ฝ่าวิกฤตด้วยหลักพุทธ
สวัสดีค่ะ
สิ่งที่ทุกคนชาวไทยรู้กันก็คือ ชาวไทยกว่า 90% นับถือศาสนาพุทธ สิ่งที่ทุกคนชาวไทยรู้กันก็คือ พุทธศาสนิกชน นับถือศีล 5 สิ่งที่ทุกคนชาวไทยรู้กันก็คือ ศีล 5 ได้แก่ ปา อะ กา มุ สุ (ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมย ไม่ละเมิดทางกาม ไม่พูดปด ไม่ดื่มสุรา -- โดยคร่าวๆ) แต่สิ่งที่ทุกคนชาวไทยรู้ๆกันนั้น หาได้ปฏิบัติกันไม่
วันนี้สถานการณ์บ้านเมืองถึงขั้นวิกฤตแล้ว ตั้งแต่เกิดจนโต ไม่คิดว่าในยุคสมัยของเราจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้ได้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว It's no use crying over a spilled milk. (แปลตรงๆ - ไม่มีประโยชน์ที่จะร้องไห้เมื่อทำนมหก)
ของที่เสียไปแล้ว การกร่นด่าร่ำไห้ ด่าทอกันไปมา รังแต่จะทำให้บ้านเมืองร้อน ยิ่งคิดถึงสื่งที่เสียไป ผู้สูญเสียเองก็ยิ่งหดหู่ วันนี้ถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องคิดช่วยกันเพื่อแก้ปัญหาและเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ต่อไป เพื่อกู้ชาติของเรา
ชาติไทย ไม่ได้เกิดจากรัฐบาลหรือกลุ่มคนกลุ่มใด การสร้างชาติต้องอาศัยประชาชนในชาติทุกคน คำถามคือ แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อสร้างชาติขึ้นมาใหม่
ในความคิดเห็นของดิชั้นล้วนๆ การสร้างอะไรนั้น เริ่มจากการนับหนึ่งสองสาม ปูนดีมีคุณภาพ อิฐแข็งแรง ช่างฝีมือเนี๊ยบ บ้านก็ออกมาสวย เช่นเดียวกัน ถ้าเรารู้หน้าที่ของตัวเองและตั้งใจทำให้ดีที่สุด หน้าที่ลูกก็ดูแลพ่อแม่ นักเรียนก็ตั้งใจเรียน ไม่เกเรออกนอกลู่นอกทาง หน้าที่ตำรวจก็ตรวจตราบ้านเมือง ใครทำผิดก็จับมาลงโทษตามกฎหมาย คุณครูก็สอนหนังสือให้ความรู้ ผู้ให้บริการก็ทำหน้าที่ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ชาติเราก็จะมุ่งหน้าต่อไปได้
หลายวันมาแล้วที่ดิชั้นเข้า facebook แล้วรู้สึกไม่สบายใจ ถึงขั้นจุกอกจุกคอ เพราะเพื่อนๆในนั้นต่างมีความคิดเห็นที่น่าใจหาย บ้างเชียร์ให้ยิงกัน บ้างด่าคนว่าโง่(บางครั้งด่าเป็นสัตว์หลายชนิด) บ้างด่าว่าเลวจัญไร ฯลฯ เมื่อถามว่าทำไมจึงมั่นใจว่าคนเหล่านั้นเลว/โง่/สัตว์นานาชนิด ได้รับคำตอบว่าเพราะได้ติดตามข่าวและรู้ดีว่าพวกมันเลว/โง่/สัตว์นานาชนิด จริง ฟันธง ที่น่าท้อใจที่สุด เพราะคนเหล่านั้นที่รุมด่าคนอีกกล่มว่าโง่ บางคนมีอาชีพเป็นอาจารย์ เป็นผู้ให้ความรู้แต่กลับด่าคนที่(ตนคิดว่า)ไม่รู้ว่า"โง่"เสียเองนั้นใครเล่าจะเป็นผู้ให้ความรู้ได้อีก
ทางพุทธก็เปรียบปัญญาออกเป็นดอกบัวสี่เหล่า เหล่าที่หนึ่งคือผู้ที่สติปัญญาดีมาก เหล่าที่สองคือผู้ที่มีปัญญาดี หากได้รับความรู้ก็จะจเริญ เหล่าที่สามคืออาจขาดโอกาส แต่หากได้รับความรู้ก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้ ส่วนเหล่าที่สี่คือผู้ที่ไม่สามารถเรียนรู้ ยากที่จะประสบความสำเร็จเท่าเหล่าอื่น เหล่านี้เห็นจะเปรียบกับผู้ที่พิการทางสมอง ยากที่จะหายได้ แต่ผู้ที่สมองสมบูรณ์ล้วนเรียนรู้ได้ อยู่ที่มีโอกาสหรือเปล่า เปรียบเป็นบัวเหล่าที่สาม สอง หรือโชคดีมีบุญมากก็หนึ่ง
ในสายตาดิชั้น คนโง่นั้นไม่มีอยู่จริง ที่มีจริงคือ"คนไม่รู้" การที่ไม่รู้ไม่ได้หมายความว่าโง่ อยากวอนคนไทยใช้ความเมตตาและบอกคนไม่รู้ที ว่าสิ่งที่ท่านรู้นั้นคืออะไร เผื่อว่าคนที่ไม่รู้จะได้มีความรู้
ทุกวันนี้เราแบ่งแยกกันมากพอแล้ว เรามีเหลือง มีแดง มีรัฐบาล มีคนรวย คนจน มีไพร่ ทั้งๆที่นอกสถานการณ์เราก็แบ่งแยกกันมากเหลือเกินแล้ว แบ่งด้วยเชื้อชาติ ศาสนา ฐานะ อาชีพ สีผิว อายุ น้ำหนัก หากยังต้องแบ่งแยกเช่นนี้ จะหาความสามัคคีมาจากไหน อย่างน้อยอย่าเอาเรื่องโง/ไม่โง่มาตัดสินคนไทยด้วยกันอีกเลย
ตั้งแต่มีเหตุการณ์ร้อนในบ้านเมืองเรานั้น ดิชั้นเฝ้าดูเงียบๆมาตลอด พยายามที่จะวางตัวเป็นกลาง ใครจะทำอะไรก็ให้ทำไปตามครรลอง การประท้วงปฏิวัติมีขึ้นมาหลายยุคหลายสมัย มันเป็นกระบวนการทางการเมือง การมานั่งด่าทอ ปรักปรำกันไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์ ช่างน่าเวทนาเมื่อเห็นผู้มีการศึกษาดี เป็นถึงครูบาอาจารย์ กลับมานั่งด่าผู้อื่นว่าโง่ว่าเลว สิ่งที่น่าคิดคือ คนหลายคนพูดว่าตัวเองรู้ ว่าแท้จริงเป็นอย่างไร ทั้งๆที่ไม่ได้มีญาติเป็นคนใน ไม่ได้เห็นกับตา ไม่ได้ยินกับหู มีแต่ฟังตามๆเค้ามา อ่านสิ่งที่เค้าเขียนให้อ่าน เห็นสิ่งที่คนเอามาโชว์ โดยไม่รู้ว่า คนที่เขียนให้อ่านจัดให้ดูเป็นฝ่ายไหน มีเจตนาอย่างไร
ทุกวันนี้เป็นยุคที่ข่าวสารรอบด้าน ทุกอย่างมาไว เรื่องเกิดเช้านี้ สิบนาทีได้อ่านออนไลน์แล้ว Internet มีส่วนในการส่งข่าวสารถึงมือเราอย่างว่องไว แต่อย่าลืมว่าเหรียญมีสองด้าน สิ่งที่มีประโยชน์ก็มักมีโทษเสมอ แสงยิ่งสว่างเงาก็ยิ่งมืด การที่อินเตอร์เน็ตมันกว้าง ผู้ใช้เยอะ ผู้ใช้ที่ดีก็มี แต่ที่เจตนาร้ายก็มี เมื่อจะเลือกรับสาร ต้องใช้วิจารณญาณให้ถี่ถ้วนด้วย ไม่ใช่เฉพาะอินเตอร์เน็ต แต่สารทุกประเภทนั้น ทุกวันนี้เจือสีกันไปหมด หากรับสารที่เจือสีใดสีหนึ่งบ่อยๆ จิตใจก็สามารถโอนเอนไปไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเมื่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสารแต่ละชิ้นที่ส่งมา เจือสีหรือไม่ บางสารแอบเนียนสีหนึ่ง แต่ถึงตอนจบกลายเป็นอีกสีหนึ่ง เป็นต้น
พุทธศาสนาของเราเองก็มีคำสอนเกี่ยวกับการรับสารที่น่านำไปใช้ ขออนุญาตลอกมาจากลิงก์ข้างล่างดังนี้
วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัยหรือหลักความเชื่อ 10 ประการ (กาลามสูตร)
หลักธรรมในพระพุทธศาสนานี้พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ ที่อาศัยอยู่ในเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล เนื่องจากในสมัยนั้นมีผู้อวดอ้างตนในคุณวิเศษกันมาก เชิดชูแต่ลัทธิของตัว พูดจากระทบกระเทียบดูหมิ่นลัทธิอื่น พร้อมทั้งชักจูงมิให้เชื่อลัทธิอื่น เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จถึงเกสปุตตนิคมดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้อวดอ้างชาวกาลามะได้ทูลถามด้วยความสงสัยว่าใครพูดจริง ใครพูดเท็จ?
พระพุทธองค์จึงทรงแสดงกาลามสูตร ว่าด้วย วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัยหรือหลักความเชื่อ 10 ประการ เป็นหลักตัดสิน คือ
1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา 2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา 3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ 4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ 5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก 6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน 7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล 8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว 9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ 10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา
เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า..ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า..ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ
ดังนั้น พระสูตรนี้ท่านมิได้ห้ามมิให้เชื่อ แต่ให้เชื่อด้วยมีปัญญาประกอบด้วย มิฉะนั้นความเชื่อต่างๆ จะไม่พ้น "ความงมงาย" และไม่พึงแปลความเลยเถิดไปว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อสิ่งเหล่านี้ และให้เชื่อสิ่งอื่นนอกจากนี้ แต่พึงเข้าใจว่า แม้แต่สิ่งเหล่านี้ซึ่งบางอย่างก็เลือกเอามาแล้วว่า.. เป็นสิ่งที่น่าเชื่อที่สุด ท่านก็ยังเตือนไม่ให้ปลงใจเชื่อ ไม่ให้ด่วนเชื่อ ไม่ให้ถือเป็นเครื่องตัดสินเด็ดขาด ยังอาจผิดพลาดได้ ต้องใช้ปัญญาคิดพิจารณาให้ดีก่อน
.. แล้วสิ่งอื่น คนอื่นเราจะต้องคิดต้องพิจารณา ระมัดระวังให้มากสักเพียงไหน??
ที่มา: //www.lib.ru.ac.th/miscell/kalamasute10.html
สรุปให้ง่ายเข้าก็คือ อย่าเพิ่งเชื่ออะไรที่ไม่ได้เห็นกับตาได้ยินกับหู แถมบางครั้งเห็นกับตาแล้วแต่ไม่ค่อยชัดก็ยังเชื่อไม่ได้ เก็บๆข้อมูลไว้ก่อนจึงค่อยประมวล แล้วถึงประมวลแล้ว ก็อย่าปักใจเชื่อ ตนอาจจะผิดได้
การรับสารอย่างชาญฉลาดอาจดูเหมือนจะลำบาก แต่อย่างน้อยหากมีสติบอกตัวเองไว้ว่าอย่าเพิ่งเชื่อเสียก่อน เราก็จะสามารถหยุดตัวเองจากการปักใจเชื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ และสามารถมองเหตุการณ์อย่างเป็นธรรม วินาทีนี้อยากวอนคนไทยให้มีเมตตาจิตให้มาก ช่วยกันคิดและทำสิ่งที่สร้างสรรค์ดีกว่าทำลาย ชาติเราจะได้ดำเนินต่อไป
ขอบคุณค่ะ
Create Date : 20 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 20 พฤษภาคม 2553 11:13:16 น. |
|
4 comments
|
Counter : 395 Pageviews. |
|
|
|
โดย: โอ๋เอง IP: 124.121.50.99 วันที่: 20 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:36:28 น. |
|
|
|
โดย: เฟอจิว IP: 58.64.105.182 วันที่: 20 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:13:01 น. |
|
|
|
โดย: Devil J IP: 125.27.216.182 วันที่: 21 พฤษภาคม 2553 เวลา:20:59:10 น. |
|
|
|
| |
|
|
กลับมาที่สถานะการณ์บ้านเมืองดีกว่า ฉันชอบที่แกเขียนครั้งนี้มาก ใช้คำด้เหมาะเจาะ โดยเฉพาะประโยคที่ว่า "คนโง่ไม่มีอยู่จริง ที่มีอยู่คือคนไม่รู้" เจ๋งมากเพื่อน เห็นด้วยกับเรื่องความเชื่อและการโน้มเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพราะการรับข่าวสารด้านใดด้านหนึ่งบ่อย อีกเหตุผลที่ฉันคิดคือคนเรามักจะโน้มเอียงไปทางสิ่งหรือคนที่มีสัญชาตญาณคล้ายกันตัวเอง
ขอบคุณที่เอากาลามะสูตรมาให้อ่านอีก คนเราพอปล่อยวางเรื่องใดมันก็มักจะหลงลืมต้องหยิบมาดูมาชม มาพิจารณากันบ่อยๆ
พูดถึงข่าวสารนะ แม้แต่เนื้อความเดียวกันแต่ถ้าคนนั้นต่างความคิด ต่างสิ่งแวดล้อม ก็ยังตีความหมายเนื้อสารเดียวกันไปได้หลากหลาย และเพราะการตีความหมายที่ต่างกัน..บ้านก็ลุกเป็นไฟอย่างที่เห็น
สรุปว่าชอบมาก