Body Talk (BL) บทที่ 9
บทที่ 9

เราถึงโตเกียวแล้ว
เราถึงโรงแรมที่พักแล้ว
เราเข้ามาในห้องของเราแล้ว เหนื่อยจัง....
กระนั้นไม่ทันที่ประตูห้องจะปิดสนิทผมกับเมษาก็เข้าหากันราวกับถูกดึงดูดด้วยแม่เหล็กต่างขั้วที่ฝังอยู่ภายในตัวของเรา ทั้งใบหน้าและซอกคอของเราแทบจะไหม้ด้วยจุมพิตที่ร้อนฉ่ากระหายโหยราวกับมันเป็นสิ่งที่ดื่มกินดับหิวได้ ทั้งที่ร่างกายของเรายังพัวพันแต่สองมือเราต่างปลดและแกะถอดเสื้อผ้าอย่างร้อนรนเสมือนกับไม่อยากได้มันไว้ติดกายสักวินาที เมษาไวกว่าผมเขาเหลือแต่ชั้นในตัวเดียว ขณะที่ผมยังเหลือเสื้อเชิ้ทกับชั้นใน เมษารัดเอวผมไว้ด้วยลำแขนแข็งแรง เขาพรมจูบผมทั่วทั้งผิวหน้าเลยถึงใบหู ลมหายใจของผมสั่นเทิ้มยามผมผ่อนออกมา เมษาพาผมลงนอนบนเตียง เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ทของผมแต่มันไม่ทันใจเลยดึงทึ้งจนกระดุมที่ยังค้างในรังดุมขาดออกหมด ผมหัวเราะกระซิกกับความเอาแต่ใจของเขา เมษาก้มลงจูบผิวกายของผม ไล้โลมซอกคอ ใบหู แผ่นอก หน้าท้อง จนถึงท้องน้อย เขาค่อยๆดึงชั้นในของผมออก รูดมันออกจากขาของผม มือของเขาเลื่อนมาสัมผัสกลางลำตัวของผม ผมหายหลับตาหายใจรัว ภาพฝันหลังเปลือกตาก่อตัวขึ้นพร้อมกับความรู้สึกถึงการเคลื่อนที่ของมือเมษา น้ำหนักที่เคล้าคลึงช่างละมุนละม่อมและชำนาญ ร่างกายผมเริ่มบิดเร่าตามทำนองที่มือของเขาบรรเลง แล้วผมก็หายใจขัดเมื่อลิ้นชุ่มชื้นของเขาผ่านเข้าเริงรื่นกับผม

“อา เมษา”อกผมเพิบพาบด้วยอาการหายใจแรง ผมลืมตาโพลงเมื่อภาพฝันพังทลายลงสิ้น ที่เคยคิดว่าหากไม่ทศวรรษผมคงไม่สามารถมีเซ็กส์กับใครได้อีกนั้น ความคิดเช่นนั้นน่ะ ได้กลายเป็นความคิดที่ถูกทำลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี เซ็กส์นี้เป็นของเมษา ลีลาที่เริงร่ายทำให้ผมไม่มีโอกาสวาดฝันถึงทศวรรษได้เลย เขาเป็นความต่างที่แม้ผมจะพยายามมัวเมาแค่ไหนก็ไม่สามารถซ้อนทาบให้กลายเป็นทศวรรษได้ พวกเขาไม่เหมือนกันสักนิด ไม่...แม้แต่จะคล้ายกัน ผมมัวแต่เหม่อลอยจนไม่ทันกับร่างกายที่เกร็งสุดแล้วอ่อนยวบลง ลมหายใจที่กระชั้นถี่ทำให้ผมหลุดจากภวังค์พริบตามองแสงสลัวหลังผ้าม่าน เมษาดึงผมลุกขึ้นนั่งเผชิญหน้ากับร่างกายล่ำสันเปลือยเปล่าของเขา เมษายื่นหน้ามาจูบที่กลีบปากผมเขางับมันเบาก่อนและค่อยแรงขึ้นจนกลายเป็นบดขยี้ ผมตอบสนองในแบบไม่ยอมออมแรงกับปากอิ่มเอิบของเขาเหมือนกัน

จู่ๆเมษาก็ถอนปากออก ผมขยับตามริมฝีปากนั้นไปอย่างติดพัน ตอนแรกเมษาหลบเพราะเขาอยากพูดบางอย่าง แต่ผมซึ่งตื้อที่จะจูบให้ได้ เขาเลยต้องพูดทั้งที่ริมฝีปากของเรายังนัวเนียชนิดแมลงเล็กตัวใดเข้าแทรกกลางได้เละเทะตายอนาถแน่
“ผู้....อืม... จัดการ..อืมม...ที่ผมเคยถาม...อืออ...ว่าหากเราจะมีเซ็กส์กันนั่นหมาย....อือมม..ถึงผู้จัดการพร้อมที่จะเปลี่ยน...ใช่ไหม...” ลิ้นของเมษาหลุบเลียริมฝีปากตัวเองเมื่อผมเองที่เป็นฝ่ายผละออกมา เขาจ้องผมอย่างหมายถึงที่พูดจริงๆ ผมมองเขาทั้งร่างกาย สิ่งใหญ่โตของเมษากำลังรอคำตอบจากผมเช่นเดียวกับเจ้าของ ผมขยับเข้าใกล้เมษาเปิดเข่าแยกขาตัวเองกว้างขึ้นเรื่อยๆ เข่าของผมยันกับที่นอนนุ่มเมื่อผมอยู่ในกริยาที่เรียกพร้อมสำหรับเขาเช่นกัน มือข้างหนึ่งของผมลูบต้นคอล่ำสันของเขาก่อนจะเกาะไว้ อีกมือประคองความเร่าร้อนที่กำลังลุกโชนของเขาเพื่อนำทางสู่ประตูสวรรค์ที่ผมเปิดรอรับเขาอย่างโหยหา ผมหลับตากัดริมฝีปากก่อนจะกดร่างกายสุดแรงเพื่อให้เมษาได้ล้ำล่วงเข้ามาในร่างกาย ผมไม่ได้ลืมหากแต่ผมไม่ต้องการตัวช่วย ร่างกายของผมต้องการซึมซับความเป็นเมษาให้สุดลิ่มหัวใจ


“โอ๊ย”ผมร้องครางพลางซบหน้ากับไหล่เขาแล้วผ่อนหายใจ เมษาเงยหน้าหายใจกระเส่า
“ฉันอยากเปลี่ยนเพราะฉันชอบนาย” ผมขยับเคลื่อนไหวให้กล้ามเนื้อตัวเองรัดกระชับเลือดเนื้อแข็งแรงอันแสนรุมร้อนที่ฝังแน่นอยู่ในร่างกาย

“ผู้จัดการ”เมษาเสียงสั่น เขาใช้มือทั้งสองประคองศีรษะของผม ผมจับมือของเขาที่แนบใบหน้าของผมพร้อมระบายยิ้มอ่อนแรง ร่างกายที่กำลังต่อกรกันอย่างรุนแรงทำให้ผมใกล้ฉีกขาดไปทั้งตัว เมษากดริมฝีปากกับแก้มของผม
“ผมกำลังเป็นหนึ่งเดียวกับคุณ” เมษากระซิบพลางกอดร่างกายที่สั่นสะท้านจากการกระทบกระทั่งของผม
“อืม...ถนอมฉันหน่อยนะ ฉันเป็นของนายแล้ว” ผมโอบลำคอของเขาไว้ เมษาพาผมนอนลง ที่นอนนุ่มแผ่สัมผัสแผ่นหลังเปล่าว่างของผม เรียวขาผมยกขึ้นแนบเข่ากับลำตัวของเขา เมษาไม่รั้งรอที่จะกระหน่ำจังหวะเข้าใส่ จนผมต้องกรีดร้องออกมา อาใช่แล้ว.....นี่คือเมษา นี่เซ็กส์ของเขา เซ็กส์ที่ทำให้ผมเคลิบเคลิ้มดั่งเสพสมกับดวงตะวัน ทั้งร้อนแรง ทั้งอบอุ่นอยู่ในที

มันดีที่แผนการเดินทางก่อนหน้านี้ผมเผื่อเวลาไว้ท่องเที่ยวในโตเกียวสองวัน หนึ่งวันของเรา ผมกับเมษา หมดไปกับเซ็กส์และดื่มกินในห้องสวีทกลางกรุงโตเกียวแทนการท่องเที่ยว เรามีเซ็กส์ที่ไม่รู้เบื่อหน่าย ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยนับแต่เช้าจรดกลางวัน บ่าย เย็น และดึกดื่น อาภรณ์คลุมกายของเราไม่มีความหมาย เราไม่ต้องการมัน ผมกับเมษาเราเปลือยเปล่าล่อนจ้อนนอนกอดก่ายกันบนเตียง บางครั้งก็คลานไปร่วมรักกันที่โซฟา บนพื้น ในห้องน้ำ เราพูดคุยกันน้อยลงหัวเราะและยิ้มกันมากขึ้นเพราะร่างกายของเราพูดจากันไม่ยอมหยุด เมื่อเราต้องการขุมพลังานก็สั่งรูมเซอร์วิสคราเดียวมากมายเพื่อกินทั้งวัน ตอนนั้นเสื้อคลุมจึงได้เอาออกมาใช้เมื่อบริกรเข้ามาส่งอาหารและเครื่องดื่มให้
“ผมรักโตเกียว” เมษาก่อนจะทรุดฮวบบนตัวผมเมื่อถึงจุดสุดยอด ซึ่งมันก็เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ เมษายังเป็นเด็กหนุ่มนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงแข็งแรงที่จะถึงจุดสุดยอดหลายครั้งในหนึ่งวันที่แสนวิเศษของเรา

เมษาพลิกตัวลงจากผมไปนอนอยู่ข้างกายผม ผมยิ้มเมื่อมองไปใบหน้าเปี่ยมสุขของเขา สีหน้าราวตะวันจ้าของเขาทำให้ผมใจสั่นได้ตลอดเวลา นิ้วของผมเลื่อนไปเกลี่ยเส้นผมที่รุ่ยรายปรกใบหน้าน่ารักของเมษา ดูเหมือนผมจะตัดสินใจไม่ผิดหรอก ในการกระทำขัดใจซุรุงะครั้งนี้ ผมมองเพดานแล้วนึกย้อนถึงใบหน้านิ่งขรึมของซุรุงะขณะฟังในสิ่งที่ผมพูดหลังเลื่อนซองสีน้ำตาลที่บรรจุไว้ซึ่งผลประโยชน์อันมหาศาลคืนให้กับเขา

ผมบอกกับเขาว่าผมมีทางเลือกให้ตัวเองสองทางเท่านั้น ทางหนึ่งคืนผลประโยชน์ที่น่าเสียดายนั่นไป อีกทางหนึ่งคือภาพเขียนหากเขาไม่ต้องการขายให้ผม ผมก็คงจนใจยอมกลับมือเปล่า สำหรับผมอย่างไรก็ไม่สามารถปล่อยเมษาในเวลาที่เขาสัญญาว่าเขาจะอยู่กับผมได้ อย่างที่ผมบอกคือ ผมเริ่มรู้สึกกับเขาอย่างจริงจัง ผมทิ้งเขาไว้กับคุณไม่ได้จริงๆขอโทษ พูดทุกอย่างจบผมก็ค้อมกายอย่างนอบน้อมพร้อมกล่าวขอโทษ ผมอยากออกจากห้องนั้นเต็มที ห้องที่มีบรรยากาศทิ่มตำผมราวเข็มหมื่นแสนเล่ม ห้องหนังสือที่เขาเกือบใช้เป็นที่ระบายความใคร่ใส่ผม

ซุรุงะยังคงนิ่งเงียบอยู่หลังโต๊ะทำงานหน้ารูปคนรักของเขา ผมเงยหน้าขึ้นพลางสงสัยว่าเขาทำอย่างนั้นกับผมต่อหน้าภาพของคนรักได้อย่างไร ผมจ้องหน้าศิลปินนั่นอย่างไม่สะทกสะท้านกับสายตา เขาลุกขึ้นแล้วก้าวมาหาผมผมรีบถอยกรูด เขาคว้าแขนผมไว้แล้วเข้าไปใกล้ร่างกายใหญ่โตของเขา ผมหลับตาแน่น กล้ามเนื้อโอราฬที่เขาพยายามยัดเยียดเข้าร่างกายผมปรากฏชัดในมโนคิดทำให้ผมแทบจะอาเจียนออกมาเมื่อถูกเขาแตะต้องแม้เพียงน้อยนิด ซุรุงะจับผมไปนั่งที่โซฟาที่อีกด้านของห้อง แล้วทิ้งตัวนั่งข้างตัวผม เขาถอนใจยาวทิ้งทอดสายตามองกิ่งลูกพลับนอกหน้าต่าง

“ผมน่ะสูญเสียคนรักไปโดยไม่เคยพูดถึงสิ่งที่คาใจกัน เขาประสบอุบัติเหตุเพราะเราทะเลาะกัน ผมเลวส่วนเขาดี แต่ถึงผมจะเปลี่ยนจากคนดีมาเป็นคนเลว เขาก็ยังอยู่กับผมเพียงเพราะเขาพูดว่าจะไม่ทิ้งผมในวันที่เราร่วมรักกันครั้งแรก ขอเพียงอย่างเดียวผมอย่าปล่อยมือเขาแค่นั้น แม้ผมจะเลวลงทุกวันอย่างเห็นได้ชัด ผมมองทุกอย่างเป็นสิ่งบันเทิงใจเป็นผลประโยชน์ ผมเลือดเย็นกับคนอ่อนแอและไม่ทันผม นั่นเพราะผมต้องการชดเชยสิ่งที่ผมเสียไปเมื่อครั้งที่ผมยังเป็นเต่าล้านปีในโลกยุคใหม่ ความล้าช้าเรื่องทันคนทำผมเจ็บใจมาตลอด พอคราวของผมมาถึง ผมจึงไม่รอช้าที่จะเป็นผู้ล่าในเกมที่ผมกำหนด ผมสนุกจนเลยขีดจำกัด คัตสึโนริยูกิเฝ้ามองผมเปลี่ยนไปอย่างเจ็บปวด แต่เขาก็พยายามเข้าใจปมในใจผม เขาไม่เคยเปลี่ยนแม้ผมจะเปลี่ยนไกลลิบขอบโลก” ดวงตาของซุรุงะมีประกายอ่อนไหว ราวกับเห็นคนรักยืนอยู่ตรงหน้า

“ เมื่อเห็นพวกคุณครั้งแรก นอกจากติดใจเมษาแล้วผมยังเห็นบางสิ่งในตัวของพวกคุณ ที่จริงผมเมินเฉยแล้วค้าขายกับพวกคุณซะให้จบเสียก็ได้ แต่สันดานผมมันเรียกร้องให้ผมเล่นสนุกกับพวกคุณดู บางอย่างที่ผมว่าก็คือสายใยที่พวกคุณต่อกันแต่ไม่ยอมแสดงออก ผมก็แค่กระตุ้นให้รีบๆออกมาเสนอหน้าซะ ไม่งั้นพวกคุณจะสูญเสียกันและกันเหมือนผมกับคัตสึโนริยูกิ เมษาน่ะไม่เคยปิดบังหัวใจจากสายตาที่มองคุณหรอก คงมีแต่คุณเท่านั้นที่ทำเป็นเหมือนไม่เข้าใจ” ซุรุงะหันมาทางผม เขาสบตาผมอย่างชนิดไม่ยอมให้หลบตาเลย

“สัญญานี้ก็...”

“ไอ้ผมมันแย่ตรงที่ชอบเล่นกับความรู้สึกของคน ก็เลยทำมันขึ้นมาเพื่อลองใจคุณ ผมไม่ได้หลอกลวงนะ คิดอยู่เลยว่าหากคุณกล้าที่ทิ้งเด็กคนนี้จริงผมก็จะทำธุรกิจกับคุณจริงๆ ทุกอย่างจะเป็นไปตามสัญญาทุกประการ เพราะหากคุณเลือดเย็นขนาดนั้นธุรกิจผมรอดแน่ และผมก็ตั้งใจจะขยี้เมษาให้สาสมใจอยากทันทีที่คุณถึงสถานีรถไฟ” ซุรุงะหัวเราะราวกับมันเป็นเรื่องเขามันเป็นเรื่องตลกที่ใครฟังก็ต้องขำ

“แล้วเรื่องเมื่อคืนมันอยู่แผนเล่นกับความรู้สึกของผมหรือ?” ผมกัดปากเค้นเสียงถาม
ซุรุงะขยับเข้ามาใกล้ผมแล้วกระซิบ
“ไม่น่าใช่นะ เป็นอารมณ์อยากทำของผมล้วนๆเลย ไม่รู้เลยหรือว่าหน้าคุณ สะโพกผอม เรียวขาเล็กบางของคุณน่ะมันทำให้ตัณหาเจือด้วยฤทธิ์เหล้าของผมอยู่ในระดับสูงสุด ผมอยากนอนกับคุณทั้งไม่รู้สึกลึกซึ้งอะไรเลยนอกจาก ทำให้คุณกรีดร้องออกมาเท่านั้น”
ผมจำได้ว่าความโกรธทำให้ผมลืมตัวตบหน้าเขาไปฉาดใหญ่ และคิดว่าคนๆนี้คงไม่ทำธุรกิจกับแกลลอรี่เราแล้ว แต่ปรากฏว่าเขารับซองเช็คค่าภาพจากผมด้วยใบหน้าที่แดงปื้นใหญ่ตรงแก้มข้างที่ผมลงมือ

นึกถึงตรงนี้ผมก็อดหัวเราะไม่ได้ แม้จะรู้สึกเกลียดซุรุงะน้อยลงกว่าก่อนแต่ผมก็ทำใจกับคำพูดของเขาไม่ได้ ผมไม่ใช่ที่บำบัดทางเพศของใคร ผมมีตัวตนและผมก็จะเลือกคนที่ผมอยากนอนด้วยจริงๆ แต่นั่นคงเป็นสิ่งที่ผมสามารถบอกใครได้แม้แต่ตัวเอง หลังจากเลิกกับคุณทศแล้วในวันนี้.... ผมหันไปขดกายเบียดซุกกับเมษา
คุณโชคชะตาหากคุณเฝ้ามองผมอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้ นับจากนี้อย่าเล่นตลกกับผมอีกเลยนะครับ ผมขอร้อง โปรดรับฟังคำอ้อนวอนของผมด้วย

ความคิดของผมล่องลอยไปพร้อมเวลาที่ล่วงเลย แสงหลัวแรกของอรุณรุ่งฉาบท้องฟ้าที่เคยมืดดำให้กลายเป็นสีเทาตุ่น ผมที่ยังหลับสนิทเท่าไหร่ผละจากอ้อมกอดของเมษาลุกขึ้นไปเปิดม่าน เมืองใหญ่ที่หลับไหลกำลังจะตื่นเต็มที่ ผมแตะผิวกระจกใสที่เย็นฉ่ำ คว้าผ้าม่านมาพันตัวที่เปลือยเปล่าแล้วหันไปมองเมษาที่ยังหลับบนเตียงแล้วอดยิ้มไม่ได้ แม้จะไม่อยากคิดถึงคนๆนั้นอีกแล้วแต่คำพูดหนึ่งของซุรุงะที่กระซิบบอกผมก่อนจะส่งผมและเมษาก็ดังบนใบหน้าราวเด็กน้อยตรงหน้าของผม...ถ้ามีใครสักคนบอกกับเธอว่าจะไม่ปล่อยมือจากเธอก็อย่าทำให้เขาเสียใจ อย่าทำให้เขาเจ็บปวดถึงขนาดคิดว่าการปล่อยมือจากกันเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว... ผมหันไปทิ้งทอดมองขอบฟ้าที่กระจ่างนวลด้วยแดดที่จ้าขึ้นเรื่อยๆ สำหรับผมคนที่ไม่เคยมีสิ่งใดเป็นของตัวเองอย่างแท้จริง คนที่ถูกทอดทิ้งมาตลอด การที่เมษายื่นมือมาจับผมไว้ถือว่าเป็นความสุขที่ผมคงไม่สามารถปล่อยให้ลอยจากไปง่ายนักหรอก ผมสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อรู้สึกว่าผ้าม่านถูกดึงออกจากกาย แล้วถูกแนบสัมผัสจากผิวกายอุ่นของคนที่อยู่ด้านหลัง

“เมื่อกี้น่ะสวยมากเลย ผมถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย” เมษาจูบซอกคอของผม ผมหันไปจูบปากของเขา แล้วบอกอรุณสวัสดิ์
“จากตรงนี้เรามองเห็น Tokyo Sky Tree Tower ที่กำลังก่อสร้างลิบๆเลยนะเนี่ย” เมษาวางคางบนบ่าของผม ผมมองตรงไปยังจุดเดียวกับเขา อีกหน่อยเจ้านี้จะทำให้คนลืม Tokyo Tower สนิทใจด้วยทั้งความสูงและความสวย ความนำสมัยที่เหนือกว่า ซุรุงะวาดภาพ Tokyo Sky Tree Tower จากแบบร่างโดยใช้จินตนาการแต่งแต้มเข้าไป และนั่นเป็นภาพแรกที่เขาขายให้กับแกลลอรี่ของวุฒิ

“เสร็จเมื่อไหร่น่ะ?” ผมเอียงศีรษะพิงกับเมษา
“น่าจะปีหน้าเดือนมีนานะครับ”
“แล้วผมก็มีแผน”เมษาดันไหล่ผมหันไปหาเขา
“ปีหน้าเดือนเมษาเรามีวันหยุดยาว สงกรานต์ เรามาที่โตเกียวสกายทรีกันนะ ฉลองวันเกิดให้ผม”
ผมคงยังทำหน้ามึนอยู่กระมังเมษาเลยอธิบายเพิ่ม

“ผมเกิดเดือนเมษาวันที่ 14 ผมไม่อยากอยู่กับใครในวันนั้นนอกจากผู้จัดการ ผมได้จูบของคุณเป็นของขวัญวันเกิดในที่ที่เรียกได้ว่าสูงที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง” เมษาพยักหน้าราวกับจะถามว่าเข้าใจหรือยังว่าทำไมมันถึงสำคัญนักที่ต้องมาในวันเวลานั้นให้ได้ ผมพยักหน้าหงึกหงักเมษาเลยดึงผมเข้ากอด เขาเปลี่ยนทีท่าเป็นอ่อนไหว เล้าโลมผม
“ผมอยากได้ผู้จัดการอีกน่ะ” เมษาเบียดริมฝีปากไล้กับไหล่ของผม
“ไม่ไหวแล้ว เมื่อวานก็ทั้งวันแล้วนี่นา คนดี เริ่มเจ็บแล้วล่ะ”

“เอ๋ จริงหรือ” เมษาหยุดจูบมองผมหยั่งท่าที ผมพยักหน้าแรงยืนยัน
“ก็ของนายน่ะ....” ผมก้มหน้าตัดสินใจสารภาพด้วยเสียงเบา “มันใหญ่สมตัวนี่นา”
เมษาได้ยินแค่นั้นเขาก็ปล่อยก๊ากออกมาแบบไม่กักเก็บ ผมอายมาก แต่หากตามใจเขาโดยไม่บอกกล่าวผมคงถึงเลือด ซึ่งวันนี้ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯแล้ว ผมคงปล่อยให้ร่างกายไม่พร้อมไม่ได้ ผมมองเมษา หุ่นสูงใหญ่ของเขา กล้ามเนื้อสมส่วนที่น่ามอง มาถึงตอนนี้ผมก็ตระหนัก...ทั้งทศวรรษ ซุรุงะ และเมษา ล้วนใจร้ายกับผมทุกคน แต่ละคนไม่รู้จะแข็งแรงใหญ่โตกันไปถึงไหน ทำให้ผมซึ่งตัวเล็กกว่าลำบากจริงๆ
“เฮ้อ ผู้จัดการทำผมภูมิใจในตัวเองหลายเรื่องแล้วนะเนี่ย” เมษาหัวเราะไม่เลิก ผมงอนปัดวงแขนของเขาออกแล้วรีบเข้าห้องน้ำ เสียงหัวเราะน่ารักของเขายังดังอยู่นั่นพลอยทำให้ผมแอบหัวเราะไปด้วย

ผมสอนถึงวิธีการห่อของนำส่งลูกค้ากับเมษาเสร็จก็ขึ้นไปพบน้ำฟ้าบนห้องทำงานของหล่อน พอจะยื่นมือไปจับประตูก็รู้สึกเหมือนจะวูบจนเซ ต้องผ่อนหายใจยืนนิ่งสักครู่ความรู้ตัวจึงกลับมาเต็มหน่วยสมอง ร่างกายของผมคงล้นขีดจำกัดไปแล้วด้วยเหตุที่พักผ่อนไม่พอ เมื่อเช้าตรู่พอลงจากเครื่องไฟล์ทเช้าก็แยกย้ายกับเมษากลับบ้านอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวแล้วรีบมาที่แกลลอรี่ เหลือบมองเมษาที่กำลังตั้งใจอย่างไม่มีอาการล้าอ่อนแล้วก็เผลอยิ้มออกมา หมอนี่ดูยังสบายทั้งที่...ผมหวิววาบทั้งตัวเมี่อคิดถึงเซ็กส์ที่เราไม่ยอมพักยอมนอน ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายออกแรงอยู่ฝ่ายเดียว ผมตัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปด้วยการเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป

พอเห็นผมน้ำฟ้าโผเข้ามากอด จูบปากผมอย่างไม่ทันให้ผมตั้งตัว
“คิดถึงจังเลยค่ะ” หล่อนเช็ดลิปติกของหล่อนที่กลีบปากของผม
“ไม่กี่วันเองนี่ครับ อีกอย่างผมไม่ได้ไปครั้งแรกนี่ครับ” ผมรู้สึกเหมือนเพิ่งคนเพิ่งตื่นนอน ได้แต่มึนงงกับสรรพสิ่งที่รายรอบตัว
“ก็แหม ฟ้าไม่ชอบนอนคนเดียวนี่คะ” หล่อนทำปากยื่น มือก็ดึงไทด์ผมเล่น
“ผมก็คิดถึงคุณฟ้านะ”

“ทุกอย่างเรียบร้อยไหมคะ”
“ครับ ภาพพร้อมส่งให้ลูกค้า เมษากำลังจัดการอยู่ข้างล่าง”
“คงเหนื่อยมากซินะคะ มาถึงนี่เช้าตรู่แล้วต้องมาทำงานอีก ที่จริงทั้งคู่เลยนะ น่าจะหยุดพักอย่างน้อยสักครึ่งวันก็ได้” น้ำฟ้าสอดเรียวนิ้วงามลูบปกสูทของรุจน์

“ถ้าผมคิดแบบนั้น วันนี้ใครจะช่วยคุณฟ้าล่ะครับ ที่ผ่านมานี่อยู่คนเดียวคงเหนื่อยน่าดูซินะครับ แค่นึกก็สงสารสาวน้อยตัวเล็กๆแล้ว” ผมยกมือจับเอวบางจ้อยของหล่อน
“งานน่ะไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ ลูกค้ารุจน์ทั้งนั้นแหละ เขาบอกจะคอยคุณมากกว่าจะคุยการค้ากับฟ้า ยัยคุณหญิง คุณนาย ลูกสาวนายพลทั้งหลายน่าเบื่อชะมัด” น้ำฟ้าส่งเสียงจิ๊จ๊ะในคอ ผมหัวเราะเอ็นดูกับกริยาเอาแต่ใจเหมือนเด็กของหล่อน

“อยากจะบอกใส่หน้าไปเลยว่า รุจน์น่ะของฉันนะยะ” คำพูดของน้ำฟ้า ทำให้เสียงหัวเราะผมแปร่ง น้ำฟ้าผละจากผมเดินไปที่กระจกหน้าห้อง หล่อนมองลงไปด้านล่าง ผมเดาเอาว่าหล่อนคงมองในตำแหน่งที่ผมมองก่อนหน้านั้น
“รุจน์นี่ตาถึงนะคะ ฟ้าว่านายเดือนฉายคนนี้น่ะหน่วยก้าน บุคลิกดีสมกับที่เป็นลูกข้าราชการ”
“ฝึกอีกไม่นานก็เก่งครับ”
“ไม่กลัวหรือ” น้ำฟ้าหันกลับมองผมยิ้มๆ

“กลัวเรื่องอะไรครับ” ผมปริบตางง
“สักวันเขาก็จะแย่งลูกค้าสาวๆของรุจน์ไปน้า หรือบางทีแม้แต่ฟ้า….” หล่อนวาดแขนไปด้านหลังขณะเดินกลับมาหาผม
“เอ น่าคิดแฮะ ว่าแต่คุณฟ้าน่ะเอาจริงหรือ” ผมทิ้งตัวพิงขอบโต๊ะ เอียงคอมองหน้างดงามของน้ำฟ้า
“รุจน์ว่าไงล่ะคะ”
“ผมว่าไม่มีทาง” ผมตอบด้วยรอยยิ้ม และดวงตาก็อาจเป็นประกายอยู่

“ผมว่าผมไปส่งของให้ลูกค้าดีกว่า” ผมดึงตัวเองขึ้นจากขอบโต๊ะ ด้วยความเร็วในการเคลื่อนไหวร่างกายที่แม้ไม่มากแต่ร่างกายที่อ่อนเพลียไม่อาจทานได้อีก และแต่คราวนี้ผมไม่โชคดีเหมือนเมื่อครู่ผมวูบแล้วทรุดลงกองกับพื้นโดยไม่ทันส่งสัญญาณใดๆ
“ว๊าย!!รุจน์” ผมได้ยินเสียงของน้ำฟ้าดังขึ้นแค่นั้น ก่อนที่สติสัมปัญชัญญะของผมถูกดึงหายไปในความมืด

9.1....

ทศวรรษรู้สึกเหมือนจะบ้า
เขากางแขนแบบไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนแรกเขาคิดว่าผ้าพ้าแผลที่มือขวาจะไม่ก่อปัญหาใดกับงานของเขา แต่ตั้งแต่เช้านับแต่กลับมาทำงานอีกครั้งหลังหยุดงานไปสองวัน เขาก็พบว่าไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง ที่แย่ที่สุดคือมันทำให้ลายเซ็นต์เขาเพี้ยนเสียจนต้องเลื่อนไปเซ็นต์วันอื่นสำหรับงานที่รอได้ ส่วนที่รอไม่ได้ต้องส่งให้ S เซ็นต์แทนซึ่งเขาไม่ชอบใจเลย งานของเขาก็คืองานของไม่อยากให้ใครมาข้องเกี่ยว ดีที่ไม่ใช่เอกสารที่สำคัญมากนัก ทศวรรษมองเอกสารตรงหน้าแล้วถอนใจหนัก อาการปวดที่มือก็กลับมาอีกครั้งด้วยเพราะฝืนกับบาดแผลมากเกินไป ทศวรรษกดสายในเรียกเลขาหน้าห้องเข้ามา

เขาสั่งงานหล่อนขณะเก็บเอกสารใส่กระเป๋า เลขารีบเสนอช่วยจนเสร็จ ทศวรรษกล่าวขอบใจแล้วเดินออกมาจากห้องพร้อมกันกับเลขา ที่โต๊ะหล่อนสายในอีกสายก็เรียกเข้ามาหล่อนขอตัวไปรับ พยักหน้าเออออกับปลายแล้ววางสายหันมาทางทศวรรษ
“คุณทศวรรษจะขึ้นไปพักผ่อนที่เพนเฮาส์ข้างบนหรือกลับคอนโดเลยคะ”
“อืม วันนี้คงอยู่ข้างบนนะ”
“คือว่าภาพที่คุณทศวรรษให้ดิฉันสั่งให้น่ะแกลลอรี่ให้คนเอามาส่งแล้วค่ะ”

“ให้เขาไปรอที่ห้องประชุมเล็กนะ ผมจัดการเอง คุณทำงานไปเถอะ”
“ค่ะ” เลขากดเบอร์สายในแล้วบอกตามที่ทศวรรษบอก แล้วทรุดตัวนั่งทำงานต่อ
ทศวรรษเดินทอดน่องไปตามาโถงทางเดินสู่ห้องประชุม เพราะบอกว่าจะไม่ไปเหยียบที่แกลลอรี่อีกแล้ว การสั่งภาพใดๆเขาจึงให้เลขาออกหน้าตลอดสามปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้บอกใครแม้แต่วุฒิหรือน้ำฟ้ากระทั่งถูกเข้าใจผิดไปหมดแล้ว แต่ช่างเถอะ เขาไม่สนหรอก ภาพฝีมือไอ้ศิลปินที่พิสรากับ S ปลาบปลื้มกันหนักหนาก็อยากจะเห็นให้เต็มตาว่ามันเลิศวิเศษขนาดไหน พอมีข่าวว่าไอ้บ้านั่นกำลังเอาภาพออกขายจึงให้แกลลอรี่ไปเอามาให้ ไม่ได้อยากได้ใคร่ดีอะไรนักหรอก แต่ตัดหน้าพิสราได้ถือว่าสะใจดี ป่านนี้ยัยนั่นคงกรี๊ดๆร้องไห้อกไหม้ไส้ขมซบอกเจ้า S ไปแล้ว ทศวรรษเบะปาก ทว่า..ยิ่งก้าวเข้าใกล้ห้องประชุมเท่าไหร่ เท้าของทศวรรษก็ยิ่งรีบเร่งอย่างที่เจ้าตัวเองต้องประหลาด ทั้งที่กำลังคิดเรื่องอื่นแต่ใจเขากลับอยากไปให้ถึงที่ห้องประชุมโดยเร็ว

ทศวรรษผลักประตูเข้าไป เขาหายใจรัว หัวใจเริ่มเต้นแรง ที่กลางห้อง บนโต๊ะมีห่อภาพเขียนวางอยู่ ทศวรรษเพิ่งมองเนิ่น ทว่าร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีเข้ม มองอย่างไรเขาก็ไม่คุ้นเคยตา เสียงประตูทำให้ร่างนั้นขยับเคลื่อนไหวหันมาเผชิญหน้ากับเขา ใบหน้าอ่อนเยาว์ เรียบนิ่ง คิ้วย่นนิดหน่อยเมื่อมองตรงมาที่เขา แต่ไม่นานโก่งคู่งามก็กลับเข้าที่พร้อมรอยยิ้มที่ผุดขึ้นกลีบปากอวบอิ่ม เขาเยื้องย่างด้วยท่าที่สง่างามไม่แพ้คนมีตระกูลอย่างทศวรรษหรือ S

พอเข้ามาใกล้เขาก็ค้อมกายน้อยๆด้วยท่วงท่าราวกำลังขอสาวงามเต้นรำในงานบอลรูมพร้อมยื่นนามบัตรให้ทศวรรษ
“ผมมาจากแกลลอรี่ครับ ตรงนั้นของที่สั่งไว้ครับ” เขาหันมองของบนโต๊ะ
ทศวรรษไม่ได้รับบัตร เขายังงงไม่หาย ไม่รู้ที่ตัวเองกำลังทำหน้าไม่ถูกอยู่นี้เป็นเพราะผิดหวังหรือประหลาดใจ
“เอ่อ ผมต้องเซ็นต์รับอะไรหรือเปล่า” ทศวรรษล้วงปากกาหมึกซึมในกระเป๋าด้านในเสื้อสูท
“นึกว่าใคร”
“อะไรนะครับ”
“อ้อไม่มีอะไรครับ คิดว่าคงไม่ต้องหรอกครับ มือคุณเจ็บอยู่ และผู้จัดการของผมก็รู้จักคุณดี”
ทศวรรษคิดว่าหากเขาไม่ได้เห็นผิดไป เด็กหนุ่มตรงหน้าได้เปลี่ยนรอยยิ้มใสเมื่อครู่ให้กลายเป็นยิ้มที่เยือกเย็น รอยยิ้มที่ยิ้มแต่ใบหน้า ดวงตากลับแข็งกระด้าง

“ผู้จัดการ?” ทศวรรษทวนคำคราวนี้เขากลายเป็นฝ่ายย่นหัวคิ้วบ้าง ไอ้คนแปลกหน้านี่มันอะไร
“ครับ คุณรุจน์เป็นหัวหน้าของผม เป็นของผม” เด็กหนุ่มเน้นคำสุดท้ายขณะก้าวเข้าใกล้ทศวรรษแบบเผชิญหน้ากัน ด้วยความสูงที่เท่ากันทำให้ทั้งคู่จ้องตากันอย่างเปิดเผย
“อยากพูดอะไร ตกลงแกเป็นใครกันแน่” ทศวรรษกอดอกมองไม่วางตา เด็กหนุ่มยิ้มแล้วดีดนามบัตรใส่ทศวรรษ

“ก็คุณไม่รับนามบัตรผมไว้นี่จะรู้ได้ไงว่าผมเป็นใคร”
ทศวรรษเอียงศีรษะหลบบัตรที่ปลิวใส่หน้า เขาขยุ้มปกเสื้อสูทอีกฝ่ายอย่างเหลืออด
“กล้าดีอย่างไงวะ แล้วไอ้ท่าทางแบบนี้หมายความว่าไงวะ” เค้นเสียงพูดใส่หน้าเด็กหนุ่มแปลกหน้า
“ถ้าไม่พอใจพฤติกรรมของผมก็รายงานกับผู้จัดการของผมได้ แล้วหลังจากนั้นเราก็เปิดห้องคุยกันส่วนตัวเอง” เด็กหนุ่มยักไหล่ยิ้มกวนประสาทตอบกลับมา

“อะไรนะ” ทศวรรษจะเข้าใส่อีก เด็กหนุ่มชิงผลักอกเขาก่อน
“จำไว้นะ อย่าเข้าใกล้ผู้จัดการอีก ไม่งั้นเจอกัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเข้มข้นก่อนจะเดินผ่านทศวรรษออกไปนอกห้อง ทศวรรษก้มเก็บนามบัตรขึ้นดู
“เดือนฉาย”
ร่างสูงที่ก้าวอย่างมั่นคง หลังและศีรษะที่ตั้งตรง ดวงตาแข็งกร้าว เมษามองไปข้างหน้า ไม่คิดว่าจะได้เจอเร็วขนาดนี้ไอ้ผู้ชายที่มีอ้อมกอดดั่งเหล็กแหลมทิ่มแทงทรมานรุจน์แทบตายในคืนนั้น ชั่วขณะของความทุกข์ทรมานเช่นนั้น หัวใจที่หายห้วงของเมษาซึมซับไว้จนหมด ไม่มีวันลืม เขาสัญญากับตัวเองในคืนค่ำที่รุจน์เป็นของเขา จะไม่มีวันลดลาวาศอกให้ผู้ชายคนนี้อย่างเด็ดขาด

9.2
ภาพเพดานในห้องค่อยชัดขึ้นพร้อมแสงสว่างภายในห้อง ผมปริบตามองครู่หนึ่งสมองจึงค่อยๆลำดับความจำว่านี่เป็นพักผ่อนส่วนตัวของน้ำฟ้าที่อยู่ด้านหลังห้องทำงานของหล่อน ผมกับหล่อนใช้ที่นี่หลับนอนด้วยกันประจำ ไม่ลืมหรอกแค่เบลอไปหน่อย พอผมขยับก็ได้ยินเสียงน้ำฟ้าพร้อมๆกันกับการปรากฏตัวของหล่อนข้างเตียง
“เป็นไงบ้างคะ คุณเป็นลมน่ะค่ะ” น้ำฟ้าปรี่เข้ามาจับมือผมไว้
“ครับ ผมคงอดนอนมากไปหน่อย ร่างกายเลยไม่ไหว ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ผมไปทำงานต่อนะ” ผมยันตัวลุกขึ้นโดยมีน้ำฟ้าช่วยพยุง
“ไม่ต้องแล้วค่ะ ฟ้าให้เมษาไปแทนแล้วค่ะ”

“อ้อ หรือครับ” ผมลุกนั่งแบบสบายบนเตียง ได้หลับเต็มที่ร่างกายก็กลับเป็นปกติ
“คุณผู้หญิงคนนั้นคงไม่ผิดหวังมั้งคะที่ไม่ใช่รุจน์น่ะ” น้ำฟ้าวาดดวงตาค้อนผมวงเล็กๆน่ารักน่าชัง
“โธ่ ไปส่งทีไรก็ได้แต่ฝากไว้ที่ประชาสัมพันธ์ เขาไม่เคยให้ผมเห็นหน้าหรอก” ผมส่ายหน้าหัวเราะ
“ขอบคุณนะครับ” ผมบอกน้ำฟ้าที่กำลังลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะหล่อนเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะหันเดินกลับมาคุกเข่านั่งตรงหน้าผม ดึงมือผมไปกุมแน่น

“รุจน์ฟังฟ้านะคะ ฟ้ารู้ว่าที่จะพูดต่อไปนี้มันอาจทำให้คุณเสียความรู้สึกแต่ว่า...” หล่อนเอามือผมไปแนบใบหน้า
“ฟ้ากำลังทดลองคบใครบางคนอยู่ และสิ่งที่ฟ้าอยากพูดคือ....”น้ำฟ้าช้อนตามองผมอย่างลังเลอึดอัด
“ฮะ ผมรอฟังอยู่”
“ฟ้าคิดว่าความสัมพันธ์ของเรานั้น” น้ำฟ้าปรายตาไปที่เตียง

“ต้องหยุดใช่ไหมครับ” ผมต่อให้ พูดจบริมฝีปากก็เม้มเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว น้ำฟ้าหลุบตามองพื้น
“เขาเป็นคนที่ฟ้าอยากแต่งงานด้วยมาตลอด ฟ้าคงไม่สามารถนอนกับผู้ชายสองคนในเวลาเดียวกัน มันไม่ซื่อสัตย์” ยิ่งพูดคำพูดหล่อนยิ่งกดทับใจของผม ที่ผ่านมาหล่อนแค่สนุกจริงๆ ผมเป็นของเล่นที่หล่อนจำต้องทิ้งเมื่ออยากจริงจังกับอะไรสักอย่างที่ทำให้มีความสุขกับชีวิตที่เหลืออยู่
“ผมเข้าใจแล้วครับ”

“รุจน์รู้ใช่ไหมคะว่าฟ้าชอบคุณมาก ร่างกายฟ้าไม่เคยโกหก”
“ครับ Body Talk” ผมยิ้มพร้อมยกมือลูบแก้มเนียนของหล่อนเบามือ ผมอยากบอกกับหล่อนเหลือเกินว่า มาแสดงยินดีกับเราทั้งสองคนที่กำลังจะความสุขกับใครสักคนอย่างยั่งยืนกันเถอะ ถึงผมจะเสียดายคุณแต่หากคุณไปดีผมก็ยินดีด้วยจากใจจริง ขอบคุณนะน้ำฟ้าคุณเป็นคนเดียวในชีวิตที่ผ่านมาของผม คุณไม่ทำร้ายผมนอกจากมอบความสุขไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือใจ

“ผมจะไม่พูดไม่แสดงอะไรที่จะทำให้คุณเดือดร้อนแน่นอนครับ” ผมรู้ว่านี่คือสัญญาที่น้ำฟ้าลำบากใจที่จะขอ หากแต่กล่อนก็ต้องการจากผมมากเสียกว่าคำแสดงความยินดี น้ำฟ้ายืดตัวลุกขึ้นพร้อมยื่นใบหน้าสดสวยของหล่อนมาจูบผมที่แก้ม หล่อนกระซิบคำว่าขอบคุณที่ผมฟังแล้วเหมือนคำว่าลาก่อนสัมพันธ์ของเรา ผมหลับตาพยักหน้ายิ้มน้อยๆ....ผมขอให้คุณโชคดีเช่นกัน

เมษากลับมาก่อนที่น้ำฟ้าออกไปพบลูกค้าเซเลบของหล่อน ทั้งสองคนเจอกันที่หน้าประตูเมษาค้อมตัวให้น้ำฟ้า หล่อนพยักหน้าแล้วถามว่าส่งของเรียบร้อยไหม เมษายิ้มกว้าง
“ไร้ที่ติ”
“เยี่ยม” น้ำฟ้าตบบ่าเขาก่อนออกจากประตูไป เมษาเงยหน้าขึ้นมองผมที่ยืนที่ระเบียงหน้าห้องทำงานของน้ำฟ้า สายตาของเขาทำให้ผมใจเต้น เมษายืนอยู่กลางร้าน เขาช่างชวนตาอย่างเคย ผมไม่อาจเสทำมองสิ่งอื่นได้นอกจากเขา

เนื่องด้วยในร้านมีกล้องวงจรปิดที่ทำให้เราไม่สามารถทำตัวให้กลายเป็นเรื่องฉาวขายหน้าได้ ผมกับเมษาจึงหลบเข้าไปในออฟฟิศของผม ผมไม่รู้ทำไมเมษาถึงดึงผมเข้าไปกอดแน่นแบบนั้นอาจเพราะกลิ่นอายของร่างกายเรายังคงกรุ่นอยู่เขาเลยคิดถึงแค่ห่างไม่กี่ชั่วโมง
“นายกอดแน่นจัง เดี๋ยวฉันก็เป็นลมอีกรอบหรอก” ผมหัวเราะคิกคัก
“ผมแค่อยากรู้สึกว่าผู้จัดการยังอยู่ในอ้อมแขนของผม” คำพูดของเมษาทำให้ผมต้องยกแขนกอดตอบ

“ฉันอยู่ตรงนี้ไง” ผมจูบต้นคอของเขา
“คืนนี้ผมต้องไปทำงานพิเศษ ลาเขาไว้ก่อนไปญี่ปุ่นสองวันน่ะ คนไม่ค่อยจะพอสงสัยเฮียหัวหน้าด่าเละเลย” เมษามองนาฬิกาบนผนัง
“วันนี้ไม่ค่อยมีงานอะไรแล้วล่ะ นายกลับก่อนได้” ผมจัดสูทจับไทด์ให้เขา
“แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะครับ”

เมษาเปิดประตูก้าวออกจากห้องแต่ก็ถอยกลับเข้ามาอีกครั้ง
“ผมถามผู้จัดการสักข้อได้ไหมครับ”
“ได้ซิ”
“คุณต้องตอบผมจริงๆนะครับ”
“อื้ม”ผมพยักหน้า
“ผมเห็นมาตั้งแต่ที่คืนแรกที่โรงแรมแล้ว สงสัยมากแต่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยไม่กล้าถาม” เมษาปิดประตูแล้วพิงหลัง

“อะไรหรือ” ผมคิดว่ารอยยิ้มผมค่อยเจื่อนลงอยู่แน่ๆ
“สร้อยเพชรที่ข้อเท้าของคุณ มันหมายถึงอะไร ตอบผมแค่ว่า มันเป็นที่ระลึกหรือแค่เครื่องประดับ” คำถามของเมษาทำเอาผมลืมหายใจไปชั่วขณะ
“มันเป็น...”นี่ผมกำลังคิดนานไปหรือเปล่า
“มันเป็นแค่เครื่องประดับ” ผมตัดสินใจเลือกตัวเลือกสุดท้าย เมษามองหน้าผมครู่หนึ่งแล้วระบายยิ้มกว้างออกมา

“ผมไปนะ” เขาเปิดประตูแล้วก้าวออกไป ผมทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ห้องเงียบเหงาเมื่อเมษาออกไปแล้ว ผมถลกขากางเกงขึ้น สร้อยข้อเท้าสีทองส่องประกายแวววาวราวกับจะบอกว่ามันจะไม่มีวันหม่นแสงเรืองรองลงได้หรอก ผมรูดขากางเกงลง ทิ้งหลังพิงกับพนักพิงด้านหลัง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด รอสายครู่หนึ่ง
“พี่หรือครับ ผมเองนะครับผมเพิ่งมาจากญี่ปุ่น ขอโทษนะครับทุกอย่างมันกระทันหันไปหมดผมเลยไม่มีของฝากติดมือมาด้วย”
“อือ มีอะไรอีกไหมพี่ยุ่งอยู่น่ะ” น้ำเสียงที่เย็นชาไม่เปลี่ยนตอบกลับอย่างไม่แยแส

“ไม่มีแล้วครับผมแค่อยากบอกกับพี่ว่าผมปลอดภัยดี”
“อืม ดีแล้ว แค่นี้นะไว้ค่อยคุยกัน”
ผมมักถูกตัดสายก่อนเสมอ ที่ว่าไว้ค่อยคุยกัน น่ะรอไปเถอะเพราะมันไม่เคยและไม่มีวันเกิดขึ้นจริงๆหรอก พี่ผมเขาก็แค่ไม่อยากคุยกับผมจริงๆนั่นน่ะมีไว้แค่ขอไ



Create Date : 12 ตุลาคม 2554
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2555 20:33:33 น.
Counter : 240 Pageviews.

0 comment
Body Talk (BL) บทที่ 8/1
บทที่ 8/1

“อะไรนะ แต่เขาก็ยังไม่ได้แต่งตัวนี่ครับ ผมมากับผมเขาต้องไปที่ห้องอาหารพร้อมผมซิ”
“คุณท่านจะช่วยคุณเมษาเรื่องนั้นเอง ส่วนเรื่องต้องปรากฏตัวที่ห้องอาหารพร้อมกับคุณนั้นผมจะเรียนคุณเมษาให้ทราบนะครับ” อาคาบาเนะที่คุกเข่าเรียบร้อยส่งส่วนเสื้อสีขาวตัวในให้รุจน์สวมก่อน รุจน์หันหลังจะเดินไปถอดยูกาตะที่สวมด้านลับตา

“เราเป็นผู้ชายเหมือนกันไม่มีต้องอายหรอกครับ” อาคาบาเนะยิ้ม รุจน์เลยยอมถอดต่อหน้าเขาก่อนจะสวมเสื้อขาว ขณะสวมก็อดแปลกใจกับคำว่า “จะเรียนคุณเมษาให้ทราบ” น้ำเสียงคล้ายมีความเคารพยำเกรงที่ผู้น้อยมีให้กับผู้เป็นนายตัวเองแฝงอยู่เมื่ออาคาบาเนะพูดถึงเมษา หากแต่คำพูดที่ใช้กับเขาก็แค่แสดงความอ่อนน้อมเท่านั้น ความชำนาญของอาคาบาเนะทำให้การแต่งตัวใช้เวลาไม่นานทว่าชุดนั้นแต่งได้ปรานีตและหรูหราตามแบบฉบับชาวอาทิตอุทัย

“คุณรุจน์ ดูสง่างามมากครับ” อาคาบาเนะ ลุกขึ้นยืนเอนตัวมองสำรวจ
“ขอบคุณมากครับ” รุจน์รู้สึกเขิน
“ผมขอตัวไปเรียนเมษาตามที่คุณรุจน์นะครับ” อาคาบาเนะก้าวไปที่ประตูเลื่อนเปิดแล้วออกไป
“แล้วเขา....อยู่ไหนครับ” รุจน์มองพื้นที่ว่างที่อาคาบาเนะทิ้งไว้โดยไม่ได้สนใจคำถามของเขา

คิดครู่หนึ่งรุจน์ก็ตัดสินใจตามออกไป เขาเห็นอาคาบาเนะเดินตรงไปที่ห้องนอนที่ใหญ่ที่สุดบนชั้นนี้ก่อนจะอ้อมไปอีกด้านซึ่งมีอีกห้อง ชายหนุ่มก้มลงคุกเข่าเคาะประตูแล้วพูดอะไรบางอย่าง รุจน์ไม่ได้ตั้งใจที่ทำตัวลับล่อทว่าพอให้อาคาบาเนะเหลือบตามาทางเขาก็รีบโดดหลบเข้ามุม หายใจไม่ทั่วท้องเมื่อมองรอบตัว สถานที่ดูเป็นส่วนตัวมากกว่าจะเปิดให้คนภายนอกเข้ามาเพ่นพล่านโดยไม่จำเป็น

เสียงเลื่อนประตูเรียกให้รุจน์หันกลับที่เดิม เขาปิดปากดวงตาเบิ่งกว้าง เบื้องหน้าประตูที่อาคาบาเนะกำลังค้อมศีรษะให้ ตรงนั้นเมษาในชุดกิโมโนสีเทาออกมาพร้อมกับซุรุงะ แม้จะห็นแล้วว่าทั้งสองคุยกันถูกคอตั้งแต่แรกพบ แต่อะไรตรงหน้านั้นมันเกินคาดหมายมากไป รุจน์รีบตะเกียกตะกายวิ่งกลับห้องอย่างเบาเท้าที่สุด เขารู้สึกแปลกอย่างที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดให้ใครหรือแม้แต่ตัวเองเข้าใจ เจ้าความรู้สึกที่ผุดเริ่มต้นและขยายกว้างกินพื้นที่ภายในมากขึ้นเรื่อย รุจน์โจนตัวเข้าห้องมาหอบตัวโยนก่อนจะเดินไปที่ระเบียง วิวจากห้องนี้ สวยงาม ธรรมชาติ สมบูรณ์แบบ หากแต่รุจน์ได้ซึมซับอิ่มเอิบด้วยว่าภายในสมองของเขากำลังแตกซ่านราวจิ๊กซอที่หาส่วนที่เข้ากันไม่ได้สักชิ้น

“ขอโทษนะครับที่ผมหายหัวไปโดยไม่บอกกล่าว” เมษาเลื่อนประตูเข้านั่งจุ้มปุ๊กตรงกลางห้อง รุจน์หันกลับไปมองเมษาพลางเอนตัวพิงขอบระเบียง
"นายหายไปไหนมา"
“คุณอาคาบาเนะบอกผมแล้ว เราไปกันเถอะครับ” เมษาดูไม่สนใจที่จะตอบคำถาม เขาลุกขึ้น รุจน์ก้าวตามเขาไป มีคำถามมากมายแต่เขากลับพูดไม่ออก รุจน์ยื่นมือไปคว้ามือเมษาไว้ เมษาหันมา
“นายเป็นอะไรมั้ย?” รุจน์ชี้ที่แก้มตัวเอง เมษาหัวเราะ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ สบายมาก”
“ขอโทษนะ”
“ขอโทษเหมือนกันครับ”
“ฉันพูดจริงนะ นายจะโต้ให้แรงกว่าฉันก็ได้ ทำมันให้แรงกว่าก็ได้นะ”
“ผมทำคุณไม่ได้หรอก” เมษาเปลี่ยนหัวเราะเป็นแค่รอยยิ้มบางเบา เขาพลิกมือมาจับรุจน์แทนแล้วจูงพาออกมาจากห้อง

อาหารญี่ปุ่นแบบแท้จริงในมื้อเย็นถูกความเป็นทางการทำลายความอร่อยลิ้นในรสอร่อยที่ถือว่าเลิศที่สุดในโลกเสียสิ้น แขกทุกคนและบรรยากาศเป็นงานเป็นการจนน่าอึดอัด บัตรแนะนำตัว บทสนทนาที่ไว้ตัว ความรู้ธุรกิจด้านศิลปะที่ต้องข่มกันได้ในที ช่างดูไร้สาระสำหรับรุจน์แต่เขาก็จำใจต้องอยู่ในบรรยากาศพวกนั้น ซ้ำร้ายซุรุงะยังจัดที่นั่งเขาแยกจากเมษา เขานั่งด้านซ้ายติดกับซุรุงะที่นั่งหัวโต๊ะ ส่วนเมษานั่งติดกับหมอนั่นด้านขวา ซุรุงะแนะนำตัวแทนธุรกิจจากอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ประมาณสี่ห้าคนกับรุจน์ และแนะนำรุจน์กลับทุกคนเช่นกัน รุจน์คุยกับตัวแทนเหล่านั้นด้วยธุรกิจ แต่เมื่อมองซุรุงะกับเมษาสองคนนั้นคุยกันด้วยเรื่องใดซุรุงะจึงมีท่าทางที่ผ่อนคลาย เขาเท้าคางฟังเมษาพูดอย่างสนอกสนใจ โดยมีคนอื่นสลับเข้าไปร่วมฟังประปราย

มื้อค่ำผ่านไปอย่างอืดอาดน่าเบื่อสำหรับรุจน์ เขาอยากกลับโตเกียวให้เร็วที่สุด เช็คเอาท์โรงแรม ตีตั๋วกลับกรุงเทพฯซะบัดนี้ หลังอาหารค่ำเมื่อทุกคนแยกย้ายขอตัวกับซุรุงะ รุจน์ก็รีบดึงเมษากลับห้องด้วยกัน ไม่ทันพ้นประตูห้องอาคาบาเนะก็เดินเชิญรุจน์ไปพบกับนายของเขา รุจน์จึงให้เมษากลับห้องก่อน อาคาบาเนะผายมือเชิญรุจน์เข้าไปพบซุรุงะในห้องหนังสือ

ในห้องนั้นมืดจนแทบมองอะไรไม่เห็นในตอนแรก รุจน์ค่อยก้าวเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง
“เอ่อ... คุณซุรุงะครับ”รุจน์ลองเรียกชื่อเขา
“ครับ ผมอยู่ตรงนี้” เสียงตอบดังมาจากด้านใดสุดของห้อง เมื่อรุจน์เดินลึกเข้าไปอีกนิดก็เห็นแสงไฟสลัวจึงเดินตามแสงสีเหลืองอ่อนนั้นไป ซุรุงะนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวใหญ่ที่หันหลังให้ผนังห้องซึ่งเป็นภาพวาดที่มองไม่ชัดด้วยไฟที่น้อยแรงเทียน
“ขอโทษที่รบกวนเวลาที่ควรจะเป็นเวลาพักผ่อนของคุณ ผมมีเรื่องอยากคุยด้วยเป็นการส่วนตัว” ซุรุงะจุดบุหรี่ขึ้นสูบ

“ครับ?”
“เป็นธุรกิจที่อยากคุยเป็นส่วนตัว”
“ธุรกิจไม่ได้คุยกันตั้งแต่บนโต๊ะอาหารนั่นแล้วหรือครับ”
“เปล่ามันเป็นธุรกิจที่ผมอยากทำกับคุณต่างหาก”
“เรื่องอะไรครับ”
“เมษา” ซุรุงะพ่นควันสีเทาออกมาล่องลอยเอื่อยอ่อย รุจน์ทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเขา

ซุรุงะสานมือ วางศอกบนโต๊ะ เขาโน้มตัวลงมาเกยคางบนนิ้วเรียว
“ที่จริงเราควรจะทำธุรกิจของเราเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน พูดตามตรงคือผมไม่คิดจะเชิญคุณร่วมงานเลี้ยง ความคิดที่จะต่อยอดธุรกิจกับแกลลอลี่ของคุณ ในสมองผมเท่ากับศูนย์ แต่แล้วผมก็เกิดลังเล เสียดายบางสิ่งทันทีที่เห็นเมษา”
“ช่วยเข้าประเด็นเลยได้ไหมครับ” รุจน์หายใจไม่สะดวก ความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดก่อนหน้านี้เริ่มขยายวงอีกครั้ง และมากกว่าเดิม...
“ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ ผมอยากพูดในสิ่งที่ผมอยากพูดกับคุณให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เผื่อมันจะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น”

“ครับ แต่ผมเกรงว่าการสื่อสารของเราจะไม่ราบรื่น อาจเป็นอุปสรรคของความเข้าใจของเรา ผมอยากให้ผู้ช่วยของผมมาช่วย”
“คุณรุจน์ ดูเหมือนแค่เริ่มต้นเราก็ไม่เข้าใจกันเสียแล้ว”
“ผมกำลังจะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้นต่างหาก”
“คุณคิดบ้างหรือไม่ครับว่าการต่อรองธุรกิจของเราครั้งนี้ มันเรื่องของผู้ช่วยของคุณ แล้วเขาสมควรอยู่หรือที่จะมานั่งตรงนี้”ใบหน้าเย็นชายิ้มเยาะเยือกเย็น
“ช่วยพยายามด้วยกันเถอะครับเรื่องภาษาอังกฤษ ผมจะพยายามอย่างดีที่สุด คุณก็แค่ทำความเข้าใจมากหน่อย” ซุรุงะขยี้บุหรี่ในถาดเขี่ยคริสตัลรูปดอกกุหลาบ เขาเงยหน้ามองรุจน์เก็บปากสงบด้วยความพอใจ รอยยิ้มแบบนั้น รอยยิ้มแบบที่ทศวรรษชอบทำยามสะใจ รอยยิ้มที่รุจน์เกลียดชังและรู้สึกรักใคร่
“เมื่อก่อนผมเป็นศิลปินที่เป็นศิลปินอย่างแท้จริง เรื่องธุรกิจที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องน่ะผมไม่รู้เรื่องหรอก ผมเจ็บตัวและเจ็บหัวใจมาตลอดเพราะอ่อนเดียงสากับเชิงธุรกิจ ความอ่อนแอทำผมล้มซ้ำซากจนแทบไม่อยากอยากมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ถึงอย่างนั้นผมไม่อยากทิ้งวิญญาณขายฝัน ผมอยากอยู่ให้ได้โดยไม่ทำให้ความฝันแปดเปื้อน แต่โลกนี้เป็นโลกของมนุษย์อันมีความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง คนพวกนั้นอยู่รอบตัวผม ทำอย่างไรผมก็ไม่มีวันชนะ ผมเหนื่อยจะสู้กับความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ทีท่าสวยงามของคนพวกนั้นจึงคิดสู้ และสัญญาว่าต้องร้ายให้ได้มากกว่า ผมจะเชือดความร้ายกาจของทุกคนด้วยความร้ายกาจที่มากกว่าของผม”

ซุรุงะเดินออกมาจากโต๊ะ เขาสานสอดมือเข้าแขนเสื้อทั้งสอง
“ดังนั้นโปรดให้อภัยผม หากสิ่งที่ผมเป็นดันไปขัดใจคุณรุจน์เข้า โลกนี้หมุนไปทุกวัน มีแต่ชีวิตเล็กๆของเราเท่านั้นแสนสั้น แถมยังถูกโชคชะตาคอยซุ่มกลั่นแกล้งอีกด้วย ใครจะไปรู้พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น จริงไหม? ผมน่ะเลิกคิดแบบศิลปินและหันกลับมาคิดแบบโลกมานานแล้ว ซึ่ง....มันเข้าท่ากว่าเป็นไหน ถ้าผมอยากได้อะไร อยากอยู่ตรงไหน อยากรัก อยากชัง ผมก็ไม่รั้งรอที่จะทำ และทำในแบบที่เรียกว่าให้ถึงที่สุดไปเลย แม้มันจะต้องปล่อยความร้ายกาจน่ารังเกียจออกมาบ้างผมก็จะทำเป็นลืมมันซะ ”

รุจน์กลืนบางสิ่งที่เยือกเย็นลงคอก่อนจะปล่อยเสียงแตกพร่าออกมาแผ่วเบา
“คุณอยากได้เมษาใช่ไหมครับ”
ซุรุงะ หันขวับกลับมา แววตาของเขาเบิกบาน
“คุณนี่เข้าใจอะไรง่ายดีจริงๆ ผมชอบคนแบบคุณนะ” ซุรุงะพรวดพราดเข้ามาเกาะพนักพิงเก้าอี้ที่รุจน์นั่ง

“คุณอยากให้ผมทำอะไรหรือครับ ถึงเมษาเป็นลูกน้องผม แต่เขาก็เป็นคนนะครับ คิดถึงจิตใจของเขาบ้างซิครับ จะให้ผมงุบงิบหยิบยื่นเขาให้คุณโดยที่ไม่ถามเขาสักคำได้อย่างไรครับ?”
ซุรุงะหันกลับผละถอยออกจากรุจน์

“รู้ไหมว่า รูปภาพที่ผมจะขายให้คุณน่ะ ที่จริงผมไม่ได้อยากขายมันเลย มันเป็นผลงานสุดท้ายที่ผมกับเพื่อนสนิทร่วมกันวาดก่อนที่ผมจะโด่งดัง เขาเป็นเพื่อนคนเดียวที่อยู่กับผมทั้งในยามยากและยามมั่งมี เขาไม่เคยทิ้งผม คำพูดและการกระทำที่จริงใจ ซื่อสัตย์ และแสนอ่อนโยนของเขาทำให้ผมอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ แม้ผมจะกลายกลับจากคนกินอุดมการณ์เป็นคนกินผลประโยชน์ เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง อาจผิดหวังที่ผมกลายเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ยังอยู่เคียงข้างผม เขาเป็นคนเดียวที่ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของผม คุณรุจน์รู้ไหมว่าหากใครสักคนบอกว่าจะอยู่กับเราตลอดไปน่ะ จงอย่าปล่อยมือเขา”

“..................” รุจน์หันไปสบตากับซุรุงะ
“ผมไม่ได้ปล่อยมือเขาหรอกนะ ในทางตรงกันข้ามผมจับมือเขาไว้แน่นจนเขาอึดอัดเลย ก็อย่างที่บอก โชคชะตามักคอยซุ่มดักเราเสมอ แม้เขาจะตายไปแล้วผมก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากเขา ผมไม่ได้ทำงานอยู่หกปีเห็นจะได้ มัวแต่เศร้าโศกหวนไห้กับสิ่งที่ไม่กลับมาอีกแล้ว ผมอยากตายตามเขาไปแต่ร่างกายก็กลับทนทานกับทุกข์ความทรมานที่ได้มาจากจิตใจอย่างเหลือเชื่อ แล้ววันหนึ่งผมก็ได้คิด คงถึงเวลาที่ผมต้องปล่อยเขาไปแล้วล่ะ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมตกลงใจขายภาพให้กับแกลลอรี่ของพวกคุณที่ยื่นข้อเสนอขอซื้อเข้ามาพอดี” ซุรุงะเดินไปหยุดที่มุมหนึ่งด้านหลังรุจน์

“น่าขันจริงๆที่โชคชะตาที่ซุ่มรอผมก็เล่นงานผมอีกครั้งเมื่อได้พบพวกคุณ แม้จะดูเย็นชาไร้เหตุผล แม้ไม่มีความเป็นมนุษย์แต่ผมก็ยอมที่จะทำตามที่สมองซีกชั่วร้ายเห็นแก่ตัวของผมสั่ง ผมต้องได้อะไรบ้างกับภาพที่พวกคุณอยากได้หนักหนา ธุรกิจง่ายที่ผมอยากทำกับคุณจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ ข้อเสนอของผมคือคุณอาจไม่ต้องจ่ายสักเยนสำหรับภาพรวมถึงลิขสิทธิ์ในงานของผมทุกชิ้นนับจากนี้ คุณอาจได้เป็นตัวแทนของผมที่เมืองไทยและภูมิภาคอาเซียนทั้งหมด โดยที่ไม่ต้องดิ้นรนเหมือนรายอื่นๆ เพียงแค่เมษายอม” ซุรุงะสรุปนิทาน1001ราตรีของเขาด้วยการยื่นเสนอที่รุจน์คาดไม่ถึง

รุจน์โกรธจัด มือของเขากำแน่นจนสั่น เจ้าศิลปินหน้าไร้ยางอายคนนี้กำลังบอกให้เขาขายเมษาให้ชัดๆ ไม่เสียอะไรเลยหรือ เมษานั่นล่ะที่จะสูญเสียคุณค่าความเป็นคนเพียงคนเดียว หมอนี่ช่างน่ารังเกียจที่สุด รุจน์ผุดลุกขึ้นอย่างเดือดดาล วินาทีนั้นเองที่ไฟในห้องสว่างขึ้น รุจน์ที่กำลังลุกขึ้นจึงได้เห็นภาพด้านหลังโต๊ะทำงานของซุรุงะชัดเจน ภาพขาดใหญ่เท่ากับผนังห้อง ภาพของผู้ชายในชุดกิโมโน รุจน์ตะลึงเซชนเก้าอี้ล้ม
“เมษา” เขาพึมพัมแผ่วเบา
“ไม่ใช่หรอก นี่คัตสึโนริยูกิ คนที่เป็นเพื่อน เป็นชีวิต เป็นแรงบันดาล เป็นเซ็กส์เป็นทุกอย่างในชีวิตของผม เขาสองคนเหมือนกันมากใช่ไหม เหมือนขนาดที่ผมเองยังตกใจ”

“ผมไม่เสียดายภาพนั้นเลยหากได้เมษาแลกเปลี่ยนมา ถือว่าให้เมษามาดูแลผลประโยชน์ให้ฝ่ายคุณเสียก็ได้ และถ้าเขาอยากกลับเมื่อไหร่ก็ได้แต่ต้องหลังจากที่อยู่กับผมหนึ่งปีแล้ว ว่าอย่างไรล่ะคุณรุจน์ฝ่ายคุณน่ะมีแต่ได้กับได้นะ ผมน่ะยอมขาดทุนถึงขนาดนี้แล้ว ช่วยกลับไปคิดสักหน่อยเถอะ หรือปรึกษากับคุณวุฒิหรือคุณน้ำฟ้าก็ได้นะ” ซุรุงะเดินมาจับไหล่รุจน์ รุจน์ไม่คิดว่าการรักษามารยาทกับคนแบบนี้จะมีประโยชน์อีกแล้ว เขาปัดมือซุรุงะออก ฝ่ายนั้นทำเหมือนเพิ่งเห็นมนุษย์นอกโลก

“คุณซื้อขายคนแบบนี้ผมว่ามันน่ารังเกียจมาก ผมไม่อาจยอมรับได้หรอกครับขอโทษ” รุจน์มองด้วยสายตาอย่างที่เขาพูดอย่างเปิดเผย ใช่เขารังเกียจความคิด รังเกียจธุรกิจที่เอามนุษย์ด้วยกันมาเกี่ยวข้อง
“อย่างนั้นหรือ ผมคนก่อนก็เหมือนคุณในตอนนี้ล่ะ ว่าแต่....อย่างที่บอกกลับไปคุยกับทุกคนที่เกี่ยวข้องก่อนดีไหม คุณไม่ใช่เจ้าแกลลอรี่นี่นา ตัดสินใจแทนเขามันออกจะเป็นการเหมาะสมหรือ?” ซุรุงะคว้าแขนแล้วดึงเข้ามาใกล้
“ไม่มีใครบ้าเหมือนคุณหรอกครับ” รุจน์พยายามสะบัดให้หลุด แต่ไร้ผล

“จำได้ไหมว่า ผมถามว่าคุณสองคนรักกันหรือเปล่า คุณตอบว่าไม่ นั่นก็แสดงว่าคุณเองก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องเนื้อตัวของเมษาเหมือนกัน ลองถามเขาก่อนซิบางทีเขาเองก็อาจมองหาโอกาสให้ชีวิตอยู่ก็ได้”
“เมษาไม่มีวันเห็นด้วยกับความคิดนี้หรอก และผมก็ไม่มีวันพูดเรื่องต่ำช้าแบบนี้กับเขาด้วย” รุจน์เจ็บจี๊ดเมื่อซุรุงะบีบแขนของเขาแรงขึ้น
“งั้นให้ผมพูดเองไหม”
“คุณไม่ได้พูดกับเขาไปแล้วหรือ ก็ในเมื่อพวกคุณ..” รุจน์รีบหุบปากก่อนจะเผลอเผยเรื่องที่เห็นออกไป

“พวกผมทำไม?”
“ผมจะกลับห้องแล้ว คุณจะขายภาพให้หรือไม่ผมไม่สนอีกต่อไปแล้ว พรุ่งนี้ผมจะกลับโตเกียว” รุจน์เซไปกระแทกกับโต๊ะ เมื่อซุรุงะปล่อยมือ
“คุณนี่ปฏิบัติต่อคนใหญ่คนโตได้แย่มากเลยนะคุณรุจน์ เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้ ออกจะเป็นคนหัวอ่อนพูดง่ายกว่านี้” ซุรุงะคลี่ยิ้ม

“หรือที่จริงเรามีเซ็กส์กันคืนนี้ดี แล้วลืมเรื่องเมษาไปซะ อ้อ คุณชอบผู้ชายไหม?” ซุรุงะ ผลักรุจน์นอนบนโต๊ะ เขาปัดข้าวของบนโต๊ะลงพื้น
“ผมชอบมาก ผมกับคัตสึโนริยูกิ เราผลัดกันแสดงบทบาทคิงและควีนเสมอ”ซุรุงะ จับขอบกิโมโนของรุจน์คลี่เปิด จับขาเปลือยเปล่าของรุจน์แยกออกแล้วแทรกตัวเข้ากลาง จากนั้นดึงรุจน์เข้ามาชิดกับแนวสะโพกของเขา

“หยุดนะ!!!” รุจน์พยายามปัดป้องเมื่อเห็นซุรุงะกำลังเปิดกิโมโนช่วงล่างของตัวเอง ซุรุงะจับมือทั้งสองของรุจน์กดไว้เหนือศีรษะ ประกบปากรุจน์หนักหน่วง ปล่อยมือของรุจน์แล้วเคลื่อนไปที่อันเดอร์แวร์ของรุจน์ คว้ามีดตัดซองจดหมายที่หล่นบนโต๊ะจากการปัดข้าวของเมื่อครู่ มากรีดเนื้อผ้าจนขาดหลุดจากลำตัวรุจน์ รุจน์ยันตัวผลักเขาอย่างสุดแรงเมื่อรู้สึกความว่างเปล่าที่เบื้องล่าง

“ไม่นะ!!!” รุจน์พยายามผลักดันซุรุงะให้พ้นตัว แต่เขาก็ถูกซุรุงะกดนอนลงกับโต๊ะอีกครั้ง ซุรุงะดึงรุจน์เข้าหาแนวสะโพกของตัวเอง เขายกขาข้างหนึ่งของรุจน์พาดกับไหล่ รุจน์หอบเหนื่อยหมดแรงได้แต่จ้องซุรุงะเปิดกิโมโนตัวเองแล้วประคองหน่วยก้านอันใหญ่โตแข็งแรงออกมาจากอันเดอร์แวร์ตัวเอง
“อย่าได้โปรด” รุจน์ขยับพยายามขยับถอยหนีแต่ซุรุงะก็ดึงเขากลับไปสู่วิกฤตอีก รุจน์ผ่อนลมหายใจหลับตากัดปาก กลั้นใจ เมื่อหน่วยก้านที่แข็งแกร่งราวเหล็กไหลนั้นพยายามดันด้นจะที่เข้ามาในร่างกายเขา ซุรุงะหายใจคำรามราวสัตว์ป่า
“เจ็บ ปล่อยเดี๋ยวนี้” รุจน์ตวาด ซุรุงะไม่ละความพยายามเขาออกแรงดันจะเข้าให้ได้ โดยไม่สนใจความเจ็บของรุจน์ รุจน์อุดปากตัวเองไม่ให้กรีดร้องออกมา ไม่ทันที่ซุรุงะจะทันได้ล้ำล่วงใดๆประตูก็ถูกเคาะพร้อมเสียงของอาคาบาเนะ ซุรุงะชะงัก

“คุณท่านครับท่านรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมมาพบครับ”
“ทำไมต้องมาตอนนี้วะ” ซุรุงะเก็บความองอาจของเขาแล้วจัดกิโมโนใหม่ก่อนถอยจากรุจน์ รุจน์ลงจากโต๊ะรวบกิโมโนปิดท่อนขาแล้วรีบก้าวไปที่ประตูอย่างร้อนรน ซุรุงะคว้าแขนดึงไว้
“ให้อาคาบาเนะไปก่อน”
รุจน์ไม่ฟังเสียงวิ่งไปที่ประตูเปิดออก อาคาบาเนะตกใจกับสภาพรุจน์ที่วิ่งสวนออกไป
“คุณท่านครับ” อาคาบาเนะทำหน้าอ่อนใจ
“ก็มันเกิดอารมณ์นี่นา”ซุรุงะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเดินออกมาจากห้อง

รุจน์พรวดพราดเข้าห้องมาก็พบว่าเมษาปูที่นอนไว้ให้เขาเรียบร้อย ส่วนตัวเองก็ปูนอนข้างกัน บนหมอนของรุจน์เมษาทิ้งโน๊ตไว้ รุจน์หย่อนตัวลงนั่งบนที่นอนหยิบโน๊ตมาอ่าน
ผู้จัดการครับ
ผมนอนก่อนนะครับผมคอยอยู่นานแต่ก็ไม่เห็นผู้จัดการกลับมาซักที ผมคงดื่มสาเกมากไปเลยง่วงไวน่ะครับ
โอยาสุมินะครับ พรุ่งนี้เจอกันนะครับ
เมษา ^ ^
รุจน์วางกระดาษโน๊ตไว้ที่เดิมแล้วลุกขึ้นเดินไปหยิบชุดอาบน้ำ
“จะอาบน้ำหรือครับ ผมถอดชุดให้นะ” เสียงเมษาที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้รุจน์สะดุ้ง
“อ้าวไม่ได้หลับหรือ” รุจน์ถามโดยไม่ได้หันมามอง อาการเจ็บกับเบื้องล่างที่ว่างเปล่า ทำให้รุจน์ไม่กล้ามองเมษาเต็มตา
“ตื่นตั้งแต่ตอนที่ผู้จัดการเข้ามาแล้วล่ะ” เมษาลุกขึ้นก้าวเข้าไปใกล้รุจน์ เขาช่วยถอดชุดจนเสร็จจากนั้นก็สวมเสื้อคลุมให้

“ขอบใจนะ”รุจน์กล่าวแผ่วเบาก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่เมษาก็ดึงเขาไปโอบกอดจากด้านหลัง
“ผู้จัดการนี่แอบเซ็กซี่นี่นา แบบนี้ผมก็แย่น่ะสิ คุณไม่ใส่อันเดอร์แวร์ตลอดเวลาที่อยู่ท่ามกลางคนหมู่มากนี่มันเซ็กซี่จริงนะครับ” เมษากระซิบพร้อมอมยิ้ม รุจน์หายใจไม่ออก อันเดอร์ที่เสียหายตัวนั้นยังอยู่ในห้องหนังสือ ภาพของซุรุงะกลับมาอีก รุจน์หลับตาแน่น
“ไปอาบน้ำก่อนนะ” เขาบอกเมษาแล้วเข้าห้องน้ำ
พอกลับเข้ามาเมษานอนหลับไปแล้ว รุจน์นึกสบายใจไม่งั้นเขาก็ไม่รู้จะเข้าหน้ากับเมษาอย่างไร เรื่องที่เจอมาเมื่อครู่ทำให้เขาจับต้นชนปลายไม่ถูก รุจน์ล้มตัวลงนอนโดยเลือกที่จะพลิกหันหลังให้เมษา ข่มตาให้หลับพรุ่งนี้เขาจะพาเมษากลับให้เร็วที่สุด ที่นี่มันบ้าบอชัดๆ

แขนของเมษาเคลื่อนเข้าโอบจากด้านหลัง รุจน์หันกลับไปเมษากำลังจ้องมองเขาอยู่ รุจน์ไม่กล้าสบตา
“มีอะไรหรือเปล่าครับที่ไปพบกับคุณซุรุงะ”
“เปล่า นอนเถอะ” รุจน์ยิ้มเนือย เมษาขยับเข้ามากอดรุจน์ไว้กับอก ใบหน้ารุจน์แนบชิดขนาดได้เสียงหัวใจเต้นข้างในนั้น เขาซุกใบหน้าแนบกับอกของเมษา เมษาก้มลงจูบเส้นผมของเขา
“คืนนี้เราจะฝันดีด้วยกันนะครับ”
“อืม พรุ่งนี้เราจะกลับกรุงเทพฯ” รุจน์กอดตอบ

ทศวรรษยกมือที่ได้รับการปฐมพยาบาลเรียบร้อยแล้วขึ้นดู มันไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย ลองกระดิกนิ้วดูก็ยังทำได้ ขยับทดสอบจนพอใจจึงวางมือลงบนตักพลางเหลียวมองรอบตัวผู้คนมากมายกำลังเดินสวนสลับไปมาอย่างเหม่อลอย
“พี่ทศคะยังปวดแผลไหมคะ” น้ำฟ้าเดินมานั่งข้างเขาในมือหล่อนมีถุงยา
“จำได้นะคะว่าคุณหมอบอกว่าแผลน่ะ ห้ามโดนน้ำ เวลาจะอาบน้ำก็ชูมือไว้สูงๆหรือหุ้มด้วยพลาสติกก็ได้ อีกเดี๋ยวยาชาคงหมดฤทธิ์ มันจะปวดแผลที่เย็บแน่นอนเลย นี่ค่ะยาแก้ปวด แก้อักเสบ แล้วก็บลา บลา บลา”
“อืม ขอบใจนะ” ทศวรรษยิ้มเนือย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย พูดมาตั้งเยอะ ฟังก็ฟังอยู่แต่ไม่เข้าหัวเลย น้ำฟ้ามาตรงนี้กับเขาได้อย่างไรกันนะ ทศวรรษพยายามทบทวนแต่สมองก็ดันประท้วงด้วยการปวดตึบขึ้นมาดื้อๆ

“เออ อีกอย่างเรื่องโทรศัพท์น่ะฟ้าจัดการให้แล้วนะคะใช้เบอร์เดิมได้เลยค่ะ” น้ำฟ้าหยิบโทรศัพท์เครื่องใหม่ออกมาให้ทศวรรษ
“นักธุรกิจไม่มีโทรศัพท์นี่ จบเห่กันเลยนะคะ พี่ทำไงไหนหลุดมือหล่นตกตึกไปได้ล่ะคะ?
“ก็มือมันเจ็บอ่ะ” ทศวรรษแก้ตัวส่ง เขารับมือถือจากน้ำฟ้ากล่าวขอบใจแล้วลุกขึ้น

“พี่มากับฟ้าใช่ไหม”
“ค่ะ ไปค่ะฟ้าพยุงนะคะ พี่ทศเสียเลือดมากไปหน่อย ไม่นอนโรงพยาบาลสักคืนหรือคะ สีหน้าพี่ไม่ดีเลย” น้ำฟ้าเข้ามาประคองทศวรรษ เขาส่ายหน้าช้าเชื่อง บอกอยากกลับไปนอนที่บ้านมากกว่า พูดจบก็วางศีรษะบนบ่าเล็กๆของหล่อนขณะถูกประคอง
น้ำฟ้าส่งทศวรรษขึ้นนั่งที่เบาะข้างคนขับ แล้วเดินอ้อมมานั่งประจำที่นั่งหน้าพวงมาลัยสตาร์ทเครื่องเข้าเกียร์แล้วขับออกจากที่จอด ทศวรรษพิงศีรษะกับเบาะทอดสายตาที่ขอบฟ้าเบื้องหน้า เขานึกออกแล้ว... ตอนที่เขายืนมองพื้นเบื้องล่างอยู่บนขอบระเบียง ตอนนั้นเสียงกริ่งประตูหน้าก็ดังขึ้น น้ำฟ้ามาหาเขาพร้อมแชมเปญขวดโต หล่อนกะมาฉลองข่าวดี ซึ่ง บลา บลา เขาจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร เพราะตอนนั้นเขาไม่อยู่ในภาวะที่จะรับรู้อะไรทั้งนั้น เขาหน้ามืดล้มลงต่อหน้าหล่อน เลือดจำนวนมากที่เขาสูญเสียนับแต่ออกจากเพนเฮาส์ของ S แข็งใจขับรถกลับมาเพนเฮาส์ตัวเอง ทั้งที่มือและแขนมีแผลฉกรรจ์ เลือดที่ไหลนองมากมายแต่ก็ไม่ทำให้เขาตาย เขารอดทั้งที่ไม่อยากรอด การมีชีวิตต่อไปนับจากนี้นับว่าลำบากยากเย็น ด้วยว่าเขาเต็มกลืนกับทุกสิ่งเหลือเกินแล้ว

ทศวรรษหันมองโครงหน้าแสนสวยราวเทพธิดาของน้ำฟ้าแล้วคิดถึงคำพูดของพี่ชายหล่อน หรือที่จริงที่ผ่านมา S คิดถูกทั้งหมด S อาจเป็นคนที่มองชีวิตทะลุปรุโปร่งอย่างที่สุด และพยายามแล้วจะบอกจะอธิบายให้ทศวรรษได้เข้าใจ แต่ตัวเขาเองกลับยึดมั่นกับสิ่งที่คิดว่ามันสวยงามที่สุดแล้ว ไม่เคยเฉลียวใจเลยว่ามันเป็นความสวยงามที่อยู่ในฝันของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ความรักระหว่างผู้ชายอย่างไรเสียก็ไม่มีวันเจริญงดงามเป็นดอกผล จริงหรือ?ที่ครรลองของธรรมชาติที่มนุษยชาติได้รับการบอกเล่ามาแต่ไหนแต่ไร ชาย หญิง ต่างหากที่ยั่งยืน ออกดอกผลแก่โลกนั้นคือความจริงที่ทุกชีวิตต้องยอมรับ ทศวรรษหลับตาเอนศีรษะไปซบเบาะด้านติดกับประตู ไม่เว้นแม้แต่เขาที่ไม่เคยคิดใดๆกับเพศตรงข้ามก็จำต้องยอมรับด้วยเช่นกัน ด้วยเพราะมันเจ็บมามากพอแล้ว

“น้องฟ้าครับ ขอคุณมากนะครับ” ทศวรรษพูดทั้งยังหลับตา
“ไม่เป็นไรค่ะ ฟ้ายินดีที่ได้ช่วยค่ะ”
“พี่แปลกใจนะ”
“คะ?”
“พี่แปลกใจที่ฟ้าไม่ถามพี่สักคำเกี่ยวกับแผล”
“ถ้าพี่ทศอยากเล่าคงบอกไปนานแล้วล่ะ เราอยู่ด้วยกันตั้งนาน”

ทศวรรษที่หลับตาค่อยๆคลี่กลีบปากอมยิ้ม เขาเงียบเสียง น้ำฟ้าไม่ได้พูดอะไรต่อ ภายในรถจึงเกิดความเงียบในบัดดล หากแต่เป็นความเงียบงันที่ไม่ก่อให้เกิดความอึดอัด ธาตุอากาศที่ไร้คำพูดแทรกนั้นกลับทำให้ทั้งคู่รู้สึกสงบและเริ่มคุ้นเคยกันและกันมากขึ้นอย่างประหลาด

รุจน์เบียดตัวอิงแนบอยู่ในวงแขนของเมษา เขาหอบหายใจลึกถี่ขึ้นเหตุเพราะกายของเขาตอนนี้ราวกับถูกเข็มเล่มเล็กจ้อยนับพันหมื่นทิ่มตำทั่วสพางค์ แม้จะตกใจอย่างมากกับการกระทำของซุรุงะ ยามหลับตาเขาพยายามลบภาพนั้นออกจากสมอง ทว่านอกจากมันจะลบเลือนแล้วยังกลับกลายทำให้อารมณ์ของเขากู่ไม่กลับเมื่อถูกเมษากอดไว้แน่นเช่นนี้ อารมณ์เร่าร้อนที่ผุดขึ้นไม่หยุดราวกับฟองอากาศบนผิวน้ำเดือดนี้ทำให้รุจน์รู้สึกอับอายต่อเมษา แต่เขาก็ห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะรู้สึกต่อไป
“มีอารมณ์อยู่ใช่ไหมครับ” จู่ๆเมษาก็กระซิบกระทัน รุจน์หน้าร้อนวูบ

“เปล่าสักหน่อย”
“แต่มันฟ้องอยู่” เข่าของเมษาที่อยู่ใต้ผ้าห่มเลื่อนขึ้นแทรกหว่างขาของรุจน์
รุจน์รีบลุกขึ้น เมษาตามมาคว้าไหล่ดึงรุจน์ลงนอน
“ฉันนี่มันแย่มากเลยใช่ไหม?” รุจน์มองไปอื่นใบหน้าแดงกล่ำ เมษาหัวเราะ
“ปกติจะตาย เรามาคุยเรื่องอื่นดีไหมจะได้ลืมๆ”
“อืม” รุจน์พยักหน้าแรงแล้วพลิกตัวให้เมษากอดเขาจากด้านหลัง เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับหนุ่มน้อยคนนี้อีกแล้ว

“นายชอบญี่ปุ่นมากไหม?” รุจน์จับมือเมษา
“มากซิครับ อยากอยู่ที่นี่เลยก็ว่าได้ เมืองเขาสวย สะอาด การเดินทางสะดวก ผู้คนก็น่ารัก ขนาดตกงานผมยังต้อง หางานพิเศษทำเพื่อที่จะเก็บเงินเดินทาง”
“นายเรียนภาษาเพราะเหตุนี้หรือ” รุจน์ทิ้งสายตาไว้ที่ฟ้ามืดดำด้านนอก
“ไม่เชิงซะทีเดียวหรอกครับ ตอนแรกก็เหมือนเด็กทั่วไปอยากอ่านการ์ตูนออก อ่านเกมส์ได้อะไรแบบนั้น” เมษาเริ่มตาปรือ ศีรษะเริ่มหนัก เขาซบใบหน้ากับเส้นผมของรุจน์
“ถ้าได้อยู่ที่นี่ก็คงดีนะ”

“คงง้านน....” เมษาต้องการพูดต่อแต่เขาไม่ไหวสติที่เบาลอยวูบดับไปก่อนจะพูดจบ
“เหรอ นายว่างั้นจริงๆหรือ” รุจน์ถอนใจหลับตา เขาไม่อยากพูดต่ออีกแล้ว
รุ่งเช้ารุจน์ตื่นขึ้นพร้อมความแปลกใจที่มีเพียงเขาที่นอนเดียวดายบนที่นอน เมษากับที่นอนของเขาหายไปแล้ว รุจน์ผุดลุกขึ้นเดินหารอบห้องในห้องน้ำก็ไร้เงาของเมษา น้ำที่แห้งสนิทแสดงให้เห็นว่ายังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้นในนี้ รุจน์ตรงไปหยิบชุดสูทของตัวเองกับเมษาออกมาแขวน เขาต้องการจะรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแต่เมษากลับหายไป รุจน์มองเวลาที่นาฬิกาบนผนังตอนนี้ 05.45 เขาจะรอเมษากลับมาอีกสิบห้านาที

คิดอย่างนี้แล้วจึงเดินเข้าห้องน้ำ รุจน์ถอดเสื้อออกแล้วเดินเข้าห้องน้ำแบบฝักบัว เขาไม่มีเวลานอนแช่หาความรื่นรมย์ใดๆทั้งนั้น เขาต้องการไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงเมืองไทยเมื่อไหร่ก็คงจะพูดกับน้ำฟ้าให้เข้าใจ กับหล่อนเขาไม่ใช่คนอี่นไกลเสียจนพูดกันคนละภาษา อยู่ที่หล่อนจะเปิดห้องทำงานหรือห้องนอนเพื่อจะฟังเขาเท่านั้น รุจน์เปิดน้ำฝักบัวแล้วปล่อยให้สายน้ำไหลรดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อะไรก็ตามที่เขารับมาด้วยความเจ็บปวดให้น้ำล้างออกเสียให้หมดจด หากเมื่อคืนยังทิ้งคราบอยู่ รุจน์เริ่มต้นขัดถูเนื้อตัว

ออกมาจากห้องน้ำเมษาก็ยังไม่มา รุจน์รีบแต่งตัวแล้วออกจากห้อง เขาหาทุกส่วนของบ้านไม่เว้นในสวนทว่าไม่พบแม้เงาของเมษา รุจน์หายใจลำบากเมื่อคิดถึงภาพเมื่อวาน เขารีบพุ่งออกจากสวน
“ถ้านายต้องเสียหายฉันจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย” รุจน์ก้าวเดินอย่างรีบร้อนเข้าสู่เขตของซุรุงะ ห้องของศิลปินเฮงซวยนั่นอยู่ตรงหน้า รุจน์เข้าไปทุบประตู
“เมษานายอยู่หรือเปล่า”


ครู่เดียวประตูก็เปิดออก ใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกของซุรุงะโผล่ออกมา รุจน์ผลักอกเขาให้หลีกทาง เมษาที่เพิ่งสวมยูกาตะเสร็จมองเขาอย่างตกตะลึง ใบหน้าซีดเผือด รุจน์เข่าอ่อนแทบล้มทั้งยืน เขายกมือขึ้นแตะคิ้ว แล้ว เปลี่ยนเป็นแตะหน้าผาก คำพูดจู่ๆหายเข้าคอราวกับเป็นใบ้ ตรงนี้เขายืนอยู่ไม่ได้ หากยังคงอยุ่ตรงนี้ต่อไปเขาคงจะสลายกลายเป็นแค่กองเลือด ที่เมษาพูดเมื่อคืนก้องในหู.....อยากอยู่ที่นี่...

“ผู้จัดการ คือว่าผม...” เมษาผูกผ้าพลางเดินเข้ามาหา รุจน์ยกมือห้าม ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว เขายกมือเป็นเชิงบอกว่าพอแล้ว อย่าพูดอีก แล้วหันหลังวิ่งออกจากห้อง ซุรุงะที่อยู่ข้างประตูกอดอก เขามองตามรุจน์ด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง
“ผมขอตัวนะครับ” เมษารีบตามรุจน์ออกไป ซุรุงะยิ้มที่มุมปล่อยแขนลงข้างตัว เขาเดินไปนั่งที่ข้างหน้าต่างห้องมองผ้าที่ปูบนพื้นห้อง รอยยับยู่ยี่ของมันช่างเย้ายวนเหลือเกิน

เมษาตามมาถึงห้องก็พบว่ารุจน์นั่งรอเขาอยู่แล้ว เขามองชุดวาเลนติโน่ที่รุจน์สวม มองสูทของตัวเองแขวนอยู่
“จะเก็บเข้าตู้ก่อนก็ได้นะ”รุจน์จ้องเมษานิ่งขณะที่เขาเข้ามาทรุดตัวนั่งตรงข้ามกับรุจน์
“ผมแค่แปลกใจ เราไม่ได้กลับพรุ่งนี้หรือครับ ก็ผู้จัดการบอกว่าจะอยู่ร่วมงานเลี้ยงกับเขาก่อน”
“นายอยากอยู่ที่นี่มากซินะ อยู่ได้นะอยู่ให้ตลอดไปเลยจะได้ไหมล่ะ เพราะฉันกำลังจะทำสัญญากับศิลปินบ้านั่น”รุจน์กัดปากแน่นจนเจ็บ
“ที่จริง ที่จริงฉันไม่ต้องการพูดเรื่องนี้กับนาย ตั้งใจจะรีบพานายกลับกรุงเทพฯ ฉันคิดถึงใจนายว่าอย่างไรเสียเรื่องพรรค์นั้นนายคงรับไม่ได้แน่นอน แต่ที่นายพูดเมื่อคืนกับ...กับ...ที่ฉันเห็น ฉันว่าเราพูดตกลงกันก็ดี”รุจน์ ถอนใจหนักหน่วง

“สัญญาอะไรกันหรือฮะ ผมเกี่ยวอะไรด้วย ผมอยากอยู่หรือไม่อยากอยู่ มันเกี่ยวอะไรกันฮะ” เมษาค้อมตัวมาข้างหน้า
“เจ้าหมอนั่นจะทำสัญญากับแกลลอรี่ของเรา เขาจะมอบภาพเขียนของเขาทุกภาพที่เราต้องการให้ฟรี แถมจะให้เราเป็นตัวแทนของเขาในภาคพื้นอาเซียน” รุจน์ก้มหน้าเขาไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องเมื่อคืนเลย
“ที่เขาเรียกคุยเมื่อคืนน่ะสิ โห ยอดเลย”เมษายื่นมือมาจับมือรุจน์

รุจน์กระชากออกอย่างไม่ใยดี มือของเมษาค้างอากาศ
“แต่มันมีข้อแม้นะเมษา ข้อแม้ที่ฉันพยายามแล้วที่จะปกป้องนาย ฉันยอมที่จะไม่ซื้อภาพนั้น ยอมที่จะถูกน้ำฟ้าตำหนิ อาจถึงไล่ออกเพราะมันเป็นภาพที่ลูกค้าคนสำคัญต้องการ ฉันตกลงใจด้วยซ้ำที่จะไม่พูดเรื่องนี้กับนาย ฉันคิดว่าอย่างไรนายต้องคิดเหมือนกับฉันว่าสัญญาแบบนั้นมันเฮงซวย มันขายนายเห็นๆ” รุจน์ยกมือปิดปากหลังพูดจบ เขาหายใจไม่ออกด้วยว่าแต่ละคำพูดจากนี้ มันจะอาจทำให้เขาแตกสลายจากคุณค่าที่เรียกว่าน้ำใจ

“แต่เมื่อเห็นนายกับซุรุงะหลายต่อครั้งรวมถึงคำพูดของนายเมื่อคืน ฉันก็เลยคิดว่าบางทีฉันอาจด่วนสรุปเร็วไป นายอาจกำลังมองหาโอกาสอยู่”
“อะไรกันแน่ครับช่วยพูดให้ชัดเจนหน่อยเถอะครับ” เมษาจ้องรุจน์อย่างเอาจริงเอาจัง
“เมษา นายน่ะเหมือนกับคนรักของศิลปินคนนั้นราวกับคนเดียวกัน เขาเลยต้องการนายอยู่กับเขาที่นี่อย่างน้อยหนึ่งปีเพื่อแลกกับสิ่งที่แกลลอรี่จะได้ทั้งหมดที่ฉันบอกไปแล้ว”

“ครับ” เมษาผ่อนหายใจทรุดนั่งลง
“ถ้านายอยากอยู่ฉันกับน้ำฟ้าก็จะขอบคุณนายมากนะ เราก็วิน วิน นายก็ได้อยู่ในที่ที่นายอยากอยู่ พวกฉันก็ทำธุรกิจต่อไปได้”รุจน์ขยะแขยงริมฝีปาก และเกลียดคำพูดตัวเองอย่างหาไม่ได้ เมษาฟังแล้วก็เหม่อสายตาออกไปนอกหน้าต่าง

“แล้วที่บอกว่าจะปกป้องผมล่ะ”
“อย่างที่บอกฉันอาจจะคิดเร็วไป คิดผิดไป นายเดินเข้าออกห้องของหมอนั่นเป็นว่าเล่นแล้วนี่นา”
“คุณคิดว่าผมนอนกับเขาแล้ว?”เมษาหันมาจ้องรุจน์ด้วยสายตาแข็งกร้าว

“ฉันไม่ได้คิดแต่สภาพนายตอนที่ฉันเข้าไปเห็น นายมีคำอธิบายที่รับได้ไหม?” รุจน์ไม่อยากใช้ประสบการณ์ตัวเองตัดสินแต่คนอย่างซุรุงะ ไม่มีทางปล่อยเมษาลอยนวลในห้องตัวเองโดยไม่แตะต้อง ขนาดเขาที่ไม่ได้เกี่ยวขอ้งกับเรื่องราวรักใคร่ของหมอนั่นยัง.....โชคดีจริงๆที่อาคาบาเนะเข้าขัดจังหวะ
“คุณชอบผลประโยชน์ไหมครับ” เมษายังไม่ละสายตาจากใบหน้ารุจน์

รุจน์ลองยิ้มแบบทศวรรษ เลือดเย็นที่มุมปาก
“ใครบ้างไม่ชอบ” ยิ้มไปแล้ว รุจน์คิด นี่ใบหน้าเขาคงน่าเกลียดเหมือนสัตว์ร้ายซินะ
“เนื้อตัวมันก็ของผม แถมได้ทำตามที่ต้องการ เราวิน วิน ด้วยกันจริงๆล่ะ ทำสัญญากับเขาเถอะครับ อยู่ที่นี่ผมจะดูแลผลประโยชน์ให้ครบทุกเม็ด” เมษาพยายามแค่นยิ้ม รอยยิ้มด้วยชีวิตที่ต้องเข้าแลกของเขา

อาคาบาเนะวางซองเอกสารบนโต๊ะทำงานตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ซุรุงะยังยืนกอดอกมองภาพคนรักบนผนัง
“ภาพนี้ต่างหากที่เป็นภาพของคัตสึโนริยูกิ” ซุรุงะพูดกับอาคาบาเนะที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาเหลือบมองภาพสีน้ำมันอีกภาพที่ตั้งใกล้กับโต๊ะทำงาน ภาพนี้เดิมทีเป็นภาพเปลือยกายของคนรักเขา แต่แค่เพียงร่างโครงสร้างใบหน้าคนรักเขาก็เสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุ เป็นอุบัติเหตุที่ไม่น่าเกิดขึ้น เพราะความไม่เข้าใจกันอันเกิดจากผลประโยชน์ละโมภเห็นแก่ตัวของเขา และคนรักของเขาก็ต้องการให้พอ การทุ่มเถียงต่อว่าด้วยถ้อยคำรุนแรงจึงเกิดขึ้น ขอให้อีกฝ่ายสะเทือนใจ ซุรุงะก็ไม่ยั้งกับคำเจ็บแสบ ดังนั้นคนรักจึงเขาผลุนผลันออกจากบ้านและไม่กลับมาอีก ถึงเสียใจเจียนตายก็ไม่มีความหมายต่อสิ่งที่จบสิ้นไปแล้วพร้อมกับร่างกายและความตายของคัตสึโนริยูกิ ที่ยังเหลือก็เพียงความปรารถนาเลื่อนลอยของเขาที่จะวาดภาพของคนรักให้เสร็จ

ต่อเมื่อพบกับเมษา ความหวังนั้นก็กลับมาเป็นรูปร่างอีกครั้ง เขาถึงกับอดใจไม่อยู่กอดปล้ำเมษาในห้องนั้น ทว่าจุมพิตของเด็กคนนั้นต่างจากคัตสึโนริยูกิ มันชืดชาและไร้สีสัน นั่นทำให้เขารู้สึกตัวตื่นมาพบว่ากำลังให้กลิ่นอายของคัตสึโนริในห้องที่เขาใช้ร่วมรักกันแปดเปื้อน จึงต้องลากเมษาไปที่ห้องของเขา เด็กคนนั้นต้องได้เห็นสิ่งที่เขาอยากจะทำจึงจะเข้าใจในสิ่งที่เขาอยากขอร้อง เมษาเป็นคนจิตใจดีและอ่อนโยนเมื่อได้รู้เรื่องเขาก็ให้ความร่วมมืออย่างยินดี เขาจึงยื่นข้อเสนอที่จะให้รูปที่รุจน์จะซื้อโดยไม่คิดมูลค่าตอบแทนที่เด็กนั่นมีน้ำใจ ซุรุงะรู้ดีว่าเบื้องหลังความยินดีของเด็กเมษาคือความรัก เขาชอบนายตัวเองทำไมซุรุงะจึงมองไม่ออก คงมีแต่เจ้านายซื่อบื้อคนนั้นเท่านั้นที่ไม่รู้อะไรเลย ถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมา “เราไม่ได้เป็นคนรักกัน” ซุรุงะยิ้มเหยียดที่มุมปาก

“ไปเชิญคุณรุจน์มาพบฉันด้วย”
“ครับ”
รุจน์เอนศีรษะพิงเบาะหลัง ซองเอกสารอยู่บนตัก ภาพที่ไม่มีมูลค่าให้ซื้ออยู่กระโปรงหลังรถ นี่คือความพอของทั้งสองฝ่าย นี่คือผลประโยชน์อันยินดีทั้งสองฝ่ายซินะ รุจน์หันมองที่นั่งว่างเปล่าด้านข้างแล้วเลยมองออกไปนอกหน้าต่างอีกฝั่ง ข้างทางเป็นทุ่งดอกไม้สีเหลืองที่กำลังบานเต็มทุ่งดูราวกับพรมที่ปูสุดลูกหูลูกตา พอเลยจากทุ่งดอกไม้ก็เป็นริมน้ำที่เขาเคยผ่านมากับเมษา เด็กหนุ่มคนนั้นกระซิบบอกว่าจะไม่มีวันทิ้งเขา มาอยู่เคียงข้างตลอดไปกันเถอะนะ รุจน์ปริบตาถี่เขาดึงตัวเองจากกริยากึ่งนั่งกึ่งนอนมาเป็นนั่งตัวตรง นี่เขาทำอะไรลงไป ความรู้สึกที่ย้อนตีขึ้นหัวอก ทำให้รุจน์ต้องค้อมตัวกดท้องแรงด้วยรู้สึกอาจจะอาเจียนออกมา
“คุณอาคาบาเนะ ผมขอโทษนะครับ” รุจน์พุ่งตัวไปเกาะเบาะคนขับ ซุรุงะจัดทั้งรถและคนขับสัมนาคุณที่เขายอมทำสัญญามอบเมษาให้ นี่เป็นราคาค่าตัวที่เขาได้จากเมษา รุจน์ละล่ำละลักพูดไม่เป็นคำ
“ชะ ช่วย กลับ ไป ที่ บ้าน นาย ของคุณเดี๋ยวนี้เลยนะครับ ผมขอร้อง”
“ลืมของหรือครับ”
“มะ...” รุจน์จะตอบว่าไม่ แต่ก็เปลี่ยนใจ

“ครับ ของสำคัญมาก ของชิ้นนี้ถ้าผมทิ้งไว้บ้านนายคุณ ชีวิตผมคงไม่มีโอกาสหาได้อีก” รุจน์ใช้หลังมือปิดปาก แล้วกลับไปนั่งที่เดิมแล้วเริ่มร้องไห้คนเดียว อาคาบาเนะมองเขาจากกระจกส่องหลังก่อนจะเปิดไฟขอทางเพื่อกลับรถ

ซุรุงะกับเมษาอยู่ในงานเลี้ยง ซุรุงะดื่มกับแขกทุกคนอย่างมีความสุข เมษาที่นั่งอยู่ข้างๆรู้สึกเหมือนโลกกำลังจะดับ ตอนนี้เขาน่าจะยังคงเสิร์ฟอาหารอยุ่ที่เมืองไทย แม้จะรักชอบญี่ปุ่นแค่ไหน แต่หากเลือกได้เขาก็อยากอยู่กับคนที่รัก เมื่อคืนเพราะเขาหลับไปเสียก่อนจะได้พูดคำนี้กับรุจน์ ฝ่ายนั้นที่ถนัดคิดไปเองจึงเข้าใจว่าเขาอยากอยู่ที่นี่เสียจนยอมเสียตัวกับศิลปินยิ่งใหญ่คนนี้ เมษามองซุรุงะแล้วถอนใจ เขาแค่โดนจูบไปครั้งเดียว และไม่เคยคิดให้หมอนี่ลากขึ้นเตียงด้วยซักหน่อย ถึงจะอยากซุรุงะก็ไม่ทำเพราะเขาซื่อสัตย์กับคนรักของเขา

“แม้เธอจะเหมือนเขาแค่ไหน แต่เธอก็เป็นคนอื่น กลิ่นอายร่างกายของเธอต่างกับเขาสิ้นเชิง” ซุรุงะเคยพูดกับเมษาตอนที่เป็นแบบให้เขาวาดภาพ เสียงเอะอะเรียกให้ความสนใจจากแขกทุกคน ทั้งเมษาและซุรุงะด้วย รุจน์เดินเข้ามาในงานพร้อมอาคาบาเนะที่ถือภาพตามมาห่างๆ เมษาออกวิ่งไปยืนตรงหน้าทุกคน
“มีอะไรหรือคุณรุจน์ อาคาบาเนะคุณรุจน์ลืมของหรือ”
“ครับคุณท่าน” อาคาบาเนะ ก้าวไปยืนข้างรุจน์

“ผมลืมจริงๆล่ะครับ” รุจน์ก้าวเข้าไปหาเมษาต่อหน้าทุกคน
“ผมลืมคำพูดของเขาที่ว่าจะเคียงข้างผม ลืมไปว่าเขาแสนดีกับผมออกอย่างนั้น ลืมที่จะละทิ้งความเขลาตัวเอง ผมจึงโง่มาตลอด”รุจน์จ้องเข้าไปในดวงตาเมษาที่สบสานกลับมาหาเขาอย่างชนิดที่เรียกว่าลืมหายใจ
“และที่สำคัญ ผมลืมไปว่า...ผมเองก็เริ่มรักเขาเข้าแล้ว” รุจน์ยิ้มพร้อมอ้าอ้อมแขนกอดคอของเมษาดึงเขาเข้ามาจูบ
แนบแน่น ทุกคนฮือฮา ใบหน้าชาเย็นของซุรุงะผุดรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้ใบหน้าเย็นชาเคร่งขรึมนั้นอ่อนโยนลง...



Create Date : 12 ตุลาคม 2554
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2555 20:29:52 น.
Counter : 227 Pageviews.

0 comment
Body Talk (BL) บทที่ 8
บทที่ 8


รุจน์หยิบเสื้อนอกมาสวมแล้วสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในกระจก สูทดีไซน์ของวาเลนติโน่ขึ้นชื่อว่าหรูหราด้วยการตัดเย็บอันเป็นเอกลักษณ์ที่รู้จักกันดีในหมู่สุภาพบุรุษชาวยุโรป สิ่งนี้กระมังที่ทำให้น้ำฟ้าซื้อมันมามอบให้เขาในวันที่... วันที่หล่อนอารมณ์ดีและรู้สึกปลาบปลื้มกับการสวมกอดกับเขา จูบกับเขา ร่วมรักกับเขาเป็นพิเศษ ซึ่งทั้งเขาและหล่อน...จนป่านนี้แล้วคงจำไม่ได้ทั้งคู่ ว่าวันนั้นคือวันอะไรพิเศษอย่างไร สิ่งที่ไม่ซึ้งตรึงใจมันก็เป็นเช่นนี้เอง มันก็แค่ฉากของชีวิตในวันหนึ่งๆที่ดำเนินไปพร้อมเหตุการณ์ต่างๆในโลกนี้

รุจน์จับไทด์ให้เข้าที่กับปกเชิ้ทตัวในอีกครั้งทว่าอาการผะอืดผะอมพุ่งขึ้นกระทันทำให้ต้องรีบยกมือปิดปาก ย่อตัวไหล่งองุ้มพยายามกักเก็บอาการห้หายเข้าคอ ครู่หนึ่งเมื่อรู้สึกดีรุจน์จึงสูดหายใจลึก เขาเหลือบมองตัวเองในกระจกอย่างเหนื่อยหน่าย วันนี้มีงานสำคัญแต่เขากลับปล่อยให้อารมณ์ส่วนตัวทำให้ตัวเองหมดสง่าราศี รุจน์จ้องมองกระจก สีหน้าที่ซีดเซียวจากอาการเมาค้าง แววตาไร้ชีวิต สูทสีกรมท่าติดแบรนด์ตัวนี้ทำให้เขาดูดีขึ้นได้จริงๆหรือ รุจน์ถอนใจผละออกจากกระจกด้วยมิอาจทนเห็นสภาพอันน่าทุเรศของซากอะไรสักอย่างในชุดสูทหรูของวาเลนติโน่

รุจน์เดินผ่านห้องนั่งเล่น เมษากำลังจัดโซฟา เขาแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเช่นกัน รุจน์หยุดยืนพินิจเขาอย่างลืมตัว ในชุดสูทราคาไม่แพงที่เมื่อวานรุจน์ซื้อให้เมษากลับดูดีอย่างไม่น่าเชื่อ รูปร่างสูงใหญ่ของเขารับกับสูทดำสนิท แล้วเขาก็ช่างเลือกที่ผูกไทด์สีขาวได้อย่างเหมาะเจาะ รุจน์พิงกรอบประตูสายตายังเพลิดเพลินมิรู้เบื่อ ท่ามกลางแสงอ่อนละมุนของเวลา 05.30 รูปร่างดั่งนักเต้นรำของเมษาเหมือนงานศิลป์ที่ลงตัวทั้งด้านสีและแสงเงา

ความสง่างามทุกการเยื้องย่างของเขาราวคนหนุ่มที่มาจากตระกูลดี ในโลกที่ยังสนใจกันอยู่ที่หน้าตาและรูปร่าง งานสังคมหรูที่ไหนก็ได้ในเขาคงเป็นที่สนใจ เป็นที่สะกดสายตาหลายคู่
“อ้อ อรุณสวัสดิ์ ครับ” เมษาหันมาทางรุจน์พอดี เขายิ้มทักทาย ยิ้มกว้างขวาง จนตาหยี รุจน์พริบตารู้สึกตัว พอมองเมษา มองโซฟาแล้วรู้สึกร้อนใบหน้า จนต้องรีบเดินไปที่ประตู เมษายักไหล่พลางก้าวตามไปที่ประตู

วิวนอกหน้าต่าง นอกจากท้องฟ้าสีคราม เมฆก้อนโต ต้นไม้ ดอกไม้ บ้านเรือน ตึกรามที่อยู่ไกลๆแล้ว โดยความเร็วพิกัดสูงสุดของชินกันเซนสิ่งที่อยู่ใกล้กับรางรถไฟดูจะเลือนเบลอเลอะเทอะจนแยกสัดส่วนของแต่ละสิ่งไม่ออกราวกับภาพสีน้ำที่ผิดพลาดเมื่อสีต่างๆไหลรวมจนกลายภาพไม่น่ามอง เมื่อเทียบกับภาพไกลออกไปนั่น รุจน์ทอดตามองอย่างไม่มีทีท่าจะหลับไหลหรือเปลี่ยนอริยาบทเป็นอย่างอื่น ส่วนเมษาที่อ่านหนังสือที่ค้างจากเมื่อคืนอยู่ข้างกันก็ไม่มีทีท่าจะรบกวนรุจน์แต่ประการใดเช่นกัน เวลา 3 ชั่วโมงจากนครโตเกียวสู่โอซาก้านั้นช่างเป็นเวลาที่นานเนิ่นและช้าเชื่องสำหรับคนที่ไม่มีอะไรจะพูดกัน

เมษาปิดหนังสือเล่มหนาดังพั่บ เขาเงยหน้ายกมือขึ้นนวดสันจมูก การอ่านหนังสือบนพาหนะไม่ว่าจะชนิดใด ชั้นดีเพียงใดก็ทำให้ปวดสายตาเหมือนกันหมด ไม่เว้นแต่ชินกันเซนที่ได้ชื่อว่าไม่เป็นรองเครื่องบิน ก็ไม่วายทำให้ประสาทตาล้าปวดหนึบไปเหมือน เมษาหันมองผู้คนรอบข้างมีทั้งกำลังหลับ กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อย่างไม่ออกอาการ สาวสวยหน้าตาน่ารักบริการขายของบนรถ จะเข้าจะออกประตูก็โค้งแล้วโค้งอีก มองออกไปนอกหน้าของอีกฝั่งที่นั่งก็แทบไม่น่าเชื่อว่า ภายนอกกับภายในตัวรถจะต่างกันเพียงแค่โลหะมาตรฐานเยี่ยมกั้น ข้างนอกคือความรวดเร็วเสียงดังอันชวนหวาดเสียว หากแต่ภายในกลับสงบราวกับห้องรับแขกในบ้านของใครสักคน
เมษาถอนใจเม้มปากาแน่นพยายามคิดเรื่องอื่นบ้างนอกจากเรือนกายเพรียวบางและสะโพกผอบผอมเร่าร้อนที่เชิญชวนให้ลิ้มรสรักภายใต้แสงไฟสลัวนวลกระจ่างเมื่อคืน กระนั้นเขาก็กลับมาที่จดจ่อกับคนที่นั่งข้างกายอีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า ความเงียบในภายห้องโดยสารคือความสงบแต่ความสงบที่คั่นระหว่างเขากับรุจน์คือความอึดอัด เมษาก้มมองมือตัวเองถูกันอย่างไร้เหตุผลแล้วอยากจะหัวเราะออกมา

“เรื่องเมื่อคืน ผมขอโทษ” เมษากลั้นใจทำลายกำแพงความเงียบงันระหว่างกันและกัน
“ที่ผมพูด ที่ผมทำทั้งหมด ผู้จัดการคงจะโกรธมาก ผมขอโทษที่ล่วงเกินคุณไม่ว่าจะเป็นกาย หรือวาจา” เมษานึกชื้นใจที่ผู้โดยสายที่นั่งถัดจากเขาพอที่จะได้ยินสิ่งที่เขาพูดนั้นล้วนเป็นชาวญี่ปุ่น เมื่อพูดออกไปแล้วต่อจากนี้คือเวลาที่น่าอึดอัดใจ ไม่รู้ว่ารุจน์จะเงียบต่อไปหรือหันมากล่าวอะไรกับเขาบ้าง ทว่านานเกินนาทีที่รุจน์ยังคงไม่ยอมหันกลับมาจากหน้าต่างทั้งที่ไม่ได้หลับ เมษาเป่าปากจนผมที่ปกหน้าปลิว

“ฟังนะผู้จัดการแบบนี้ผมก็ตายเลย ไอ้บรรยากาศเย็นชาไม่พูดจาตั้งแต่เช้า ทำเหมือนเราอยู่กันคนละมิติทั้งที่เดินเคียงข้างชนิดไหล่แทบชนกัน เมื่อผมคิดว่าทำผิดผมก็ขอโทษ แต่ถ้าผู้จัดการมันยากที่จะปล่อยวางพอๆกับเรื่องอื่นของคุณ ผมก็จนใจ เราเจอกันที่ชินโอซาก้าก็แล้วกันนะครับ ก่อนที่จะถูกเหม็นเบื่อไปกว่านี้ผมว่าผมไสหัวตัวเองไป non reserved ดีกว่า สบายใจกันทั้งคู่” น่าแปลกที่น้ำเสียงของเมษาไร้ซึ่งอาการหัวเสียแฝงทั้งที่กำลังพูดประชดประชัน เขาพูดเรียบเรื่อยดั่งบทสนทนาทั่วไปทั้งยังยิ้มไร้การเสแสร้ง

รุจน์ละสายตาจากวิวมาที่กรอบหน้าต่าง เขาคิดจะตามใจเมษาหากว่าเจ้าตัวอยากทำอย่างนั้น หากแต่มือของเขากลับคว้ามืออีกฝ่ายไว้เมื่อเขาทำท่าจะลุกจากที่นั่ง เมษามองมือที่ถูกกำแน่นของตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
“อย่าไปนะ” รุจน์เผยอปากปล่อยคำพูดแหบแห้งออกมา
“ก็ผู้จัดการ”
“อย่าไปนะ” รุจน์พูดดังขึ้น จนเริ่มมีคนหันมาทางพวกเขา เมษาจึงยอมนั่งลงอย่างว่าง่าย
“ฉันทั้งเมาค้าง ทั้งอับอายนายต่างหากล่ะ” รุจน์ลดเสียงลง
“จริงหรือฮะ แล้วจะอยากจะอาเจียนหรือเปล่าครับ” เมษาขยับหารุจน์อย่างเป็นห่วง รุจน์ส่ายหน้าช้าๆ
“อาการดีขึ้นกว่าเมื่อเช้า ขอโทษนะที่ทำให้เสียบรรยากาศ”
“อะไรกันครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษมากๆ ที่พูดอะไรออกไปแบบนั้นทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย ผู้จัดการอายอะไรกันหรือครับ ก็ในเมื่อเราเสมอกัน” เมษาทำท่าคิด รุจน์ทุบเขา เมษารีบกางมือรับกำปั้นไว้

“ไม่ใช่เรื่องนั้น คำพูดของนายต่างหาก มันตบหน้าฉันจนหายเมาเลย”
เมษายิ้ม
“จริงหรือครับ ผมขอโทษนะครับ มันแรงไปหน่อย ผู้จัดการคงโมโหมากซินะครับ”
“อืม น่าโมโหจริงๆด้วย” รุจน์พยักหน้าทำหน้าจริงจัง เมษาเบิ่งตารียาวของเขา
“เอาจริงหรือฮะ”
“จริงน่ะสิ นายวิจารณ์ผู้จัดการเชียวนะ ทำงานวันแรกนะเนี่ยตัดเงินซะดีมั้ง”
“โกหก ไม่จริงมั้งครับผู้จัดการ คุณใจแคบขนาดนั้นเชียว”

“โห สองกระทงเลยนะ ว่าฉันใจแคบด้วย” รุจน์หยิบกระเป๋าเอกสารมาเปิดหยิบไอแพดขึ้นมาเปิด
“เฮ้ย!!!! เว่อร์เข้าเนื้อใหญ่แล้วผุ้จัดการ หยุดๆๆนะ ขอโทษก็ได้ ขอโทษอย่างแรงเลย” เมษายกมือไหว้ รุจน์ถอนใจยิ้มแล้วเก็บของใส่กระเป๋าเอกสาร เมษาพลิกนาฬิกาดู
“อีกประมาณไม่ถึงสองชั่วโมงก็จะถึงแล้ว” เขาชี้ให้รุจน์ดูภูเขาไฟฟูจิ ที่ตระหง่านต้อนรับทุกสายตา

“ศักดิ์สิทธิ์นะครับ ผมเคยอธิฐานไว้ตั้งหลายเรื่อง ได้หมดเลย” เมษาพยักหน้าหงึกหงักให้เห็นจริงจัง รุจน์ทำท่าไม่เชื่อ เขามาญี่ปุ่นแม้ไม่มากครั้งแต่ก็น่าใครที่รู้เรื่องนี้บอกเขาบ้าง แต่พอเห็นเมษาหลับตาพนมมือก็ทำตามแต่ไม่วายหันมองผู้โดยสารคนอื่นด้วย เมื่อเห็นไม่มีใครสนใจเขามากไปกว่าหยิบกล้องมาถ่ายรูปด้านนอกรถจึงหลับตา วูบไหวไม่ทันได้ตั้งจิตกับคำอธิฐานเขาก็รู้สึกถูกดึงเข้าไปกอดกลิ่นโคโลจญ์ของเมษากรุ่นที่ปลายจมูกตามด้วยลมหายใจอุ่น.....และจุมพิตที่ชื้นชุ่มจากริมฝีปากของเขา รุจน์ลืมตาหายใจรัว เขาพยายามดันเมษาออกไปแต่อ้อมแขนนั้นไม่ปล่อย ไม่มีใครสนใจพวกเขามากกว่าภูเขาอยู่ดี เมษาแนบใบหน้าของเขากับศีรษะของรุจน์

“ผู้จัดการอธิฐานว่าอะไรหรือครับ ผมน่ะอธิฐานว่า...” เสียงของเมษาดั่งสายลมในวันฤดูเปลี่ยน ทำให้หัวใจสั่นไหว รุจน์เอนกายพิงกับเมษา เหม่อมองภูเขาไฟฟูจิในอ้อมกอดเมษา ตั้งใจฟังสายลมที่หวีดหวิวนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
......ผมขอโทษหากมันจะผิดแผกจากธรรมชาติอันเป็นนิรันดร์แห่งฟูจิซัน แต่ผมชอบผู้จัดการรุจน์ ผมอยากอยู่กับเขาได้ไหมฮะ ฟูจิซัน...


พิสราผูกผ้าคาดเอวเสื้อคลุมขณะก้าวออกมาจากห้องนอนภายในคอนโดของ S กลิ่นบุหรี่และเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันจากการขยับร่างกายทำให้หล่อนสะดุ้งหันไปมองที่โซฟาติดหน้าต่างในห้องหนังสือที่อยู่ติดกันเพียงผนังกั้น
“คุณทศ” หล่อนอุทาน
“อรุณสวัสดิ์ครับ” เขายิ้มให้หล่อนอย่างอ่อนโยน พิสรายิ้มแห้งพร้อมบอกให้ทำตัวตามสบาย แต่ทศวรรษกลับสวนคำว่าเขาทำตัวตามสบายที่นี่มากว่าสิบปีแล้ว
“ผมบอกคำเดียวกับคุณพิศรากับเหล่าผู้หญิงของ S มานานกว่าคุณเกือบเก้าปีเห็นจะได้” ทศวรรษโน้มตัวขยี้บุหรี่ลงที่เขี่ยบนโต๊ะ
พิสราเดาะลิ้น ที่จริงหล่อนไม่อยากไม่สบอารมณ์แต่เช้ามืดแบบนี้แต่คำพูดของทศวรรษนี่ก็ช่างเหลือร้าย หล่อนพยายามหนักหนาที่จะเป็นมิตรกับเขาหากแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ปฏิเสธมิตรภาพที่หล่อนส่งไปอย่างไร้เยื่อใย เขามันคนสองหน้า ต่อหน้าเป็นใบหน้าที่แย้มยิ้มน่าหลงไหล แต่อีกหนึ่งใบหน้าคือคำพูดที่ร้ายกาจ

“ล้อเล่นน่ะครับ เอ่อแต่ถ้าไม่รบกวนเกินไปล่ะก็ผมทำงานต่อให้เสร็จ ถ้าจะกรุณาช่วยบอกพ่อคู่หมั้นของคุณด้วยว่าลดเสียงลงหน่อยก็ดี สมาธิผมหายหมด” ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากพร้อมผายมือเชิญ พิสราผ่าวใบหน้าทศวรรษคงไม่ได้หมายถึง S คนเดียว หล่อนสะบัดหน้าพรืดกลับเข้าห้อง ทศวรรษเดินไปปิดประตูห้องดังโครม กระแทกหลังกับบานประตู มองพิมพ์เขียวบนโต๊ะกับกองเอกสารอีกพะเนินแล้ว ปรี่เข้าไปปัดกระจายร่วงจากโต๊ะ หยิบปากกาขว้างไปกระทบกับกระจก ยกเท้าถีบขาโต๊ะทำงาน ผมยาวรุ่มร่ามรุ่ยร่ายจากการเสยแรง
“ฉันมาทำอะไรที่นี่วะ ไอ้บ้า ไอ้บ้า พวกนายบ้าทั้งหมด ฉันก็บ้าด้วย” ทศวรรษทรุดตัวนั่งกับพื้นหอบหายใจไม่ออก เจ็บมาก เจ็บเหลือเกิน แต่ร้องไม่ออก ทศวรรษหลับตาไม่อยากให้หยดน้ำร่วงหยด

“เกลียดจริงๆเลย” ทศวรรษกำหมัดแน่น เวลาผ่านเท่าไหร่เขาไม่ทันรู้ตัว ด้านหลังเสียงประตูแง้มเปิดดังแผ่วเบา

“เฮ้ ทอนาโดผ่านมาแถวนี้หรือ” เสียงS กระซิบแบบขลาดกลัว ทศวรรษหันขวับ
“ผู้หญิงคนนั้นกลับไปหรือยัง” เขาตะคอกใส่ S อีกฝ่ายกลืนน้ำลายพยักหน้า ทศวรรษลุกขึ้นยืน S ยังอยู่ในชุดเสื้อคลุมแพรสีเบจเหมือนยัยนั่น ใช่ซินะซื้อของคู่กันซะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นของใช้ไม้สอยอะไร ระหว่างสองคนนี้เขาอยู่ตรงไหน ใครช่วยบอกที ยิ่งคิดก็ยิ่งยอมไม่ได้ ทศวรรษคว้าแขน S กระชากเข้าใกล้

“นายจะทำอะไรน่ะ นายเป็นอะไร โกรธอะไรขึ้นมาน่ะ” S ตัวสั่น
“นายทำอย่างนี้ไม่โหดเหี้ยมกับฉันไปหน่อยหรือ” ทศวรรษบีบแขนแน่น
“ขอโทษ ฉันก็ตั้งใจจะมาช่วยนายแต่ น้องเขามาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้าด้วย นายก็รู้ว่าเรากับเขา...” S เริ่มหน้าเบ้เพราะเจ็บแขน
“ก็เลยเพลิดเพลินกันปล่อยฉันไว้กับงานจนตะวันขึ้น นายก็รู้ว่าฉันรักนายแค่ไหน นายนอกจากทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้ว ยังทำให้เจ็บได้อยู่ตลอดเวลา นายมันคนประเภทไหนกันแน่วะ ” ทศวรรษผลัก S หงายล้มบนพื้นพรม
“ก็สมแล้วนี่นายอยากบอกจะทิ้งฉันก่อนทำไมล่ะ” S โต้กลับอย่างลืมตัว

“เหรอ นี่ตกลงนายแค้นฉันใช่ไหม มันไม่ใช่ที่บอกว่าสับสนใช่ไหม ทำจะตายก็ละครตบตาน่ะสิ” ทศวรรษพยายามคว้าปลายผ้าคาดเอว S ปัดป้องอย่างสุดกำลัง
“ถ้าใช่แล้วไง ถ้าไม่ใช่แล้วไง อย่านะทศ ปล่อยนะ นายทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้นะ นายไม่มีสิทธิ์ นายจะทำกับใครก็ช่างหัวนายแต่กับฉันนายทำแบบนี้ไม่ได้ ไอ้บ้านี่ หยุดนะ!!” S ตะโกนอย่างเดือดดาล

“วิเศษมาจากไหน ฉันตามใจนาย ปล่อยนายเกินไปแล้วกระมัง นายถึงได้ตอแหลซ้ำซากกับฉันตลอดเวลา” ทศวรรษดึงผ้าคาดเอวออกจากตัวเสื้อสำเร็จเขาเอามันมาผูกข้อมือทั้งสองของ S
“ไหนๆก็ไหนๆฉันจะไม่รอให้นายพร้อมอีกต่อไปแล้ว ฉันจะใช้นายร่วมกับผู้หญิงคนนั้น” ทศวรรษจับ S พลิกคว่ำหน้า ปลดเข็มขัดตัวเองออก ดึงเอว S เข้ามาในระยะประชิด

“ถ้านายเกลียดเราจริงก็ตามใจเถอะ คนที่เกลียดกันมีวิธีการที่จะทำให้อีกฝ่ายสำนึกเสมอล่ะ” Sฟุบหน้ากับฝ่ามือตัวเองบนพรม แล้วเริ่มร้องไห้ด้วยความกลัว ร่างกายของเขาสั่นสะท้านจนทศวรรษรู้สึกได้ที่ปลายนิ้ว ทศวรรษหยุดนิ่ง เขาปล่อยมือแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ประตู ตั้งใจจะเปิดแล้วไปเสียที่นี่ ทว่ากระจกตู้ใส่หนังสือวิบวาบที่ปลายตา เขาเหมือนเห็นรุจน์กำลังยิ้มอ่อนบาง ดวงตาเศร้าโศกพูดพร้อมน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน ...คุณทศครับผมรักคุณ ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน... โดยไม่ทันตั้งตัวทศวรรษเหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ตู้ใส่หนังสืออย่างแรง เสียงกระจกแตก เสียงร้องของS เขาฟังไม่รู้ไหนเป็นไหน ก็แค่อยากไปจากที่นี่เท่านั้น ทศวรรษหันกลับมามอง S ด้วยดวงตาล้าอ่อน

“นายต่างหาก ถ้าเกลียดกันแล้วก็ปล่อยฉันไปเสียที อย่าทำเป็นเหมือนรัก เหมือนไม่รักแบบนี้ นายไม่รู้เหรอว่ามันจะทำให้ฉันแยกไม่ออกระหว่างเป็นกับตาย” ทศวรรษยื่นมือที่เต็มไปด้วยเลือดที่กำลังหยดหลั่งราวฝนรั่ว ผืนพรมสีอ่อนเริ่มกลายเป็นวงกว้างด้วยสีแดง S รีบคลานหนีด้วยความสยดสยอง เขารนรานหาโทรศัพท์โทรเรียกรถโรงพยาบาล แต่เมื่อรถพยาบาลและความช่วยเหลือมาถึงกลับมีเพียงกองเลือดและ S ที่นั่งหน้าซีดนอกนั้นมีเพียงเฟอร์นิเจอร์หรูหราและความว่างเปล่า...
บ้านของศิลปินชาวญี่ปุ่นท่านนี้อยู่ไกลจากตัวเมืองโอซาก้ามาทางตะวันออกเกือบร้อยกิโล ลงจากชินกันเซนแล้วต้องต่อ Localอีกเกือบสี่สิบห้านาทีจาก Localต้องต่อแท็กซี่อีกเกือบครึ่งชั่วโมงจึงถึง
รุจน์หันมองเมษาปรามๆว่าตอนนี้ทั้งคู่อยู่บนรถแท็กซี่พร้อมทั้งปรายตาไปทางโชเฟอร์ เมื่อเมษาดึงไหล่รุจน์ให้เอนมาพิงกับไหล่ของตนเอง เมษายกมือยอมแพ้ กริยาทั้งหมดทำโดยปราศจากเสียง โชเฟอร์ที่ไม่รู้เรื่องราวยังคงทำหน้าที่ได้อย่างไม่สงสัย รุจน์มองออกไปนอกหน้าต่างรถ ข้างถนนเป็นคูคลองสะอาดสะอ้าน แสงแดดจัดจ้าน ดอกไม้สีสันสดสวยโบกกลีบสีล้อสายลม ผู้คนพากันมาเดินเล่นรับลม เป็นครอบครัวบ้าง เป็นคู่รักบ้าง เป็นกลุ่มเพื่อนผอง หรือแม้แต่สองเพื่อนที่กำลังเดินหยอกล้อคุยกันสนิทสนม แต่ที่ต้องตารุจน์มากกว่าอื่นใดคือคู่พี่น้องชายที่กำลังลงเล่นจับปลาในน้ำตื้นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
“นายเป็นลูกคนเดียวน่ะ รู้สึกเหงาไหม?” รุจน์ยังไม่ละสายตาจากภาพน่ารักภาพนั้นขณะเอ่ยถามเมษา

“อืม...ก็ไม่นะครับ อยู่กับพ่อแม่ตลอด ไปโรงเรียนก็อยู่กับเพื่อน ผมเป็นไข่แดง เป็นเดือนที่มีดวงดาวล้อมตลอดก็เลยไม่รู้สึกว้าเหว่อะไร คนมันดังน่ะไม่มีเวลาเหงาหรอก” เมษาลอยหน้าภูมิใจ
“เออ รู้แล้วเข้าใจอย่างมากด้วยว่าทำไม” รุจน์กลอกตาหน่าย
“แล้วผู้จัดการล่ะ ดูเหมือนคุณจะมองเด็กพวกนั้นไม่วางตาเลย”
“ฉันมีพี่ชายแต่ก็เหมือนอยู่ตัวคนเดียว เราไม่ค่อยมีเวลาแบบนั้นด้วยกันหรอก พูดให้ถูกก็คือเราไม่เคยทำแบบนั้นกันเลย” รุจน์หันกลับมาที่เมษาเมื่อรถผ่านมาแล้ว

“แบบนั้นเหงากว่าเป็นลูกคนเดียวอีกนะครับ ผมน่ะพ่อกับแม่ตายไปแล้วถึงได้รู้สึกว่าความเหงามันหน้าตาเป็นแบบไหนแล้วมันก็จู่โจมทรมานผมเลย” เมษามองออกไปนอกหน้าต่าง รุจน์สบตากับเมษา เขาเลื่อนมือมากุมมือรุจน์
“ไม่ว่าที่ผ่านมาพวกเราจะเป็นอย่างไร อย่าหันกลับไปมองมันอีกได้ไหมครับ ต่อจากนี้ไปพวกเรามาอยู่เคียงข้างกันเถอะ” เมษาเอียงหน้ามากระซิบ รุจน์มองเมษาด้วยความรู้สึกหวั่นไหว เขาไม่กล้าจะสบดวงตาซื่อตรงนั้นแม้อีกแค่อึดใจ เพราะมันอาจหลอมบางสิ่งในหัวใจเขาให้สลายหายไป รุจน์เสมองไปนอกหน้าต่าง แสงแดดเจิดจ้า ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศข้างนอกคงเย็นสบาย ช่างสมกับเป็นวันที่ดีของใครต่อใคร รุจน์เหลือบมองโชเฟอร์แล้วค่อยเอนศีรษะซบกับบ่าของเมษา มือที่กุมเปลี่ยนเป็นสานนิ้วแล้วบีบกระชับด้วยกัน

เมื่อไปถึงบ้านของศิลปินดังทั้งคู่ก็พบว่า ที่นั่นกำลังจะจัดงานปาร์ตี้ในสวน พนักงานจากบริษัทรับจัดงานกำลังสาระวนวิ่งวุ่นกันทั่วบริเวณรอบบ้านหลังใหญ่ รุจน์กับเมษาเดินตามคนรับใช้ในบริเวณทางเดินสำหรับแขกเพื่อกันไม่ให้ได้รับความวุ่นวายจากการทำงานของพนักงาน คนรับใช้หรือแม้แต่พวกบริกร เมื่อเข้าตัวบ้านทุกอย่างก็ดูราวกับถูกแยกไว้คนละโลก ภายในบ้านหลังประตูบานใหญ่เงียบเชียบและวังเวง พื้นไม้ขัดเงาทั่วบ้าน รุจน์และเมษาถูกนำเข้าไปนั่งรอที่ห้องแบบญี่ปุ่น มีประตูเลื่อนเปิดรับบรรยากาศในสวนทั้งคู่ได้รับการเสิร์ฟน้ำชาร้อนพร้อมขนมสีสวย จากนั้นคนรับใช้จึงค้อมตัวและถอยไปหลังประตูก่อนจะเลื่อนประตูปิด รุจน์มองรอบห้องจึงพบว่า ภาพที่เขาต้องการซื้อตั้งไว้บนขาตั้งอยู่กลางห้องที่ติดกันเปิดประตูถึงกันได้

รุจน์ลุกขึ้นก้าวเข้าดูใกล้ๆ ไม่ทันจะพิศมองความงามของภาพเสียงประตูเลื่อนก็ดังแผ่วเบา เมษาหันไปก็พบกับชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆในชุดกิโมโนแบบผู้ชายกำลังก้าวเข้ามาอย่างมีสง่าราศี ผมดำสนิทดั่งแพรไหมชั้นดีถูกรวบตึงปล่อยชายหางม้ายาวปานกลางไว้ด้านหลัง
“มิสเตอร์ซุงุระ ฮิโรกิ” รุจน์ก้าวเข้าไปหาเขา เมษาค้อมศีรษะทักทาย
“สวัสดีคุณรุจน์ใช่ไหม?”
“ครับ”
“เราไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะ”
“ครับ”
“ภาษาอังกฤษของผมยังแย่เหมือนเดิม” หนุ่มใหญ่ชาวญี่ปุ่นลูบท้ายทอยเก้อเขิน
“เอ่อ เพื่อเป็นความสะดวกทางฝ่ายคุณซุงุระผมได้พาผู้ช่วยมาด้วย เขาพูดภาษาญี่ปุ่นได้มันจะเป็นประโยชน์กับเราทั้งคู่นะครับ” ภาษาอังกฤษของรุจน์ดีเหลือเชื่อ เมษาแอบคิดสงสารศิลปินชาวญี่ปุ่นท่านนี้ ที่เขาพูดคงเป็นเรื่องจริง รุจน์แนะนำเมษาให้คุณซุรุงะ เมษาก็แนะนำตัวเป็นภาษาญี่ปุ่น สำเนียงและคำที่ถูกต้องของเมษาทำให้คุณซุรุงะเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจระคนพออกพอใจ


หลังจากนั้นรุจน์จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่เมษาในสื่อสารกับคุณซุงุระ คนทั้งสองดูสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
“ผมเปลี่ยนใจเลื่อนการซื้อขายไปเป็นวันมะรืนดีกว่า ผมอยากให้พวกคุณอยู่ร่วมงานกับพวกเราก่อน” คุณซุรุงะพูดขึ้นในตอนหนึ่งหลังสนทนาไปพอประมาณ เมษากับรุจน์มองหน้ากัน
“ผมจัดงานเลี้ยงขอบคุณเหล่าตัวแทนของผมจากอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ในวันพรุ่งนี้ ผมเลยอยากให้พวกคุณอยู่ร่วมงานด้วย ปกติผมจะไม่ให้คนนอกเข้าร่วมงานหรอกนะครับ แต่กรณียกเว้น”

“เอ่อ ผมคงต้องถามเจ้านายก่อน เพราะเราพักกันที่โตเกียวคิดว่าเสร็จสิ้นการซื้อขายก็จะกลับกันทันทีน่ะครับ” รุจน์พูดผ่านเมษา
“โทร บอกเธอ คุณน้ำฟ้าใช่ไหม ผมจำคนสวยๆอย่างเธอได้ บอกเธอว่าผมกำลังสนใจตัวแทนในเมืองไทยอยู่พอดี”
รุจน์นิ่งคิด ลูกค้ากระเป๋าหนักหลายคนที่เป็นแฟนตัวยงของศิลปินผู้นี้ทุกคนยอมจ่ายไม่อั้นหากเปิดประมูล หรือหากต้องซื้อตัดหน้าคนอื่น การได้เป็นตัวแทนเขาในกรุงเทพฯ มีหรือน้ำฟ้าจะพลาดโอกาสนี้

“งั้นผมขอออกไปโทรข้างนอกก่อนนะครับ” รุจน์ขอตัวแล้วออกจากห้องไป เมื่ออยู่เพียงลำพังกับคุณซุงุระ เมษาก็เดินไปดูภาพที่รุจน์เดินไปดูก่อนหน้านั้น
“สวยมากนะครับ”
“ภาพหรือตัวเธอ” ซุรุงะเดินอ้อมไปยืนตรงข้ามกับเมษา
“ผมน่ะเหรอ”
“รูปร่างเธอดีมากนะ เมษา” ซุรุงะยื่นมือจับปอยผมที่ปรกหน้าของเมษา ชายหนุ่มเบี่ยงหลบก้าวถอยกรูด

“เมื่อกี้ล้อเล่นกันใช่ไหมครับ คุณนี่อารมณ์ดีจังนะครับ” เมษายิ้มฝืดพยายามหลบตาอีกฝ่ายที่เขม้นมองจนน่ากลัว
“เปล่า ฉันมองทะลุเสื้อผ้าของเธอหมดแล้ว และคิดว่ามันจะดีแค่ไหนหากฉันได้ไว้ในมือ”
“กรุณาอย่าพูดแบบนี้ซิครับ”เมษาถอยเข้าชิดประตู พอดีรุจน์เลื่อนเปิดออก เมษาแทบจะโดดกอดเขาไว้เลยทีเดียว
“มีอะไรเหรอ” รุจน์มองสีหน้าตื่นตกใจของเมษา
“ไม่มีอะไรครับ” เมษายิ้มกลบเกลื่อนเขาไม่อยากให้รุจน์ลำบากใจ ธุรกิจยังไม่ได้ตกลงใดๆ

“คุณน้ำฟ้าว่าอย่างไร” คุณซุรุงะ ถามเป็นภาษาอังกฤษ
“เธอโอเค ครับ” รุจน์ยิ้มยินดี
“ก็ดี เรื่องที่พักไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ บ้านผมมีห้องสำรองให้พวกคุณ ยินดีต้อนรับครับ” ซุรุงะยื่นมือให้รุจน์

“ขอบคุณครับ” รุจน์ยื่นมือไปจับพร้อมทั้งยิ้ม แต่พอปล่อยมือคำถามของศิลปินชื่อดังก็ทำเอาเขาแทบหงายหลัง
“พวกคุณเป็นคู่รักกันหรือเปล่า?”
รุจน์ตาโตหันไปมองเมษา ทางนั้นไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับมา
“ล้อเล่นหรือเปล่าครับ ถ้าใช่ล่ะก็ผมขำนะครับ” รุจน์พ่นหัวเราะออกมา

“ผมขอคำตอบ” ซุรุงะกอดอกมองนิ่ง รุจน์เสยผมถอนใจก่อนตอบ
“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่แน่นอน”
เมษาขยับพิงกำแพง ซุรุงะยักไหล่แล้วออกจากห้อง ทิ้งความเงียบงันไว้ภายในนั้นราวกับไร้สิ่งมีชีวิต

ทศวรรษนั่งพิงศีรษะกับเสาบนขอบระเบียงที่เขาปีนขึ้นมานั่ง เบื้องหน้าเป็นท้องฟ้าอันไพศาล ยิ่งมองความยิ่งใหญ่ของขอบฟ้าก็อ้างว้าง ยิ่งรู้สึกตนเองนั้นไร้หนทาง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองหน้าจอแล้วก็ไร้ความคิดไม่รู้จะโทรหาใคร เขามีเพื่อนมากมาย มีคู่นอนที่เลือกแล้วเพียงไม่กี่คน แต่ทั้งหมดไม่มีใครที่อยากพูดคุยด้วยสักคน ทศวรรษหลับตาแน่นก่อนจะขว้างมือถือออกไปสุดแรง อุปกรณ์ชิ้นเล็กปลิววือออกจากมือ ครู่เดียวก็ทิ้งตัวเป็นวิถีโค้งแล้วหายไปจากสายตา ชื่อสุดท้ายที่ทำให้ทศวรรษตัดสินใจขว้างมือถือออกไปคือ รุจน์ ทศวรรษทอดสายตาสู่ฝั่งฟ้าอีกครั้ง หรือเขาต้องตายจากทุกเรื่องบนโลกนี้เสียก่อนจึงจะดับความเจ็บปวดครั้งนี้ได้ ชายหนุ่มดึงตัวเองลุกขึ้นยืนบนขอบระเบียงก้มมองเบื้องล่าง

คนที่ซุรุงะจัดมาดูแลรุจน์ และเมษา ได้พาพวกเขาเข้ามาพักผ่อนในห้องพักแบบเรียวกังที่ทางซุรุงะจัดเตรียมไว้ให้
“มีอะไรให้รับใช้ ก็กดกริ่งที่อยู่ตรงนั้น” ชี้ไปที่ปุ่มขาวข้างกรอบหน้าต่าง
“ผมจะมาทันทีครับ ไม่ต้องเกรงใจใดๆทั้งสิ้นนะครับ ซุรุงะซัง ให้ผมดูแลพวกคุณอย่างดีที่สุด” อาคาบาเนะผู้ดูแลรุจน์และเมษา บอกทิ้งท้ายก่อนค้อมตัวออกจากห้อง เมษาสอดเสื้อนอก รูดไทลงพลางเดินดูห้องอย่างสนอกสนใจ รุจน์มองตามด้วยความรู้สึกอยากพูดแก้ตัวในสิ่งที่พูดออกไป แต่พอเห็นทางนั้นออกจะไม่ค่อยสนใจเรื่องราวเมื่อครู่ก็ลอบถอนใจ มองรอบห้องแล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าโบราณ ในนั้นไม่มีอะไรนอกจากกิโมโนชาย และยูกาตะไว้ใส่นอน

“แล้วเสื้อผ้าแบบธรรมดาไม่มีเหรอนี่” รุจน์พึมพัมปิดตู้
“โห สุดยอดเลยครับ ผู้จัดการมีห้องน้ำแบบออนเซ็นไว้แช่ด้วย” เมษาโผล่หน้ามาจากมุมในสุดของห้อง สีหน้าเขาตื่นเต้นเหมือนคำพูด
“เหรอ” รุจน์ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาที่หันหน้าออกระเบียง ประตูเลื่อนเปิดรับวิวภายนอก เนื่องด้วยห้องนี้อยู่ชั้นบน นอกจากท้องฟ้ากับยอดไม้แล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใด ไม่มีสวนสวยแบบห้องที่อยู่ข้างล่าง อาคาบาเนะกลับมาอีกครั้งพร้อมทั้งเชิญเมษาไปพบซุรุงะ รุจน์ย่นคิ้วคิดว่าทางนั้นเข้าใจผิดจึงให้เมษาถามและอธิบายด้วยว่าเมษาเป็นแค่ผู้ช่วยไม่มีหน้าที่พบกับศิลปินโดยตรง

“ไม่ผิดหรอกครับ คุณท่านต้องการแบบนั้นจริงๆและนี่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงานครับ” อาคาบาเนะอธิบายด้วยกริยาสุภาพนอบน้อม เมษาถอนใจมองไปทางอื่น

“อย่างนั้นหรือ สงสัยอยากคุยกับนายต่อมั้งนะ” รุจน์หันไปทางเมษา เขายิ้มพยักหน้าก่อนจะเดินตามอาคาบาเนะออกจากห้อง รุจน์มองประตูที่เลื่อนปิดแล้วถอดเสื้อนอกก่อนล้มตัวบนโซฟา ทั้งเหนื่อยจากการเดินทาง ทั้งเมาค้าง ทั้งเพลียจากนอนดึก อาการทั้งไหลวนอยู่ในภายในจนกล้ามเนื้อทุกส่วนอ่อนตัว นอนมองเพดานครู่เดียวก็หลับไป

เมษาถูกทิ้งไว้ในห้องขนาดสิบเสื่อตาตามิ ทั้งห้องไม่มีเฟอร์นิเจอร์สักชิ้น บนพื้นกลางห้องมีเสื้อผ้าแบบกิโมโนชายวางอยู่ ใบหน้าของเมษาเครียดขึ้นเมื่อได้ยินประตูเลื่อนเปิดและปิด เขาหันไปตามเสียง
“ที่นี่เรามีแต่เสื้อผ้าแบบโบราณ ฉันเองก็มีแขก และพวกนายก็ต้องร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเขา พวกเขาล้วนแต่ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ซึ่งมันอาจสร้างปัญหาให้กับเจ้านายของนายได้ ฉันก็เลยคิดว่าจะช่วยสอนนายให้ไปช่วยใส่ให้เจ้านายน่ะ”

“ก็ให้อาคาบาเนะซังสอนพวกเราก็ได้ครับ” เมษาค้อมตัวยิ้มแบบไม่เต็มกลีบปาก
“ฉันอยากสอนนายด้วยตัวเองนี่นา พวกนายเป็นวีไอพีของฉันนะ” ซุรุงะเอียงคอพลางก้มลงหยิบกิโมโน
“รู้สึกเป็นเกียรติจังครับ” เมษากลืนน้ำลายเมื่อซุรุงะเดินเข้ามาใกล้
“ถอดเสื้อผ้าออกซิ ไม่งั้นจะใส่เจ้านี่ได้ไง” ซุรุงะยื่นกิโมโนที่พับเรียบร้อยตรงหน้าเมษา

“อะไรนะครับ”
“ถอดเสื้อผ้า”ซุรุงะพูดเป็นภาษาแบบสั่ง “หรือจะให้เจ้านายของนายมีปัญหากับฉันดี”
“เล่นแบบนี้เลยหรือ” เมษาจ้องกร้าว แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่ยี่หระที่จะสบตาจริงจัง เมษาพ่นหายใจแรง ดึงไทด์ออก ปลดกระดุมเสื้อ ถอดคว้างลงกับพื้น จากนั้นปลดเข็มขัด รูปซิป ถอดกางเกงเหลือแค่อันเดอร์แวร์ เขายื่นมือออกไปหมายจะดึงกิโมโน แต่ซุรุงะเบี่ยงหลบ

“เมื่อฉันบอกว่าสอน ฉันจะเป็นคนใส่ให้เอง แบบชิ้นต่อชิ้นไม่ให้ผิดที่ทางให้อายคนอื่น คนพวกนั้นน่ะรู้ขั้นตอนการใส่อย่างดี มีตรงไหนผิดสักน้อยนิดเขาก็มองออก และเจ้านายของนายก็จะขายหน้านะ” ซุรุงะทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าเมษา ใบหน้าของเขาตรงกับกลางลำตัวของเมษา
“รูปร่างดีอย่างที่คิดไว้จริงๆ นายนี่ใส่อะไรก็สวยนะ” ซุรุงะยื่นมือออกมา เมษาไม่ได้ขยับหลบ เขาเพียงเปล่งเสียงต่ำเน้นคำต่อคำ
“อย่า แตะ ต้อง เป็น อัน ขาด ”


ซุรุงะยืดตัวยืนขึ้นความสูงของเขาเป็นต่อเมษาอยู่บ้าง เขาเลิกคิ้วมองเมษา เดาะลิ้น จากนั้นก็พยักหน้ามองกำแพงด้านหลังเมษา
“นายนี่ใช้ได้นะ”
“มาทำธุระของคุณให้เสร็จดีกว่า ผมต้องกลับไปดูแลเจ้านาย” เมษาสบตาอย่างไม่เกรงใจ
“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่เห็นเขาเป็นแค่หัวหน้า แล้วเขาล่ะ?” ซุรุงะก้าวเข้าประชิดตัวเมษา
“มันเรื่องของผม แล้วก็เรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับคุณ เราแค่ซื้อขายภาพไม่ใช่หรือครับ?”ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเช่นเดียวกับดวงตาที่จ้องกลับซุรุงะ

“ก็ดี” ซุรุงะคลี่กิโมโนออก เดินไปคลุมให้เมษาด้านหลัง
“นายอยากอยู่กับฉันไหมล่ะ” เขายื่นหน้ากระซิบข้ามไหล่มากระซิบข้างใบหน้าของเมษา
“หึๆ”เมษาหันใบหน้ามาเผชิญกับเขา
“ว่าไงล่ะ ฉันร่ำรวย ฉันมีชื่อเสียง นายอยากได้อะไร นายก็มีได้ทุกอย่าง”
“เหรอฮะ แล้วผมต้องทำอย่างไรหรือ นอนกับคุณ?” เมษาสอดแขนลงแขนเสื้อ ซุรุงะที่เริ่มแต่งตัวให้เมื่อได้ฟังคำก็หัวเราะก๊ากออกมา เขาไม่ได้ต่อความยาวยืดพูดอะไรอีก ไม่นานชุดกิโมโนของเมษาเรียบร้อย ซุรุงะขยับถอยมาพิจารณา ทว่าจู่ๆอารมณ์ของสีหน้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงราวเกิดแผ่นดินไหว ซุรุงะรี่เข้ามาคว้าแขนของเมษาดึงเข้ามากอดแน่น เมษาเมื่อหายตะลึงก็ขยับหนี

“ปล่อยนะ คุณทำอะไรแบบนี้น่ะ” เมษาดิ้นรนในอ้อมแขนของซุรุงะ ยิ่งดิ้นยิ่งถูกรัดแน่น เมษาหอบหายใจรัว ตกลงเจ้าบ้ากามนี่ มันเป็นศิลปินวาดภาพจริงเหรอ เขาคิด ศิลปินที่จับพู่กัน จับแปรงปัดสี ชื่นชมงานศิลป์ เอาแรงราวช้างสารแบบนี้มาจากไหนกันนะ
“อยู่เฉยๆนะ” ซุรุงะตวาด
“คุณหยุดทำบ้าๆซิ” เมษาตะโกนใส่หน้า ซุรุงะดันเมษาไปชิดกำแพงเลื่อนมือไปกอดลำคอของเมษาแน่นหนา แล้วประกบปากจูบปากอิ่มเอบของเมษา เมษาส่งเสียงอู้อี้ในคอ พอซุรุงะปล่อยเมษาก็ทรุดพิงกำแพงหอบหายใจ ดวงตาแข็งมองอย่างโกรธจัด มือเงื้อกำหมัดแน่นจนข้อซีด อยากเหวี่ยงให้เต็มแรงแต่พอคิดถึงรุจน์ ถ้าเขาทำ ถ้าผู้ชายคนนี้หมอบคาหมัด งานของรุจน์จะเป็นอย่างไร น้ำฟ้าต้องโกรธรุจน์แน่ ไอ้ศิลปินน่ารังเกียจนี่คงไม่พูดเรื่องจริงที่ว่าถูกอัดเพราะลวนลามพนักงาน ของคู่ค้าขายแน่นอน แล้วก็ให้กำปั้นของเมษาสั่นเทา

“ไปกับฉัน” ซุรุงะคว้าแขนของเมษาดึงให้เดินออกจากห้องไปกับเขา กิโมโนที่ไม่คุ้นเคยทำให้เมษาล้มลุกคลุกคลาน
“ปล่อยนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้ คุณมันน่ารังเกียจ จะพาผมไปไหน” เมษาโววายไปตามโถงทางเดิน
“ไปที่ห้องของฉันน่ะสิ” ซุรุงะลากเมษาที่แม้จะพยายามดึงมือกลับแค่ไหนก็สู้แรงไม่ไหว ถึงห้องเขาเลื่อนประตูแล้วผลักเมษาเข้าไป อาคาบาเนะที่เฝ้ามองจากสุดทางเดินได้แต่ถอนใจ
“คุณท่านครับ”

รุจน์สะดุ้งผุดลุกขึ้น หายใจระรัว
“คุณทศ” เขารีบตะกายไปที่กระเป๋าใส่เอกสาร รีบร้อนเปิดกระเป๋าหยิบมือถือขึ้นมากดมือสั่น ทว่าทำอย่างไรก็ติดต่อไม่ได้ไม่สัญญาณใดๆตอบกลับมานอกจากโอเปอเรเตอร์บอกว่ายังติดต่อไม่ได้ รุจน์หมดแรงนั่งนิ่งเนิ่นนาน น้ำตาหยดใส่มือที่ถือโทรศัพท์
“อย่าทำให้ความฝันกลายเป็นเรื่องน่ากลัวไปซิครับคุณทศ”
รุจน์พยายามกดมือถือครู่ใหญ่ค่อยรู้สึกตัว หันมองรอบห้องไม่พบเมษาจึงเรียกแต่ไม่มีเสียงตอบกลับ เขาเดินไปดูที่ห้องน้ำแต่ก็นึกได้ว่า เมษาไปพบซุรุงะ เงยมองนาฬิกาบนผนังก็ให้แปลกใจ สองชั่วโมงแล้วมีอะไรคุยกันมากมายขนาดนั้น

ไม่ทันจะคิดทำอะไรต่อ ประตูก็เลื่อนเปิดออก เมษาเดินเข้ามาเขายิ้มทักทายเจื่อนๆ
“ขอโทษครับนานไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเผลอหลับไปด้วยน่ะ” รุจน์หลบหน้าปาดน้ำตาทิ้ง เขารู้สึกแปลกที่ปลายตาจึงหันกลับมา
“นายใส่กิโมโนเป็นด้วยหรือ”
“คุณซุรุงะสอนน่ะครับ”เมษาเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบยูกาตะสำหรับสวมอาบน้ำมาวาง แล้วแกะผ้าคาดเอวจากนั้นจึงเปลื้องชิ้นต่อๆไป
“เขาบอกว่า เราต้องใส่อยุ่ที่นี่ตลอดเพราะแขกของเขาใส่ทุกคน ที่เขาเรียกผมไปก็เรื่องนี้ล่ะครับ ผมจำได้แล้วล่ะวิธีการใส่ ผมจะสอนผู้จัดการเอง” เมษาสวมยูกาตะหลังถอดกิโมโนออกแล้ว รุจน์กดโทรศัพท์ในมืออีกไม่ได้สนใจฟัง

“เราแช่น้ำอุ่นด้วยกันไหมครับ” เมษาย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้าข้างรุจน์ ส่งยูกาตะสำหรับใส่อาบน้ำให้
“ นายตามสบายเลยนะ” รุจน์รับชุดมาวางบนตัก
“จะว่าไม่กล้าแก้ผ้าต่อหน้าก็ไม่น่าใช่ เราเห็นของกันและกันแล้วนี่นา” เมษาทำปากยื่น รุจน์เลยหยิบชุดตัวเองปาใส่เขา
“โอเคๆ ผมอาบก่อนก็ได้ แต่ผู้จัดการเร็วหน่อยนะ นี่ใกล้เวลาดินเนอร์แล้ว”
รุจน์พยักหน้า พอเมษาลับกาย เขาก็กดมือถืออีกทุกอย่างลงเอยเหมือนเดิม รุจน์กำโทรศัพท์ไว้กับอก
ในห้องน้ำเมษาถอดเสื้อคลุมเดินลงแช่น้ำร้อนได้ก็รับวักน้ำล้างหน้า ถูปากแรง จนริมฝีปากแดงเจ่อ เขาทรุดตัวลงในน้ำ หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาวางปิดหน้าแต่สุดท้ายก็ดึงออกปาทิ้ง ดวงตาที่จับนิ่งที่เพดานครุ่นคิดเหม่อลอย

รุจน์ถอดใจที่จะกดโทรศัพท์ต่อ
ศีรษะเขาค้อมต่ำจ้องเสื่้อตาตามิ ที่จริงแล้วเขาก็น่าจะรู้ดีมาตลอดว่าทศวรรษเป็นคนพูดจริงทำจริง เพราะพูดว่าเลิกกันแล้ว ย่อมหมายถึงอย่ามาให้เห็นหน้า อย่าติดต่อทางใดทางหนึ่ง อย่าแม้กระทั่งคิดถึงแม้เพียงน้อยนิด รุจน์ยิ้มอ่อนล้ากับตัวเองขณะเก็บมือถือใส่กระเป๋า ความฝันก็คือความฝัน ไม่มีอะไรจริงจังมากกว่าบ้าบอไปเอง ทศวรรษยังสบายดีกับการรักใครสักคนอย่างมุ่งมั่น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาสักหน่อย รุจน์ลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าแล้วหยิบเสื้อคลุมมาสวม เหม่อลอยก้าวเนิบนาบเข้าไปในห้องน้ำโดยลืมว่าจะใช้ต่อเมื่อเมษาเสร็จออกมาแล้ว

เมษาขยับหันมองตาเสียงประตู เห็นรุจน์ก้าวมาแล้วถอดเสื้อคลุมเผยสัดส่วนเปลือยเปล่าก็จับตามองอย่างไม่วางตา แต่พอสายตาสะดุดกับสีหน้าและแววตาหม่นของรุจน์เขาก็ต้องลอบถอนใจแล้วเบนสายตาออกไปที่วิวทิวเขาและหมู่แมกไม้อันตระการตานอกประตูที่เปิดรอบทิศทาง คิดว่าอย่างไรเสียถ้ารุจน์เห็นเขาคงตกใจแล้วออกไปเอง สำหรับเขาแค่ไม่ขยับตัวรุจน์ที่กำลังอยู่ภวังค์คิดถึงคนอื่น ดีที่สุดก็อาจเห็นเป็นแค่ของสักชิ้น ย่ำแย่ทำร้ายจิตใจกันมากกว่านั้นรุจน์อาจมองไม่เห็นอะไรในห้องนี้เลย เขาก็เป็นธาตุอากาศที่อยู่รอบๆตัวไม่ได้มีความหมายมากกว่านั้น เมษาเลื่อนตัวไปเกาะขอบบ่อออนเซ็นอีกด้านที่ติดกับทิวทัศน์ด้านนอก ดีที่สุดในยามนี้คือปล่อยให้รุจน์ได้อยู่กับตัวเอง เขาไม่รู้หรอกว่ารุจน์เจอกับอะไรมา อย่าคิดว่าน้ำตาเมื่อครู่เขาจะไม่เห็นนะ

แต่ก็นั่นล่ะนะรุจน์ก็คงไม่ต้องการคำปลอบโยนจากเขา เมษาวางศอกกับขอบบ่อแล้วสานมือรองคาง ด้านหลังได้ยินเสียงจ๋อมแจ๋ม รุจน์คงลงแช่ตัวแล้ว เมษาลดตามองนิ้วตัวเองเนิ่นนาน ครู่ใหญ่ก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ใต้น้ำ ที่เอวของเขากำลังสัมผัสกับอ้อมกอดจากด้านหลัง ไหล่กว้างและแผ่นหลังสัมผัสแนบแน่นกับผิวเนื้อละเอียดของลำตัวและหน้าอกของผู้ที่อยู่ด้านหลัง ใบหูและลำคอกำลังแนบสนิทกับผิวหน้าสะอาดที่กำลังซบนิ่ง

“ผู้จัดการฮะ” เมษาปล่อยแขนจากขอบอ่าง
“ฉันฝันร้ายและกลัวว่ามันจะเกิดเรื่องไม่ดีกับเขา แต่ฉันติดต่อเขาไม่ได้ ฉันลืมไปจริงๆเราเลิกกันแล้ว เขาบอกว่าเขาไม่อยากให้ฉันไปเกี่ยวข้องกับเขา เขาอยากอยู่กับรักของเขา ฉันเจ็บมากๆเลยนะ ฉันอยากลืมให้ได้ แต่ฉัน....ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้วเมษา ฉันเกลียดตัวเองจริงๆที่เป็นแบบนี้ กี่ปีฉันก็ยังยืนที่เดิม ตรงที่มันรกร้าง สกปรก เก่าโทรม ไม่มีใครต้องการจริงๆจังๆหรอก ไม่มีใครต้องการขยะอย่างฉันหรอก ทำไมฉันไม่สำเหนียกสักทีก็ไม่รู้” รุจน์ถอยใบหน้าที่แผ่นของเมษา ผิวกายที่สัมผัสกันอย่างตรงไปตรงมาทำให้เมษาต้องอดกลั้นเป็นอย่างมาก

“อย่าดูถูกตัวเองซิครับ ผู้จัดการน่ะ สำหรับผมแล้ว คุณสุดยอดมากเลย ผมไม่ได้เห็นคุณเป็นขยะ ผมชอบคุณมากนะ” เมษาจับมือรุจน์ที่กอดเขา
“ทั้งที่เขาไล่อย่างกับหมา ทั้งที่เขาขอเลิกไปแล้ว แต่ฉันก็ยังอยากติดต่อกับเขา อยากได้ยินเสียงของเขา อยากให้เขาพูดว่าสบายดี”
เมษาถอนใจ ดูเหมือนรุจน์จะไม่ได้ฟังที่เขาพูดสักนิด หากคุณเอาแต่ปิดป้องบาดแผลใครจะทายาสมานให้ได้ล่ะครับ คุณรุจน์ เมษาคิดเพียงลำพังขณะมองออกไปภายนอก

“อยากให้เขาพูดใส่หน้าแรงๆว่า ฉันเกลียดนายที่สุด อย่าให้เห็นหน้าอีก เผื่อฉันจะได้สติบ้าง แต่เขาก็ไม่ยอมพูด ”
เมษาหันขวับกลับมาจ้องใบหน้าสวยเศร้าของรุจน์ รุจน์พริบตางงงวยราวเด็กไร้เดียงสาที่ไม่ทราบว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไป เมษาหายใจขัด เขาพูดกุกกัก
“อย่าไปยุ่งกับเขาสิครับ เขาไม่อยากได้คุณแล้ว จะตื้อเขาไปทำไม คุณค่าของตัวเองคนเรามีกันทุกคนล่ะครับ ผมก็เพิ่งเห็นคุณนี่ล่ะที่มัวเอาแต่ทำลายคุณค่าตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ไม่เข้าใจคุณจริงๆ ที่จริงคุณจะกลับมาเป็นคนเสียก็ได้หากคุณเลือกที่จะทำ แต่นี่คุณกลับเลือกที่จะเป็นขยะในสายตาของเขา คุณยินดีจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปหรือครับ” เมษาจะพูดต่อแต่ใบหน้าก็สั่นวูบ รู้สึกชาเมื่อใบหน้าถูกฝ่ามือของรุจน์ฟาดเต็มที่

“นายเป็นคนที่ฉันคิดว่าจะไม่ดูถูกฉัน” รุจน์กัดปากแน่นหลังพูดจบแล้วหันหลังเดินขึ้นจากน้ำ เมษาลูบหน้าตัวเอง แล้วต้องยกมือยอมแพ้
“ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้รุนแรงเหลือเกิน ทั้งที่เราเพิ่งพบกันไม่นาน ผมชอบคุณมาก ผมอยากกอดคุณ แต่ผม... ไม่รู้สิ กลัวความว่างเปล่าในดวงตาของคุณเวลาที่คุณทำเหมือนว่าคุณเองก็มีใจ”

รุจน์สวมเสื้อคลุมลวกๆก้าวออกมาจากห้องน้ำ คำพูดของเมษาก้องในหู เหลือบกระเป๋าตัวเองแล้วทรุดนั่งกับพื้น หัวใจรู้สึกดิ้นพล่านเร่าๆราวถูกกรีดด้วยมีด เมษาที่เขาคิดว่าจะอ่อนโยน คำปลอบโยนที่น่ารักของเขา คำพูดอันน่าฟังที่เขาอยากได้ยินซ้ำๆไม่ว่าเขาจะพบเจออะไรมา เมษาคนที่เขาคิดว่าไม่มีวันพูดจาหักหาญทำร้ายเขาเหมือนคนอื่น เป็นดั่งตะวันอบอุ่นที่อยู่เคียงข้างยามเขาหนาวเหน็บ ที่แท้ก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น เขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มช่างฝัน คารมดี ความอดทนอดกลั้นน้อยคนหนึ่ง หรือที่จริงไม่เกี่ยวใดๆเมษา สิ่งที่เด็กหนุ่มพูดแท้จริงคือเสียงสะท้อนจากก้นบึ้งของ... รุจน์สะอื้นฮั่กออกมา ...ของบ่อลึกในใจของตนเอง..

“ผมไม่ได้ดูถูกผู้จัดการนะครับ” เมษาตามมาคุกเข่านั่งข้างๆ
“เลิกเสแสร้งเสียที” รุจน์ปาดน้ำตาพูดด้วยน้ำเสียงชาเย็น
“ที่ทำให้ฉันหวั่นไหว มาตลอดนี่ก็เพียงเพื่อได้นอนกับฉันใช่ไหม” รุจน์ถอดเสื้อคลุมออกแล้วขยับเข้าหาเมษา ถอดเสื้อคลุมของเมษาออกแล้วเริ่มจูบเมษาที่ปาก แล้วดึงเมษาลงนอนด้วยกัน รุจน์แยกเข่าออกแล้วดึงเมษาตัวแทรกเข้าระหว่างกลาง เมษาได้สติแล้วยันตัวลุกขึ้น คว้าเสื้อคลุมมาใส่หยิบผ้าคาดมาผูก

“นี่คือสิ่งที่คุณเข้าใจเกี่ยวกับผมหรือ” เมษาพูดเรียบนิ่ง ใบหน้าที่เคยมีแต่รอยยิ้มอบอุ่นกลับชืดชา ดวงตาไร้ความเร่าร้อนอันใดนอกจากเวิ้งว้าง
“คุณอยู่กับสิ่งที่คุณอยากทำไปเถอะผมขอตัวก่อน” เมษาเดินออกจากห้องไป รุจน์ลุกขึ้นชันเข่านั่ง ก้มหน้าซบกับเข่ามือปัดกระเป๋าออกห่างจากตัว ข้างนอกเมษาพิงตัวกับประตูก่อนจะรูดตัวลงนั่ง เงยหน้ามองเพดาน เขาละทิ้งรุจน์ในตอนนี้ไปได้จริงๆหรือ ความรู้ชอบรุนแรงนี้จะทำอย่างไรดี เมษากอดเข่าตัวเองแน่น ที่มุมทางเดินซุรุงะกำลังมองเมษาอย่างเงียบเชียบและใช้ความคิด

รุจน์รีบวิ่งไปเปิดประตูด้วยกำลังรู้สึกผิด เขาคิดว่าหากเมษากลับมาจะรีบขอโทษที่จู่ๆเขาก็เกิดบ้าจนเสียเรื่อง เด็กคนนั้นไม่ได้รู้เรื่องอันใดด้วยทั้งนั้น เขาน่ารัก ใจดี อ่อนโยน กับรุจน์มาแต่พบหน้ากันครั้งแรกจนวินาทีที่รุจน์ต้องการความช่วยเหลือแบบเห็นแก่ได้ของตนเอง เขาก็ไม่รีรอที่หิ้วกระเป๋าใบเล็ก แถมด้วยต้องนั่งคุดคู้ในเครื่องบินเที่ยวฉุกเฉินเพื่อติดตามรุจน์มาถึงที่นี่ ไม่ว่ารุจน์จะอยู่ที่ไหนเขาจะอยู่เคียงข้างคอยกระซิบคำแสนดีให้รุจน์ได้ฟัง ได้ชื่นใจ แต่ผลตอบแทนที่รุจน์ให้เขาคือ คำปรามาสต่ำทรามอย่างที่ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนกล้าพูดกับเด็กดีแบบนั้น รุจน์รู้สึกคลื่นไส้เมื่อคิดว่าเพราะตนเองเริ่มต้นผูกพันธ์กับคนบางคนด้วยเซ็กส์ใช่ไหม ถึงได้มองสัมพันธ์ของคนอื่นเปรอะเปื้อน บิดเบี้ยวไปหมด

“สวัสดียามเย็นครับ คุณรุจน์ ผมมาช่วยแต่งตัวให้ครับ ใกล้มื้อค่ำแล้ว” อาคาบาเนะโค้งตัวในมือชุดกิโมโนสีน้ำเงินเข้มพร้อมสายคาดสีขาว
“เอ่อ ผู้ช่วยผมจะช่วยผม...” รุจน์ผิดหวังที่ไม่ใช่เมษา
“คุณเมษาคงจะรอคุณที่ห้องอาหารเลยน่ะครับ” อาคาบาเนะค้อมตัวเมื่อเดินผ่านรุจน์เข้ามาให้ห้อง รุจน์มองออกไปด้านนอกห้องอย่างแปลกใจ





Create Date : 12 ตุลาคม 2554
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2555 19:20:18 น.
Counter : 220 Pageviews.

0 comment
Body Talk (BL) บทที่ 7
บทที่ 7

วุฒิผายมือให้ทศวรรษนั่งข้างน้ำฟ้าที่กำลังพุ่มมือไหว้ แต่ทศวรรษกลับทิ้งตัวลงนั่งข้างรุจน์ รุจน์อึดอัดทศวรรษนั่งด้านนอกนั่นเท่ากับปิดทางออกของเขา ด้านในทำให้รู้สึกเหมือนถูกอัดติดมุม อีกอย่างวุฒิอยากให้ทศวรรษนั่งกับน้ำฟ้า สองพี่น้องทำหน้าเก้อครู่หนึ่งแล้วจึงเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง
“นี่ตั้งแต่น้องฟ้าของฉันมารับช่วงนายไม่มาที่ร้านเลย หมายความว่าไงวะ รังเกียจน้องฉันมากหรือไง อย่าทำแบบไอ้ S นะ หนีไปหมั้นเฉย เหลือนายคนเดียวแล้วนะที่ฉันจะฝากความหวัง” วุฒิที่ออกอาการกึ่มจ้องหน้าทศวรรษ
“พี่วุฒิคะ มันแค่คำพูดทีออกมาจากความคิดเด็กๆ” ใบหน้าน้ำฟ้าระเรื่อ รุจน์ลอบมองอย่างสนใจ หล่อนเมาแล้ว หรือเขินอายกันแน่

“งานฉันมากขึ้นทุกวัน สามปีกับ หกโครงการ ทั้งไทย เอเชีย อเมริกา และ ยุโรป เลยไม่มีเวลาว่างกับงานศิลป์เท่าไหร่” ทศวรรษยิ้มนิ่ง ยื่นมือหยิบผ้าขนหนูเช็ดมือที่พนักงานเสริ์ฟนำมาให้คลี่ออกเช็ดมือ ขณะที่รุจน์พยายามคิดถึงเรื่องอื่นอย่างเช่น เขาไม่ค่อยชอบไปญี่ปุ่นเท่าไหร่เพราะภาษาอังกฤษใช้ไม่ค่อยได้ผลในบางที่ หรือ ดับไฟในร้านหมดแล้วหรือยัง แล้วรถที่จอดไว้ล่ะกดรีโมทล็อคหรือยัง พยายามเห็นเหความสนใจไปทางอื่นเท่าที่พึงทำได้ในตอนนี้ ทว่าสุดท้ายใจของเขาก็กลับมาที่เดิม

“พี่ไม่ได้อะไรกับฟ้าอย่างที่วุฒิมันพล่อยพูดออกมาเลยนะ” ทศวรรษวางผ้าพร้อมทั้งโน้มตัวไปพูดใกล้กับน้ำฟ้า หล่อนสบตาเขาแล้วยิ้มออก รุจน์พ่นหายใจรีบหันไปทางอื่น
“แต่พี่ก็อุดหนุนเราตลอดนี่นา ไม่ได้บอกไอ้คุณพี่ชายหรือไง”
“บอกว่ะ แต่ฉันอยากให้นายโผล่ไปให้กำลังใจน้องบ้าง” วุฒิรีบพูดแทรก น้ำฟ้าหัวเราะ ดวงตาเป็นประกายของหล่อนจับจ้องแต่ทศวรรษ เขาเองก็มองไม่วางตา ทั้งสามคนต่างพูดคุยกันถึงแต่ความหลังอันเป็นเรื่องที่รุจน์ไม่มีวันเข้าใจ รุจน์หยิบแก้วไวน์มาดื่ม รสชาติแย่จนอยากพ่นพรวดออกมา ขวดราคาเป็นหมื่น ตั้งราคาไร้ยางอายอย่างนี้ได้อย่างไร รุจน์ดื่มอีกอึก.....แย่ๆๆ เขาคิดกับรสชาติของไวน์ที่ดื่มไปแล้วถึงสองแก้วอย่างไม่รู้สึกอะไรในตอนแรก หรืออันที่จริงแล้วเขาคิดกับการที่เขาอยุ่ตรงนี้แบบสงสัยว่า ตกลงตัวเองเป็นธาตุอากาศ หรือเฟอร์นิเจอร์ประดับห้องกันแน่ ถึงรู้สึกแปลกแยก นี่ต่างหากที่แย่จริงๆ รุจน์วางแก้วแล้วขยับลุก

“อ้อๆ นี่ๆ ลืมไปเลย คนขายคนโปรดของนายไง เขามาด้วย รุจน์ยังไม่ทักทายลูกค้ารายใหญ่ของนายเลย” วุฒิพูดพร้อมทั้งหันมาทางรุจน์ ทุกคนเลยหันมาทางเขา น้ำฟ้ายังยิ้ม แต่ยิ้มและดวงตานั้นเป็นของเขาแล้วในตอนนี้ ส่วนทศวรรษนั้นมองด้วยสายตาว่างเปล่า รุจน์ค้อมตัวพุ่มมือไหว้ ทศวรรษรับไหว้เฉยเมยทั้งสีหน้า ดวงตาและท่าทาง
“รุจน์มีอะไรหรือคะ” น้ำฟ้ามองเขาที่ลุกขึ้น รุจน์มองทศวรรษอย่างเกรงใจก่อนพูดว่า
“ผมขอไปห้องน้ำครับ”
“เอาสิ” ทศวรรษขยับหลบ แต่ไม่ลุกให้ รุจน์มองช่องแคบๆที่เขาเว้นให้ อย่างเซ็งหัวใจ อย่างนั้นใครจะผ่านไปได้

“เอ่อ” รุจน์เม้มปาก เขาแสดงท่าว่ามันแคบไปเขาผ่านไปไม่ได้ ทศวรรษยักไหล่แล้วขยับอีกนิด คิ้วเข้มของเขาเลิกสูงเชิงถามว่าพอมั้ย? รุจน์ถอนใจแล้วก้าวผ่านออกมา ขาของเขาเบียดกับเข่าของทศวรรษ อีกฝ่ายจึงยื่นมือมาจับ รุจน์หันไปมอง ทศวรรษจับให้เขาหยุดก้าวก่อน จากนั้นลุกขึ้นจากที่นั่งให้รุจน์ก้าวผ่านไปอย่างสะดวก รุจน์ก้มหน้ารีบก้าวผ่านออกไปแล้วจึงหย่อนตัวลงนั่ง
“นี่ๆมาคุยถึงเรื่องนายS กันต่อดีกว่า” เสียงวุฒิที่แว่วลอยตามหลังรุจน์ ทำให้เขาต้องรีบออกมาจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
รุจน์พยุงตัวกับกำแพงอย่างหมดแรง ริมฝีปากเผยอหายใจเร็ว เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดหน้า ความพลุกพล่านในร้านไม่อยู่ในมโนห้วงลึกภายในของเขาเลยสักนิด เขารู้สึกราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆโดยไม่มีสาเหตุ รุจน์สูดหายใจพร้อมยืดตัวตรง เขาบอกตัวเองให้ตั้งรับกับสภานการณ์ให้ได้ ทศวรรษช่างทำได้อย่างกับไม่เคยมีเขาในชีวิตของเขาเลย รุจน์ค่อยก้าวเท้าเดินอย่างเชื่องช้า ตรงหน้าราวกับภาพขาวดำที่ไม่มีชีวิตชีวา แต่ละการเคลื่อนไหวของทุกคนและสรรพสิ่งดูเลื่อนลอยคล้ายไม่ใช่เรื่องจริง รุจน์เซไปพิงกำแพงอีกครั้งพร้อมๆกับความเคลื่อนไหวบางอย่างก็วูบผ่านเข้ามาในสายตา

ร่างสูงใหญ่ราวนักกีฬาในชุดพนักงานเสริ์ฟ รอยยิ้ม ดวงตารีเรียวประกายสดใส รุจน์พริบตาพร้อมยันตัวออกจากกำแพง ใบหน้าเป็นมิตรด้วยรอยยิ้มนั้นกำลังพูดคุยกับลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติชาวเอเชีย คล้ายๆกำลังอธิบายเมนูที่ลูกค้าท่านนั้นสนใจอย่างละเอียด เขาจดรายการลงในสมุดในมือ จากนั้นจึงโค้งกายอย่างนอบน้อมแล้วก้าวผละออกมา รุจน์รีบหันไปหลังแต่คงจะช้ากว่าเขา ได้ยินเสียงของเขาใกล้เข้ามา
“คุณนั่นเอง” เมษาวิ่งเข้าดักหน้า

“ใช่ นายทำงานที่นี่เหรอ” รุจน์ฝืนยิ้ม เขาทำให้มันเป็นธรรมชาติตอนนี้ไม่ได้หรอก
“ครับ พาร์ทไทม์น่ะครับ ผมขอขอบคุณอีกครั้งนะเรื่องงาน” เมษาโค้งตัวสุดขีด เงยหน้ามองรุจน์แล้วหยุดยิ้ม เขายื่นมือมาจับแขนรุจน์
“คุณไม่สบายหรือครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมกำลังหาห้องน้ำอยุ่”
“คุณเมาหรือครับ”
“คงอย่างนั้น”

“งั้นรอผมสักครู่นะครับ ผมเอาออร์เดอร์ส่งครัวแล้วจะกลับมานะครับ” เมษาดึงแขนรุจน์เบาให้ตามไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่มุมสุดทางเดินแล้วรีบวิ่งไปอีกทาง ครู่เดียวเขาก็กลับมาหารุจน์
“อยากอาเจียนน่ะสิครับ มาผมพาไปห้องน้ำ” เมษาสอดแขนเข้าที่เอวของรุจน์ มืออีกข้างจับมือรุจน์ไปไว้บนบ่าของบ่าแล้วพยุงให้ลุกขึ้น
“ค่อยลุกนะครับไม่งั้นหัวจะหมุน” เมษากระชับวงแขนที่เอวของรุจน์ ทางเดินไปห้องน้ำไม่พลุกพล่านเหมือนในร้าน อาจเป็นเพราะทุกคนกำลังสนุกกับการดื่มกิน ทางเดินจึงค่อนข้างเงียบ มีคนเดินเข้าออกไม่มากเท่าไหร่

“ใจเย็นๆนะครับ หายใจเข้าออกลึกๆนะครับ” เมษาพูดแล้วก็หัวเราะออกมา
รุจน์เงยหน้ามองเขาสงสัย
“นายหัวเราะอะไร”
“ผมขำตัวเองน่ะครับ พูดแล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าคุณเมาอยู่ไม่ได้จะคลอดลูกสักหน่อย ที่พูดไปเมื่อครู่มันเหมือนหมอตำแยพูดกับคนคลอดลูกเลย” เมษาพูดไปหัวเราะไป รุจน์อมยิ้มขันไปด้วย เขามองเมษาแล้วคิดถึงภาพวาดทุ่งทานตะวันที่เคยเห็นในแกลลอรี่ ทุกกริยาอาการของผู้ชายคนนี้ช่างเจิดจ้าเบิกบานราวตะวันในฤดูร้อน ราวประกายดวงดาราในคืนเดือนมืด เขาเป็นดั่งสายลมอุ่นอันแปลกประหลาดที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างในวันที่หนาวเหน็บ

รุจน์รู้สึกล่องลอย ไม่เข้าใจ ได้แต่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของร่างกายของตัวเอง เขาเบียดซุกใบหน้ากับไหล่ของเมษา สองมือเคลื่อนเชื่องช้าเข้าโอบเอวของอีกฝ่าย สองมือของเมษาปล่อยจากรุจน์ เอนตัวมองรุจน์ราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์
“อย่าพูดอะไร อย่าเพิ่งไปไหนอยู่แบบนี้กับผมสักพักนะ” รุจน์กอดเมษาแน่น เมษามองทางว่างเปล่าที่กำลังไร้เงาผู้คนแล้วพยักหน้า เขาพิงตัวกับกำแพงครู่ใหญ่จึงค่อยๆยกมือขึ้นโอบกอดรุจน์
“ตกลงครับ ผมจะอยู่กับคุณ” เมษากระซิบพลางเอนศีรษะแนบกับเส้นผมของรุจน์

ที่โต๊ะในห้องวีไอพี วุฒิ น้ำฟ้า ต่างคุยกันอย่างสนุกสนาน ทศวรรษรินไวน์ให้น้ำฟ้า วุฒิ และตัวเอง วุฒิเรียกให้ชนแก้ว เขา และน้ำฟ้ายกขึ้นชนด้วย ขณะปล่อยน้ำสีเข้มไหลลงคอทศวรรษก็ปรายตามองไปทางประตูที่รุจน์ก้าวออกไปเมื่อครู่

รุจน์ผละออกจากอ้อมแขนเมษากระทันหัน เขากล่าวขอโทษด้วยเสียงอันเบาบาง
“คุณโอเคแล้วนะฮะ” เมษาไม่มีวี่แววสงสัยใดนอกจากความเป็นห่วง
“ครับ” รุจน์ก้มหน้าด้วยรู้สึกขายหน้าที่เผลอตัวกับคนที่ไม่รู้จัก
“งั้น ผมกลับไปทำงานต่อ....” เมษามองดูทีท่าของรุจน์ คอยระวังกลัวว่ารุจน์จะเซล้ม
“อื้ม...ผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ขอบคุณมาก” รุจน์รีบหนีหน้าเข้าห้องน้ำ เมษามองงงเกาหัวแกรกก่อนจะหันหลังกลับเดินไปในทางของตัวเอง

รุจน์ถลันไปที่อ่างล้างหน้าเปิดน้ำล้างหน้า มองตัวเองในกระจกแล้วหลับตาทำอารมณ์ให้คงที่อย่างเร็วแล้วจึงออกจากห้องน้ำ เดินผ่านตรงที่พบกับเมษาเมื่อครู่ก่อน รุจน์บอกตัวเองอย่ามองหา แต่ก็ห้ามไม่ได้ ขณะที่เขาเองก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกมองอยู่เช่นกัน เมื่อเหลือบตามองก็เห็นเมษาที่เพิ่งเสริ์ฟอาหารให้ลูกค้าเสร็จกำลังมองมาที่เขา ฝ่ายนั้นยิ้มให้ทั้งใบหน้าและดวงตา สองนิ้วชูเป็นกำลังใจ ขณะที่ริมฝีปากพูดให้อ่านออกว่า “ อย่าดื่มมากนะ” รุจน์อดยิ้มตอบไม่ได้ ศีรษะก็พยักหงึกหงักพร้อมกันนั้น

เขากลับมาที่ห้องวีไอพีก็พบว่าวุฒิฟุบกับโต๊ะไปแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นครับนี่” รุจน์เข้าสมทบ น้ำฟ้าเท้าสะเอวกลอกตาก่อนตอบถามของรุจน์
“ดื่มหนักเป็นดื่มน้ำน่ะสิ สรุปเมาหมดสติไปเลยค่ะ พี่ทศกับคุณรุจน์ช่วยพยุงไปส่งที่รถหน่อยนะคะ”
“พี่คนเดียวก็ได้ ว่าแต่ฟ้าเอารถมารึเปล่า”
“เปล่าค่ะ ฟ้ามากับพี่วุฒิรถฟ้าอยู่บ้านพี่วุฒิ ฟ้าจะขับรถพี่วุฒิกลับเองค่ะ แล้วคงค้างที่นั่นเลย พรุ่งนี้ก็ขับรถตัวเองกลับคอนโด”

ทศพยักหน้าเข้าใจ เขาก้มลงพยุงวุฒิทะมัดทะแมง แล้วพาเดินออกจากห้องก่อน น้ำฟ้าเดินเข้ามาหารุจน์
“คืนนี้คงไม่ได้แล้วล่ะ พี่วุฒินี่น๊า น่าเบื่อจริงๆ พรุ่งนี้คุณจะไปญี่ปุ่นแล้ว อีกตั้งกี่วันถึงจะเจอกัน” หล่อนจับเนคไทของรุจน์ แล้วดึงเขาเข้าจูบ รุจน์จูบตอบนิ่มนวล
“ไว้กลับมาก็ได้นี่ฮะ เหตุจำเป็นเกิดได้ตลอดเวลา ผมเข้าใจ” พูดแล้วจูบอีกครั้ง

ทศวรรษที่ตั้งใจจะหันมาเรียกขอกุญแจจากน้ำฟ้า ภาพนั้นทำให้เขาต้องหันกลับแล้วรีบพาวุฒิเดินออกจากร้านอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณมากค่ะพี่ทศ” น้ำฟ้ายกมือไหว้ทศวรรษเมื่อเขาเอาวุฒิใส่เบาะหลังให้เรียบร้อย
“ไม่เป็นไรครับ แล้วเจอกันใหม่นะครับ” ทศวรรษหันไปเปิดประตูด้านหน้าเบาะคนขับให้น้ำฟ้า หล่อนค้อมตัวก้าวเข้าไปนั่งแล้ว
“รถพี่ทศจอดที่ไหนคะ”
“พี่มาแท็กซี่ วุฒิโทรมาชวนดื่ม ไม่อยากขับรถน่ะครับ”
“งั้นจะโทรหานะคะ” น้ำฟ้ายื่นใบหน้ามา ทศวรรษค้อมตัวหาหล่อน หล่อนจูบเขาที่แก้ม เขาพยักหน้าก่อนปิดประตูรถให้ ก่อนจะออกรถน้ำฟ้ากดกระจกไฟฟ้าลง หล่อนหันไปทางรุจน์

“คุณรุจน์ดื่มน้อยกว่าใคร ช่วยพาที่ทศไปส่งหน่อยซิคะ” หล่อนส่งสายตาอ้อน รุจน์มองทศวรรษอย่างอึดอัด แต่ก็ตอบรับ
“ได้ครับ”
น้ำฟ้ายื่นมือโบกให้ทุกคนแล้วออกรถ รุจน์มองรถของน้ำฟ้าที่ห่างออกไปเรื่อยๆแล้วหันหลังเดินไปที่รถ เขาไม่เห็นทศวรรษที่ตรงนั้นแล้ว มองหาสักครู่ก็เห็นทศวรรษกำลังเดินตรงไปที่ถนนใหญ่
“คุณฟ้าให้ผมไปส่งไงครับ” รุจน์เดินตามจนทัน

“แล้วไง ยายฟ้าไม่ได้อยู่ตรงนี้นี่ ไม่มีใครรู้ใครเห็นแยกย้าย โอเคนะ” ทศวรรษไม่หยุดเดิน
“ก็ดีครับ ผมก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน”
“อืม บายโชคดีในการเดินทางนะ”
รุจน์ถอนใจแล้วก้าวเท้าไปอีกทาง เขาคิดว่าตัวเองทำแบบนั้น ทว่ากว่าจะรู้ตัวก็คว้ามือของทศวรรษไว้แล้ว

“สามปีนี่ไม่ได้ทำให้คุณเกลียดผมน้อยลงเลยหรือครับ” เขากระชากมือทศวรรษให้หันหน้ามามองเขา
“ฉันไม่ได้เกลียดนาย ไม่ได้เคยเกลียด และต่อไปก็ไม่เกลียด แต่ฉันอยากเป็นคนอื่นสำหรับนาย เราเป็นคนอื่นกันเสียทีได้ไหม ฉันเห็นนายกับน้ำฟ้าเมื่อครู่ ฉันดีใจด้วย”
“แล้วที่บอกให้ผมรอล่ะ”

“ลืมมันเสียเถอะ ไปกับน้ำฟ้าให้ได้ นายเหมาะสมกัน “ ทศวรรษเงยหน้ามองฟ้า ฟ้าที่ซึ่งมืดมิดไร้ดาวในคืนนี้ ในวันเกิดของ S หลังจากเขาอยู่กับรุจน์แล้ว ไม่นาน S มาพบเขา มาถามถึงสิ่งที่เขาพูด “จะรักคนอื่นให้มากกว่า” S ต้องการรู้ว่าเขาจะทำจริงไหม ทศวรรษตอบกลับว่า เขาจะทำจริงๆ เขาจะรักคนที่จะไม่ทรยศหักหลังเขา
“ฉันจะให้นายเป็นที่สอง”
“ฉันจะเอาเรื่องของนายไว้ทีหลังคนของฉัน ฉันจะไม่อยู่กับนายเสมอยามที่นายต้องการนายจะหาฉันไม่เจอ เชื่อซิฉันทำได้” ทศวรรษจำได้ว่าเขาพูดใส่หน้า S แบบนั้นด้วยความรู้สึก สะใจ สะอารมณ์ที่มันแสนหดหู่สิ้นหวัง เขาตั้งใจจะไปพบรุจน์วันรุ่งขึ้น เขาใส่สร้อยเส้นคู่กับรุจน์ที่ข้อเท้าด้วยความหวัง ทว่า....

S กินยาเกินขนาดจนเข้าโรงพยาบาล เรื่องนี้ถูกปิดบังจากคนภายนอก พิสราเองก็ไม่รู้ มีเพียงคนในครอบครัวและทศวรรษเท่านั้น S ยิ้มโรยแรงบนเตียงคนไข้ เขาบอกกับทุกคนว่าเขามีเรื่องต้องคิดมากจนปวดหัว ก็เลยหยิบกินไปเรื่อยจนกว่าจะหายปวด ทศวรรษต้องเมินหน้าไปทางอื่น เรื่องที่ต้องคิดมาก... ทศวรรษรู้ดี S ไม่ต้องการเสียเขาและเลิกรักพิสราไม่ได้ แพร่งทางที่ถูกบังคับให้เลือกทำS คิดมากจนสับสน นั่นแหละสาเหตุของเรื่องคิดมากที่ S ว่า ทศวรรษรู้สึกกรีดใจที่มีส่วนทำให้เพื่อนกลายเป็นแบบนี้ เขาจึงตัดสินใจพูดออกไป ฉันจะอยู่เคียงข้างนายตลอดไป

“คุณทศ คุณมันใจร้าย ไม่เคยเจอใครใจร้ายแบบนี้มาก่อนเลย คุณเกลียดนาย S บ้างซิ เกลียดเขาบ้างได้ไหม” รุจน์ทุบหน้าอกทศวรรษ ทศวรรษไม่ตอบโต้ เขาได้แต่ยืนเหม่อ ให้รุจน์ทุบตีตามใจ
“ช่วยบอกผม ช่วยบอกหน่อย ผมควรทำอย่างไรดีถึงรู้สึกเป็นคนอื่นกับคุณได้ คุณมัน...” รุจน์หยุดทุบแล้วถอยออกมาอย่างหมดแรง เขาส่ายหน้าน้ำตาร่วงหันเดินหนี ทศวรรษพริบปริบราวกับเพิ่งรู้สึกตัวจากความฝัน เขาก้าวตามไปดึงรุจน์มากอด รุจน์ดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของเขา ทั้งดิ้นและกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ทศวรรษรัดอ้อมกอดของตัวเองแน่น เขาอยากให้รุจน์รู้เขาเข้าใจความรู้สึกสาหัสอันนี้ดี

อีกมุมของหลังร้าน เมษาใช้เวลาพักออกมาจุดบุหรี่สูบ อัดควันเข้าเต็มที่ก่อนจะเงยหน้าพ่นควันอย่างผ่อนคลาย สายตาเหลือบเห็นรุจน์กับทศวรรษ เด็กหนุ่มมองคนทั้งคู่นิ่ง

รถของรุจน์จอดที่ชั้นจอดรถส่วนตัวบนอาคารทำงานของทศวรรษเป็นเวลานาน โดยไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆออกมานอกรถ ทศวรรษกับรุจน์ยังนั่งนิ่งไร้คำพูดพวกเขาต่างปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ ที่สุดรุจน์ก็เป็นฝ่ายขยับหันมาทางทศวรรษ
“ราตรีสวัสดิ์นะครับคุณทศ ขอบคุณสำหรับคำอวยพรก่อนการเดินทาง” รุจน์พูดพร้อมยิ้มอย่างจริงใจ ทั้งที่มีเรื่องมากมายในสามปีที่เขาอยากรู้เกี่ยวกับทศวรรษ ความอยากรู้พวกนั้นก็ตีบตันไม่สามารถหลุดออกมาเป็นคำพูดได้

“ขอบใจที่มาส่ง”ทศวรรษเปิดประตูกำลังจะก้าวลง
“คืนนี้ นอนที่นี่หรือครับ”
“ใช่ ชั้นบนสุดเป็นเพ็นเฮาส์ บางครั้งที่งานมากฉันก็จะนอนที่นี่ล่ะ S เขาก็นอนที่นี่เหมือนกัน” ทศวรรษพูดโดยไม่มองหน้ารุจน์
“แล้ว..... คืนนี้เขามาอยู่กับคุณหรือครับ” รุจน์อยากตบหน้าตัวเองที่เผลอถามออกไปแบบนั้น เขาไม่ได้อยากรู้เลยสักนิด
“ไม่หรอก เขาไปเที่ยวเยอรมันกับคู่หมั้น น่าโมโหนะ ทิ้งงานไว้ให้ฉันบานเลย ตัวเองกลับไปสนุกกับคนรัก”

“คุณมันโง่เองนี่ฮะ” รุจน์พูดกลั้วหัวเราะ
ทศวรรษหันมามองรุจน์เต็มตา รุจน์หัวเราะไม่หยุด หัวเราะจนน้ำตารื้น แล้วหยดเผาะลงอาบแก้ม
“น่าขำมากๆเลย ผมก็เหมือนกัน” รุจน์ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
“รู้ไหมครับ มันน่าขำมากๆเลย ทั้งน่าขำทั้งน่าสังเวชตรงที่ห้าปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยคิดจะปล่อยมือจากคุณเลย ผมตั้งความหวัง ผมอ้อนวอนภาวนาต่อสิ่งที่มองไม่เห็น ขอทั้งสายตาที่เร่าร้อนยามมองมา ทั้งร่างกายที่ซื่อตรงยามร่วมรัก ทั้งหัวใจที่มีให้อย่างเต็มเปี่ยม ทั้งความรักที่ไม่มีวันเสื่อมสลายของคุณจงมาเป็นของผม ผมอ้อนวอนขออย่างนั้นเสมอทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ความรักมันยากตรงที่คนที่ไม่เคยมีใจให้ต่อให้แหลกสลาย ต่อให้ตายไปตรงหน้า ก็ไม่มีวันรัก ไม่มีวันแม้จะหันมาแลเห็น ผมรู้แก่ใจดีแต่ยังเสแสร้งหลอกตัวเองให้โง่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับความจริงอันนี้”

ทศวรรษส่ายหน้าแล้วก้าวออกไปยืนนอกรถ เงยหน้าถอนใจ อันที่จริงเขาก็มีบางอย่างที่อยากพูดแต่ท้ายสุดก็ตัดสินใจเก็บไว้
“ผมขอคำยืนยันจากคุณทศได้ไหมครับ ผมอยากให้คุณยืนยัน นับจากนี้และตลอดไปคุณจะไม่มีวันรักใครอีกนอกจากคุณ S ผมอยากได้ยินคำมั่นของคุณ”รุจน์ตะโกนออกมาจากรถ พูดจบก็สะอื้นฮั่กออกมาจนต้องรีบปิดปาก ไหล่ไหวสั่น เขาไม่อยากปล่อยเสียงรันทดนี้ออกไปให้ทศวรรษได้ยิน

ทศวรรษก้มหน้าภายใต้เนื้อผ้าที่ห่อหุ้ม ที่ตรงนั้นบริเวณข้อเท้า....สายสร้อยจี้แม่กุญแจ... ชายหนุ่มหลับตาแน่น กำหมัดจนข้อซีด เขาทิ้ง S ไม่ได้ เขาไม่สามารถขอเวลาแม้วินาทีให้รุจน์รอคอย เพราะเขาไม่อาจรู้ได้ว่าเมื่อไหร่ที่ตัวเองจะตัดขาดความสัมพันธ์อันมีมาแต่วัยเยาว์ลงได้ แต่อีกด้านเขาก็พบว่าในความรักที่สงบนิ่งต่อ S นั้นเริ่มมีความเคลื่อนไหว เป็นความเคลื่อนไหวที่เขาไม่อยากยอมรับ ผลักไส ทั้งที่ตัวเองก็ไม่อยากสูญเสีย แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์รั้งรุจน์ไว้กับความว่างเปล่า ทศวรรษสูดหายใจอย่างร้าวลึกในความรู้สึกแล้วตอบ

“ฉันจะไม่มีวันเลิกรัก S” พูดจบจึงก้าวเดินออกไป รุจน์ซบหน้ากับพวงมาลัยร้องไห้ออกมาอย่างเต็มความรู้สึกแตกสลาย

7.1

รุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนเพิ่งกลับจากความตาย ด้วยว่าร่างกายเบาโหวง จิตใจว่างเปล่า การเคลื่อนไหวราวกับเป็นไปตามที่มีใครสักคนตั้งโปรแกรมไว้ ลุกขึ้นจากที่นอน เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าวเช้า เก็บที่นอน ลากกระเป๋าเดินทางออกมาใส่ท้ายรถ เดินมาขึ้นรถสตาร์ทแล้วขับออกสู่เส้นทางที่คุ้นเคย ต้นไม้ ถนน เพื่อนร่วมทางบนถนน ท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาวปุกปุย ไฟเขียว ไฟแดง ตำรวจจราจร สาวสวยในรถคันข้างๆ ไม่ได้ความหมายใดๆต่อการรับรู้ของผม ผมก็แค่ไปให้ถึงที่หมายเท่านั้น มีบางช่วงที่ผมต้องเอาปลายนิ้วมาแตะที่ปลายจมูกว่ายังหายใจอยู่ด้วยไม่แน่ใจว่าตัวเองยังเป็นชีวิตที่ดำเนินอยู่หรือซากศพ


“ตายแล้วรุจน์ เมื่อคืนฟ้าว่าคุณไม่ได้ดื่มหนักเลยนะคะ แต่ทำไมดูโทรมจัง” น้ำฟ้าที่เจอกันที่ลานจอดรถหน้าร้าน ทักผม
“สงสัยเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ ไวน์ดื่มน้อยก็ปวดหัวน่ะ” ผมยิ้มโรยๆ
“วันนี้จะเดินทางไหวหรือคะที่รัก” น้ำฟ้าเข้ากอดแขนผม ผมยิ้มพยักหน้าว่าไหว
“วีซ่าญี่ปุ่นฟ้าก็ยังไม่ได้ต่อเสียด้วย ไม่งั้นจะตามไปดูแลเห็นแล้วไม่อยากให้ไปคนเดียวเลยค่ะ”
“ผมห่วงเรื่องสื่อสารกับคนพวกนั้นมากกว่า เจ้าของภาพที่จะไปซื้อน่ะอยู่ต่างจังหวัด คนประเทศนี้ไม่ค่อยพูดอังกฤษด้วย ออกต่างจังหวัดไม่ต้องพูดถึงเลย ผมว่าผมคงจะต้องใช้บริการล่ามจากโตเกียวไปด้วยกัน” ผมพูดในสิ่งที่ต้องพูดแต่ข้างในยังกลวงโบ๋ไร้ที่มาที่ไปตั้งแต่เมื่อคืนที่ร้องไห้จนหลับ

ผมกับน้ำฟ้าเดินคุยกันมาถึงหน้าร้าน คนที่ยืนอยู่ตรงบริเวณประตูทางเข้าทำให้ผมนึกได้ เขายิ้มกว้างทันทีที่เห็นผม
“อรุณสวัสดิ์ครับ ผมมาตามที่คุณนัดให้มาเจอผู้จัดการ” เมษาในชุดเสื้อเชิ้ทกางเกงผ้า เด็กหนุ่มดูเรียบร้อยและเป็นงานเป็นการมากกว่าวันก่อนและ...เมื่อคืน
“พนักงานใหม่ซินะคะ”น้ำฟ้าหันมาทางผมพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้ผมสงสัยหล่อนคงชอบเมษา..อยู่เหมือนกัน
“ครับ นี่ล่ะที่ผมบอก นี่คุณน้ำฟ้าเจ้าของที่นี่ครับ”
“สวัสดีครับ” เมษายกมือไหว้น้ำฟ้า
“ว๊าย ไม่ต้องไหว้หรอกค่ะ เดี๋ยวฉันแก่”
ผมกับเมษาหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

“เดี๋ยวผมจะพาเขาไปพบผู้จัดการนะครับ”
พอผมบอกน้ำฟ้า หล่อนก็หันมาเท้าเอว ส่งสายตาเซ็ง
“ขำแต่เช้านะคะคุณผู้จัดการ”หล่อนพูดจบก็เดินเข้าร้าน เมษาหันมาทางผม สีหน้าของเขาวุ่นวายนิดหน่อย
“โอย ตายแล้ว โอย ตายแล้ว”เมษาเสยผมทำอะไรไม่ถูก “ที่ผมพูด ที่ผมทำ งานพิเศษของผม มันจะเป็นอันตรายต่องานผมไหมครับนี่”
ผมตบบ่าเขาแล้วบอกว่าไม่เป็นไร ผมไม่สนใจ


ผมพาเมษาเข้ามาในห้องทำงานแนะนำงานทุกอย่างที่เขาต้องทำในฐานะพนักงานของแกลลอรี่แห่งนี้ เขาจะได้ทำงานที่ผมเคยทำทุกอย่างยกเว้นบัญชีและการซื้อภาพจากเจ้าของโดยตรง
“ชุดที่คุณใส่มาก็ดีอยู่หรอกแต่สำหรับที่นี่ ลูกค้าของเรามีระดับทั้งฐานะและหน้าตาในสังคม เราต้องให้เกียรติพวกเขา เราจะใส่สูทผูกไทด์ต้อนรับพวกเขา”
“โห ผมไม่มีหรอกครับ มันแพงน่ะ”
“ไม่ใช่ปัญหาของคุณหรอก ทางเราจะจัดให้คุณเอง อืมคิดว่าช่วงเย็นคุณฟ้าคงจะพาคุณไปวัดตัวนะ เขามีร้านส่วนตัวน่ะ” ขณะที่ผมกำลังจะอธิบายงานต่อ ผมความทรงจำผมก็ผุดขึ้นกระทันหัน เมื่อคืนที่เมษาคุยกับลูกค้าในร้าน เขาพูดภาษาญี่ปุ่น และความคล่องแคล่วนั้นเรียกได้ว่ามือชีพเลย

“เดี๋ยว คุณพูดภาษาญี่ปุ่นได้ใช่ไหม” ผมถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ครับ”
“คุณมีวีซ่าไหม”
“เพิ่งไปต่อน่ะครับ กะว่าถ้าที่นี่ไม่รับเข้าทำงานผมจะเดินทางไปเที่ยวสักพัก”
ผมรีบคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะกดเบอร์ภายในของน้ำฟ้า ผมบอกหล่อนว่าผมต้องการเอาเมษาไปญี่ปุ่นด้วย ภาษาของเขาจะช่วยผมได้มาก น้ำฟ้าเห็นด้วยเพราะหล่อนกำลังกังวลสภาพของผมหากมีคนไปด้วยคงดีไม่น้อย
“อืม ครับเขามีวีซ่า ผมจะซื้อตั๋วตอนนี้เลย คิดว่าอาภาคงหาตั๋วให้ผมช่วงนี้มรสุมเข้า ไม่ใช่ช่วงท่องเที่ยวคิดว่าไม่น่ามีปัญหา”

“ผมมีเวลาให้คุณหนึ่งชั่วโมงในการหาซื้อใช้ที่จำเป็นส่วนเสื้อผ้าเราจะไปหาซื้อกันที่นั่น ผมจะพาคุณไปญี่ปุ่นกับผม” ผมหยิบกระเป๋าเงินออกมาหยิบธนาบัตรใบละพันสามสี่ใบยื่นให้เมษา
“ห๊า!!!!!อะไรนะครับ” เขารับเงินไปด้วยอาการมึนงง
“ซื้อเสร็จแล้วกลับมาหาผมที่นี่ โอเคนะ” ผมสำทับเขาอีกครั้ง เมษาพยักหน้าหงึกหงักแล้วรีบวิ่งออกไป


ผมรู้สึกแย่นิดหน่อยที่ตัวเองนั่งสบายอยู่ชั้นนักธุรกิจ แต่เมษากลับต้องนั่งอึดอัดในชั้นประหยัดด้านท้ายเครื่อง เรื่องกระทันหันอันแสนย่ำแย่เกิดขึ้นในวันเริ่มงาน วันที่ซึ่งน่าจะเป็นที่ดี วันที่ราบรื่นสำหรับเขากลับต้องมากลายเป็นความยุ่งยากเพียงเพราะความต้องการที่แสนจะเอาแต่ใจตัวของผม คิดแล้วก็ให้เกลียดตัวเองแทนเมษาเสียจริง ผมมาเข้าห้องน้ำบางครั้งก็จะมาดูเขาด้วย ผมพ่นหัวเราะออกมาเบาบาง คงเหนื่อยจัดน่ะสินะ เด็กนั่นขดตัวนอนหลับปุ๋ย ใบหน้าไม่มีร่องรอยความเครียดใดๆ ปากอวบอิ่มราวกับยิ้มน้อย ดูคล้ายทารกที่กำลังฝันดี

ขอโทษนะที่ผมเอาแต่ใจ คิดตอนนั้นก็สั่งให้ทำตอนนั้น ทั้งที่ควรถามก่อน ช่างเห็นแค่ประโยชน์ส่วนตัวจริง เอาแต่ความจำเป็นของตัวเองโดยลืมมองความพร้อมของเขาในสถานการณ์ด่วนจัดเช่นนั้น และแม้ตัวเองจะจับต้นชนปลายอะไรแทบไม่ถูกแต่ก็หิ้วกระเป๋าใส่ของจำเป็นวิ่งตัวปลิวตามผมมาอย่างกระวีกระวาด อะไรทำได้ก็ช่วยตัวเองไม่มีบ่น ไม่มีหน้าบึ้ง มีแต่รอยยิ้มเมื่อสบตากับผม อาจจะเหนื่อยกับความเร่งรีบแต่เขาก็ยังสดใสในแบบของเขา เมื่อพูดกับผมว่า....โชคดีนะครับที่ยังมีตั๋วให้ผม ถ้าไม่ได้ช่วยคุณผมคงรู้สึกแย่....

มองเขาแล้วอดยิ้มไม่ได้ ผมมีแต่พี่ชาย เป็นแต่น้องชาย หากสักครั้งมีโอกาส ได้เป็นพี่ชาย ก็อยากได้น้องชายอย่างเมษาคนนี้ ขณะจิตที่คิดเช่นนั้นมือผมก็ยื่นไปปัดผมที่รุ่ยร่ายปรกใบหน้าของเขา เมษาขยับตัวผมรีบหดมือแล้วเดินกลับไปที่ตัวเอง ทรุดตัวนั่งแล้วปรับที่นั่งตั้งใจจะหลับบ้าง ทว่าทำอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้ ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เมฆขาวปุกปุยชวนให้รู้สึกถึงความนุ่มนวลหากแต่ความเป็นจริงนั้นมันเป็นภาพลวงตาของอากาศธาตุเท่านั้น เราไม่สามารถสัมผัสหรือจับจ้องความนุ่มนวลดังที่เห็น

ผมหลับตาพร้อมอาการปวดบีบในดวงตา เสมือนผมกับคุณทศเราต่างเป็นแค่ภาพลวงตาของกันและกันทั้งที่ร่างกายของเราสัมผัสแนบแน่นลึกซึ้งปานนั้น เขาจะไม่มีวันเลิกรักคุณS แล้วผมล่ะ? ผมจะทำอย่างไรต่อไปดี ห้าปีแม้จะลุ่มๆดอนๆกระนั้นก็ยังหวัง หวังว่าร่างกายที่พูดแทนหัวใจจะทำให้คุณทศหวั่นไหวบ้าง

ผมดึงผ้าห่มมาปิดหน้า เมื่อรู้ตัวกำลังจะร้องไห้ ผมบอกให้ตัวเองพอเสียที ผมร้องมากเกินไปแล้ว น้ำตาเป็นสายเลือดเท่าไหร่คุณทศก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ ผมขดตัวใต้ผ้าห่มอย่างเหน็บหนาวหัวใจ แล้วผมล่ะ ผมจะเป็นอย่างไรนับจากนี้ ผมมันบ้าไปแล้วจริงๆที่ไปถามเขาแบบนั้น ทั้งที่ไม่อยากได้ยิน ทั้งที่รู้ดี แต่ก็ยังอยากทำอย่างนั้น ถามออกไปอย่างนั้น เพื่ออะไรกัน เกลียดตัวเอง เกลียดคุณทศ เกลียดนาย S เกลียดโลกนี้ด้วย

นาริตะ 18.30 .....

หลังขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง ผมก็มายืนมองสายพานลำเลียงกระเป๋าราวกับมันเป็นสายน้ำไหลเอื่อย กระเป๋าใบใหญ่น้อยผ่านตาผมไปอย่างช้าเชื่อง แต่ผมหารู้สึกรู้สมอันใดด้วยไม่ กระทั่งกระเป๋าของตัวเองยังไม่รู้มาถึงตรงหน้าหรือยัง ผมอยากอยู่เฉยอยู่นิ่งจนกว่าจะกลายเป็นหินไปเลยก็ได้ เป็นขยะรอวันย่อยสลายก็ดี อะไรก็ได้ขออย่าเดียวอย่าเป็นผมในตอนนี้
“ผู้จัดการฮะ” เสียงเรียกแผ่วเบาพร้อมสัมผัสที่แขนทำให้ผมรู้สึกตัว
“เราไปกันเถอะครับ” เมษาหิ้วกระเป๋าใบเล็กของตัวเอง พร้อมลากกระเป๋าของผมมาด้วย

“อ๊ะ ขอโทษนะ” ผมยื่นมือจะไปจับที่ลากกระเป๋า แต่เมษาจับมือผมไว้
“ไม่ต้องหรอกครับ ให้ผมดูแลให้เถอะ ไม่หนักหนาอะไร” เขาปล่อยมือผมเมื่อพูดจบแล้วเดินนำหน้าผมไปทางออก แต่เขาก็หันกลับมา
“อากาศเย็นจัง” ผมบ่นพร้อมกระชับเสื้อนอก

“ผลจากอากาศมันแปรปวรน่ะครับ ตอนนี้เป็นกันทั้งโลกแล้ว ว่าแต่เราจะเข้าโตเกียวโดยนาริตะเอ็กส์เพรส หรือ แท๊กซี่ or whatever”
“แท๊กซี่ครับ” ผมตอบ เมษาพยักหน้าแล้วเดินออกไปที่ประตูทางออก ผมอยากสูดอากาศมากกว่าการนั่งรถไฟใต้ดินจะทำให้ผมยิ่งอึดอัดมากกว่าที่เป็นอยู่ ผมมองแผ่นหลังของเมษาแล้วเพิ่งตระหนักว่าเขาอยู่ในชุดที่บางเบาต่ออากาศมากกว่าผมเสียอีก แต่หมอนั่นไม่แสดงอาการอันใดเลย

หลังอาหารค่ำผมกับเมษาก็เข้าพักที่โรงแรม ที่นั่นน้ำฟ้าจองห้องสวีทไว้ให้ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรชวนให้ขลุกขลักอีก ผมนอนห้องนอน ส่วนเขาอย่างไรก็ยืนยันขอนอนนั่งเล่นทั้งที่ห้องนอนนั้นก็สามารถนอนด้วยกันได้
“ผมไม่คุ้นนอนกับคนอื่นน่ะครับ” เมษาพูดอายๆ ผมพยักหน้าตามใจเขา
“เราออกไปซื้อเสื้อผ้ากันเถอะ” ผมชวน เมื่อเห็นว่ายังไม่ดึกมากนัก อีกอย่างพรุ่งนี้เขาต้องมีสูทสวมตอนพบกับผู้ขายภาพ ฝ่ายนั้นเป็นถึงศิลปินที่มีชื่อ

“ได้ครับ” เมษาตอบรับพร้อมก้าวไปที่ประตู ส่วนผมเปิดกระเป่าแล้วหยิบเสื้อแจ็กเกทผ้าสักหลาดแบบมีฮูดออกมาคลี่ออก ก่อนที่เมษาจะเปิดประตูห้อง เขาคงรู้สึกบางสิ่งที่คลุมลงมาที่ไหล่จึงหันมา
“ใส่ซะนะ ข้างนอกมันเย็นน่ะ” ผมยิ้ม เขาดึงเสื้อลงมาสวมแล้วกล่าวขอบคุณ รูปร่างที่สมส่วนสูงใหญ่เมื่อใส่เสื้อแบบนี้ทำให้เขาดูเหมือนวัยรุ่นของที่นี่เหมือนกัน ผมคิดดเล่นๆเพลิดเพลิน

ผมชวนเมษาไปดื่มที่ชินจูกุหลังซื้อเสื้อผ้ากันแล้ว ร้านที่เราตกลงใจเข้าไปนั่งเป็นร้านสงบร้านเล็กๆคืนนี้มีลูกค้าไม่มากนัก บทสนทนาแกล้มวิสกี้ของเราไม่มีอะไรมากไปกว่าการเล่าเรื่องที่เป็นของเมษาซะส่วนใหญ่ ส่วนผมก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เรื่องของคุณทศเต็มหัวจนหมดพื้นที่รองรับสิ่งใดเข้ามาบรรจุอีก พอคร่าวนิดหน่อยได้ความว่า เมษาเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ความเป็นอยู่จึงเรียกได้ว่าค่อนข้างดี แต่แล้ววันหนึ่งพ่อแม่เสียชีวิตพร้อมกันจากอุบัติเหตุขณะเดินทางไปราชการ ชีวิตของเขาก็พลิกผันไม่มีวันเหมือนเดิมอีกนับจากนั้น

“ชีวิตที่ต้องอยู่คนเดียวน่ะมันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ แต่ถ้ามันเลี่ยงไม่ได้ ผมก็แค่ตั้งรับแล้วบอกให้ตัวเองยิ้มทุกวัน เจอเรื่องร้ายแรงเรื่องแย่แค่ไหนก็บอกตัวเองอย่างขำๆว่า ก็แล้วไงนี่มันชะตาของเราไม่ได้หยิบยืมใครมา หากมันจะร้ายจะแย่แค่ไหนก็ปล่อยให้มันร้ายมันแย่ซะให้พอ แล้วต่อจากนี้จะไม่มีอะไรร้ายหรือแย่ไปกว่านี้อีกหรอก นับจากวินาทีต่อจากนี้ทุกอย่างจะดีขึ้น แบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป อย่าไปฝืน มันไม่ดีกับหัวใจเลย” เมษาถอนใจก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่ม
“ทำไมเราต้องเศร้าโศกกับสิ่งที่ไม่ได้อย่างใจด้วยล่ะ ชีวิตจะอะไรมากมาย ก็แค่ใช้ไปให้หมดอายุขัย มันก็เหมือน..” เขาหันมาทางผมจ้องมองผมด้วยใบหน้ากระจ่าง แววตาเจิดจ้า

“เหมือนกับสิ่งของที่อายุการใช้งานน่ะ เราไม่ได้ต่างจากวังวนพื้นฐานพวกนี้เพียงเพราะเราหายใจได้หรอกนะ วันเวลาที่เหลืออยู่มีความสุข ทำในสิ่งที่อยากทำเสียให้พอ ผมคิดแบบนั้น” เขาเท้าคางมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ครู่เดียวก็หันมาหาผม

“ผู้จัดการชื่ออะไรครับ คุยกันจะหมดวันอยู่แล้ว”
ได้ยินแล้วผมก็หัวเราะพรืดออกมา
“นายเปลี่ยนเรื่องเร็วชะมัดตามไม่ทันเลย ฉันชื่อรุจน์นะ”
“งั้นดื่มให้คุณรุจน์ ผู้จัดการของผม ต่อจากนี้ไปฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” เมษายกแก้ว ผมยกแก้วตัวเองชนกับเขา
“วันพรุ่งนี้ฉันก็ฝากนายด้วยเช่นกัน” ดูเหมือนสรรพนามที่ผมใช้เรียกเขาจะเปลี่ยนไปโดยที่ตัวผมเองก็ไม่ทันสังเกต สรรพนามที่ห่างเหินกลายเป็นสรรพนามใกล้ชิดมากขึ้น

เราแวะเดินเล่นที่ชิบูยะด้วย ที่นี่คือดินแดนที่ไม่เคยหลับจริงๆ แม้ญี่ปุ่นจะเพิ่งผ่านโศรกนาฏกรรมมาแต่ความคึกคักดูจะไม่มีวี่แววลดลง หนุ่มสาวยังคงออกมาสังสรรพบปะกันเหมือนเดิม หากแต่บรรยากาศฉูดฉาดเปลี่ยนเป็นสงบเสงี่ยมเรียบง่ายขึ้นเท่านั้น ความมืดที่ต้องลดความสว่างจากการใช้ไฟฟ้าไม่มีผลกับชีวิตกลางคืนของที่นี่แม้แต่น้อย หรือจะเป็นดั่งเมษาว่า ทุกอย่างต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป ชิบูยะก็เช่นกันกว่าจะกลับมาเป็นสาวสวยจัดจ้านอีกครั้งก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป นั่นเป็นเรื่องของชิบูยะกับญี่ปุ่นซินะ ไม่เกี่ยวกับผมหรอก

00.30
ผมบอกเมษาว่าอยากนั่งพักสักครู่ก่อนกลับโรงแรม เขาเลยพาผมมานั่งพักหน้าสถานีรถไฟ บริเวณรูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ สุนัขซื่อสัตย์ชั่วนิรันดร์ ผมรู้สึกมึนกับวิสกี้ที่ดื่มเข้าราวกับน้ำเมื่อครู่ก่อน แต่พยายามเก็บอาการไว้ น่าขันกับความคิดตื้นเหมือนตัวละครในหนังน้ำเน่าคิดว่าเหล้าจะช่วยดับทุกข์ ลืมความเจ็บปวดได้ น้ำเน่าสุดๆจริงๆ ผมเงยหน้าสูดอากาศเข้าปอด อากาศหนาวมากจนต้องกอดอก ฮาจิโกะนั่งเชิดหน้ามองไปในทิศทางไหนก็ไม่รู้

ผมเชอะหัวเราะคนเดียว รอไปเหอะ รอไป รออย่างไงคนที่นายรักภักดีอย่างซื่อสัตย์เขาก็ไม่กลับมา แล้วนายก็ตายจนได้ เจ้าฮาจิโกะ ผมคิดอย่างปวดหนึบที่หัวใจ อย่างไร ฮาจิโกะกับศาตราจารย์อุเอโนะ ก็จากกันเพราะความตาย แต่ผมกับคุณทศทรมานเสียยิ่งกว่าตาย ผมรีบก้มหน้างุดด้วยว่าต้องการซ่อนน้ำตาที่กำลังไหลออกมาไม่ถูกกาลเทศะ
“ไม่เป็นไรหรอกฮะ ผมไม่เห็นหรอก หรือถือซะว่าผมไม่ได้อยู่ตรงนี้” เมษาที่กำลังมองผู้คนบนถนนพูดขึ้น รุจน์ยกมือป้ายน้ำตา แล้วหัวเราะฝืดๆ
“นายคิดว่าฉันทำอะไรอยู่ล่ะ”

เมษาหันมามองผมเต็มดวงตาของเขา
“ใบหน้าผู้จัดการน่ะสวยมาก มันดึงดูดสายตาใครต่อใครให้ต้องหันมามองซ้ำสอง ไฝที่แก้มนั่นน่ะ ใบหน้านี้คงมีไว้รองน้ำตาซินะครับ”
“นายคิดว่าฉันร้องไห้อยู่เหรอ?” ผมหัวเราะเก้อๆ รู้สึกอายสุดขีด หยดน้ำอุ่นที่ค้างขอบตาหยดเผาะลงมาอีก เมษายื่นใบหน้าเข้ามาแนบริมฝีปากอิ่มเอิบของเขาที่แก้มของผมตรงที่น้ำตาจะร่วงหยด สัมผัสนั้นช่างอบอุ่นราวกับโน้มลงมาจากดวงตะวัน ณ วันที่หนาวเหน็บ ณ ช่วงเวลาซึ่งไร้ตัวตน ตรงที่ไม่มีใครสนใจว่าใครจะทำอะไรดั่งเช่นที่ชิบูยะ จูบแรกที่ผมรู้สึกถึงชีวิตและจิตวิญญาณแห่งความอบอุ่น....

เราสองคนถอนใจพร้อมกันเมื่อริมฝีปากของเขาผละออกจากแก้มของผม
“อาจมีคนแอบมองเราอยู่ก็ได้นะ” ผมเสมองไปทางอื่น ทว่าสายตาก็ไปหยุดที่เจ้าหมาฮาจิโกะ เมษาเมินไปอีกทาง
“ทุกคนย่อมมีสิ่งที่ต้องทำกันทั้งนั้น การมัวไปสนใจคนอื่นย่อมเป็นการเสียเวลาโดยไม่จำเป็น คนญี่ปุ่นเป็นแบบนี้ ซึ่งที่จริงมันก็ดีและไม่ดีนะครับ ดีที่ทุกคนมีความเป็นส่วนตัวไม่มีใครก้าวก่ายใครให้ชวนอึดอัด ไม่ดีก็ตรงที่ทุกคนกลายเป็นคนเย็นชา ไร้สำนึกของคำว่าน้ำใจต่อคนแปลกหน้า ผู้จัดการอยากเลือกมองมุมไหน”

“เจ้าฮาจิโกะมองฉันอยู่”
“หือ” เมษาหันมาที่ผม
“รู้อะไรไหม? เจ้าหมานั่นมันคงกำลังสงสารฉัน เพราะคิดว่าฉันเหมือนกับมัน เราต่างรอคอยคนที่ไม่มีวันกลับมา” ผมยิ้มให้ฮาจิโกะ
“เรากลับกันเถอะครับ ผู้จัดการ”
“ดีเหมือนกันฉันเหนื่อยเหลือเกิน อยากนอนมากๆ อยากหลับให้สนิท” ผมยันตัวลุกขึ้นซวนเซ เมษาก้าวเข้ามาโอบเอวผมไว้ ในหัวของผมราวลูกข่างถูกปั่นหรือไม่ใครก็เพิ่งปล่อยผมจากการจับเหวี่ยงสักพันรอบ
“มึนหัวจัง” ผมครางอู้อี้
“ผู้จัดการดื่มอย่างกับน้ำไม่เอาได้ไง”

หมดแรงฝืนทำเหมือนร่างกายไร้สิ่งผิดปกติ ที่เมษาพูดก็ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว ผมคอพับบนบ่าของเมษา ในความรู้สึกล่องลอยเบาโหวง กลิ่นโคโลจญ์หอมอ่อนๆของเขา เสียงรถราที่ฟังราวกับแสนไกล ผมรับรู้อย่างผิวเผินเบาบาง นอกจากอาการหมุนสุดเหวี่ยงแล้ว มโนภาพทั้งที่เคยเห็นและไม่เคยล้วนกระจัดการจายราวกับจิ๊กซอที่ไม่สามารถต่อเข้ากันได้ เจ้าฮาจิโกะบอกลาผมและเดินไปกับศาสตราจารย์ คำพูดของทศวรรษที่ว่า ถ้าถูกใจเท้าหมาแมวเขาก็จูบได้ เขาหัวเราะแล้วหายไปพร้อมกับ S ที่รูปปั้นนั้นไม่มีฮาจิโกะ ไม่มีสิ่งใด ผมเพียงเดียวดายเฝ้ารอคอย วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า สายลมเย็นเยือก แสงแดดร้อนกล้า ฝนกระหน่ำเท ตัวของผมไม่ยอมสูญสลาย ทั้งที่หัวใจดับสิ้นไปแล้ว ทำไมฉันต้องทนทุกข์แบบนี้ ผมถามกับร่างกายผ่าวร้อนรุมราวกับจะมอดไหม้ เลือดเนื้อทุกอณูของผมพร้อมกันประท้วงหัวใจที่อับจน ด้วยคำตอบที่แสนกร้าวร้าว.......ไม่อีกแล้วความเจ็บปวดนี้ต้องเยียวยา

ผมสะดุ้งลืมตาตื่น พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนุ่มสบายในโรงแรม พอจะยันตัวลุกขึ้นก็ต้องล้มไปนอนอีกครั้งด้วยเพราะว่าในลูกข่างในหัวยังไม่ยอมหยุดหมุนแถมตอนนี้ยังปวดหัวตึบเหมือนสมองถูกหินสักสิบตันวางทับไว้ ผมกุมขมับพยายามฝืนลุกขึ้นคลานไปเข้าห้องน้ำ เสื้อผ้าที่ใส่ทำไม่สบายตัว ผมจึงยันตัวเองกับกรอบประตูหน้าห้องน้ำจัดการถอดเสื้อผ้าออกจนหมดแล้วหยิบยูกาตะของโรงแรมมาสวมจากนั้นจึงก้าวเข้าห้องน้ำ อาเจียนออกมาจนไม่เหลือสิ่งใดให้พ่นออกมาอีกจึงบ้วนปากแปรงฟันเสร็จก็ล้างหน้า ผมมองตัวเองในกระจกเนิ่นนาน เสมือนไม่เคยรู้จักใบหน้านี้มาก่อน ถอยออกไปถอดยูกาตะออก มองร่างกายเปล่าเปลือยของตัวเองในกระจกพลางนึกถึงความเย็นเยียบในแววตาของทศวรรษ นี่เขาคงไม่อยากแตะต้องแม้แต่ผิวกายของผมอีกแล้ว คิดแค่นั้นก็ให้รู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากอาเจียนอีกครั้ง
“ก็เพราะว่านายมันน่ารังเกียจไง” ผมกระซิบกับตัวเอง....

ไฟแสงอ่อนที่เปิดไว้เฉพาะจุดเพื่อหลับนอน ทำให้ภายห้องสลัวมัวซัวราวกับโลกของปีศาจ เท้าเปล่าย่ำบนผืนพรมขนแกะอันนุ่มนวล เมื่อระยะการก้าวสิ้นสุด ปลายเท้าก็หยุดสนิท ตรงนั้นสว่างไสวมากกว่าที่ใด มือยื่นออกไปหยิบหนังสือที่อยู่ในมือของเขาขว้างทิ้งไป เขาเหลือบตามองงงงันกับคนตรงหน้า
“นอนกับฉันนะ” ไม่อยากเชื่อว่าผมจะถอดเสื้อผ้ามาหาคนที่เพิ่งรู้จักแถมยังพูดอย่างนี้กับเขาอีก เมษาย่นคิ้วพลางขยับจากท่ากึ่งนอนกึ่งนั่งบนโซฟา มานั่งตัวตรง เขาอยุ่ในชุดยูกาตะของโรงแรมเช่นกัน เมษาอึ้งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะดึงผมเข้าหาตรงๆ ขาของผมขนาบตัวของเขา ผมทิ้งตัวนั่งบนตักที่มั่นคงนั้น เขาถอดยูกาตะของตัวเอง

“ผู้จัดการเมาแล้วชอบแก้ผ้าหรือครับ” เขาพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ เอายูกาตะมาห่มให้ผม
“ไม่ใช่อย่างนั้นน่ะ ฉันต้องการนาย ต้องการตอนนี้เลย” ผมปัดมือของเขาออก
“ฉันเจ็บ เจ็บจะตายอยู่แล้ว นายช่วยฉันได้ไหม ช่วยด้วย” ผมซบหน้ากับซอกคอของเมษา เสียงของผมหายไปในลำคอ คำนึงที่มีทศวรรษครองไว้ทั้งหมดเสมือนดั่งหนามแหลมที่ทิ่มตำผมไปทั้งตัว ทิ่มทะลุถึงหัวใจ ผมเริ่มจูบ เริ่มเบียดแนบผิวกายที่เย็นชื้นกับกล้ามเนื้อของเมษา ผมรู้ท่วงท่าของตัวเองที่จะทำให้อีกฝ่ายเร่าร้อนขึ้นมาได้อย่างไร ผมชำนาญกับการเล่นบทชู้รักบนเตียง แม้จะสถานที่จะเปลี่ยนเป็นที่แคบชวนอึดอัดเช่นโซฟา ผมก็ยังร้อนแรง ยังเร่าร้อน ระริกซ่านได้ทั้งที่รู้สึกว่างเปล่าต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

มือของเมษาสะเปะสะปะลูบคำลำตัวของผมอย่างงงงันสับสน เขาตอบสนองกับลีลาชวนเชิญของผมอย่างลนลาน ริมฝีปากจูบไล้และครางซ้ำไปมาว่าผู้จัดาการ ผมยิ้มแล้วจูบริมฝีปากที่ยวนเย้าของเขา เขาบดจูบกลับมารุนแรง สพางค์กายของเราแนบชิดจนไม่มีช่องว่าง
“พาฉันไปสวรรค์” ผมพูดด้วยเสียงที่แตกพร่า เมษาพาผมนอนลงบนโซฟา จับขาผมแนบกับลำตัวของเขา ผมหัวเราะกระซิก ทำไมผมถึงลืมไปได้นะ ว่าผมเป็นโสเภณี ใครสักคนไม่ต้องการก็ใช่ว่าจะไม่มีใครอยากสังวาสด้วย ความเจ็บปวดนี้จะหายไป เหมือนกับที่เมษาพูด ถ้าคิดว่ามันที่สุดแล้วไม่มีอะไรที่มากกว่านี้อีกแล้ว ผมเลื่อนมือที่กลางลำตัวของเมษา ลูบไล้เลือดเนื้อที่อยู่ใต้อันเดอร์แวร์ของเขา ดูเหมือนมันก็กำลังลุกโชนด้วยไฟพิศวาสและพร้อมที่จะเป็นของผม ผมจัดการดึงเนื้อผ้าที่ปกปิดสิ่งนั้นไว้ เพื่อให้มันได้เป็นอิสระที่จะโจนมาหาผม
“เดี๋ยวครับ” จู่ๆเมษาก็หยุด เขาาผละลุกขึ้นนั่ง

ผมยันตัวกึ่งนอนมองเขาอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก ผิวกายเริ่มรู้สึกสะท้านอายจนถึงใบหน้าที่กำลังชาดิก
“ดีแล้วหรือครับผู้จัดการ คือแบบนี้เราจะไม่เสียใจเมื่อฤทธิ์แอลกอฮอล์ผ่านพ้นไปแล้ว เราสองคนต่างก็เมา” เมษาถอยจากตัวผมอย่างสมบูรณ์แบบเขาขยับไปนั่งอีกด้านของโซฟา
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่นายต้องมารับผิดชอบนะ ฉันไม่ท้องหรอก..” เสียงผมแหบแห้ง ก้อนแข็งที่มองไม่เห็นจุกที่คอ ไม่รู้เพราะดื่มมากไปหรือกำลังตระหนักถึงความจริงอันไม่คาดคิดว่าตัวเองจะคิดเช่นนี้ด้วย ผมเริ่มเห็นตามทศวรรษอย่างนั้นหรือ สนุกกับร่างกายของผมอย่างไรก็ได้ เพราะว่าผมไม่มีวันท้อง

“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอกครับ ผมรู้ดีว่าผมกำลังอยู่กับใคร”เมษาหันมาทางผม ร่างกายล่ำสันของเขาทรนงไม่งองุ้มเพื่อปกปิดสัดส่วนใดของตัวเอง
“ได้เห็นร่างกายคุณแล้ว ผมอดใจไม่ไหวจริงๆ คุณสวยทั้งใบหน้าและเรือนกาย ผมน่ะอยากสัมผัสคุณทั้งหมด อยากร่วมรักกับคุณให้ถึงที่สุด ผมไม่เคยรู้สึกกับผู้ชายคนไหนแบบนี้เลย แต่ว่า ผู้จัดการครับ” เมษาสูดหายใจลึก เขาเงยหน้ามองวิวนอกหน้าต่าง

“ในหูของผมนี่น่ะ” เขายกมือชี้นิ้วที่ใบหู “มันยังคงได้ยินเสียงกรีดร้องเมื่อคืนได้ดี ขณะที่ผมกำลังคลั่งอยากทำกับคุณในแบบโลกทลายไปเลยน่ะ แว่วเสียงกรีดร้องนั่นก็ทำให้ผมต้องหยุด” เมษาเลื่อนมือมาเท้าคาง ศอกวางที่เข่า สิ่งที่เขาพูดคืออะไรกัน ผมควานมือหยิบยูกาตะมาสวมลวกๆ หน้าอกผอบผอมของผมกำลังเพื่อมไหวขึ้นลงกระชั้นถี่ ผมเดินไปนั่งข้างเมษาที่ร่างกายยังเปลือยเปล่า

“เขากอดคุณ อ้อมแขนนั่นที่จริงมันควรทำให้คุณอบอุ่นและวาดฝันถึงวันพรุ่งนี้ได้ แต่เมื่อคืนคุณร้องโหยหวนราวกับภายในอ้อมแขนของเขาคนนั้นเต็มไปด้วยใบมีดที่เฉือนเนื้อของคุณจนขาดวิ่น” เมษาลุกขึ้นพร้อมหยิบอันเดอร์แวร์สวมตามเดิม
“นาย...”ผมลืมคำพูดจะพูดต่อไปหมดแล้ว
“ถ้าคืนนี้ผมกับคุณ เราสองคน ผมนอนกับคุณเพราะตัณหาที่มีต่อร่างกายคุณ ส่วนคุณก็เพื่อบำบัดความเจ็บปวด” เมษาทรุดตัวลงมานั่งก่อนจะยื่นมือมาจับใบหน้าของผมแผ่วมือ

“พรุ่งนี้เราจะมองหน้ากันอย่างไร เช่นนั้นแล้ว คนที่เจ็บที่สุดคือผู้จัดการ แล้วอ้อมกอดของเขาในครั้งต่อไปล่ะ มันคงเชือดเข้าไปถึงกระดูกของผู้จัดการให้ยิ่งทรมานเป็นทวี ก็เพราะเยื่อใยร่างกายที่เรากวัดรัดเกี่ยวกันในคืนนี้จะทำให้คุณกลายเป็นอีกคนในอ้อมแขนของเขา ขณะที่เขากอดคุณร่างกายของคุณในตอนนั้นก็จะไม่ได้มีแค่ร่องรอยของเขาแต่มีร่องรอยของอีกคนทับทาบลงบนร่องรอยของเขา แต่ถ้า...” เมษาเปลี่ยนจากสัมผัสมาเป็นดึงผมเข้าไปประกบปาก โรมรันผมด้วยจูบและลิ้นก่อนจะกระซิบข้างใบหูของผม
“แต่ถ้าคุณพร้อมที่จะเปลี่ยนไปในแบบหวนกลับไม่ได้ ผมก็ทำให้คืนนี้ของเราอยู่ที่ขอบโลกเลย” เขาหอบหายใจเมื่อไล้ต้นคอผมด้วยริมฝีปากที่เร่าร้อนหิวกระหาย สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดผมยังลำดับไม่ถูก ในสมองราวเมืองเซนไดที่ยังไม่บูรณะ ความระเกะระกะในสมองนี้ผมจะหยิบจับสิ่งขึ้นมาคิดก่อนหลังดี

“และถ้าเราเป็นต่อกันเช่นนั้นแล้ว ผู้จัดการก็คงไม่สามารถกลับไปสู่วิถีทางเก่าได้อีกแล้วนะครับ ผมจริงจังกับความรู้สึกที่มีต่อคุณนับแต่วินาทีแรกที่เราพบกัน สายตาที่เศร้าโศกแม้จะยิ้ม และรอยยิ้มที่ไม่เคยเต็มตื้นความสุขของคุณทำให้ผมอยากรู้ ยิ่งได้ยินที่คุณร้องไห้เจียนจะขาดใจเมื่อคืน ผมก็ยิ่งต้องการผู้จัดการมากขึ้นจนตัวเองยังสงสัยในความเป็นไปเช่นนี้” เมษาจูบปากผมอย่างไม่รู้เบื่อ ผมอยากนิ่งเฉยไว้ทว่าความเย้ายวนจากสัมผัสของเขาทำให้ไม่อาจอยู่เฉยได้ ผมตอบโต้กับเขาอย่างไม่ลดราวาศอกราวกับจะกลืนกินริมฝีปากของกันและกัน

“หากคืนนี้ผู้จัดการนอนกับผมอย่างมีความสุขโดยปราศจากคำนึงถึงเขา ผมจะขอประกาศตัวเป็นศัตรูกับผู้ชายคนนั้นอย่างเป็นทางการ เขาอย่าได้หมายแตะต้องคุณแบบเดิมได้อีก ผมสัญญา” เมษาหยุดจูบแล้วพูดต่อหน้าผมอย่างนั้น ผมเบิกตากว้าง ด้วยรู้สึกราวถูกตบหน้าอย่างแรงให้รู้สึกตัว ก้มมองตัวเอง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ระเริงสัมผัสจากคนที่เพิ่งพบไม่นาน ความเคลิบเคลิ้มทำให้เมษาเข้ามาใกล้ผมและทศวรรษ ผมผละจากเมษาอย่างกระทันรีบกลับที่ห้องนอน สายตาของเขาแทงทะลุกลางหลังผม นี่ผมทำอะไรลงไป ผมชอบเด็กคนนั้นแล้วมันจะเป็นอย่างไรต่อไป เขากับทศวรรษ และตัวผม

ผมทิ้งตัวนอนบนเตียงทันทีที่ถึงห้อง วางแขนบนหน้าผาก สายตาจับที่เพดานที่มีแขวนโคมคริสตัล เหลี่ยมประกายของมันเล่นแสงแพรวพราวระยิบระยับ ฤาผมกำลังทำให้เรื่องที่ลำบากหัวใจกลายเป็นยิ่งซับซ้อนมากขึ้นอีกกระนั้นหรือ?



Create Date : 12 ตุลาคม 2554
Last Update : 30 มกราคม 2555 22:58:52 น.
Counter : 254 Pageviews.

0 comment
Body Talk (BL) บทที่ 6
บทที่ 6

3 ปีผ่านไป....

"ขอบคุณมากครับ แล้วจะจัดส่งให้ตามที่อยู่ที่ให้ไว้นะครับ" รุจน์ค้อมคำนับส่งลูกค้าสาวที่หน้าร้าน เขาเปิดประตูให้หล่อน หล่อนกล่าวขอบคุณเบาพร้อมทิ้งยิ้มให้ท่าอย่างเปิดเผยให้เขา รุจน์ยิ้มตอบกลับอย่างไม่ประสาทั้งรู้ความหมายเต็มอก เขายืนส่งหล่อนจนหล่อนลับกายหายเข้ารถหรูที่ลานจอดรถจึงหันหลังกลับมาที่โต๊ะทำงาน จัดการเหน็บกระดาษจดที่อยู่ของลูกค้าคนเมื่อครู่ไว้ที่บอร์ด ก่อนจะหยิบโทรศัพท์กดเบอร์ภายในโทรไปหลังที่เก๋กำลังทำงานในห้องทำงานของเขา

"เก๋ วันนี้พี่มีส่งสินค้าให้ลูกค้าสองราย เก๋รายหนึ่ง พี่รายหนึ่งก็แล้วกัน เดี๋ยวเก๋มาช่วยห่อให้ด้วยนะ พี่จะไปพบคุณฟ้าสักครู่"
"รับทราบค่ะพี่ เอ่อ พี่คะ" เก๋ส่งสัญญาณอยากพูดบางอย่าง
"มีอะไรหรือ?"
"อือ พี่ไปพบคุณฟ้าก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวให้รอนานจะวีนพี่เอาอีก ของเก๋เดี๋ยวก็ได้" เก๋พูดตัดบท รุจน์ยักไหล่วางสาย ภายในร้านเมื่อไม่มีลูกค้าก็เงียบสงบ กลิ่นดอกไม้ทุกมุมกรุ่นหอม ปรุงบรรยากาศให้ผ่อนคลาย รุจน์มองไปรอบๆร้าน สามปีที่ผ่านมาแกลลอรี่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา เจ้าของเปลี่ยนมือเป็นน้ำฟ้าแทนวุฒิที่แต่งงานและผันตัวไปดำเนินธุรกิจของภรรยาตระกูลไฮโซ เขาปล่อยมือให้น้องสาวเข้าบริหารงานในฐานะเจ้าของเต็มตัวโดยมีรุจน์ช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง ทั้งสองร่วมมือกัน ความเก่งของน้ำฟ้า บวกกับประสบการณ์ของรุจน์ ทำให้ร้านยิ่งมีชื่อเสียง ไม่มีเศรษฐีไทย ต่างชาติคนไหนในเมืองไทยไม่รู้จักแกลลอรี่แห่งนี้ ทุกวันมีลูกค้าเข้าออกแกลลอรี่ ไม่มากไม่น้อย ทั้งลูกค้าเก่าลูกค้าใหม่ บางวันก็มากราย บางวันก็แค่รายเดียว แต่ที่นี่ไม่ใช่ซุปเปอร์มาร์เก็ต มูลค่าการขาย ก็ต่างกัน ดังนั้นจำนวนจึงไม่ใช่มูลค่า รุจน์รู้ตัวเขายังคงเป็นผู้จัดการคนเดิม เฝ้ารอคอยต้อนรับลูกค้าทุกคนที่จะเดินเข้ามาชมแกลลอรี่แห่งนี้ ในขณะเดียวกันก็เฝ้ารอศิลปินฝีมือระดับแนวหน้าเข้ามาขอใช้สถานที่เปิดนิทรรศการ ชีวิตเขาก็เช่นนี้เรียบง่ายและธรรมดาเสียจนใครบางคนอาจบ่นว่าน่าเบื่อ


รุจน์เบนตาไปประตูหน้าร้าน ทุกวันที่ลูกค้าก้าวเข้ามาเขาจะยินดีต้อนรับทุกคนอย่างเต็มอกเต็มใจอย่างสุดสามารถที่ผุ้ให้บริการพึงมี ทว่าส่วนลึกของสายตานอบน้อมของเขา รอยยิ้มของเขา ยังเฝ้ารอคอย ลูกค้าคนหนึ่งที่หายไป ลูกค้าที่มาซื้อภาพทุกเดือน ลูกค้าที่ทำให้เขามีกินมีใช้อย่างเหลือเฟือจากค่าคอม ลูกค้าที่สอนทุกสิ่งให้กับเขาเมื่อกลับกลายมาเป็นคนที่ทำร้ายเขาอย่างเลือดเย็นที่สุด อยากจะเกลียด อยากจะหนีไปให้ไกล แต่ที่จริงแล้วก็คือ รักสุดหัวใจ รุจน์ก้มหน้าพิงตัวกับขอบโต๊ะ ดูเอาเถอะแม้ในงานสมรสของวุฒิ เขารอคอยอย่างใจจดจ่อด้วยคิดว่าทศวรรษจะมาร่วม ทว่าทศวรรษก็ส่งแต่ของขวัญล้ำค่ามาให้ ทั้งคุณ S และพิสรา ต่างเลี่ยงที่จะพูดถึงเขาอย่างอึดอัดใจ รุจน์ก้าวเดินเชื่องช้าไปประตู เขาอยากต้อนรับลูกค้าคนนั้นอีกครั้งอยากให้เขากลับมายืนที่ประตูนี้พร้อมรอยยิ้มดั่งวันแรกที่เขาก้าวเข้ามาในร้านและชีวิตของรุจน์

ทศวรรษไม่ได้จากไปไหน เขาไม่ได้อยู่ต่างประเทศ ไม่ได้ไปทำงานต่างจังหวัด เขายังอยู่กรุงเทพฯ ยังอยู่กับงานและบริษัทของเขาและคุณ S เรื่องราว ข่าวคราวของเขายังคงอยู่รอบตัวของรุจน์ เพียงแต่เขาไม่ย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับรุจน์ เขาแสดงให้เห็นว่าโลกของเขาและรุจน์ได้ขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง สองคนเป็นแค่คนร่วมหายใจบนโลกเท่านั้น
"เข้ามาซิคะ รุจน์" น้ำฟ้ายิ้มเมื่อรุจน์เข้ามาพบที่หล่อนสั่ง หล่อนนั่งที่โต๊ะทำงานของหล่อนโดยมีผู้หญิงอีกคนนั่งฝั่งตรงข้าม
"งั้นก็ตามนี้นะคะ ขอตัวก่อนล่ะ" หล่อนลุกขึ้นแล้วเดินสวนรุจน์ออกไปที่ประตู หล่อนยิ้มนิดหน่อย รอยยิ้มเย็นชืดและห่างเหินไว้ตัว อย่างเห็นได้ชัด รุจน์ค้อมศีรษะอย่างนอบน้อมให้หล่อน

"มีอะไรหรือครับ คุณฟ้า" รุจน์เดินมายืนตรงหน้าน้ำฟ้า หล่อนถอนใจแล้วยื่นแฟ้มให้รุจน์ เขารับมาเปิดดู
"โตเกียว" รุจน์พึมพัม
"ใช่จ๊ะ เดินทางภายในสองอาทิตย์นี้"
"ยังไม่หายเหนื่อยจากบูดาเปสเลย" รุจน์ปิดแฟ้ม น้ำฟ้าพูดพลางลุกขึ้นยืนแล้วก้าวอ้อมโต๊ะมาหารุจน์
"ยังไม่หายคิดถึงด้วยเหมือนกัน" หล่อนก้าวเข้ามายืนข้างๆแล้วสานเรียวนิ้วหล่อนกับรุจน์ ก่อนจะดึงรุจน์เข้าไปกอด รุจน์กอดตอบ เขาจูบผมยาวกรุ่นหอมแชมพูของหล่อน หลังจากวุฒิอำลาแกลลอรี่แห่งนี้ไป รุจน์จึงทั้งทำหน้าที่ผู้จัดการ ช่วยงานน้ำฟ้าและเดินทางซื้อภาพรอบโลกแทนวุฒิ ในปีแรกๆน้ำฟ้าจะเดินทางไปกับรุจน์ด้วย ความเดียวดายของร่างกาย ผนวกกับความสวยงามในต่างแดน หนุ่มสาวที่มีเพียงกันและกันในดินแดนที่ไม่รู้จักใครทำเกิดความใกล้ชิด น้ำฟ้ารุกเขาสไตล์ฝรั่งเศส กล้าหาญ ตรงไปตรงมาและเร่าร้อน หล่อนทำให้เขารู้สึกดี และผ่อนคลาย ลืมว่าโลกเป็นไปอย่างไรเมื่ออยู่ด้วยกัน

แต่ทั้งสองต่างรู้ดีว่านี่ยังไม่ใช่ความสัมพันธ์อันจะก้าวไปสู่ความรัก การนอนด้วยกันเป็นครั้งคราวก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคำว่า"คนสนิท"ที่น้ำฟ้าให้กับรุจน์ เป็นเรื่องของความสนิทสนมกันเองเท่านั้นจริงๆ รุจน์หย่อนแฟ้มทีถือลงบนโต๊ะแล้วกอดน้ำฟ้าเต็มสองแขน
"ไม่ไปด้วยกันหรือฮะ" เขากระซิบ น้ำฟ้าหัวเราะเบาแล้วจูบที่คอของเขา
"รุจน์ก็รู้นี่คะเราทำแบบเมื่อก่อนไม่ได้ ธุรกิจกำลังขาขึ้นแบบนี้เราสองคนไม่อยู่ทั้งคู่ไม่ได้หรอกค่ะ"
"ก็เผื่อคุณฟ้าใจอ่อน"
"ใจอ่อนมาตั้งแต่เห็นรายละเอียดของลูกค้าแล้วค่ะ"
รุจน์ก้มลงจูบริมฝีปากของหล่อนเบาบาง หล่อนจูบตอบ ทั้งคู่อยู่อย่างนั้นเนิ่นนานก่อนผละออกจากกัน

"ไม่ไหวล่ะ ก่อนจะละลายผมไปทำงานก่อนดีกว่า" รุจน์หยิบแฟ้มบนโต๊ะ
"บายค่ะแล้วเจอกันตอนเย็น"
"โอเค ที่เดิม"
"Mr.lover" หล่อนส่งจูบให้รุจน์ เขาไม่ได้หันมาหากแต่ยกมือโบกให้เท่านั้น

ปิดประตูแล้วแอบยิ้มพร้อมพยักหน้ากับตัวเอง โลกและอารมณ์มีสิ่งให้เรียนรู้ เรื่องนี้ไม่มีใครล่วงรู้ เขาเป็นได้แค่นี้อีกครั้ง..Lover ชู้รัก

รุจน์เดินทอดน่องลงขั้นบันไดจากข้างบนเห็นเก๋ที่กำลังง่วนกับงานก็จำได้ถึงสิ่งที่หล่อนพูดค้างไว้ เขารีบก้าวลงไปหา
“ขอโทษนะมาช้าไปหน่อย” รุจน์ถอดเสื้อนอก แล้วปลดกระดุมแขนเสื้อแล้วพับขึ้น จากนั้นหันไปหยิบอุปกรณ์ที่ต้องใช้มาไว้ใกล้ตัว
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก งานของพี่ด้วยเหมือนกัน ช่วงนี้งานมากจังน๊า พี่คงจะหาคนมาช่วยเก๋แล้วล่ะ เอ..ว่าแต่ที่พูดค้างไว้น่ะมันอะไรเหรอ?”รุจน์หยิบจับทุกสิ่งว่องไวชำนาญ
“เอ่อ มันก็เกี่ยวกับที่พี่รุจน์พูดเมื่อครู่ล่ะค่ะ ถ้าพี่หาคนได้ก็ดีน่ะ”

“ดีอยู่แล้วเราจะได้เหนื่อยน้อยลงไง กำลังจะขอคนกับพี่อยู่พอดีน่ะสิ” รุจน์ยิ้มขณะผูกริบบิ้นทบแรก
“ไม่ใช่หรอกค่ะ คือว่า...” เก๋หยุดมือจากงานที่ทำ หล่อนหันมาทางรุจน์สีหน้าจริงจัง ก่อนจะพุ่มมือกราบบนบ่าของเขา หล่อนอยากจะกอดเขาด้วยซ้ำ เขาช่างสวยงามได้ทุกช่วงเวลา ทุกขณะจิตที่หล่อนรู้สึกได้ เพียงแค่ได้เห็น ได้มอง ก็หวั่นไหวจนต้องระงับใจ หลายปีที่ทำงานมาด้วยกันเขาเสมือน ดอกไม้ ดวงตะวัน และความอบอุ่นยามที่หล่อนอยู่ใกล้ แต่ตอนนี้คงไม่สามารถอีกต่อไปแล้ว

“อะไรกันน่ะ ไม่ต้องซาบซึ้งขนาดนี้ก็ได้ครับ” รุจน์เอนตัวมอง เขาจับมือรับไหว้หล่อนพร้อมขยับห่างออกอย่างเกรงใจ
“คือว่ามันไม่ใช่น่ะค่ะ เก๋น่ะตอนนี้ก็ปีสี่แล้วอีกไม่นานก็จะจบ บริษัทต่างชาติที่สมัครงานไว้ เขาตกลงใจรับเก๋ค่ะ แต่ว่าเก๋ต้องเข้าไปฝึกงานที่บริษัทแม่ในอังกฤษสองปีค่ะ เก๋ต้องขอโทษพี่รุจน์ด้วยนะคะ สิ้นเดือนนี้เก๋จะลาออกค่ะ เก๋ต้องเตรียมตัวหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนจบ เรื่องงาน” เก๋ก้มหน้างุดตลอดเวลาที่บอกกล่าว รุจน์อึ้งไปพักหนึ่ง แต่เขาก็ถอนใจยิ้มออกมาพร้อมยื่นมือให้เก๋

“ไม่เห็นต้องขอโทษอะไรเลย นี่เป็นข่าวดีนะ พี่ยินดีด้วย”
เก๋เงยหน้าหล่อนยื่นมือออกมาจับกับรุจน์ด้วยความงงงัน
“พี่อาจจะเสียดายเรานะ แต่มันไม่สำคัญหรอก อนาคตของเก๋น่ะดีที่สุดนะ” รุจน์ยื่นอีกมือมาจับศีรษะของผู้ช่วยสาว
“แล้วพี่จะทำอย่างไรต่อไปคะ?”
“ก็เหมือนเคยปิดประกาศหน้าร้าน วานคนรู้จักช่วยดูให้อีกทาง”
“คงนานเหมือนกันนะ รู้สึกแย่จังทำที่ร้านลำบากไปด้วย”
“เก๋ยังอยู่จนกว่าจะสิ้นเดือนไม่ใช่หรือ? ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก บางทีเราอาจจะได้คนเร็วกว่าที่คิดก็ได้ มองโลกในแง่ดีไว้” รุจน์ขยิบตาให้ เก๋ค่อยยิ้มออกอย่างโล่งใจ

“พรุ่งนี้เย็นเลิกงานแล้วไปฉลองกัน พี่เลี้ยงเอง”
“จะดีเหรอคะ? ทำให้ต้องลำบากยังจะมาลอยหน้ากินเลี้ยงพี่อีก เกรงใจค่ะ” เก๋โบกมือพัลวัน
“พูดมากนะ เดี๋ยวสิ้นเดือนนี้ไม่จ่ายเงินเดือนซะนี่” รุจน์ทำหน้าดุแบบไม่จริงจัง
“ก็ได้ค่ะ ก็ได้ค่ะ” เก๋รีบพยักหน้าเร็วก่อนจะเหลียวมองรอบร้าน สองสามปีที่ผ่านมาร้านนี้เปลี่ยนแปลงและต่อเติมขยายใหญ่ขึ้นจนแทบจำสภาพเดิมตอนที่หล่อนเข้ามาทำงานใหม่ๆไม่ได้

“เวลาผ่านไปไวจังเนอะพอมาสังเกตอีกทีเราก็เหมือนคนแปลกหน้าในแกลลอรี่คนอื่น ที่นี่เมื่อก่อนว่าสวยนะแต่ว่าตอนนี้สวยกว่าสุดๆ”
“ใช่ไหมล่ะ คุณน้ำฟ้าออกแบบตกแต่งด้วยตัวเองนี่นา เขาเก่งทั้งเรื่องธุรกิจและศิลปะจริง” รุจน์ยิ้มปลื้มขณะกวาดตามองมุมเดียวกับเก๋
“คุณน้ำฟ้าเก่งและที่นี่ประสบความสำเร็จได้ทุกวันนี้ มันก็บวกกับปรสบการณ์ของพี่รุจน์ด้วย ถามจริงๆเหอะพี่” เก๋ก้มลงกระซิบ รุจน์ก้มลงฟัง
“ไม่คิดจะจีบนายเรามั่งหรือคะ?”

“นอกเรื่องแล้ว เดี๋ยวก็คอขาดทั้งคู่หรอก” รุจน์ผละออกมาหยิบห่อภาพเขียนขึ้นวางบนโต๊ะทำงาน
“ก็มันจริงนี่นา พี่กับนายสาวของเราน่ะ สมกันจะตาย เขาเก่ง พี่ชำนาญ ธุรกิจเฟื่องฟูสมใจคุณวุฒิแน่ๆ”
“พูดมากน่า ไปส่งของกันเถอะ” รุจน์รูดแขนเสื้อลง กลัดกระดุมแขนแล้วหันไปหยิบกระดาษจดที่อยู่บนบอร์ดส่งให้เก๋ ส่วนเขาก็หยิบอีกแผ่นใส่กระเป๋าสูทที่กำลังฉวยมาสวม
“อ้าว แล้วร้านใครดูแลล่ะ?”

“คุณฟ้าจะอยู่อีกสักสองชั่วโมงก่อนไปพบลูกค้าคนสำคัญที่จะสั่งซื้อภาพเกรดรองจำนวนมากไปประดับที่โรงแรมเปิดใหม่คนที่มาที่ร้านวันก่อนไง” รุจน์พูดพลางเดินไปที่ประตูหน้าร้าน เก๋มองตามรูปร่างสูงโปร่งในชุดทำงานสีน้ำเงินพลางคิด หล่อนไม่ได้พูดเล่นด้วยเห็นภาพสวยงามของอนาคตของทั้งรุจน์และน้ำฟ้าอย่างที่นั้นจริงๆ ทุกคราที่หล่อนเห็นทั้งคู่ยืนเคียงกันไม่ว่าจะเวลาทำงานหรือเวลาอื่น พวกเขาเหมาะสมจนหาคำติติงมาลบล้างมิได้ ผู้หญิงก็สวยจัดชวนมอง ผู้ชายก็หล่อซึ้งชวนให้ใจละลาย
“เป็นผู้หญิงแถวหน้าเมื่อไหร่ ถ้าพี่รุจน์ยังว่างอยู่ เก๋จะมาสอยล่ะ” เก๋พูดกับตัวเองยิ้มๆ

รุจน์ค้อมศีรษะเมื่อลูกค้าส่งซองเช็คให้
“ตรวจดูจำนวนเงินให้เรียบร้อยก่อนกลับนะ” ลูกค้าชายวัยกลางคนเดินไปรินไวน์ที่เคาเตอร์
“งั้นขออนุญาตเสียมารยาทนะครับ” รุจน์เปิดซองที่ไม่ได้ปิดผนึกออกดู ทุกอย่างเรียบร้อยเหมือนทุกครั้ง อันที่จริงไม่ต้องตรวจก็ได้แต่ลูกค้ารายนี้มักขยั้นขยอให้ทำเช่นนี้ทุกครั้ง
“ขอบพระคุณอย่างสูงครับทุกอย่างเรียบร้อยครับ”
“อืม งั้นช่วยแกะภาพให้ดูหน่อยได้ไหมครับ?” ฝ่ายนั้นใช้นิ้วสวมเพชรชี้ รุจน์คำนับรับคำแล้วเดินไปแกะและโชว์ให้เขาดูตามประสงค์ ชายกลางคนพยักหน้าพอใจ

“ดื่มก่อนไหม?” เขาชูแก้วไวน์ในมือ
“ขอบพระคุณครับ แต่ผมจะไม่ได้ครับผมอยู่ในระหว่างทำงาน”
“อ้อ โอเค โทษที”
“มิได้ครับ งั้นผมาขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“เชิญ”
รุจน์ก้าวออกมาจากเพ็นเฮาส์สุดหรูด้วยความโล่งอก งานจบแล้วเขาไม่ค่อยถูกโรคกับพวกนักการเมืองเลยจริงๆทำตัวลำบากเวลาอยู่ต่อหน้า รุจน์พลิกนาฬิกาข้อมือดูเวลา ถ้ากลับที่ทำงานตอนนี้ยังทันสับเปลี่ยนกับน้ำฟ้า เขารีบขยับพุ่งไปที่ลิฟท์ทันทีที่ได้ยินเสียงสัญญาณจอด ลิฟท์เปิดที่ชั้นที่เป็นที่จอดรถ รุจน์ก้าวออกมาเขากดรีโมทเสียงสัญญาณก็บอกตำแหน่งที่จอดรถไว้ มือถือของรุจน์ดังเขามองเบอร์แล้วยิ้มก่อนกดรับ

“ภารกิจเรียบร้อยครับเจ้านาย ผมกำลังจะกลับไปหาคุณ อื้ม จำได้ครับผมจะไปรอนะ” รุจน์กดปิดสายแล้วเดินตรงไปที่รถ เสียงสัญญาณของรถอีกคันดังขึ้น รุจน์ไม่ได้ให้ความสนใจเขาเปิดประตูรถ ขณะที่กำลังค้อมกายลงนั่งในรถสายตาก็เหลือบมองที่รถที่จอดฝั่งตรงข้าม รุจน์ตัวแข็ง ดวงตาของสั่น ผุ้ชายในรถสตาร์ทรถแล้วกำลังจะออกรถ
“ไม่นะ หยุดก่อน” รุจน์รีบโดดออกมาจากรถ ก้าวพรวดไปที่รถที่ออกตัวไปแล้ว
“คุณทศ หยุดก่อนครับ” รุจน์หยุดยืนหอบหายใจแรงจนแทบสำลัก
“ผมอยู่ตรงนี้ ผมสบายดี แล้วคุณล่ะครับสบายดีไหม? และผมก็คิดถึงคุณจริงๆ” เขาทรุดตัวลงกองพื้นอย่างหมดแรง

น้ำฟ้าก้าวขึ้นมาบนเตียงหล่อนยื่นแก้ววิสกี้ให้รุจน์ที่นอนเหม่อมองเพดาน ร่างกายไร้อาภรณ์ของเขามีเพียงผ้าเช็ดตัวปิดช่วงล่างไว้ ส่วนผ้าห่มกองอยู่บนพื้นปลายเตียง ผลจากพิศวาสร้อนแรงสไตล์ฝรั่งเศส รุจน์ยันกายขึ้นรับวิสกี้จากมือน้ำฟ้ามากระดกดื่มรวดเดียวหมด
“เหนื่อยมากเลยเนอะ”น้ำฟ้าที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกายยิ้มหยอกล้อ หล่อนกำลังพูดถึงชั่วยามที่ผ่านมา ชั่วยามที่หล่อนและเขาแทบจะไม่มีนาทีถอนกายห่างจากกัน
“ อื้ม” รุจน์พยักหน้าแรง เขาอยากนอนเหลือเกินตอนนี้ น้ำฟ้าเท้าคางไล้สายตาไปทั่วร่างกายของรุจน์
“ไม่คิดว่าตัวคุณผอมไปหน่อยหรือคะ”หล่อนอมยิ้ม
“ไอ้สายตาแบบนั้นน่ะ มันอะไรกันครับ” รุจน์หดขาไปชันเข่า

“ก็จะบอกว่าถึงจะผอมแต่ก็เซ็กซี่น่ะสิ”
“สาวฝรั่งเศสนี่มีอะไรให้ประหลาดใจอยู่เรื่อย”
น้ำฟ้ายื่นมือมาจับข้อเท้าของรุจน์
“คุณมีข้อเท้าที่สวยมากรู้ไหมคะ ไม่ว่าผู้ชายหรือผุ้หญิงจะมีจุดขายต่างกัน บางคนก็ดวงตา บางคนก็หุ่น บางคนก็ช่วงขา เยอะแยะไปหมด แต่ของคุณนี่ต้องเปลือยกายพร้อมข้อเท้าคู่นี้ประการเดียว แถมดูซิยังสวมสร้อยเก๋ๆนี่อีก แสดงว่าคุณรู้จุดขายตัวเองดี ถึงเสริมให้มันเร้าใจ ฉันน่ะต้องตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เรามีเซ็กส์กันแล้ว แต่แบบเข้าใจใช่มั้ยเวลาหายใจยังไม่มี ก็เลยได้แต่เก็บคำชมไว้ก่อน”

รุจน์พ่นหัวเราะออกมา
“ คุณนี่พูดตรงอีกแล้ว ผมไม่รู้จะดีใจหรือเขินกับคำชมนี้ดี”
“ทำไมล่ะ รู้สึกอย่างไร อยากแสดงออกอย่างไร ก็ทำออกมานี่ล่ะ น้ำฟ้าล่ะ”
“นี่ไงจุดขายของคุณ”รุจน์ดึงหล่อนมานั่งใกล้ๆ น้ำฟ้ามองสร้อยที่ข้อเท้าของเขาอีกครั้ง
“อันนี้มันไม่ใช่ธรรมดานี่นา” หล่อนยื่นมือจะมาจับ รุจน์รีบหดเท้าหนี หล่อนเงยหน้ามองหน้าเขา แต่เขาหลบตา

“ฉันไม่ควรแตะต้องมันใช่ไหมคะ” น้ำฟ้าหดมือกลับ
“....”รุจน์ไม่ตอบ
“โอเคค่ะ เข้าใจค่ะ ใครก็มีกันได้ ความหลัง มันเกี่ยวกับสร้อยเส้นนี้ซินะคะ”
“ผมขอโทษ”
“ขอโทษทำไมคะ รุจน์นี่น่ารักเสมอเลยนะ ฉันไม่สนหรอกค่ะ เรื่องส่วนตัวเราต้องเคารพกันและกันค่ะ” น้ำฟ้าหัวเราะร่วน

“เราชอบกัน แต่เราไม่ได้รักกัน ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกนะคะหากคุณจะมีความหลังที่พูดไม่ได้” หล่อนเอนกายอิงกับรุจน์ เขาเอนศีรษะซบกับศีรษะหล่อน มือแอบแตะสร้อยข้อเท้า
... นี่ไม่ใช่ความหลังของเขา หากแต่เป็นสัญญาที่ใครคนหนึ่งบอกไว้สักวันจะกลับมา...


รุจน์นั่งเหม่อมองสายฝนที่ไหลเป็นสายน้ำหลายสายบนกระจกร้านด้านนอก ถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่า สองสัปดาห์แล้วที่เก๋ต้องออกจากงานก่อนกำหนดสิ้นเดือน เหตุเพราะบริษัทต้องการส่งตัวไปเรียนภาษาเพิ่มเติมก่อนเข้าฝึกงานที่บริษัทต้นสังกัดในประเทศอังกฤษเป็นเวลา 6 เดือน ยังดีที่เลี้ยงส่งทัน ทว่าหลังจากนั้นรุจน์กับน้ำฟ้าแทบลากสังขารกลับบ้านทุกวัน

“รุจน์ได้คนยังคะ” คำถามประจำวันที่น้ำฟ้าถามเขาทันทีที่ถึงแกลลอรี่ คำตอบประจำวันของรุจน์ที่ทำเอาน้ำฟ้าหงอยเดินขึ้นห้องทำงานตัวเองทุกวันเช่นกันคือ ส่ายหน้า รุจน์เองก็หนักใจไม่แพ้หล่อนที่ต้องให้คำตอบเช่นนั้น ตลอดสองสัปดาห์จนวันนี้ทั้งประกาศหน้าร้านและไหว้วานคนรู้จักยังไม่มีความคืบหน้า จะไม่ให้รู้สึกแย่ได้อย่างไรในเมื่องานเท่าเดิมเพิ่มขึ้นในบางวัน แต่พนักงานน้อยลง รุจน์ไม่รู้สึกอะไรมากนักเพราะเคยทำมาก่อน แต่น้ำฟ้านี่ซิหล่อนต้องห่อของ ส่งของเองเป็นบางครั้งทั้งที่ไม่เคยทำกระนั้นหล่อนก็ไม่เคยปริปากบ่น มีเพียงสีหน้าอ่อนล้าในวันที่ยุ่งที่สุดเท่านั้นนั่นมันมากเกินพอ รุจน์สงสารหล่อน และรู้สึกผิดเต็มทีที่หาคนไม่ได้

รุจน์โน้มตัวเท้าคางบนโต๊ะทำงาน มองฝนที่ปรอยปรายไม่ขาดสายแล้วห่อไหล่ยามสูดหายใจเข้า เขาไม่ชอบฝนเลย ฝนและบรรยากาศครึ้มมืดทำให้รู้สึกเหงาจนปวดใจ เสียงฟ้าร้องด้วยทำให้เขารู้สึกประสาทเสียด้วยความกลัว ทั้งเหงาทั้งกลัวความรู้สึกแบบนี้มันแย่จริงๆ รุจน์อ้าปากพ่นลมหายใจใส่กระจกจนเป็นฝ้าขาว เขาเขียนตัวหนังสือบนนั้นแต่ก็รีบลบออก เมื่อได้ยินเสียงฟ้าเดินลงมาจากชั้นบน
“ รุจน์คะ ฉันไปพบพี่วุฒินะคะ แล้วก็คงจะอยู่ทานกลางวันกับพี่เลย บ่ายๆถึงจะเข้านะคะ”
“ครับ เดินทางดีๆนะครับ” รุจน์ลุกขึ้นเดินไปส่งน้ำฟ้าที่หน้า หล่อนหันมาจูบเขาที่แก้ม รุจน์สะดุ้งพริบตาตระหนก น้ำฟ้าหัวเราะคิก

“อย่าทำตัวน่ารักบ่อยซิคะ ฟ้าอดใจไม่ไหวทุกทีที่เห็นเลย”
“ผมตกใจจริงๆนะ นี่หน้าร้านนะครับ คนผ่านไปมา” รุจน์เหลือบมองออกไปที่หน้าถนน
“หน้าร้านไม่ใช่หน้าประตูนี่คะ”
“แต่ถ้ามีลูกค้าเข้ามาล่ะ”
“ลูกค้าไม่ตากฝนมาซื้อภาพหรอกค่ะ”
“รอเดี๋ยวนะครับ ผมไปเอาร่มไปส่งคุณที่รถ”


“ไม่ต้องหรอกค่ะ เราเหลือกันอยู่แค่สองคน ไม่มีคนอยู่ที่นี่หากไปด้วยกัน”
“นั่นซินะ”
“ไปนะคะ” น้ำฟ้าเดินไปหยิบร่มที่หน้าร้านแล้วก้าวออกนอกประตู รุจน์ยกมือบายหล่อนแล้วกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม ทิ้งตัวนั่งมองสายฝนอย่างเบื่อๆต่อไม่ทันได้ภวังค์หาสิ่งใด ก็ได้ยินเสียงประตูเปิด

“ลืมอะไรหรือครับคุณฟ้า” รุจน์หันไปยิ้ม แต่ที่หน้าประตูไม่ใช่น้ำฟ้า เป็นเด็กหนุ่มร่างสูงราวพวกนักกีฬา เสื้อผ้าของเขาเปียกฝน สองลำแขนกอดตัวเองอย่างหนาวๆ
“คือว่า...ผม” เขาปล่อยแขนหนึ่งชี้นิ้วไปที่ประตู
“ครับ?” รุจน์เดินเข้าไปใกล้
“พนักงานพาร์ทไทม์” เด็กหนุ่มยิ้มดวงตาหรี่เล็กอยู่ใต้ปอยผมที่ยาวลงมาบัง
“อ้อ ครับ” รุจน์ยิ้มอย่างยินดีออกนอกหน้า

“เชิญตามผมมาครับ กรอกใบสมัครก่อนนะครับ” รุจน์ผายมือไปที่ห้องทำงานของเขาด้านหลังร้าน ทว่าเด็กหนุ่มยังยืนลังเล รุจน์หยุดหันมามอง
“คือว่าพอดีผมผ่านแค่นั้น ไม่ได้เอาหลักฐานอะไรมาเลยน่ะครับ จะเข้ามาถามว่าจะเปิดรับถึงเมื่อไหร่น่ะครับ” เขายังยิ้มดวงตาและสีหน้าของเขาสดใสราวกับมีประกายของแดดอุ่น รอยยิ้มที่ใครคงมิอาจถอนสายตาไปได้ รอยยิ้มที่ไร้เดียงสาปราศจากพิษภัย รุจน์ถอนใจยิ้ม

“อย่างนั้นหรือครับ ถ้างั้นก็อืม...” รุจน์นิ่งคิดครู่หนึ่ง
“เอาอย่างนี้ ใช้สำเนาบัตรประชาชนก่อนก็ได้ครับ ถ้าเราตัดสินใจรับคุณวันทำงานวันแรกก็เอาหลักฐานทั้งหมดมาให้เรา”
“ได้หรือครับ?” ท่าทางดีใจของเขา ทำให้รุจน์นึกถึงเด็กที่ได้ของถูกใจ
“ได้ซิ”
“ผู้จัดการไม่ว่าหรือครับ ถ้าคุณจะทำแบบนี้”

“เขาตามใจผมเสมอล่ะครับ ผมว่าอะไรเขาก็ว่าตาม” รุจน์ปล่อยลูกเล่น
“โห สุดยอด อย่างนั้น ผมจะไปถ่ายสำเนาก่อนนะครับ” ทำท่าจะออกไปข้างนอก
“ไม่ต้องหรอกครับที่นี่เรามีเครื่องถ่าย ขอบัตรผมแล้วคุณก็เข้าไปกรอกใบสมัครในห้อง” รุจน์เดินนำเขาไปที่ห้อง เปิดประตูแล้วเดินเข้าไปหยิบใบสมัครมายื่นให้ เด็กหนุ่มนั่งหน้าโต๊ะ เขาหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาหยิบบัตรให้รุจน์
“ผมจะไปถ่ายเอกสารให้นะครับ”

รุจน์ขึ้นไปบนห้องของน้ำฟ้า เขาจัดการถ่ายเอกสารบัตรประชาชนให้กับเด็กหนุ่มเมื่อมองชื่อก็อมยิ้ม
“นี่ถ้าหมอนี่เป็นเด็กทารก ฉันจะเชื่อเลยว่าแม่เขาชอบ ละครหลังข่าวสุดๆ เป็นผู้ชายแต่ดันชื่อ เดือนฉาย” รุจน์ส่ายหน้ายิ้มขำๆ
“เรียบร้อยนะครับ เซ็นต์ชื่อรับรองเอกสารด้วยนะครับ” รุจน์มองเด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาทำทุกอย่างที่เขาให้ทำใบหน้าสะอ้านที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผมเผ้าที่ไว้ข้างหน้ายาวปิดหูปิดตา แล้วแอบยิ้ม
“ผมขอสัมภาษณ์เลยก็แล้วกันนะ” รุจน์เดินอ้อมมานั่งหลังโต๊ะ
“ผมขอพูดอะไรสักอย่างได้ไหมครับ” เด็กหนุ่มอ้อมแอ้ม
“ครับ”
“ที่จริงผมไม่ได้อยากสมัครพาร์ทไทม์หรอกนะครับ ผมอยากได้งานประจำมากกว่า พอจะเป็นไปได้ไหมครับ”
ฟังที่เขาแสดงจำนงค์ในการสมัครแล้วรุจน์ต้องเอนตัวพิงพนักพิงเก้าอี้ สีหน้าเขานิ่ง
“ไม่ได้จริงๆด้วย งั้นสมัครแค่พาร์ทไทม์ก็ได้ครับ” เด็กหนุ่มหน้าเสีย

“นั่นเป็นอะไรที่ผมอยากได้มากกว่าพาร์ทไทม์เสียอีก” รุจน์ยิ้มอย่างพอใจ ไม่ว่าสิ่งใดดลใจเด็กคนนี้ เขาขอขอบคุณ พนักงานประจำนั้นจะช่วยเขาได้มากกว่าพนักงานชั่วคราว
“ว่าแต่คุณยังดูเด็กอยู่เลย น่าจะยังเรียนอยู่นะเป็นพนักงานประจำได้หรือ”
“ผมเรียนมหาวิทยาลัยเปิดน่ะครับ”
รุจน์พยักหน้าเข้าใจ เขาอ่านใบสมัครแล้วจึงเริ่มสัมภาษณ์ เด็กคนนี้เป็นอย่างที่รุจน์คิดหน่วยก้านดีและยังฉลาดดูเอาการเอางาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงต้องพิสูจน์ที่ผลงานอีกครั้ง

“เราตัดสินใจอย่างไรจะติดต่อไปนะครับ คุณเดือนฉาย”รุจน์ทำสีหน้าปกติยามพูดชื่อของเขา
“เอ่อ....ครับ”เด็กหนุ่มลูบท้ายทอยตัวเอง รุจน์เผลอยิ้มออกมา
“นึกแล้วคุณต้อง..” เขาลุกขึ้นเขินๆ
“เรียกผม เมษา ดีกว่าครับ เราจะได้จะไม่ขำกันเอง” เด็กหนุ่มเข้ามาเดินคู่มากับรุจน์ขณะออกจากห้อง เมื่อเทียบกันแล้วเขาสูงกว่ารุจน์นิดหน่อย
“...”รุจน์เอียงคอมองอย่างสงสัย
“ชื่อเล่นผมน่ะครับ ผมมักให้ใครเรียกชื่อเล่นมากกว่า” เมษายิ้มแล้วค้อมศีรษะฝากฝังตัวเองให้รุจน์ช่วยบอกให้ผู้จัดการพิจารณาเขาด้วย พอรุจน์พยักเขาก็ยิ้มกว้างจนดวงตาเป็นเส้นตรง รุจน์ไม่อยากรู้สึกหากแต่ก็อดไม่ได้ รอยยิ้มเต็มที่แบบนั้น ราวกับแผ่ความอบอุ่นให้กับสรรพสิ่งรอบกายได้จริงๆ แม้ในเวลานี้ฝนจะตกจนหนาวเย็นแต่เมษาก็คือฤดูร้อนกลางสายฝน เขาทำได้เพียงรอยยิ้มที่อบอุ่นจริงใจแค่นั้น

กลางคืนรุจน์โทรรายงานน้ำฟ้าทางโทรศัพท์พร้อมทั้งถามความเห็นของหล่อนเรื่องพนักงานประจำ เขาหนีบโทรศัพท์กับไหล่ขณะพูด สองมือกำลังหยิบของบนโต๊ะทำงาน เขาเปิดพาสปอร์ตดูแล้วหยิบใส่กระเป๋าหนังสำหรับสะพายไหล่
“โห เรียกว่าเราแจ็คพอตเลยนะ พนักงานประจำน่ะเป็นอะไรที่อยากได้มากกว่าพนักงานชั่วคราวอีก”น้ำฟ้าแสดงความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“ครับ พรุ่งนี้จะตามให้มาทำงานนะครับ”
“ดำเนินการตามที่รุจน์เห็นสมควรก็แล้วกันนะคะ”
“โอเค ครับ”
“ทำอะไรอยู่คะ”
“เตรียมเอกสารอยู่ครับ พรุ่งนี้ต้องเดินทางแล้ว ผมเลื่อนไฟลท์ไม่ได้แล้วล่ะ เรื่องพนักงานก็เรียบร้อยแล้ว”

“เดี๋ยวเสร็จแล้วมาหาฟ้าที่ร้านxxx หน่อยได้ไหมคะ พี่วุฒิอยากเจอคุณด้วยน่ะค่ะ”
“อยู่กับคุณวุฒิหรือครับ?”
“ค่ะ”
“ได้ครับ เดี๋ยวเสร็จจากตรงนี้ผมจะไปครับ” รุจน์เก็บปิดโน๊ตบุ๊คส่วนตัวแล้วยัดใส่กระเป๋า มองทุกอย่างเรียบร้อยแล้วคว้าสายกระเป๋าพาดขวางไหล่ ปิดไฟแล้วเดินออกนอกห้องไขกุญแจล๊อค

เมษาเหม่อมองชามในอ่างล้าง เขากำลังกังวลเกี่ยวผลสัมภาษณ์ ทีท่าผู้สัมภาษณ์ทำให้เขามีหวัง แต่อีกใจก็บอกให้เผื่อผลลัพธ์ที่เป็นลบด้วย เขาผ่านเรื่องพวกนี้มาหลายครั้งจนอดที่จะหวั่นใจลึกๆไม่ได้ จริงอยู่ผู้สัมภาษณ์อาจชอบใจเขาแต่หากผู้จัดการหรือผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจโดยตรงไม่เห็นล่ะ เมษาส่ายหน้าเซ็งแล้วกำลังจะลงมือล้างชาม โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่น เขาล้างมือแล้วหยิบมือถือขึ้นดูเบอร์แต่ไม่คุ้น
“ครับ เมษาครับ”
“คุณเดือนฉาย”
เสียงในสายทำให้เมษาอมยิ้ม เขาพูดเนิบๆกลับไป

“เมษาเถอะนะครับ”
ปลายสายหัวเราะ
“พรุ่งนี้มาพบผู้จัดการ พร้อมหลักฐานที่เหลือนะครับ”
“จริงหรือครับ หมายความว่า..” เมษาวิ่งออกมานอกครัว ขณะคนอื่นๆกำลังวุ่นวายกับงาน มีเสียงตะโกนโหวกเหวกตามหลังออกมา “เฮ้ย ไอ้เม ทิ้งงานได้ไงวะ ชามต้องใช้ด่วน นี่เย็นวันศุกร์นะเฟ้ย ลูกค้าอย่างกับหนอน”

เมษาปิดหูโทรศัพท์หันไปทำท่าขอเวลานอกแล้วออกมา
“ยินดีต้อนรับครับพนักงานใหม่”
“ขอบคุณมากเลยนะครับ คุณพูดกับผู้จัดการให้ผมใช่ไหมครับ”
“ก็คงทำนองนั้น” รุจน์กดรีโมทรถ เขาแอบยิ้ม
“ขอบพระคุณมากเลยครับ”
“พรุ่งนี้พบกันนะ มาเช้านิดหนึ่งผู้จัดการเขาต้องบินไปญี่ปุ่น มาเจอกันหน่อย”
“ได้ครับ” น้ำเสียงยินดีของอีกฝ่ายทำให้รุจน์นึกถึงใบหน้าเจิดจ้ายามแย้มยิ้มออก และอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

“อะไรวะไอ้เม บอกแล้วว่าในเวลางานอย่าคุยโทรศัพท์” หัวหน้าพ่อครัวยืนเท้าเอวที่หน้าประตู
“น่า เฮีย สายนี้ไม่รับไม่ได้สำคัญมากๆ ชามน่ะจะรีบล้างให้เดี๋ยวนี้เลยคร๊าบ” วิ่งไปกระฉับกระเฉงไปที่อ่างลงมือล้างอย่างอารมณ์ดี ใครส่งมากองใหญ่แค่ไหนรับหมด หัวหน้าพ่อครัวส่ายหน้ายิ้มแล้วกลับไปทำงานหน้าเตาตามเดิม เมษาล้างชามไปยิ้มไปอย่างมีความสุข เมื่อเสร็จจากงานล้างก็กลับมาที่ล๊อคเกอร์เปลี่ยนชุดเป็นพนักงานเสิร์ฟ แต่งตัวเสร็จหยิบคาดผ้ากันเปื้อนที่ยาวถึงเท้าสำหรับพนักงานเสริ์ฟมาผูกเอวแล้วมองตัวเองในกระจก
“ลาก่อนคนตกงานแปดเดือนเต็ม”

รุจน์มาถึงพุ่มมือไหว้วุฒิเจ้านายเก่า วุฒิบอกให้เข้าไปนั่งที่ว่างด้านในสุด เขามองที่นั่งข้างน้ำฟ้า หล่อนยักไหล่เชิงว่าช่วยไม่ได้
“รุจน์ดื่มอะไร”วุฒิยื่นเมนูเครื่องดื่มให้
“อะไรก็ได้ครับ แล้วภรรยาพี่ล่ะครับ”
“โอ คนท้องอ่อน มาอยู่ดึกดื่นได้ไง”
“จริงหรือครับยินดีด้วย”
“ขอบใจ” วุฒิหันไปสั่งรายการอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มกับพนักงาน ส่วนน้ำฟ้าที่ดื่มไปบ้างแล้วก็จ้องรุจน์จนเขาทำตัวไม่ถูก

“ถือว่าฉลองที่ได้พนักงานใหม่กันแล้ว”
“พี่ไม่มีเพื่อนดื่มต่างหากวันนี้” น้ำฟ้าทำแก้มป่อง ที่จริงหล่อนอยากดื่มกับรุจน์เพียงสองคนคืนนี้มากกว่า
“ที่ไหนล่ะ ทำไมจะไม่มีคนอย่างพี่ไม่ขาดเพื่อนหรอกเฟ้ย นั่นๆๆมาแล้ว” วุฒิยกมือให้คนมาใหม่มองเห็น
“พี่นัดมาให้ฟ้าได้สานต่อเจตนารมณ์ไม่ดีเหรอ ในเมื่อคนหนึ่งดันหนีไปกับสาวอื่นแล้ว ฉะนั้นที่เหลือน้องต้องรีบ” วุฒิกระซิบกับน้องสาว น้ำฟ้าหันไปมอง

“พี่วุฒิน่ะ ไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ยังไม่ได้ทำสวยเลย” น้ำเสียงหล่อนตกประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
“รอฟ้าสวย มันก็คงไม่ว่างหรอก หมู่นี้ทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง ไม่ค่อยจะว่างให้เวลากับเพื่อนฝูงเลย” วุฒิพยักหน้า รุจน์ตั้งใจจะหันไปมองบ้างแต่คนมาใหม่ก็ก้าวมาถึงโต๊ะแล้ว รุจน์กับเขาสบตากัน รุจน์หน้าซีด ส่วนเขาหน้าเสีย

“คุณทศ” รุจน์พึมพัมเบาๆ



Create Date : 12 ตุลาคม 2554
Last Update : 29 มกราคม 2555 23:29:10 น.
Counter : 221 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

vannessia
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]