนเกือบจะจนมุมในปี ค.ศ. 2002 โดยเฉพาะกลุ่มก่อการร้าย "เจไอ" หรือ "เจ๊ะมา อิสลามมิยา" (JI - Jemaah Islamiah) ที่เป็นสาขาของอัลกออิดะฮ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แต่อีกเพียงแปดปีต่อมาเมื่อรัฐบาลและประชาชนอินโดนีเซียตั้งหลักได้ กลุ่มก่อการร้ายก็ถูกรุกกลับ จนตกอยู่ในสภาพที่หมดหนทางเคลื่อนไหวอย่างอิสระ ดังที่แมกนัส แรนส์ทร็อบ (Magnus Ranstorp) จากสถาบันศึกษาภัยคุกคามที่ไม่เท่าเทียมกัน (Asymmetric Threat Studies) ได้วิเคราะห์ว่า การต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายในอินโดนีเซียประสบความสำเร็จอย่างมากเพราะไม่เพียงแต่มีบทบาทของรัฐบาลอินโดนีเซียเท่านั้น หากแต่ยังมีบทบาทของภาคประชาสังคม ซึ่งรวมถึงสื่อมวลชนและองค์กรทางวัฒนธรรมต่างๆ รวมอยู่ด้วย
ชุดปฏิบัติการพิเศษของหน่วย "โคปาสซุส" (Kopassus) ของกองทัพอินโดนีเซียในการต่อต้านการก่อการร้าย
และบทบาทของภาคประชาสังคมนี่เองที่เป็นตัวชี้ขาดแพ้ชนะที่สำคัญในสงครามครั้งนี้ เนื่องจากภาคประชาสังคมที่มีลักษณะเปิดกว้างของอินโดนีเซียนั้นมีความแตกต่างจากภาคประชาสังคมที่มีลักษณะปิดของกลุ่มประเทศโลกอาหรับ ทำให้การเข้าถึง การแสดงออกและการตอบรับจากประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วอย่างมากในการต่อสู้เพื่อเอาชนะทางความคิดในสงครามศักดิ์สิทธิ์ของรัฐบาลอินโดนีเซีย
อิรักเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้ถึงอัตราการขยายตัวของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่รวมตัวกันต่อต้านการก่อการร้ายของกลุ่มอัลกออิดะฮ์ ทั้งๆ ที่ในห้วงแรกของการยึดครองอิรักโดยสหรัฐฯ นั้น มีกลุ่มนักรบศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากจากโลกอาหรับรวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับสหรัฐฯ ในฐานะผู้รุกรานอย่างได้ผล แต่ยิ่งเวลาเนิ่นนานขึ้น อัลกออิดะฮ์กลับใช้วิธีการที่ผิดพลาด เช่น การสังหารกลุ่มชนต่างนิกาย และการพยายามสร้างสงครามกลางเมืองในอิรักระหว่างชนนิกายต่างๆ โดยใช้วิธีการที่โหดเหี้ยมและน่ากลัว เช่น การโจมตีด้วยระเบิดกลางสถานที่ชุมชนที่เต็มไปด้วยผู้บริสุทธิ์ หรือแม้แต่การลงโทษที่รุนแรงและไม่สมเหตุผล เช่น ในจังหวัดอันบาร์ (Anbar) พวกอัลกออิดะฮ์มักลงโทษผู้ที่ฝ่าฝีนกฏระเบียบของตนอย่างรุนแรง แม้กระทั่งการสูบบุหรี่ก็จะมีโทษรุนแรงถึงขั้นตัดมือเลยทีเดียว สิ่งเหล่านี้สร้างความตกตะลึงและหวาดหวั่นให้กับชาวอิรักเป็นจำนวนมาก และส่งผลให้ความชอบธรรมในการเข่นฆ่าและทำร้ายผู้คนของกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ ลดลงอย่างรวดเร็ว
จากสถิติที่ผ่านมา การยอมรับของประชาชนในโลกอาหรับรวมถึงประชาชนในปากีสถาน บังคลาเทสและอินโดนีเซียที่มีต่อการปฏิบัติการก่อการร้ายที่แฝงตัวมาในลักษณะของสงครามศักดิ์สิทธิ์ลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับในปี ค.ศ. 2003 ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่สหรัฐฯ ส่งทหารเข้าสู่ดินแดนอิรัก
เช่น ในจอร์แดนที่ซึ่งเมื่อปี ค.ศ. 2005 มีประชาชนกว่า 57% สนับสนุนการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพของกลุ่มก่อการร้าย แต่ในปัจจุบันมีเพียง 12% เท่านั้นที่เห็นว่าการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ยอมรับได้
กองกำลังจอร์แดนในภารกิจต่อต้านการก่อการร้าย
ในอินโดนีเซียก็เช่นกันที่มีผู้มองว่าการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องสูงถึง 85% ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีผู้เห็นด้วยกับการโจมตีกลุ่มนอกศาสนาด้วยวิธีการรุนแรงอยู่ไม่น้อย
ส่วนในปากีสถาน ยอดผู้สนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายที่เคยมีสูงถึง 57% ก็ลดลงอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียง 10% เท่านั้น ในขณะที่ประชาชนปากีสถานจำนวนกว่า 90% ตระหนักถึงการสังเวยชีวิตของผู้คนที่บริสุทธิ์จากการโจมตีที่รุนแรงของอัล กออิดะฮ์อย่างต่อเนื่อง จนเห็นว่าการก่อการร้ายทุกรูปแบบที่มีเป้าหมายที่พลเรือนผู้บริสุทธิ์ "เป็นสิ่งที่ชาวปากีสถานไม่สามารถยอมรับได้อย่างสิ้นเชิง"
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนของการสูญเสียการยอมรับของกลุ่มอัลกออิดะฮ์จากประชาชนทั่วไปก็คือ กรณีของบิดาและมารดาของนายอูมาร์ ฟารุค อับดุลมูตาลลาป (Umar Farouk Abdulmutallab) ผู้ก่อการร้ายชาวไนจีเรีย สมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มอัลกออิดะฮ์ ที่พยายามก่อเหตุวางระเบิดสายการบินนอร์ทเวสต์ของสหรัฐฯ เที่ยวบินที่ 253 เมื่อช่วงวันคริสต์มาสของปีที่ผ่านมา ซึ่งพวกเขาพยายามรายงานความประพฤติ "ที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก" ของบุตรชายจากการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้าย ทั้งที่ไนจีเรียเองเป็นประเทศหนึ่งที่ประชาชนเคยให้การสนับสนุนกลุ่มอัลกออิดะฮ์ด้วยการส่งนักรบศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากเข้าร่วมขบวนการตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา
ครอบครัวอับดุลมูตาลลาปและครอบครัวอื่นๆ ในโลกอาหรับต่่างกำลังวิตกกังวลอย่างมากเมื่อบุตรชายหรือบุตรสาวของพวกเขากำลังแปรสภาพเป็น "ระเบิดเดินได้" (walking bomb) เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะต้องสูญเสียสมาชิกครอบครัวอันเป็นที่รักของพวกเขาแล้ว ประชาชนผู้บริสุทธิ์อีกจำนวนมาก ทั้งที่เป็นชาวตะวันตก หรือชาวอาหรับเองกำลังกลายเป็นเป้าหมายจากการกระทำของสมาชิกในครอบครัวของพวกเขา
ด้วยเหตุนี้เองที่มหาวิทยาลัยอัล อัซฮาร์ (Al-Azhar University) ในกรุงไคโรของอียิปต์ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอาหรับ ได้ออกมาเคลื่อนไหวด้วยการประณามการก่อการร้ายที่อาศัยการตีความที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับหลักศาสนาในการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับอับดุลลาซิส อัล อัซ-ชิคฮ์ (Abdulaziz al ash-Sheikh) ปราชญ์ทางศาสนาที่มีชื่อเสียงของซาอุดิอารเบียที่ได้เผยแพร่กฏทางศาสนาหรือ "ฟัตวา" (Fatwa) ที่ห้ามชาวซาอุดิอารเบียเข้าร่วมในการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ของนายโอซามา บิน ลาเดนและกลุ่มอัลกออิดะฮ์ รวมทั้งยังประณามการแปรสภาพ "บุตรหลานของชาวซาอุดิอารเบีย" ให้กลายเป็น "ระเบิดเดินได้" เพียงเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองและการทหารของกลุ่มก่อการร้าย
จากตัวอย่างความเคลื่อนไหวที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น จะเห็นได้ว่าแม้ผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวเหล่านี้จะไม่ใช่กลุ่มที่ชื่นชมอเมริกันหรือนิยมประชาธิปไตยตะวันตก หากแต่กลับเป็นกลุ่มที่เคร่งครัดในหลักศาสนาเช่นเดียวกัน ความเคร่งครัดเหล่านี้นี่เองที่ทำให้พวกเขาร่วมกันสถาปนาแนวร่วมแห่งการต่อต้านการทำสงครามสงครามศักดิ์สิทธิ์ (anti-jihadist) ของกลุ่มก่อการร้าย เพื่อรักษาความบริสุทธิ์และความถูกต้องของหลักการศาสนาเอาไว้จากการตีความเพื่อผลประโยชน์ของตนเพียงฝ่ายเดียว แนวร่วมแห่งการต่อต้านนี้เองที่ทำให้ "พลังเงียบ" และ "พลังที่อ่อนโยน" (soft power) ของศาสนาที่ใฝ่สันติิ กลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติที่จะผลักดันให้กลุ่มก่อการร้ายและสงครามศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาเดินทางไปสู่จุดจบในที่สุด
Create Date : 05 กันยายน 2553
Last Update : 7 กันยายน 2553 19:04:53 น.
2 comments
Counter : 4615 Pageviews.
Share
Tweet
3จังหวัดชายแดนใต้ไม่ทราบนิกายอะไร แต่ก็ฆ่ากันเกือบทุกวัน
โดย: สีขาว IP: 180.183.199.133 วันที่: 6 กันยายน 2553 เวลา:16:19:58 น.
โจรใต้มันทำแบบนี้เพราะมันต้องการฆ่าคนดีๆให้เยอะๆเพื่อ สร้างข่าว ให้ยูเอ็นคิดว่ามีความขัดแย้งขั้นรุนแรงเกิดขึ้นในพื้นที่ และเข้ามาแบ่งแยกดินแดน โดยทำประชามติจากทั่วโลก หลายประเทศก็ใช้วิธีนี้เช่นใกล้ไทยก็ติมอร์ตะวันออกโดยเฉพาะรัฐโคโซโวรัฐ หนึ่งของเซอร์เบีย แบ่งแยกโดยเจ้าของประเทศไม่ยินยอมทำให้คนเซิร์บเจ้าของพื้นที่โกรธแค้นยู เอ็นสุดๆ ออกมาประท้วงเป็นแสนๆ ถ้าโจรใต้ดึงยูเอ็นลงมาในพื้นที่ได้ก็มีโอกาสจะแบ่งแยกได้อยู่เหมือนกัน
โดย: เป้าหมายโจรมลายู IP: 202.176.136.80 วันที่: 15 ตุลาคม 2553 เวลา:11:54:08 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
unmoknight
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 49 คน [
?
]
ฉันจะบิน ... บินไป ... ไกลแสนไกลไม่หวั่น
เก็บร้อยความฝันที่มันเรียงราย ...
ให้กลายมาเป็นความจริง ...
New Comments
Friends' blogs
rtarf
Webmaster - BlogGang
[Add unmoknight's blog to your web]
Links
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.