VoicepeopleNEWS

...แกลลอรี่คนจน



แล้วห้องนอนเล็กๆ ของฉันก็เป็นได้มากกว่าที่ซุกหัวนอน

พื้นที่เพียงไม่กี่เท้าก้าว ที่ต่อไปนี้ จะไม่ได้มีไว้ เพื่อรองรับแค่กองหนังสือ ตู้เสื้อผ้า ทีวี หรือเตียงนอนเท่านั้น

เพราะฉันได้แบ่งสันปันส่วน ให้มันเป็นพื้นที่แสดงงานศิลปะในแบบที่ฉันชอบด้วยหน่ะสิ

คุณๆผูกพันกับห้องนอนของตัวเองมากขนาดไหนคะ

โดยเฉพาะคนที่จากบ้านมาไกล เพื่อมาเรียน ทำงาน และใช้ชีวิตในเมืองหลวง

ว่าไหมคะ ไม่ว่าจะเป็นคอนโดฯ อพาทเม้นท์ หอพัก หรือแค่ห้องเช่า มันก็เปรียบได้กับบ้านหลังหนึ่งของเรานั่นเอง

ช่วงที่เป็นนักศึกษา น้อยครั้งนักที่ฉันจะได้มีโอกาสกลับบ้าน คราวที่ต้องกลับบ้านครั้งไหน เท้าที่กำลังยืนอยู่บนผืนดินที่พ่อกับแม่อยู่กันมาแต่ยังเล็ก และครั้งหนึ่งฉันเคยใช้มันเป็นลานวิ่งเล่น ใจกลับคิดถึงห้องที่กรุงเทพฯ อย่างบอกไม่ถูก

เมื่อเสาะหาสาเหตุ ก็ได้คำตอบว่า มันคงเป็นเพราะเราใช้ชีวิตช่วงหนึ่งอยู่ ณ ที่แห่งไหน และผูกพันกับอะไรนั่นเอง ไม่ใช่เพราะเราลืมถิ่นฐานบ้านเกิดของเราแต่อย่างใด

เช้าวันหนึ่ง หลังจากที่ลืมตาตาตื่น กวาดตามองไปรอบๆห้อง ฉันก็บอกกับตัวเองว่า น่าจะถึงเวลาที่จะต้องจัดการกับห้องนอนของฉันใหม่เสียที ทั้งที่ห้องก็แค่รกนิดนึงเท่านั้น

ไม่ใช่เพราะเมื่อคืน ได้ดูโฆษณาชิ้นหนึ่งในทีวี ที่ต้องการจะบอกย้ำว่า “มีประโยชน์อะไรที่ต้องใช้ชีวิตให้เหมือนคนอื่น”

แต่เป็นเพราะว่าฉันกำลังเกิดความเบื่อ ที่ทุกเช้าเมื่อลืมตาตื่น ห้องของฉันเปรียบได้เหมือนภาพๆหนึ่งที่ได้เห็นมาบ่อยครั้ง จนชินตา

คงดีไม่น้อยที่ต่อไปนี้ห้องของฉันจะสามารถสร้างบรรยากาศใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น ได้เหมือนแกลลอรี่ขายภาพบางแกลลอรี่ ที่ทุกๆเดือนจะมีภาพของศิลปินหลากแนว หมุนเวียนมาให้ชมกันในแต่ละเดือน

จะต่างกันก็แค่ งานศิลปะในห้องของฉัน มันไม่มีราคาค่างวดอะไร หากแต่มันมีคุณค่าต่อจิตใจของฉันผู้เป็นเจ้าของ ที่ไปเสาะหามันมาเท่านั้นเอง

ว่าแล้ว ฉันก็ขนของใช้ที่ไม่จำเป็นนัก ขึ้นไปซ่อนไว้บนฝ้าเพดาน พยามให้ห้องดูมีที่ว่างให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้

ยังจำได้คราวที่มีโอกาสพูดคุยกับศิลปินวาดภาพพู่กันจีนคนหนึ่ง เขามักบอกเสมอว่า

ที่ว่างก็จำเป็นสำหรับภาพๆหนึ่ง เหมือนกัน การเติมสีใส่เนื้อหาทุกสิ่งทุกอย่างลงในภาพ แทนที่จะสร้างความสวย บางครั้งอาจทำให้เรื่องราวในภาพนั้นกลายเป็นความรกหูรกตาเสียมากกว่า

ฉันถอยตัวออกไปยืนตรงประตูทางเข้าห้อง มองเข้าไปในห้องของตัวเอง ค่อยๆไล่สายตา จับว่าจุดไหนของห้องที่มันมีสิ่งของวาง จนสร้าง “ความเกินพอดี” อยู่บ้าง

ยามที่ย้ายของบางสิ่งออกไปจากจุดๆเดิมที่เคยวาง หรือ ขยับบางสิ่งไปตั้งไว้แทนที่ ไม่ต่างจากศิลปินบางคน ยามที่ใช้พู่กันป้ายสีขาว ลบสีบางสีที่ไม่พอใจออกไป

หาความพอดีในห้อง เหมือนกับกำลังหาความพอดีให้ภาพ ต่อยอดถึงความพอดีในความคิดบางอย่างที่เกิดขึ้นในตัวตนของเรา

ศิลปินบางคนอาจเคยคนพบสัจธรรมบางอย่าง จากภาพบางภาพที่เขาเขียนขึ้น นักประพันธ์บางคนอาจรู้สึกเต็มตื้น เมื่อนึกถ้อยคำบางคำออกมาได้อย่างไม่รู้ตัว

สำหรับฉันนั้นพบว่า ชีวิตหนึ่งชีวิต เมื่อนึกถึงสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นต้องใช้ เอาเข้าจริงแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่ต้องใช้มากนักหรอก

ขอแค่เรามีในสิ่งที่เราต้องการ บางสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าควรมี ก็อาจไม่จำเป็นแล้ว

การจัดห้อง บางครั้งก็เหมือนได้ทำงานศิลปะประเภทจัดวาง หรือ Installation Art โดยไม่รู้ตัว

โปสการ์ดบางแผ่น จากที่หวงไว้เป็นของสะสมไม่ยอมส่งถึงใคร เลือกบางแผ่นเอาไปใส่กรอบ แล้วแขวนไว้ที่มุมหนึ่งมุมใดของห้อง ที่สายตาแลเห็นได้

คือการทดแทนการซื้อภาพมีราคา ที่กำลังทรัพย์เรามีไม่ถึง หรือไม่มีวันซื้อได้ ในแบบของฉัน

ปฏิทินเก่า เมื่อปีใหม่หมุนเวียนมา แทนที่จะทิ้งไป เราก็หันด้านที่ไม่ใช่ตัวเลขบอกวันเดือนปีออกมามอง เป็นที่พักสายตาได้ทางหนึ่ง

หรือแม้ว่าจะเป็นปฎิทินของปีปัจจุบัน ก็ไม่เห็นจำเป็นที่เราจะต้องผูกหัวใจไว้กับวันเวลาอยู่ตลอด

ความงามเกิดขึ้นได้รอบๆตัวเรา ...เกิดขึ้นได้เหมือนกับการแต่งตัว ส่องกระจกก็มองเห็น หากเรารู้จักเอาศิลปะมารับใช้วิถีชีวิตเราได้จริง เราจะค้นพบว่ามีอะไรอีกมาก ที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องซื้อหา

ด้วยบรรยากาศใหม่ที่แวดล้อมตัว ไม่จริงจัง ทว่าผ่อนคลาย ขณะเอนกายนอนลงในห้องๆ เดิม

ฉันหลับสบายดีกว่าที่เคย




 

Create Date : 23 กันยายน 2549   
Last Update : 23 กันยายน 2549 15:24:54 น.   
Counter : 1264 Pageviews.  

คิดถึง.....จ่าง แซ่ตั้ง

เรื่องโดย....ฮักก้า :: thinksea@hotmail.com







ความทรงจำนั้นมี

แต่มันเลว

กดขี่ ขูดรีด

แล้ว ปล้น ฆ่า

คนปล้นฆ่าตายไปแล้ว

ผืนแผ่นดินยังอยู่

ผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดิน

ผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดิน

ผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดิน

ผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดิน

เคยเชื่อแบบนี้บ้างไหมคะว่า มนุษย์เรามีบุญคุณต่อกันได้โดยที่เราไม่จำเป็นรู้จัก หรือคุ้นเคยกับตัวตนที่แท้จริงของกันละกันเลยก็ได้

และบุญคุณที่ว่านี้ ก็ไม่ใช่บุญคุณที่เกิดขึ้นจากการได้มาซึ่งสิ่งของ-เงินทอง แต่เป็นบุญคุณด้านจิตใจ ที่เขาหรือใครคนใดคนหนึ่ง มอบให้เราผ่านผลงานของเขา

บนหัวเตียงที่ห้องนอนของฉัน มีซีดีที่รวบรวมเรื่องราวและผลงานของศิลปินผู้ล่วงลับนามว่า จ่าง แซ่ตั้ง ตั้งพิงไว้กับกรอบรูปเสมอ ก่อนนอนหรือเมื่อไหร่ก็ตามที่เอี้ยวสายตาไปเจอ ฉันก็มักจะหยุดมองภาพบนปกซีดีนั้น พร้อมกับเอ่ยคำขอบคุณในใจคนเดียวเงียบๆ ว่าเมื่อครั้งที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านได้สร้างสิ่งดีงามบางสิ่งไว้ และฉันก็ได้มีโอกาสได้สัมผัสมัน

ซีดีแผ่นที่ว่า ฉันได้รับจากมือของ ทิพย์ แซ่ตั้ง บุตรชายคนเดียวของท่าน ถ่ายเนื้อหาออกมาจากเนื้อหาเดียวกับที่มีใน //www.tangchang.com ซึ่งฉันได้เคยเข้าไปชมครั้งยังเป็นนักศึกษา แต่เวลานี้มันได้หายไปจากโลกออนไลน์เสียแล้ว

ในครั้งที่เจอทิพย์ครั้งแรก เป็นครั้งที่ฉันได้มีโอกาสไปเยือนบ้านย่านพุทธมณฑล สาย 5 บ้านที่ทิพย์เพิ่งขุดบ่อเลี้ยงปลา ปลูกบ้านหลังใหม่ขึ้นได้ไม่นาน และผลงานทั้งหมดของ ‘จ่าง แซ่ตั้ง’ ผู้เป็นพ่อ บุคคลที่ฉันเคารพด้วยหัวใจ ก็ได้ถูกเคลื่อนย้ายจากบ้านเดิมย่านสำเหร่ ตามไปด้วย

ระหว่างที่กระแสการเรียกร้องให้ได้มาซึ่งหอศิลป์ร่วมสมัย ซึ่งถูกยกเลิกไปในยุคผู้ว่า สมัคร สุนทรเวช จนกลายเป็นหอศิลป์ที่ลอยอยู่ในอากาศ หาข้อสรุปแน่ชัดไม่ได้ ทิพย์และครอบครัวก็ได้มุ่งหวังว่า น่าจะทำหอศิลป์เพื่อเป็นที่แสดงผลงานทั้งชีวิตของพ่อ แต่ก็ยังเป็นการสร้างที่ต้องอาศัยระยะเวลาแบบค่อยเป็นค่อยไป เท่าที่จะสามารถทำได้ เพราะนั่นหมายถึงว่า เงินที่จะได้มาเพื่อการก่อสร้างจะต้องนำงานของพ่อออกมาขายนั่นเอง

จ่าง แซ่ตั้ง เป็น จิตกร กวี และนักปรัชญา คนสำคัญของประเทศเรา เป็นเพื่อนรักของศิลปินเรืองนาม ประเทือง เอมเจริญ ท่านเสียชีวิตไปเมื่อปี 2533 นับแต่นั้นมาผลงานทั้งหลายทั้งมวลที่ได้สร้างสรรค์ขึ้น รวมถึงเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาที่รวบรวมเก็บหาไว้ได้ ซึ่งไม่สามารถตีมูลค่าได้นั้น ตกทอดอยู่ ในความดูแลของบุตรชาย ทิพย์ แซ่ตั้ง ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งไม่คิดแม้แต่จะเห็นความสำคัญของมันด้วยซ้ำ

ตลอดชีวิตของจ่าง ท่านไม่เคยขายผลงานของตัวเองแม้แต่เพียงชิ้นเดียว แม้ว่าจะมีคนขอซื้อ และแม้ว่าท่านจะไม่ใช่บุคคลร่ำรวย หาเลี้ยงชีพไปวันๆเช่นใครอื่น แต่แบ่งปันเงินมาซื้อสี สร้างสรรค์งานออกมาโดยไม่เคยผ่านรั้วการศึกษาด้านศิลปะใดๆทั้งสิ้น…ขณะที่บทกวีทุกบทของท่าน แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็เป็นตัวอักษรที่มีลมหายใจสำหรับใครหลายคน

ศักดิ์สิริ มีสมสืบ จิตรกร นักเขียน กวีซีไรท์ และนักร้อง ซึ่งร้องเพลงได้ไพเราะมาก(สำหรับฉัน) เคยพูดถึง จ่าง แซ่ตั้ง ไว้ในบทสัมภาษณ์ ของ //www.jitdrathanee.com ว่าสิ่งที่เขาได้จากการที่ได้มีโอกาสไปขลุกตัวอยู่กับ จ่าง แซ่ตั้งมาประมาณสองสามปีคือ

“ส่วนใหญ่จะได้วิธีคิด มองโลกมองสังคม มองตัวเอง คือท่านจะไม่ได้สอนวาดรูป แต่ท่านสอนศิลปะจากข้างใน คือถ้าสอนวาดรูป มันจะเรียนจากข้างนอก เรียนจากวิธีการ ว่าใช้เส้นยังไง ใช้สียังไง น้ำหนักแสงเงายังไง ท่านจะไม่สอนตรงนั้น เพราะท่านถือว่า สิ่งนั้นคนเรียนรู้กันได้ หาหนังสืออ่านก็ได้ ไปเรียนจากที่ไหนก็ได้ แต่ว่าจากวิธีคิด จากแนวคิด จากการมองโลก มองชีวิตมองสังคม คือท่านสอนจากข้างในออกมา”

ในเรื่องของสีที่แตกต่างกัน จ่างจะโยงไปกับชีวิตว่า ชีวิตเรามีสุขมีทุกข์ มีโศกมีเศร้า มีแง่มืดแง่สว่าง มีด้านบวกด้านลบ แต่ว่าในโลกเรานี้ มันก็มีสูงมีต่ำ มีร้อนมีเย็น เหมือนกับหยิน-หยาง มีจนมีรวย แต่ว่าทั้งหมดนี้ มันอยู่ด้วยกันมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน เป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน ทำให้สิ่งเหล่านั้นมันอยู่ด้วยกันได้

ศิลปะก็เหมือนกัน สีที่แตกต่าง เส้นที่แตกต่าง น้ำหนักความเข้มความอ่อน ดำขาว สีสด สีสว่าง สีมืด ก็ต้องมาอยู่ด้วยกัน มันมีความแตกต่าง แต่ว่าความแตกต่างนั้น มันเอามาเรียบเรียงได้ มันก็ได้ชื่อว่ามีความสัมพันธ์กันทั้งหมด เป็นเอกภาพ

“ท่านเป็นจีนอยู่แล้ว ท่านเขียนเรื่องลัทธิเต๋าอยู่แล้ว ก็คงเอาสิ่งที่ท่านมีมาสอนพวกเรา”

ใน นิทรรศการศิลปะ 14 ตุลา ผ่านสายตาศิลปิน เมื่อปี 2546 ทิพย์ได้นำภาพวาดขนาดใหญ่ ประมาณ 2.10 X 2.50 เมตร ที่มีชื่อว่า ‘ตาไม่มองความชั่วร้าย มือไม่รับใช้เผด็จการ’ ของพ่อ ซึ่งเคยมีนักสะสมชาวสิงคโปร์ขอซื้อแต่เวลานั้นทิพย์ไม่เคยคิดขาย มาร่วมจัดแสดงและประกาศขาย ตั้งราคาไว้ที่ 20 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงที่สุดในเมืองไทยเลยก็ว่าได้

เขาให้เหตุผลในการขายภาพชิ้นนี้ผ่านหน้าหนังสือพิมพ์บางฉบับว่า จะนำเงินไปทำหอศิลป์เพื่อรักษางานของพ่อที่มีอยู่กว่า 2,000 ชิ้น ให้เรียบร้อยสมบูรณ์แบบ เพราะเก็บเล็กผสมน้อยทำอยู่ถึง 13 ปี ยังไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จ และถึงเวลาแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ภาครัฐไม่เคยดูแลศิลปิน ทั้งๆที่บอกว่างานของศิลปินคนนั้นๆ ทรงคุณค่า แต่ไม่เคยทำอะไร

ยังจำความรู้สึกตัวเองก่อนจะกลับได้ว่า อยากกลับไปเยือนบ้านย่านพุทธมณฑล สาย 5 อีก ถ้ามีโอกาส แต่ทว่า ที่นั่นก็ไม่ใช่สถานที่ที่จะต้องไปได้บ่อยๆ นอกเสียจากว่าวันหนึ่งจะมีใครสักคนลุกขึ้นมาจัดสร้างสถานที่เก็บรวบรวมผลงานของ จ่าง แซ่ตั้ง ไว้อย่างเป็นระบบ ให้เป็นสถานที่ที่เปิดรับให้คนทั่วไปเข้าไปชมได้

ฉันเชื่อว่าเรื่องราวของจ่าง แซ่ตั้ง ยังจะถูกเล่าขานต่อไปมิรู้จบ เป็นแบบอย่างให้ใครต่อไปได้มิรู้สิ้น ตราบเท่าที่มีคนให้ความสำคัญ และเห็นค่าว่าในหนึ่งชีวิตนั้น บรรจุไว้ได้มากกว่าเลือดเนื้อ หรือความกลวงเปล่า ที่หาสาระอะไรไม่ได้




 

Create Date : 23 กันยายน 2549   
Last Update : 23 กันยายน 2549 15:22:01 น.   
Counter : 337 Pageviews.  

ใช้มือถือมากระวังกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด


"ขาดไม่ได้ ผู้ใช้หงุดหงิด"
บีบีซีนิวส์ออนไลน์รายงานอ้างคำพูด ดร.เดวิด เชฟฟิลด์ แห่งมหาวิทยาลัยสตาฟฟอร์ดไชร์ในอังกฤษศึกษาพบว่า ความที่โทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ของคนในยุคปัจจุบัน ทำให้ผู้ใช้กลายเป็นคนเครียดและขี้หงุดหงิด

ดร.เชฟฟิลด์ สรุปผลการศึกษาจากการสอบถามนักศึกษา 106 คน เกี่ยวกับปริมาณการใช้โทรศัพท์มือถือ พบว่า คนกลุ่มนี้ถึง 16 เปอร์เซ็นต์ มีปัญหาเรื่องพฤติกรรม
"คนเลิกใช้ความดันต่ำกว่า"

ไม่ว่าจะเป็นการโกหกเกี่ยวกับปริมาณการใช้โทรศัพท์มือถือ ภาวะเครียดและขี้หงุดหงิด และติดอยู่กับโทรศัพท์มือถือนานเกินไป ขณะที่ผลจากการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งพบว่าคนที่เลิกใช้โทรศัพท์มือถือมีระดับความดันโลหิตต่ำกว่า

ดร.เชฟฟิลด์ บอกว่า ผลจากการศึกษาชี้ให้เห็นความเฟื่องฟูของตลาดโทรศัพท์มือถือในอังกฤษที่ปัจจุบันมีมูลค่าถึง 13,000 ล้านปอนด์ ขณะที่การใช้โทรศัพท์ในอังกฤษถึง 1 ใน 3 เป็นการโทรจากโทรศัพท์มือถือ ด้านสมาคมผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่มองว่าโทรศัพท์มือถือน่าจะเรียกได้ว่าเป็นเครื่องช่วยในการปลดปล่อย ผู้ใช้มีทางเลือกจะเปิดหรือปิดโทรศัพท์เมื่อไรก็ได้ตามต้องการ.




 

Create Date : 21 กันยายน 2549   
Last Update : 21 กันยายน 2549 19:02:17 น.   
Counter : 385 Pageviews.  

ข้อศอกดำ ทำไงดี??

"ขจัดความแห้งกร้าน"

อะไรก็ดูดีไปหมด แต่เสียอย่างเดียว ข้อศอก และหัวเข้าแห้งกร้าน ดำปี๋เชียว แล้วจะทำยังไงดี ???? วันนี้เรามีวิธีขจัดความแห้งกร้านมาบอก

วิธีแรกเป็นวิธีแบบธรรมชาติ เริ่มด้วย การผ่ามะนาวเป็น 2 ซีก แล้วนำมาขัดที่รอยหยาบกร้านเบา ๆ หรือจะเปลี่ยนจากมะนาวเป็นมะขามเปียกที่เราเอาไว้ใช้ทำกับข้าวก็ได้ เท่านี้รอยหยาบกร้านก็จะค่อย ๆ หายไป ควรทำสัปดาห์ละครั้ง หรือทุกครั้งที่มีเวลา และทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลดี และไม่กลับไปดำเหมือนเก่า



"อย่าลืมทาครีม"

ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือ นำน้ำตาลทรายนำมาผสมกับน้ำมันที่ใช้สำหรับทาผิว (เบบี้ออยล์) ทาที่หัวเข้า และข้อศอก ทิ้งเอาไว้ 15 นาที หลังจากนั้นก็ใช้ใยบวบที่ใช้ถูหลังเวลาอาบน้ำถูเป็นวงกลมเบา ๆ น้ำตาลจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าส่วนน้ำมันให้ความชุ่มชื่นกับผิว

และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ หลังจากที่ขัด ๆ ถูๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมที่จะทาครีมบำรุงผิว โดยเลือกที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง ทาเป็นประจำ เท่านี้รับรองว่าคุณจะไม่ปวดหัวกับปัญหาเข่าและข้อศอกด้านอีกแล้ว...





 

Create Date : 19 กันยายน 2549   
Last Update : 19 กันยายน 2549 21:52:06 น.   
Counter : 269 Pageviews.  

LEXUS IS 250 จากรถต้นแบบ LEXUS LF-A สู่รถสปอร์ตซีดาน IS 250

หากยังจำกันได้ถึงรถต้นแบบดีไซน์สปอร์ต LF-A ของ LEXUS ที่เปิดตัวในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา จากวันนั้นถึงวันนี้ LF-A ได้กลายมาเป็นรถสปอร์ตซีดานรุ่นล่าสุดของ LEXUS ในนาม IS 250 ที่มาพร้อมความโฉบเฉี่ยวของรูปลักษณ์เส้นสายที่แฝงความเป็นสปอร์ตเอาไว้ในสไตล์ของรถซีดาน พร้อมเสริมด้วยเทคโนโลยีไฮเทคใหม่เข้าไว้ในคันเดียวกัน




สะท้อนบุคลิกสปอร์ตซีดาน

ต้องยอมรับว่าตั้งแต่รุ่นที่แล้วของ IS ที่ได้รับการเปิดตัวออกสู่สายตาของคนทั่วๆ ไป สามารถสะท้อนบุคลิกสปอร์ตในรูปลักษณ์ของรถซีดานมาได้อย่างลงตัว จนมาถึงรุ่นใหม่ล่าสุด IS 250 ที่ยังคงให้แนวเส้นสายที่เหลี่ยมสันจากการออกแบบที่ลงตัว ดูสปอร์ต พร้อม ๆ กับความโฉบเฉี่ยวที่สามารถสะกดสายตาของคนรอบข้างได้ในทันทีที่เคลื่อนที่ผ่าน ด้วยการออกแบบด้านหน้าที่โฉบเฉี่ยว ไฟหน้าที่รับกับชุดกระจังหน้าโครเมียมแบบซี่ตั้งที่ให้ทั้งความสปอร์ตและความหรูหรา รับกันกับแนวกระจกหน้าและเส้นหลังคาที่ลาดเอียง ยิ่งช่วยเพิ่มความสปอร์ตให้กับตัวรถได้มาก อีกทั้งชุดไฟหน้าใหม่ที่เป็นแบบ BI-ZENON ยังมาพร้อมระบบปรับทิศทางไฟอัตโนมัติ (AFS) ชุดท่อไอเสียคู่ที่ปล่อยปลายท่อออก 2 ข้าง ช่วยเพิ่มอารมณ์สปอร์ตกับมุมมองด้านท้ายได้มากขึ้น

เอาใจนักฟังเพลงเป็นพิเศษ

ภายในของ IS 250 ได้รับการออกแบบที่เน้นให้เห็นถึงความสปอร์ตตามคอนเซ็ปต์ของสปอร์ตซีดาน แต่ยังคงแฝงเอาไว้ด้วยความหรูหราตามแบบฉบับของ LEXUS เริ่มตั้งแต่แผงคอนโซลหน้าที่เล่นโทนสีแบบทูโทนตัดกับแถบอะลูมิเนียมสีเงินที่ตกแต่งในบริเวณกึ่งกลางของคอนโซลกันได้อย่างลงตัว รับกับชุดมาตรวัดดีไซน์สปอร์ต ที่นอกจากจะออกแบบรูปทรงและสีสันได้สวยงามแล้ว ยังมีลูกเล่นต่าง ๆ บรรจุเอาไว้อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นโหมดการทำงานเตือนรอบและความเร็ว ด้วยการเปลี่ยนสีของตัวมาตรวัด ซึ่งยังสามารถแบ่งการเตือนออกได้เป็น 2 ระดับ คือในช่วงแรกจะขึ้นมาเป็นสีส้ม เพื่อเตือนในระดับแรกที่ตั้งไว้ และจะเปลี่ยนเป็นสีแดง หากถึงระดับที่สองที่ตั้งเอาไว้ได้ทั้งสองมาตรวัด (วัดรอบและวัดความเร็ว) และความพิเศษอีกอย่างของ IS 250 สำหรับผู้ที่หลงใหลในสุนทรียภาพทางเสียง ด้วยชุดเครื่องเสียงติดรถยนต์ของ Mark Levinson ที่เป็นชุดวิทยุพร้อมเครื่องเล่นซีดี และชุดลำโพงทั้งสิ้นอีก 14 ตัว ที่จะช่วยให้ความเพลิดเพลินได้ตลอดการเดินทาง

เบาะนั่งคู่หน้า นอกจากจะควบคุมการปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมเมมโมรี่สำหรับบันทึกความจำแล้ว IS 250 ยังได้ติดตั้งระบบระบายอากาศของเบาะคู่หน้ามาให้ครบจากโรงงาน เพียงแค่เลือกจากสวิตช์ที่คอนโซลกลาง โดยหมุนเลือกว่าจะเอาเป็นร้อนหรือว่าเย็นเท่านั้น ทั้งผู้ขับและคนนั่งก็จะสามารถผ่อนคลายได้ตลอดการเดินทาง ส่วนเบาะคู่หลังยังคงให้ความสบายได้ในระดับหนึ่ง แต่อาจจะรู้สึกอึดอัดไปนิด หากผู้โดยสารตอนหลังมีรูปร่างใหญ่ไปหน่อย

นอกจากนี้ IS 250 ยังใช้ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบใหม่ที่ให้คุณควบคุมการสตาร์ทเครื่องยนต์หรือดับเครื่องยนต์ง่าย ๆ เพียงแค่กดปุ่ม ซึ่งระบบนี้จะทำงานควบคู่กับชุดกุญแจแบบ Smart key ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถล็อกรถ หรือปลดล็อกรถได้อย่างง่ายเพียงแค่สัมผัสปุ่มที่มือจับประตูโดยไม่ต้องใช้กุญแจไขหรือกดรีโมตแบบเดิม ๆ ขอเพียงแค่พกเจ้า Smart key อันนี้ติดตัวไว้เท่านั้น


D-4 Engine

เครื่องยนต์เบนซินรุ่นใหม่แบบวี 6 ขนาด 2.5 ลิตร (รหัส 4GR-FSE) ที่มาพร้อม D-4 Engine เทคโนโลยีในการฉีดเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้แบบตรง (Direct-injection) ที่ให้การจ่ายเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างเที่ยงตรงและแม่นยำ ลดการสูญเสียที่มักจะเกิดจากการฉีดเชื้อเพลิงแบบเดิม ๆ อีกทั้งยังทำงานควบคู่กับระบบควบคุมจังหวะการเปิด-ปิดวาล์วแบบแปรผัน Dual VVT-i (Variable Valve Timing with intelligence) ทั้งในด้านวาล์วไอดีและวาล์วไอเสีย ช่วยให้สามารถสร้างกำลังได้อย่างเต็มที่และนุ่มนวลในทุก ๆ ช่วงรอบการทำงาน ซึ่งในเครื่องยนต์ตัวนี้ยังใช้กำลังอัดของเครื่องยนต์ที่สูงถึง 12.0:1 เลยทีเดียว จนสามารถสร้างแรงม้าได้มากถึง 212 แรงม้า ที่ 6,400 รอบ/นาที และแรงบิดขนาด 26.53 กก.-ม. ที่รอบเครื่องยนต์เพียงแค่ 3,800 รอบ/นาที ทำงานควบคู่กับชุดเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด ที่พิเศษขึ้นด้วย Sport Paddle Shift ชุดควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่ด้านหลังพวงมาลัย ที่ให้การควบคุมการเปลี่ยนเกียร์เป็นไปได้อย่างรวดเร็วและคล่องแคล่วมากขึ้นกว่าที่ชุดคันเกียร์แบบทั่ว ๆ ไป โดยกำลังทั้งหมดถูกส่งตรงลงสู่ล้อคู่หลังขนาด 17 นิ้ว ซึ่งหาได้ยากแล้วสำหรับรถซีดานขนาดนี้จากค่ายญี่ปุ่นที่ยังคงใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลังอยู่

ด้วยพลังของเครื่องยนต์ 2.5 ตัวนี้ สามารถพา IS 250 ให้เคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแคล่วทั้งภายในเมืองและเส้นทางนอกเมือง โดยเฉพาะไฮเวย์โล่ง ๆ ฝูงม้า 212 ตัว ที่ผสานการทำงานกับชุดเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีดได้อย่างลงตัว สามารถพา IS 250 ไต่สู่ความเร็วระดับ 200 กม./ชม. ได้อย่างรวดเร็ว ให้การตอบสนองที่ดีเยี่ยมในช่วงเกียร์ 1 ไปจนถึงปลายเกียร์ 4 ช่วยให้ผู้ขับรู้สึกได้ถึงพลังที่ซ่อนอยู่ภายในเครื่องยนต์ ส่วนในช่วงเกียร์สุดท้าย (เกียร์ 5 และ 6) ยังคงให้รอบการทำงานของเครื่องยนต์ที่ต่ำ อันเป็นประโยชน์โดยตรงต่อเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองในยามที่เดินทาง อีกทั้งชุดแป้นควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่ด้านหลังของพวงมาลัย ยังช่วยให้การควบคุมจังหวะเกียร์เป็นเรื่องที่สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในการขับขี่แบบสปอร์ต ด้วยตำแหน่งของแป้นที่ง่ายต่อการควบคุม เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วดึงแป้นเข้าหาตัวเท่านั้น ระบบก็จะเปลี่ยนจังหวะเกียร์ให้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ แต่ถ้าระบบคำนวณแล้วว่ารอบเครื่องอาจจะสูงเกินไป หรือเป็นช่วงรอบเครื่องที่ไม่เหมาะสม ชุดเกียร์ก็จะไม่ยอมเปลี่ยนจังหวะให้ ซึ่งจะมีเสียงเตือนเบา ๆ ดังขึ้นมาในกรณีที่เกียร์ไม่เปลี่ยนตามที่ผู้ขับสั่งงาน ซึ่งจากการทดลองใช้งานบ่อย ๆ จนเกิดความคุ้นเคย จะยิ่งช่วยให้ผู้ขับรู้สึกสนุกในการขับขี่ได้มาก




บุคลิกใหม่สไตล์สปอร์ต

สมรรถนะของ IS 250 ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อภาพลักษณ์ของสปอร์ตซีดานที่ยังคงไว้ซึ่งความหรูหราตามสไตล์ของ LEXUS จึงทำให้ IS 250 มีบุคลิกที่สปอร์ตมากกว่าซีดานคันอื่น ๆ ในตระกูล ซึ่งจะสามารถสัมผัสได้ในทันทีที่รถเริ่มเคลื่อนตัว ระบบช่วงล่างแบบอิสระทั้งสี่ล้อจะเริ่มให้การตอบสนองต่อสภาพพื้นผิวที่วิ่งผ่านและส่งความรู้สึกในการทำงานมายังผู้ขับได้อย่างรวดเร็ว มากกว่าซีดานคันอื่น ๆ ในตระกูล ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ขับที่เคยชินกับบุคลิกที่นุ่มนวลของ LEXUS อาจจะรู้สึกแปลกใจได้ในการสัมผัสกันครั้งแรก แต่นั่นก็เป็นจุดเด่นในเรื่องของสมรรถนะที่สปอร์ตขึ้นของ IS 250 การขับขี่ในช่วงความเร็วเดินทาง 120-140 กม./ชม. นับว่าเป็นเรื่องที่สบายของ IS 250 แต่หากขยับความเร็วขึ้นไปสูงกว่านี้ในช่วงใกล้เลขสอง ดูเหมือนว่าเจ้ายางขนาด 17 นิ้วที่ให้มาจะมีขนาดที่เล็กเกินไปในภารกิจนี้

แต่สำหรับการใช้งานในเมืองแล้ว IS 250 สามารถให้ฟีลลิ่งสปอร์ตซีดานได้ในระดับที่กำลังดี ไม่โหดร้ายจนเกินไป จนสามารถที่จะใช้งานในทุก ๆ วันได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะระบบควบคุมน้ำหนักของพวงมาลัยที่สามารถควบคุมน้ำหนักได้สัมพันธ์กันดี ต่อความเร็วที่ใช้งานในขณะนั้น รวมไปถึงในช่วงจอดรถ ส่วนเรื่องประสิทธิภาพการทำงานของระบบเบรกติดรถของ IS 250 นั้น เรื่องนี้หายห่วง เพราะด้วยระบบเบรกแบบดิสก์เบรกทั้งสี่ล้อที่มาพร้อมอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ อีกเพียบ ทั้ง ABS, BA, EBD, VSC และ TRC สามารถทำงานผสานกันได้อย่างลงตัว แม้จะใช้การขับขี่ในรูปแบบสปอร์ตก็ยังคงให้ความมั่นใจได้มากในหัวข้อนี้




โดดเด่นด้วยความโฉบเฉี่ยวที่ไม่ซ้ำใคร

สำหรับผู้ที่กำลังมองหารถซีดานสไตล์สปอร์ต ที่มีกำลังเครื่องยนต์และสมรรถนะเร้าใจพร้อมรูปลักษณ์ที่โดดเด่น โฉบเฉี่ยว และทันสมัย IS 250 น่าจะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่โดดเด่นน่าสนใจอยู่ในขณะนี้ โดยมีระดับเริ่มต้นที่ 2.99 ล้าน ในรุ่น Luxury และ 3.39 ล้าน ในรุ่น Premium ที่มีอุปกรณ์เหมือนในคันที่ทดสอบ แต่หากต้องการมูนรูฟ (Moon roof) เอาไว้รับสายลมในยามที่วิ่งริมชายหาด งานนี้ก็ต้องเพิ่มอีก 1 แสนบาท เพื่อที่จะแลกมา


ตารางทดสอบอัตราเร่ง (เปิดแอร์)
ประเภท เวลา (วินาที) ความเร็ว (กม./ชม.)
0-
402 ม. 17.5 138.79
0-1,000 ม. 30.41 180.63
0-100 กม./ชม. 9.7 100

LEXUS IS 250
ประเทศผู้ผลิต และรุ่นปี ประเทศญี่ปุ่น รุ่นปี 2006
แบบเครื่องยนต์ วี 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว Dual VVT-i
ปริมาตรความจุ (ซี.ซี.) 2,499
กำลังสูงสุด (แรงม้า/รอบ/นาที) 212/6,400
แรงบิดสูงสุด (กก.-ม./รอบ/นาที) 26.53/3,800
อัตราส่วนกำลังอัด 12.0 : 1
ระบบขับเคลื่อน ล้อหลัง
ระบบเกียร์ (รหัส) เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
ระบบพวงมาลัย แร็ค แอนด์ พิเนี่ยน พร้อมเพาเวอร์ช่วย
ระบบกันสะเทือนหน้า อิสระ แบบคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง
ระบบกันสะเทือนหลัง อิสระ แบบคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง
ระบบเบรก หน้า/หลัง ดิสก์เบรก/ดิสก์เบรก
พร้อมระบบ ABS, EBD, VSC, TRC และ BA
มิติ กว้าง x ยาว x สูง (มม.) 1,800 x 4,575 x 1,425
ฐานล้อยาว (มม.) 2,730
ล้อ อัลลอย ขนาด 17
ยาง 225/45 R17, 245/45 R17
ความเร็วสูงสุด (ตัวเลขโรงงาน) 224 กม./ชม.
ราคาจำหน่าย 3,390,000 บาท




 

Create Date : 16 กันยายน 2549   
Last Update : 16 กันยายน 2549 19:29:57 น.   
Counter : 1163 Pageviews.  

1  2  

voicepeople
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add voicepeople's blog to your web]