Group Blog
 
All Blogs
 
ครั้งที่ ๓ ความรู้จักอริยสัจ ๔

สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ

ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร


--------------------------------------------------------------



ครั้งที่ ๓ ความรู้จักอริยสัจ ๔

บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นขอให้ทุก ๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีลทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

จะแสดงเรื่องสัมมาทิฏฐิ ตามอธิบายของท่านพระสารีบุตรในสัมมาทิฏฐิสูตร

สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ความเห็นตรง ย่อมนำให้ได้ปสาทะความเลื่อมใสที่ไม่หวั่นไหวในพระธรรม นำมาสู่พระสัทธรรมคือพระธรรมวินัยในศาสนานี้ ท่านพระสารีบุตรได้แสดงอธิบายว่าเห็นอย่างไรรู้อย่างไรเป็นสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบโดยปริยายคือทางแสดงหลายประการ ตั้งแต่ในเบื้องต้นก็คือ รู้จักอกุศล รู้จักอกุศลมูล รู้จักกุศล รู้จักกุศลมูล อันเป็นสัมมาทิฏฐิที่คนทั่วไปพึงมีเป็นพื้นฐาน ต่อจากนั้นท่านก็ได้แสดงอาหาร คือธรรมะที่นำผลมา อันหมายถึงเหตุแห่งผล ตั้งต้นแต่อาหารอันเป็นเหตุความดำรงอยู่ในของกายอันเป็นฝ่ายรูปธรรม อาหารของนามธรรม อาหารของกรรม คือการที่กระทำทางกายวาจาใจของทุกคน และอาหารของนามรูป เพื่อให้รู้จักอาหาร ธรรมะที่นำผลมาคือเหตุแห่งทั้ง ๔ อย่างนั้น และต่อจากนั้น เมื่อภิกษุทั้งหลายได้ถามต่อไป ท่านก็ได้แสดงอธิบายสืบต่อไปอันจะแสดงในวันนี้ ก็คือท่านได้อธิบายไว้มีใจความว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบก็คือ

ความรู้จักทุกข์
รู้จักทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
รู้จักทุกขนิโรธ ความดับทุกข์
รู้จักทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

อริยสัจ ๔ เป็นที่รวมของกุศลกรรม

ท่านก็ได้แสดงอธิบายตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาไว้ ตั้งต้นแต่ปฐมเทศนาของพระองค์ ซึ่งเราทั้งหลายต่างก็ได้ยินได้ฟังเรื่องอริยสัจทั้ง ๔ นี้มาแล้ว แต่แม้เช่นนั้น เรื่องอริยสัจทั้ง ๔ นี้ก็เป็นเรื่องอันสำคัญในพระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสว่าเป็นที่รวมแห่งธรรมะในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น โดยพยัญชนะที่ตรัสนั้นยกเอาว่าเป็นที่รวมแห่งกุศลธรรมในพุทธศาสนาทั้งสิ้น ก็หมายถึงความรู้ในอริยสัจทั้ง ๔ อันเป็นสัมมาทิฏฐินั้นเอง

ความรู้ในอริยสัจทั้ง ๔ นี้เป็นกุศลอันสำคัญ คำว่า กุศล นั้นตามศัพท์แปลว่า ความฉลาด ก็คือความรู้ที่เป็นความฉลาด ยอดของความรู้ที่เป็นความฉลาดก็กล่าวได้ว่าคือความรู้จักอริยสัจทั้ง ๔ เพราะฉะนั้น กุศลธรรมทั้งหมดจึงรวมอยู่ในอริยสัจทั้ง ๔ ก็คือรวมอยู่ในความรู้จักอริยสัจทั้ง ๔ นี้ และแม้ตัวอริยสัจทั้ง ๔ เอง สรีระแห่งอริยสัจทั้ง ๔ เองก็เป็นที่รวมของธรรมะทั้งสิ้น ดังที่ได้กล่าวไว้ในเบื้องต้นนั้น เพราะฉะนั้น แม้จะฟังบ่อย ๆ พิจารณาบ่อย ๆ ก็ยิ่งเป็นการดี เพราะจะทำให้ได้ความรู้ซาบซึ้งในอริยสัจทั้ง ๔ นี้มากขึ้น จะเห็นความสำคัญของอริยสัจทั้ง ๔ นี้มากขึ้น และก็มิใช่เฉพาะเป็นธรรมะเบื้องสูงเท่านั้น แต่ว่าเป็นธรรมะที่มีอยู่เป็นไปอยู่ตั้งแต่ในเบื้องต้น มีอยู่เป็นไปอยู่ทั่วไป เป็นแต่เพียงว่าใครจะเห็นหรือไม่เห็นเท่านั้น เพราะเป็นสัจจะคือความจริงที่ปรากฏอยู่ที่เป็นไปอยู่ ฉะนั้น ในเบื้องต้นจึงจะได้กล่าวทบทวนถึงพระเถราธิบายซึ่งอธิบายตามพระพุทธาธิบายนั้นเองก่อน

รู้ทุกข์

รู้จักทุกข์ ก็คือรู้จักว่า ชาติ ความเกิด เป็นทุกข์ ชรา ความแก่ เป็นทุกข์ มรณะ ความตาย เป็นทุกข์ โสกะ ความแห้งใจ ปริเทวะ ความคร่ำครวญรัญจวนใจ ทุกขะ ความไม่สบายกาย โทมนัสสะ ความไม่สบายใจ อุปายาสะ ความคับแค้นใจเป็นทุกข์ ความประจวบกับสัตว์ และสังขารทั้งหลาย สิ่งทั้งหลายอันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสัตว์และสังขารทั้งหลาย สิ่งทั้งหลายอันเป็นที่รักเป็นทุกข์ ความปรารถนาไม่ได้สมหวังเป็นทุกข์

กล่าวโดยย่อ ขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการเป็นทุกข์ ก็คือ รูปขันธ์ กองรูป เวทนาขันธ์ กองเวทนา สัญญาขันธ์ กองสัญญา สังขารขันธ์ กองสังขาร วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ เป็นทุกข์

รู้จักทุกขสมุทัย

รู้จักทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ ก็คือรู้จักว่า ตัณหา ความอยาก ความดิ้นรนของใจ ความทะยานอยาก อันเป็นไปเพื่อภพใหม่ ประกอบกับ นันทิ ความเพลิน ราคะ ความติดใจยินดี มีความเพลิดเพลินยิ่งขึ้น ๆ ในอารมณ์นั้น ๆ ในสิ่งนั้น ๆ อันได้แก่ กามตัณหา ความอยากไปในกาม คืออารมณ์หรือสิ่ง คือรูปเสียงกลิ่นรส โผฏฐัพพะที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย ภวตัณหา ความอยากไปในภพ ความเป็นนั่นเป็นนี่ วิภวตัณหา ความอยากไปในวิภพ คือความไม่เป็นนั่นเป็นนี่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์

รู้จักทุกขนิโรธ

รู้จักทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ ก็คือรู้จักว่าความดับตัณหา สำรอกตัณหาออกได้ไม่มีเหลือ การสละตัณหาเสียได้ การสลัดตัณหาเสียได้ ความพ้นตัณหาเสียได้ ความไม่อาลัยเกี่ยวเกาะผูกพันตัณหาได้ เป็นความดับทุกข์

รู้จักมรรค

รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ก็คือรู้จัก มรรคมีองค์ ๘ อันได้แก่ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสัมกัปปะ ความดำริชอบ สัมมาวาจา เจรจาชอบ สัมมากัมมันตะ การงานชอบ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ สัมมาวายามะ เพียรชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ เป็นมรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดั่งนี้

ความรู้จักอริยสัจทั้ง ๔ ดังกล่าวเป็นสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ เป็นความเห็นตรง ซึ่งนำให้เกิดปสาทะความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระธรรม นำมาสู่สัทธรรมคือธรรมวินัยในศาสนานี้ เป็นไปเพื่อละราคานุสัย อนุสัยคือกิเลสที่นอนเนื่องจิตสันดาน คือราคะ ความติดใจยินดี บรรเทาปฏิฆานุสัย อนุสัยคือปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งหงุดหงิดขัดเคืองโกรธแค้น ถอนอวิชชานุสัย อนุสัยคืออวิชชา ความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง ละมานะทิฏฐิอนุสัย ว่าเรามีเราเป็น ละอวิชชา ทำวิชชาให้บังเกิดขึ้น ดั่งนี้

อธิบายอริยสัจเพิ่มเติม

นี้เป็นพระเถราธิบายที่ท่านอธิบายตามพระพุทธาธิบายนั้นเอง และเป็นอธิบายที่เป็นหลักในการอธิบายอริยสัจทั้ง ๔ นี้ จึงควรจะทำความเข้าใจสักเล็กน้อย ในคำว่า อริยสัจ ที่ท่านให้คำแปลไว้ว่า สัจจะคือความจริงที่ทำผู้รู้ให้เป็นอริยะคือบุคคลผู้เจริญบุคคลผู้ประเสริฐ หรือแปลว่า สัจจะคือความจริงที่บุคคลผู้เป็นอริยะพึงรู้ ดั่งนี้ และบางทีก็แปลรวบรัดว่า สัจจะคือความจริงที่ประเสริฐ อันหมายถึงที่สูงที่ละเอียดอันเป็นวิสัยที่จะพึงรู้ได้ของปัญญาที่สูงกว่าปัญญาสามัญ แต่มิได้หมายความว่าสัจจะที่ประเสริฐนั้นเป็นสัจจะที่ดี ที่พึงปฏิบัติอบรมให้มีขึ้น เพราะว่าทุกขสัจจะความจริงคือทุกข์นั้น ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใครต้องการจะก่อทุกข์ให้บังเกิดขึ้น สมุทัยสัจจะ สัจจะคือสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ อันได้แก่ตัณหานั้น ก็มิได้ตรัสสอนหรือสั่งสอนให้ปฏิบัติอบรมตัณหาให้มีขึ้น

เพราะฉะนั้น หากแปล อริยสัจจะ ว่า สัจจะอันประเสริฐ คำว่าประเสริฐในที่นี้จึงไม่ได้หมายความว่าดี ที่จะพึงปฏิบัติอบรมไปทุกอย่าง แต่หมายความว่าที่ละเอียด ที่สูงกว่าสัจจะสามัญทั่วไป อันเป็นวิสัยของภูมิปัญญาที่สูงขึ้นจะพึงรู้ คือที่จะพึงรู้แจ้งเห็นจริง ที่จะปฏิบัติในกิจของสัจจะทั้ง ๔ นี้ได้จริง ๆ เพราะว่าเมื่อว่าถึงลำพังตัวสัจจะคือความจริงทั้ง ๔ นี้ มีกิจที่จะพึงปฏิบัติต่าง ๆ กัน

กิจในอริยสัจ

พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ทำปริญญา คือความรู้รอบคอบในทุกข์ ตรัสสอนให้ทำปหานะ คือละสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ สั่งสอนให้ทำสัจฉิกรณะ คือ การกระทำให้แจ้งในนิโรธคือความดับทุกข์ ตรัสสอนให้ทำภาวนา คือการปฏิบัติอบรมมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ปฏิบัติอบรมให้มีขึ้นให้เป็นขึ้นมา เพราะฉะนั้น กิจที่จะพึงปฏิบัตินั้นในอริยสัจทั้ง ๔ จึงมีอยู่ ๔ อย่าง คือ

หนึ่ง ปริญญา รู้รอบคอบหรือกำหนดรู้จักทุกข์
สอง ปหานะ ละสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์
สาม สัจฉิกรณะ กระทำให้แจ้งนิโรธ ความดับทุกข์ และ
สี่ ภาวนา การปฏิบัติอบรมทำมรรคมีองค์ ๘ ให้มีขึ้นให้เป็นขึ้นมา

กิจในอริยสัจทั้ง ๔ จึงมีต่างกันเป็น ๔ ดังนี้ แต่ว่าในการปฏิบัติอริยสัจทั้ง ๔ ก็คือการปฏิบัติทำกิจในอริยสัจทั้ง ๔ นี้ให้บังเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งสอนทุกคนนี่แหละให้ปฏิบัติตั้งแต่ในเบื้องต้น เรียกว่าเมื่อเข้ามาสู่พุทธศาสนาตั้งแต่ในเบื้องต้น ก็ต้องเริ่มปฏิบัติกิจในอริยสัจทั้ง ๔ นี้ด้วยกัน

อาศัยศรัทธาและปัญญา

แต่ในการปฏิบัติเบื้องต้นนั้นก็เรียกว่า ต้องอาศัยศรัทธา คือความเชื่อในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ ต้องอาศัยปัญญา คือความที่ฟัง อ่าน คิดพินิจพิจารณา ตลอดจนถึงปฏิบัติให้มีความรู้ความเข้าใจ เป็นตัวปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจทั้ง ๔ นี้ พุทธศาสนิกชนทุกคนเมื่อเข้ามาสู่พุทธศาสนาตั้งแต่เบื้องแรกก็ต้องอาศัยศรัทธาและอาศัยปัญญาดังกล่าวนี้ นำการปฏิบัติให้เป็นไป

บางคนก็หนักทางศรัทธา เรียกว่า สัทธานุสารี แล่นไปตามศรัทธา
บางคนก็หนักทางปัญญา ชอบใคร่ครวญพิจารณา เรียกว่า ปัญญานุสารี แล่นไปตามปัญญา

ศรัทธาและปัญญาทั้ง ๒ นี้เป็นหลัก ซึ่งทุก ๆ คนที่จริงก็ต้องมีอยู่ด้วยกันทั้งศรัทธาและทั้งปัญญา ก็เพราะว่าสิ่งใดที่รู้เห็นได้ด้วยปัญญาของตัวเอง เช่นธรรมะที่ทรงสั่งสอนเป็นเหตุผลขั้นต้นขั้นต่ำอันเป็นธรรมดาสามัญที่จะพึงบังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ตามองเห็นได้ในบัดนี้ ก็ไม่จำต้องอาศัยศรัทธา เพราะได้ปัญญารู้เห็นได้ด้วยตัวเองแล้ว แต่ว่าข้ออันใดที่ตนยังไม่อาจจะรู้เห็นได้ ก็ต้องอาศัยศรัทธาคือความเชื่อในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่ใช่เชื่อเพียงอย่างเดียว ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาจับเหตุจับผล อันเรียกว่าโยนิโสมนสิการ ทำไว้ในใจ คือรับเอาคำสั่งสอนมาไว้ในใจ ตั้งต้นแต่ใส่ใจที่จะฟังที่จะอ่านกำหนดจดจำ นำมาขบเจาะคือพินิจให้มีความรู้ความเข้าใจ ลงความเห็น ก็คือทำความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้องว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ดั่งนี้ก็เรียกว่าอาศัยศรัทธานำเพื่อจะได้ปัญญายิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป และแม้ว่าจะชอบทางปัญญาพินิจพิจารณาให้มีความรู้ความเข้าใจด้วยตนเอง แต่แม้เช่นนั้น สิ่งที่ยังไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเองได้ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ก็รับฟัง คือใช้ศรัทธาเชื่อไว้ก่อน ยังไม่ปฏิเสธ และก็ปฏิบัติเพื่อให้ได้ปัญญายิ่ง ๆ ขึ้นสืบต่อไป ดั่งนี้ ต้องอาศัยศรัทธาต้องอาศัยปัญญาดังกล่าว

แม้ในอริยสัจทั้ง ๔ นี้ก็เช่นเดียวกัน หน้าที่ของผู้ฟังอริยสัจก็คือ ปฏิบัติในกิจของอริยสัจดังที่กล่าวมาแล้ว อาศัยศรัทธาและอาศัยปัญญาในการที่จะทำความกำหนดรู้จักทุกข์ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน อะไรที่ตรัสว่าเป็นทุกข์ ก็ใช้ศรัทธาใช้ปัญญาประกอบกันเพื่อกำหนดรู้ เพื่อทำความรู้รอบคอบ ว่าข้อนี้เป็นทุกข์จริง ข้อนี้เป็นทุกข์จริง และเป็นทุกข์จริงอย่างนี้ เป็นทุกข์จริงอย่างนี้ ข้ออื่นก็เช่นเดียวกัน อาศัยศรัทธาอาศัยปัญญาเพื่อละสมุทัย คือละตัณหา อาศัยศรัทธาอาศัยปัญญาเพื่อทำให้แจ้งนิโรธ คือความดับตัณหา ซึ่งตรัสว่าเป็นความดับทุกข์อาศัยศรัทธาและปัญญาปฏิบัติทำภาวนา คืออบรมมรรคมีองค์ ๘ ให้บังเกิดขึ้น ก็อาศัยศรัทธาและปัญญาดังนี้ ปฏิบัติในกิจของอริยสัจทั้ง ๔ นี้ให้ก้าวหน้าไปโดยลำดับ

บุคคล ๔ จำพวก

ในการปฏิบัตินั้น ผู้ที่เป็นอุคฆติตัญญูคือรู้เร็ว เมื่อฟังคำสอนเรื่องอริยสัจเพียงหัวข้อก็เข้าใจได้ทันที ผู้ที่เป็นวิปจิตัญญูคือมีความรู้ที่ช้าเข้าอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อฟังอริยสัจเพียงหัวข้อและฟังอธิบายในหัวข้อ ก็มีความรู้ความเข้าใจ บุคคลที่เป็นเนยยะคือพึงแนะนำได้ เมื่อฟังหัวข้อฟังอธิบายแล้ว หนหนึ่งก็ยังไม่ค่อยเข้าใจก็จะต้องฟังหนที่ ๒ หนที่ ๓ หนที่ ๔ หลาย ๆ หน ก็อาจจะมีความรู้ความเข้าใจได้ ที่เรียกว่า เนยยะ คือพึงแนะนำได้ ต้องแนะนำอบรมพร่ำสอนอยู่บ่อย ๆ บุคคลส่วนใหญ่นั้นมักจะเป็นพวกที่ ๓ นี้ คือเป็นพวกที่เรียกว่า เนยยะ คือพึงแนะนำอบรมได้ และคำว่าเนยยะนี้เองก็ใช้อยู่ในคำว่า เวไนยนิกร ดังที่ได้กล่าวกันว่าพระพุทธเจ้าได้อบรมสั่งสอนเวไนยนิกรซึ่งแปลว่า หมู่แห่งชนที่พึงแนะนำได้ที่พึงสอนได้ และยังมีอีกคำหนึ่งในบทพระพุทธคุณว่า

ปุริสทัมมสารถิ พระพุทธเจ้าทรงเป็นเหมือนอย่างสารถี ฝึกบุรุษบุคคลที่ควรฝึก ก็คือฝึกบุรุษบุคคลที่ฝึกได้
ซึ่งคำนี้ว่า ปุริสทัมมะ บุรุษบุคคลที่ฝึกได้ หรือ เวไนยนิกร หมู่แห่งชนที่พึงแนะนำได้ อบรมได้ ก็หมายถึงบุคคล ๓ จำพวกดังกล่าวมา คือ

อุคฆติตัญญู บุคคลที่รู้ได้เร็ว
วิปจิตัญญู บุคคลที่รู้ได้ช้าเข้าหน่อยหนึ่งคือเมื่อยกหัวข้อขึ้นแล้วก็ต้องอธิบาย
เนยยะ บุคคลที่พึงแนะนำได้อบรมได้ คือต้องพร่ำสอนกันอยู่บ่อย ๆ หลายครั้งหลายหน

สามจำพวกนี้เป็นปุริสทัมมะ บุรุษบุคคลที่พึงฝึกที่ฝึกได้ เป็นเวเนยยะหรือเวไนยนิกร หมู่แห่งชนที่พึงฝึกได้แนะนำได้อบรมได้ พระพุทธเจ้าย่อมทรงสั่งสอนได้แก่บุคคลทั้ง ๓ พวกดังกล่าวนี้ และคำนี้เองก็บ่งว่าจะต้องมีอีกพวกหนึ่งคือจำพวกที่ฝึกไม่ได้ คือมิใช่เป็นปุริสทัมมะ บุรุษบุคคลที่พึงฝึกได้ แต่ว่าเป็นบุรุษบุคคลที่ฝึกไม่ได้ ดั่งนี้ก็มีอยู่ บุคคลจำพวกที่ฝึกไม่ได้นี้เอง ก็เช่นเป็นผู้ที่มีทิฏฐิมานะมาก ไม่ยอมรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือที่เรียกว่า ปทปรมะ มีบทอย่างยิ่ง ก็คือหมายความว่าเป็นผู้ที่โง่เง่ามาก ไม่สามารถที่จะรู้ธรรมะที่ทรงสั่งสอนได้ และก็หมายรวมไปถึงผู้ที่มีทิฏฐิมานะมากดังกล่าวนั้นด้วย

จำพวกที่มีทิฏฐิมานะมากนั้นก็ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์สญชัยของท่าน พระสารบุตร พระโมคคัลลานะ ที่เมื่อท่านพระอัครสาวกทั้ง ๒ ก่อนที่ท่านจะเข้าบวช ท่านได้พบพระอัสสชิเถระแล้วท่านกลับไปชักชวนท่านอาจารย์ของท่าน คืออาจารย์สญชัย ท่านอาจารย์สญชัยนั้นท่านเป็นอาจารย์ใหญ่มีผู้นับถือมาก ก็ไม่ยอมที่จะลดตัวไปเป็นลูกศิษย์ของใครอีก มีทิฏฐิมานะอยู่ จึงไม่ยอมไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทั้งที่ท่านก็รู้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นน่าจะต้องดี จึงได้จูงใจเอาศิษย์สำคัญของท่านไปนับถือได้ ท่านจึงถามว่า ในโลกนี้คนฉลาดมากหรือคนโง่มาก ท่านพระอัครสาวกทั้งสองเมื่อยังเป็นปริพาชก ท่านก็ตอบว่า คนโง่มาก ท่านอาจารย์สญชัยจึงได้บอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนฉลาดไปหาพระพุทธเจ้า ให้คนโง่มาหาท่านก็แล้วกัน ดั่งนี้ก็คือเป็นจำพวกที่เรียกว่าเป็นบุรุษบุคคลที่ฝึกไม่ได้ เพราะมีทิฏฐิมานะมาก และตลอดจนถึงผู้ที่โง่เง่าจนเกินไป ก็รวมอยู่ในคำว่าปทปรมะอันเป็นจำพวกที่ ๔

เพราะฉะนั้น กิจในอริยสัจทั้ง ๔ นี้จึงเป็นข้อที่ทุกคนจะพึงปฏิบัติตั้งแต่เบื้องต้นด้วยกันทั้งนั้น และการปฏิบัติในพุทธศาสนาทั้งสิ้น ก็รวมเข้าในการปฏิบัติกิจทั้ง ๔ นี้ คือ กำหนดรู้จักทุกข์ ละสมุทัย ทำให้แจ้งในนิโรธ ปฏิบัติอบรมในมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งย่นเข้าก็ในศีล สมาธิ ปัญญา เพราะฉะนั้น อริยสัจทั้ง ๔ นี้จึงเป็นธรรมะสำคัญที่ควรจะต้องฟังบ่อย ๆ ต้องพินิจพิจารณากันบ่อย ๆ และเป็นที่รวบรวมธรรมะทั้งสิ้น ก็รวมอยู่ในอริยสัจทั้ง ๔ นี้ กุศลธรรมทั้งสิ้นก็รวมอยู่ในความรู้ในอริยสัจทั้ง ๔ นี้

ต่อจากนี้ไปก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบไป

๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๗

--------------------------------------------------------------

หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒ ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง กรกฎาคม ๒๕๒๘ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดพิมพ์ถวายเป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘

คัดลอกจาก หนังสือสัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พิมพ์ครั้งที่ ๗/๒๕๕๓ ที่ โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย ๑๒๙ หมู่ ๓ ถ.ศาลายา – นครชัยศรี ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม



Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2555 9:55:58 น. 0 comments
Counter : 613 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

sirivajj
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




บทความในกลุ่ม ข้อคิด-ธรรมะ ได้ถูกเรียบเรียงขึ้น โดยบางบทความได้คัดลอกและสำเนาภาพมาถ่ายทอดจากหนังสือธรรมะต่างๆ หรือหนังสืออื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ด้วยเจตนาประสงค์จะให้ธรรมะอันเป็นสัจจะและมงคลของพระพุทธศาสนาได้รับการเผยแพร่และเข้าถึงพุทธศาสนิกชนหรือผู้ที่สนใจให้ได้มากที่สุด รวมทั้งให้บทความธรรมะได้ถูกรวบรวมไว้ในรูปแบบที่จะสะดวกแก่การสืบค้นและเข้าถึงในภายหลัง

ผู้ที่ประสงค์จะคัดลอกไปเพื่อประโยชน์ทางพาณิชย์ กรุณาตรวจสอบกับต้นฉบับหรือเจ้าของลิขสิทธิ์ ด้วยครับ
Friends' blogs
[Add sirivajj's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.