Body Talk(BL)บทที่ 13
บทที่ 13

ชีวิตที่เป็นปกตินั้นเป็นอย่างนี้เองซินะ ผมยกกาแฟขึ้นจิบขณะมองต้นไม้ ดอกไม้ที่โผล่สีสันหรอมแหรมตามระเบียงบ้านคน รถรา ผู้คนที่เดินบนถนนไกลๆนอกหน้าต่างห้องแพนทรี ทุกอย่างที่เห็นล้วนมีวิถีของมันเอง ผมวางถ้วยกาแฟบนจานรอง กระเบื้องกระทบกันก่อให้เกิดเสียงกังวาลใสเล็กๆ ผมก้มมองกาแฟที่เหลือในถ้วยแล้วถอนใจ ผมควรหาวันว่างสักวันเพื่อไปหาหมอ ให้หมอพูดออกให้กระจ่างว่าผมผิดปกติหรือชีวิตของผมเพียงถูกดึง ถูกพาให้ไปอยู่ในวงเวียนของเซ็กส์ไม่จักจบสิ้น หรืออย่างอื่น ผมอยากมีวิถีที่ปกติเหมือนสายลมที่พัดพา เหมือนสายน้ำที่ไหลริน เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบาน เหมือนท้องฟ้าที่ใส่กระจ่างด้วยสีคราม เหมือนแมวน้อยที่โดดโลดเต้นยามสนุกสนานกับหนวดและหางของตัวเอง และสำคัญผมไม่อยากทำให้เมษาเจ็บปวดอีก ถึงเขาจะเข้าใจโลกมากกว่าผมแค่ไหน แต่แค่ไหนกันล่ะที่ร่างกายของผมจะทนรับความยับเยินต่อไปได้อีก

บอกตามตรงทุกวันนี้ผมยังกลัวทศวรรษแต่ไม่แน่ใจอีกเหมือนกันว่าหรือผมกลัวตัวเอง ผมจึงอยากคุยกับหมอให้สิ้นสงสัย ผมหันหลังพิงโต๊ะก้มหน้ามองปลายรองเท้าที่มันวาว....ลึกๆแล้วร่างกายของผมยังรู้สึกกับทศวรรษ แม้มีเซ็กส์แบบไม่เต็มใจกับเขาก็จริงแต่หากหลังจากนั้น ร่างกายของผมก็รื่นรมย์ราวเพิ่งพบรักที่คิดถึงเสมอ ไม่ชอบเลยที่เป็นร่างกายกับจิตแยกส่วนกันแบบนี้ยามอยู่ใกล้กับเขา ถ้าเหลียวกลับมาถามจิตใจผม สำหรับทศวรรษมันคือความว่างเปล่า เป็นอะไรที่ผมไร้ความรู้สึกนานแล้ว อาจจะเสียดายคำว่ารักของเขาที่มันสายเกินไป ผมรักคนอื่นไปแล้ว แต่มันก็แค่นั้น ตรงนี้เองทำให้ผมกลัวตัวเอง กลัวจะเป็น SEX ADDICT ไปจริงไม่ใช่แค่แนวโน้ม ผมทรุดตัวนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง อีกข้างนาบลงกับพื้น วางมือบนเข่าที่ตั้งฉากพื้น ผมอยากเป็นคนที่ปกติ มีคนรักที่รักกันไปตลอด รักในแบบที่เรียกได้ว่าเป็นของกันและกันอย่างแท้จริง เราสองคนจะเพศใดก็ช่าง มันไม่สำคัญเท่าหัวใจของเรา ผมสูดหายใจลึกเงยหน้ามองตู้ติดผนังด้านบน เคยอยู่กับความคิดที่ว่ามันยากเย็นนักที่จะทำให้ใครสักคนมารัก ทว่าตอนนี้กลับเห็นว่าการดำรงตนในยามมีความรักนั้นมันช่างยากกว่ามากนัก

“อรุณสวัสดิ์ค่ะรุจน์” คุณน้ำฟ้าโผล่หน้าเข้ามาในห้องพร้อมเสียงหวานใส ราวสกุนาขับขานยามอรุณรุ่ง หล่อนอยู่ในชุดกางเกงกับสูทเข้าชุดกันดูเท่เหมือนทอมบอย
“อรุณสวัสดิ์ครับ” ผมรีบจะลุกขึ้น แต่คุณน้ำฟ้ากลับก้าวเข้ามานั่งตรงหน้าผม หล่อนจับขาผมเหยียดตรงก่อนจะก้าวมาคุกเข่าขึ้นนั่งบนตักของผม ผมพ่นหัวเราะออกมาเบาๆ นี่ถ้าวันนี้หล่อนไม่ใส่กางเกงผมคงหัวใจวาย ถึงเราจะคุ้นเคยร่างกายกันมากมายขนาดไหนก็เถอะ
“ดื่มกาแฟไหม?”ผมเลื่อนมือไปจับเอวของหล่อน หล่อนก็ยื่นแขนมาวางบนไหล่ผม

“ก็ดีนะ”ว่าแล้วก็ยื่นหน้ามาจูบกับผม ริมฝีปากผมรับรู้ได้ถึงกลิ่นและรสของลิปติกที่หล่อนเคลือบริมฝีปากน่าหลงใหลนั้น ในนาทีเดียวกันนั้นผมก็คิดถึงทศวรรษเขาจะรับรู้และสัมผัสมันบ้างหรือไม่ว่าหอมหวานเพียงใด
“ดื่มที่รุจน์ดื่มนั่นล่ะ หวานดี” หล่อนผละออกจากผมพร้อมเลียริมฝีปาก
“ไหนว่าเราจะไม่...” ผมกำลังจะพูด แต่หล่อนก็จูบผมอีก ผมอดใจตอบสนองไม่ได้ เราเลยนัวเนียกันพักใหญ่คล้ายจะเรียกความทรงจำให้ร่างกายกระนั้น ผมยกมือประคองใบหน้าสวยงามนั้นไว้ในฝ่ามือขณะจูบกับหล่อน

ทว่าในเวลาที่เรากำลังลิ้มความหวานของกันและกันนั้น ผมและคุณน้ำฟ้าก็ได้ยินเสียงหนึ่ง เราหันไปพร้อมกัน บนพื้นมีช่อดอกไม้ตกอยู่ เมษาจ้องพวกเราแทบไม่กระพริบ เขาถอยออกจากห้อง หัวอกผมเย็นวาบไปถึงเท้า คุณน้ำฟ้าลุกขึ้นยืนเดินไปหยิบช่อดอกไม้ ด้านผมเอาแต่หายใจรัวคล้ายคนกำลังจมน้ำ

“หึๆๆ พี่ทศส่งมาให้น่ะค่ะ พักนี้เขาไม่ค่อยว่างมาหาฟ้า นี่คงรู้สึกแย่เลยส่งดอกไม้มาขอโทษที่หายหน้าไป ว่าแต่ เมื่อครู่น่ะแย่จัง เมษามาเห็นซะได้” คุณน้ำฟ้าหอบช่อดอกไม้ที่เมษาทำหล่นไว้ออกไป ส่วนผมลุกไม่ขึ้น ในสมองมีแต่คำพูด คำพูด และคำพูด จะพูดอย่างไรให้ฟังแล้วมันไม่ใช่การแก้ตัว จะพูดอย่างไรถึงบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ต่อหน้าเมษาผมรู้ว่าผมไม่สามารถพูดว่ามันไม่มีอะไร ผมโกหกเขาไม่ได้ด้วยว่าที่จริงผมรู้สึกดีมากกับการได้จูบกับน้ำฟ้า ในบางคืนก็ยังหลับใหลไปกับความฝันที่มีเรือนร่างของหล่อน แต่การใช้ชีวิตกับใครสักคนบางทีคำโกหกเล็กน้อยหากมันสามารถรักษาสิ่งที่เราหวงแหนไว้ได้ก็ควรทำไม่ใช่หรือ

หากวันนี้ผมโกหก แล้ววันหน้าเมษารู้ว่าผมกับคุณน้ำฟ้ายิ่งกว่าจูบ ที่พูดว่าความลับไม่มีในโลกเป็นคำอมตะ คำไม่มีวันตายคำนี้เองที่จะออกฤทธิ์กับเรื่องโกหกของผมในวันนั้น ผมไม่กล้าวาดภาพเลย ในยามนั้นเมษาคงไม่มีวันหันกลับมาหาผมอีก ผมยันตัวลุกขึ้นจัดสูทและไทด์ให้เข้าที่ก่อนจะเดินออกจากห้องแพนทรี ผมจะพูดทั้งหมด ผมอาจชอบคนอื่นทีผ่านเข้ามาในชีวิต อาจมีหลงทางไปบ้างกับความรู้สึกที่ยังคงชื่นชม หากแต่เมษาคือความรักที่ผมมั่นใจ คือคนที่ผมสนใจใคร่ดีต่อความรู้สึก คือสิ่งสำคัญที่ผมไม่อาจสูญเสียไปได้ ผมเหลียวมองหาเมษาไปตามทางเดินจนมาถึงโถงกลางแกลลอรี่ แต่เขาไม่อยู่ที่ใดที่ผมมองหา ขณะที่ผมกำลังจะก้าวเข้าห้องทำงานตัวเอง คุณน้ำฟ้าก็ตะโกนมาจากข้างบนหน้าห้องทำงานของหล่อน
“รุจน์คะขึ้นมาคุยงานกันหน่อยซิ อ้อ เมษาออกไปหาลูกค้านี่นา งั้นฟ้าลงไปคุยกับรุจน์ที่ห้องรุจน์ดีกว่า” หล่อนพูดพลางเดินลงบันไดมาที่ผม ท่วงท่าอันสง่างาม เรือนร่างเพรียวบางน่ามอง สะโพกที่แกว่งย้ายตามจังหวะการก้าวเท้าชวนให้ใจเต้นเมื่อจับตามอง แต่ทั้งหมดนี้กลายเป็นเรื่องไกลตัวผมในอารมณ์นี้ ผมเม้มปากแล้วเดินไปเปิดประตูห้องทำงานผายมือเชิญหล่อน แล้วเดินตามเข้าไป ประตูที่เปิดยังคงค้างไว้เช่นนั้น

13.1
เมษาพ่นควันบุหรี่สีเทาทึบลอยขึ้นสู่อากาศตรงหน้า ควันเทาค่อยๆจางสลายลงเมื่อลอยขึ้นสูง ท้องฟ้าที่ถูกบดบังด้วยควันหนาเมื่อครู่กลับมากระจ่างตรงหน้าอีกครั้ง
“ว้าว วันนี้ใส่สูทผูกไทหล่อเชียว จะมาชวนเดทอีกครั้งในรอบเกือบสิบปีก็ไม่บอกจะได้แต่งตัวสวยๆมาแต่เช้า” ซีซ่าในชุดพนักงานบริษัทที่หล่อนสังกัดเดินยิ้มมาหา เมษาพลิกนาฬิกาข้อมือแล้วขยี้บุหรี่ลงบนทรายที่อยู่ส่วนบนของถังขยะ
“พอดีมาส่งของให้ลูกค้าแถวนี้น่ะ พักเที่ยงแล้วซินะ ไปหาอะไรกินกัน ผมเลี้ยงเอง”
“ปกติพักเที่ยงฉันจะไปหาลูกที่เนอสเซอรี่” ซีซ่าทัดผมยาวกับใบหู หล่อนยิ้มอ่อนหวานประกอบคำพูด แสดงให้เห็นว่าสำหรับหล่อนแล้วในตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าลูกอีกแล้ว

“อืม งั้นวันนี้ผมไปด้วย อยากเห็นลูกเหมือนกัน” เมษาออกเดินนำไปก่อน ซีซ่าเร่งฝีเท้าจนตามเขาทัน หล่อนคล้องแขนเขา
“วันนี้แกคงดีใจพ่อกับแม่พร้อมหน้าไปหา”
“นั่นสินะ พอคิดถึงรอยยิ้มของแกผมก็อยากเห็นขึ้นทันทีเลย”
“ตอนนี้น่ะรู้จักอมยิ้มแบบหล่อแบบคุณพ่อแล้วนะ”
“จริงเหรอ? อย่างนี้สาวๆที่เนอสเซอรี่ก็ติดตรึมซิ”

“วันนี้สงสัยจะถูกคุณพ่อแย่งซีนล่ะมั้ง มาชุดโก้เสียด้วย” ซีซ่ายื่นไปหยิกแก้มเมษา เขาถอนใจมองไปอื่นพลางอมยิ้ม
“นี่ๆยิ้มแบบนี้เลยที่ตาหนูยิ้มน่ะ”
“นี่ชุดทำงาน แต่ก็แหละเนอะหล่อกระชากใจจริงๆล่ะ” เมษาหันมากระเซ้า ซีซ่าหัวเราะกิ๊ก
“ต้องถามคนที่นายอยู่ด้วยเสมอซิจ๊ะ”
เมษาหยุดตีหน้าเป็น สีหน้าของเขานิ่งสนิท ซีซ่าหยุดหัวเราะหล่อนบีบแขนเมษาเบาๆ
“เมษา”
“ผมอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง ผมรักเขามากๆ”

“นึกอยู่แล้วสักวันนายต้องพูดออกมา บอกตามตรงว่าตอนแรกที่เราต้องเลิกกันฉันไม่เข้าใจว่าเราสองคนไปกันไม่ได้ตรงไหน เพราะอะไรทั้งที่เราเข้ากันได้ดี และเหมาะสมกันขนาดนั้น เคยคิดเหมือนกันถึงสาเหตุอย่างอื่นที่มันแตกต่าง แต่มันก็มากเกินกว่าที่ฉันจะจินตนาการตามไหว ไม่รู้ว่ากลัวหรือรับไม่ได้ มาถึงตอนนี้ฉันหมดสงสัยแบบหมดจดแล้ว” ซีซ่าปล่อยมือจากเมษา หล่อนยิ้มพร้อมทั้งยื่นมือให้
“ฉันไม่รู้สึกอย่างอื่นเลยนอกจากยินดี”
“ขอบคุณครับ” เมษายื่นมือออกไปจับ
“แล้วจะฉันจะได้รู้จักไหม?”
“แน่นอน ผมอยากให้เขารู้จักทุกคนในอดีตของผม เราจะอยู่ด้วยกันแบบไร้ข้อกังขาอันที่อาจเชื่อมโยงให้เราอาจต้องเป็นไปในปัจจุบัน นั่นเป็นความคิดของผม แต่ผมไม่รู้ในส่วนของเขาเลย” เมษาเปลี่ยนเป็นพึมพัมในตอนท้าย

“อะไรนะ?”
“อะไรเหรอ?” เมษาหันมายิ้ม
“เมื่อครู่ตอนท้ายนายว่าอะไรนะคะ รถผ่านไปผ่านมาไม่ได้ยินค่ะ”
“อือ ผมบอกว่าอยากได้ของฝากอะไรจากเชคไหม”
“เอ๊ะ!? จะไปเชคหรือ?
“ใช่ ไปทำงานน่ะ เป็นครั้งแรกที่บินเดี่ยวโดยไม่มีผู้ใหญ่ประกบเสียด้วย ตื่นเต้นชะมัด” เมษาลูบคางพลาง
เหม่อมองท้องฟ้าราวกับครุ่นคิดครู่เดียวก็ลดสายตาลงมาหัวเราะ

“ท่าทางนายจะสนุกมากกว่าประหม่ากลัวนะ”
“ใครจะไปรู้ อะไรๆก็เหมือนท้องฟ้าล่ะ เดี๋ยวก็ใส เดี๋ยวหลัว เดี๋ยวฝนตก ไปยาลใหญ่” เมษายักไหล่เดินนำไปก่อน ซีซ่าสูดหายใจมองถนนที่เต็มไปด้วยรถราแล้วหันไปมองเมษา ไม่รู้ทำไมหล่อนถึงรู้สึกถึงสิ่งที่เมษาพยายามฉาบหน้าด้วยรอยยิ้มและความรื่นเริง ซีซ่าก้าวเดินตามเมษา แผ่นหลังกว้าง รูปร่างสูงสง่างามนั้นก้าวย่างอย่างมั่นคง แบบว่าเขาแสดงออกจนเกินเหตุไปหรือเปล่า?

13.2

ผมยอมรับว่าตกใจในขั้นที่เรียกว่าช๊อคก็ว่าได้ เมื่อได้ยินคุณน้ำฟ้าพูดเรื่องงานของผมกับเมษา ผมต้องอยู่คอยดูแลมิสเตอร์ซุรุงะ ฮิโรยูกิที่กำลังจะเดินทางมาพักผ่อนส่วนตัวที่เมืองไทย ส่วนเมษาถูกส่งไปซื้อภาพที่สาธารณะรัฐเชค ชิ้นงานเป็นคำสั่งซื้อของลูกค้าที่มีความเป็นวีไอพีน้อย ในความเห็นน้ำฟ้าคือหล่อนอยากให้เมษาฝึกจากงานง่ายๆก่อน ในอนาคตสองคนควรจะส่งไปได้สองประเทศหรือสองที่ ไม่ใช่เป็นอย่างทุกวันนี้ที่ผมต้องเหนื่อยคนเดียว ผมจำใจพยักหน้ารับทราบตารางงานทั้งหมด น้ำฟ้าวางกำหนดการเดินทางและสถานที่ท่องเที่ยวที่สตาฟของซุรุงะส่งอีเมล์มาให้ตรงหน้า ผมเลื่อนมือไปหยิบขณะที่หล่อนก้าวเดินออกจากห้อง

“พักนี้พี่ทศไม่มาที่นี่เลย รุจน์คิดถึงเขามั้ย” จู่คุณน้ำฟ้าก็หันมาถามผม
“ทำไมผมต้องคิดถึงด้วยล่ะครับ” ผมย่นคิ้วพลางหัวเราะ
“ก็เขาเป็นลูกค้าคนสำคัญของรุจน์ นี่นา” หล่อนยิ้มพลางเดินกลับเข้ามาในห้อง มายืนเผชิญหน้ากับผม ดวงตากลมโตดั่งไข่มุกดำแห่งอันดามันของหล่อนจับจ้องใบหน้าของผมก่อนจะหลุบต่ำไปที่มือที่กำลังจับไทด์ของผม
“ตอนนี้ฟ้าเหนื่อยจังค่ะ ความรักมีเส้นทางที่เราไม่สามารถไปถึงอย่างง่ายดายเลย หัวใจของผู้ชายสักคน หากอยากครอบครองให้ได้ จะต้องทำอย่างไร ต้องทำมากแค่ไหน ฟ้าไม่รู้จริงๆ ที่ผ่านมาความรู้สึกว่าชอบนั้นเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับความรัก แต่พี่ทศไม่เคยก้าวคืบหลังจากเริ่มต้น ในความรู้สึกของฟ้านับจากวันแรกที่ได้รับรู้ว่าเราจะเริ่มต้นนั้นช่างเป็นวันที่วิเศษ ดอกไม้คลี่กลีบจะผลิบานมันสวยงามที่สุด” คุณน้ำฟ้ากัดปากล่าง หล่อนไม่ได้หลั่งน้ำตา หล่อนยังคงมีสายตาเรียบง่ายให้ผม

“เวลาผ่านไปดอกไม้ของฟ้ากับพี่ทศกลับคล้ายกับถูกแช่แข็งมันไม่เคยผลิบานใน การที่พี่ทศขอเวลามันกลายเป็นการกดปุ่มเร่งความเย็นให้ดอกไม้ยังอยู่แค่นั้น ในทางกลับกันความรู้สึกแช่มชื่นกลับค่อยจางหาย ตัวฟ้าเองที่มีความหวังก็เริ่มอ่อนล้า” คุณน้ำฟ้าก้มหน้ามองปลายเท้าของเราสองคน

“รุจน์คงสมน้ำหน้าฟ้าอยู่ล่ะซิ ที่ฟ้าเป็นฝ่ายขอเลิกแล้วถลันไปหาพี่ทศอย่างไร้เยื่อใย แล้วท้ายสุดก็ส่อแววจะไปไม่รอด” น้ำเสียงของคุณน้ำฟ้าเบาลงจนผมใจสะท้อนหายห้วง
“ไม่หรอกครับ เราเข้าใจกัน ผมไม่คิดแบบนั้นหรอกครับนอกจากขอเป็นกำลังใจให้” ผมวางมือบนไหล่ผอมบางของผู้หญิงที่ทำให้ผมร้อนรุ่มเสมอยามอยู่ชิดใกล้
“การที่ผู้ชายคนหนึ่งไม่ใยดีกับความรู้สึกอันอ่อนไหวเป็นไปของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า หมายความว่าเขานั้นหัวใจอยู่กับคนอื่นใช่ไหมรุจน์ คุณก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ช่วยอธิบายให้เข้าใจหน่อยซิ”

คำถามของคุณน้ำฟ้าทำเอาผมอึ้งอึกอักริมฝีปากเคลื่อนไหวผิดปกติราวป่วยไข้
“เอ่อ...อะไรกันครับเรื่องแบบนี้ถึงเป็นผู้ชายเหมือนกันก็ตอบแทนกันไม่ได้หรอกครับ” ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ยิ้มหรือหน้าแหยอยู่
“นั่นสินะ ถ้าเหมือนกันฟ้าจะรักรุจน์หรือพี่ทศก็คงเหมือนกัน” คุณน้ำฟ้าเงยหน้า สบสานสายตากับผม ดวงตาดั่งไข่มุกเม็ดงามนั้นชวนเชิญจนผมไม่สามารถถอนสายตาหนีไปไหนได้

“ฟ้ากับพี่ทศคงไปกันไม่รอด เราสองคนเหมือนถูกกางกั้นด้วยบางสิ่งอยู่ บางสิ่งที่ต่างคนต่างรอเวลาเหมาะให้มันบังเกิดขึ้น”
“อย่าพูดอย่างนั้นซิครับ ไม่มีอะไรหรอก คุณทศอาจกำลังตัดสินใจอยู่ เขาเด่นดังรูปหล่อในวงสังคม เรื่องพวกนี้ต้องระมัดระวัง เขาคงต้องการให้คุณอยู่ในที่ที่ปลอดที่สุด” คราวนี้ผมพูดเร็วจนลืมหายใจ น้ำฟ้าอมยิ้มส่ายหน้า
“ไม่หรอกค่ะ ไม่ใช่อย่างที่รุจน์พูดแน่นอน ฟ้ามั่นใจ ลูกค้ารุจน์คนนี้เคยเผลอหลุดปากให้ฟังบ้างไหมคะ เขากำลังตกหลุมรักใคร” น้ำฟ้าเอียงคอถาม นัยตามีประกายความใคร่รู้เหมือนเด็กที่อยากได้คำตอบว่า เลขอะไรที่หารกันแล้วได้ศูนย์

“เราเป็นแค่ผู้ค้ากับผู้ซื้อ เขาไม่พูดกับผมเรื่องพรรค์นั้นหรอกครับ”
“เหรอ”
“ฮะ”
“ ที่ฟ้ามั่นใจ เพราะหากเขารักฟ้าจริงๆ เขาคงให้รุจน์ช่วยเขาในทุกทางอาศัยความเป็นลูกค้าคนพิเศษ แต่นี่เขากลับไม่มีอะไรพูดกับรุจน์เกี่ยวกับฟ้าเลย ไม่แม้จะถามรุจน์ว่าฟ้าชอบสีอะไร ชอบดอกไม้อะไร วันนี้เขาส่งดอกไม้ที่ฟ้าไม่ได้ชอบเลยสักนิดมาให้ด้วย” น้ำฟ้าถอนใจดึงมือทั้งสองของผมก่อนจะหันหลังแล้วเอามือผมไปกอดรอบเอวบางของหล่อน
“เจ็บหัวใจจริงๆเลย” หล่อนพูดเหมือนละเมอ ผมอยู่ข้างหลังจึงไม่รู้ว่าหล่อนมีสีหน้าอย่างไร อาจหม่นหมองจนอยากร้องไห้แต่ความเข้มแข็งทำให้ต้องซ่อนไว้

“รุจน์กลับมาดูแลฟ้าได้ไหมคะ เราสองคนจะแต่งงานกันเถอะ ฟ้าคิดว่าเราน่ะเหมาะสมกันทุกอย่างจริงๆ เราเกื้อหนุนกันได้ในธุรกิจ” น้ำฟ้าหันมาพร้อมรอยยิ้มที่ผุดผาดน่ามอง ผมถอนใจจนไหล่ลู่
“ไม่คิดว่าตัวเองด่วนตัดสินไปหรือครับ ผมไม่เห็นว่าคุณทศกับคุณจะไม่ก้าวหน้า การที่เขาไม่เอาผมเป็นพ่อสื่อ ไม่ได้หมายความเขาไม่สนใจคุณ อย่าลืมว่าคุณทศวรรษเป็นอันดับหนึ่งในโลกธุรกิจ เป็นหนึ่งในทุกวงการ เขาไม่ลดตัวมาใช้บริการพ่อสื่อในการจีบผู้หญิงสักคนหรอกครับ” เป็นครั้งแรกที่ผมอธิบายจริงจังและไม่ติดขัด ส่วนหนึ่งนั้นมาจากความที่ผมรู้จักคนอย่างคุณทศดี เขามันคนตรงไปตรงมา หากพูดว่าต้องการคือ...ต้องได้ ไม่มีคำว่าไม่จากอีกฝ่าย เพราะเขาจะไม่ปล่อยโอกาสให้เป้าหมายมีโอกาสแม้จะคิดนับแต่แรกอย่าว่าแต่ทบทวนเลย

“อย่างนั้นหรือ รุจน์คิดว่าแบบนั้นหรือ แน่ใจจริงๆนะ งั้นเรามาพนันกันไหมล่ะ” คุณน้ำฟ้ายกแขนขึ้นวางบนบ่าของผม ผมพยักหน้าช้าๆ
“งั้นฟ้าจะเชื่อค่ะ เพราะรุจน์เป็นคนที่ฟ้าเชื่อใจที่สุด แต่ถ้า......รุจน์ผิด ฟ้าทำโทษนะ” หล่อนยื่นริมฝีปากมาจุมพิต
“ได้” ผมพยักหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้ม ขณะริมฝีปากแนบริมฝีปากกับหล่อน

เคยไหมสักครั้ง
ในภายภาคหน้า
เมื่อเหลียวมองกลับมามองในวันนี้
ที่มันกลายเป็นอดีตก็ให้เสียใจที่สุด
ในสิ่งที่ได้กระทำลงไป

กวีนิรนามท่านหนึ่งเคยพูดไว้เช่นนั้น

13.3

เมื่อเมษากับซีซ่ามาถึงเนอสเซอรี่ผู้ดูแลก็แจ้งว่าลูกของพวกเขากำลังนอนหลับหลังมื้อกลางวัน ซีซ่าหันหลังเตรียมเดินออกแต่เมษารั้งมือไว้ เขาจูงมือหล่อนไปที่หน้ากระจกห้องพักผ่อนของเด็กๆ
“ผมอยากเห็นเขาสักนาทีสองนาทีก็ยังดี เวลาหลับเขาน่ารักมาก” เมษายื่นหน้าไปแทบจะติดกระจก เขาอมยิ้มน้อยๆตลอดเวลาที่เพ่งพิจเด็กน้อย
“อ้าว คุณแม่” ผู้ดูแลที่เพิ่งออกมาจากห้องนั้นเข้ามาทักทายซีซ่า
“สวัสดีค่ะ วันนี้นอนเร็วจังนะคะ” ซีซ่าพยักเพยิดไปในห้องหลังกระจก
“ค่ะ แล้วนี่คงคุณพ่อซินะคะ” ผู้ดูแลหันมาทางเมษา เมษาถอนสายตาจากในห้อง คำถามทำให้เขางงครู่หนึ่ง

“มะ ไม่..” ซีซ่ากำลังจะยกมือโบก
“ครับ ผมเป็นพ่อของเขา ยินดีที่รู้จักครับ” เมษาชิงตัดหน้า
“คุณพ่อก็หนุ่มหล่อ คุณแม่ก็สาวสวย มิน่าล่ะน้องฮาเล่ย์ ถึงเป็นขวัญใจสาวๆ ทั้งสาวรุ่นเล็ก สาวรุ่นใหญ่” ผู้ดูแลยิ้มกริ่มก่อนจะขอตัวให้คุณพ่อกับคุณแม่ได้เฝ้ามองลูกน้อยที่กำลังหลับไหล เมษากับซีซ่ามองหน้ากันแล้วต่างยิ้มให้กัน

“ฉันเคยคิดว่าหากเราสองคนใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ตอนนี้เราสองคนคงจะมีสายเลือดที่เป็นของคุณและของฉันที่แท้จริง เราคงเป็นผัวหนุ่มเมียสาวที่มีอนาคตไกล” ซีซ่าถามขณะมองลูกพลิกตัว
“นั่นสินะ ผมคงสร้างครอบครัวแบบพ่อกับแม่”
“คนรักของคุณ....”
“เป็นผู้ชายที่ดีนะ ผมน่ะตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเจอเลย ยังจำได้ว่าวันนั้นผมเปลี่ยนเส้นทางไปทำงานพิเศษเพราะทางเดิมน้ำท่วม ตอนที่ผ่านแกลลอรี่หรูนั่นผมมองเข้าไปแบบไม่ตั้งใจ กลางห้องโถงในแกลลอรี่นั้นเขาที่กำลังคุยกับลูกค้าคนนั้นช่างเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ เขาชอบใบหน้าที่สวยงามปนเศร้านั้น อยากจุมพิตรอยยิ้มราวฤดูใบไม้ผลิที่คลี่ยิ้มมิได้หยุด อยากโอบกอดรูปร่างบางในชุดสูทสีเข้ม เพียงแค่นั้นก็เป็นเหตุผลเพียงพอให้ผมเปลี่ยนเส้นทางไปทำงานนับแต่นั้น ผมเดินผ่านและลอบมองเข้าไปในแกลลอรี่ตลอด บางวันก็พบบางวันก็ไม่พบ หัวใจเต้นช้าสลับเร็วไม่ซ้ำวัน จนวันหนึ่งผมเห็นประกาศรับสมัคร ผมดีใจจนเนื้อเต้น คุณรู้ใช่ไหมว่าผมจะทำอย่างไร” เมษาถอนใจพร้อมร้อยยิ้ม ดวงตานั้นเหม่อมองไกล

“พอได้รู้จักจึงรู้ว่า เขาอ่อนโยน และอ่อนแอ แต่สำหรับผมนั่นน่ะไม่เป็นไรเลย แบบนั้นน่ะกลับเป็นความงดงาม อ่อนบางที่ผมอยากจะปกป้องไว้ ยิ่งเขาเหนื่อยอ่อน ยิ่งเขาหมดแรง ผมก็ยิ่งรักเขา อยากทำให้เขาแข็งแกร่ง อยากทำให้น้ำตาเขาเหือดแห้ง แม้บางครั้งก็รู้สึกเหมือนกันว่า สิ่งที่ผมมอบให้เขานั้นกำลังบีบคั้นเขามากเกินไปหรือเปล่า เร่งรัดเขาจนหายใจไม่ออกหรือไม่ หากเป็นแบบนั้นสุดท้ายแล้วจะเป็นตัวผมเองหรือเปล่าที่จะหมดแรงเอง”

“เขารักคนอื่น?” ซีซ่าหันหลังเดินนำเมษาห่างจากห้องพักผ่อน
“เคยรัก และไม่เคยลืม มันเจ็บมากที่เขาบอกว่าลืมได้ แต่ผมรู้ว่ามันช่างยากเย็นสำหรับเขา แต่ผมก็เลือกที่จะเชื่อว่าเขาต้องทำได้” เมษษตอบเสียงแห้งขณะเดินตาม
“ความรัก เฮอะ!!! เซ็งบรรลัยก็สองประเภท รักคนอื่นที่ไม่ใช่เรา กับ งมงายกับคนที่อยู่ในความทรงจำ” ซีซ่ายื่นมือไปปัดใบไม้ที่ประดับในแจกันข้างเสา
“แล้วนายจะทำอย่างไง” ซีซ่าหันมา เมษายักไหล่

“รักต่อไป เจ็บต่อไปก็ได้ จะเป็นอย่างไรก็ได้ ขอให้ได้อยู่กับเขา” เมษาพูดพลางเงยหน้ามองชายคาใต้ท้องฟ้าสดใสที่สมุทรปราการ

ท้องฟ้าที่กรุงเทพมัวซัวด้วยปฏิกริยาของฝน ในแกลลอรี่รุจน์กำลังคุยโทรศัพท์กับลูกค้า ขณะน้ำฟ้าลงมาจากออฟฟิศหล่อนโบกมือให้เขา รุจน์ยกมือตอบว่ารับทราบ ก่อนหน้านั้นหล่อนได้บอกเขาไว้แล้วจะกลับก่อนด้วยต้องแวะซื้อของบำรุงไปเยี่ยมภริยาท่านนายพลที่เป็นลูกค้าคนสำคัญของหล่อนที่โรงพยาบาล น้ำฟ้าพ้นประตูหน้าแกลลอรี่ไปแล้ว รุจน์หันกลับมาทิ้งสายตากับภาพเขียนที่อยู่บนผนังฝั่งตรงข้ามพลางนึก น้ำฟ้าก็มีลูกค้าของหล่อนเป็นพวกหลังบ้านสูงศักดิ์กับหนุ่มๆน้อยใหญ่ ส่วนเขาก็มีลูกค้าเป็นสาววัยทำงานระดับสูง สาวใหญ่ ส่วนเมษาอีกหน่อยบินเองได้ เขาคงมีลูกค้าเพิ่มจากกลุ่มนักศึกษาพ่อแม่กระเป๋าหนักเป็นกลุ่มอื่นๆ รุจน์แอบทำปากยื่น เมษาชอบผู้หญิงแบบไหนนะ รุจน์รีบสะบัดความคิดออกจากหัวแล้วหันมาคุยกับลูกค้าพร้อมเคาะแป้นพิมพ์ในโน๊ตบุค ออร์เดอร์คือส่งภาพที่สต็อกไว้ในแกลลอรี่อยู่แล้วไปส่งให้กับผู้รับตามลูกค้าสั่ง รุจน์วางสายพร้อมมองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนเม็ดแรกกระทบเข้ากับกระจก

“ออกไปตั้งนานแล้วนะยังไม่กลับอีก ฝนตกแล้วเอาร่มติดตัวไปด้วยหรือเปล่านะ” รุจน์บ่นกับตัวเองพลางหันกลับมาที่โต๊ะ มองปฏิทินที่ตั้งบนโต๊ะแล้วถอนใจ ตั้งแต่คราวนั้นทศวรรษไม่เคยมาที่นี่เป็นเดือนแล้ว เขาไม่สั่งซื้อรูปแม้แต่จะสั่งผ่านนอมินีสาวคนนั้น รุจน์เท้าคางเปิดปฏิทินเรื่อยเปื่อยพลางคิดภาวนาให้ทศวรรษกับน้ำฟ้าลงเอยกันสักที จะได้ไม่มีใครเจ็บปวดอีก รุจน์หยุดมือที่กำลังเปิดปฏิทิน เขาเบนสายตาไปที่นอกกระจกน้ำฝนกลายเป็นเส้นราวงูตัวใสเลื้อยไต่เต็มกระจก รุจน์ยื่นมือออกไปแตะกระจก พื้นเรียบของมันเย็นเยียบเข้าปลายนิ้ว ....ฉันรักนายนะรุจน์... รุจน์รีบชักหดมือกลับแล้วรีบหันหลังเดินกลับห้องทำงาน สายฟ้าคำรามจนผนังสะเทือน ไฟในแกลลอรี่ดับวูบ ไฟฉุกเฉินสว่างพรึบแข็งขันตามหน้าที่ รุจน์ยกมือปิดหู
“พอสักที” รุจน์ตะโกนแข่งกับเสียงคำรามนั้น รุจน์สะดุ้งมือรู้สึกถึงข้อมือตัวเองที่ถูกบางสิ่งสัมผัสด้วยความเย็น เขาลืมตาเงยหน้า ไม่ทันที่เขาจะตั้งตัว ก็ถูกดันไปติดกำแพงอย่างแรง ริมฝีปากถูกบดเบียดจากความเย็นเยียบ จนสะท้านไปทั้งกาย ริมฝีปากรุกร้ำเข้าดูดดื่มกลีบปากเขาอย่างหิวโหย ร่างกายนั้นก็รัดกอดเขาแนบแน่น รุจน์ได้แต่มึนงง ครั้นพอตั้งสติเขาก็เพ่งมองใบหน้าที่แนบเขาผ่านดวงไฟฉุกเฉิน แสงเงาสีส้มที่ทอดฉาบบนใบหน้าคมนั้นอย่างไรก็คงไม่เป็นอื่น

“คุณทศ” รุจน์เรียกชื่อด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว
“อยู่นิ่งๆได้ไหม ฉันไม่ทำอะไรนายมากกว่านี้หรอก” ทศวรรษเสียงสั่น สองมือกดรุจน์กับกำแพงให้นิ่ง รุจน์จ้องกลับอย่างตื่นตระหนก ในความตื่นตระหนกก็พิศวงว่าเพิ่งคิดถึงเขา ทศวรรษกับมาอยู่ตรงหน้า กอดเขาจูบเขาอย่างบ้าเลือด
“ฉันพยายามแล้วนะรุจน์ พยายามอย่างมากที่จะกำจัดนายออกจากสมองและหัวใจ เหมือนกับที่นายทำกับฉัน แต่...ให้ตายซิ” ทศวรรษทุบกำแพงข้างใบหน้าของรุจน์ รุจน์สะดุ้งหลับตาแน่น
“ฉัน คนที่เลือดเย็นคนก่อนหายไป นายทำอะไรกับฉัน ห๊า รุจน์ ไอ้บ้า” ทศวรรษก้มลงจะจูบรุจน์หันหน้าหนี เขาใช้มือกันรุจน์ไว้ทั้งสองด้าน แล้วยัดเยียดจุมพิตหนักหน่วงบนกลีบปากกระจับนั้นจนได้ สองมือประคองใบหน้าของรุจน์แน่น รุจน์หายใจไม่ออก เขาดันไหล่ของทศวรรษจนเขายอมปล่อย ทั้งคู่หอบหายใจ

“ฉันคิดถึงแทบบ้า อยากกอดนายแทบจะตาย ฉันเกลียดตัวเองที่ทิ้งโอกาสมาแต่แรก บ้าไปเองที่เจ็บปวดเพราะเผลอชอบนายทั้งที่หัวใจแขวนไว้กับ S ทศวรรษคนเดิมไม่เหลือตัวตนอีกแล้ว ที่อยู่ตรงหน้านายมันไอ้ขี้แพ้ หัวเราะฉันเลยซิรุจน์ ทำอะไรก็ได้ให้สาแก่ใจนาย ทำเลย” ทศวรรษจับไหล่รุจน์
“แต่ขอเถอะนะ ขอฉันได้กอดนาย จูบนายอีกครั้ง” ทศวรรษชนหน้าผากกับรุจน์
“คุณทศ”
“ฉันรู้นายรักคนอื่นไปแล้ว ฉันก็ไม่ได้ขอให้นายกลับมารักฉันนี่ นายก็รักคนอื่นไปซิ ส่วนฉันจะรักนายเอง”

“คุณน้ำฟ้ารักคุณมากนะครับ” รุจน์ยกมือข้างหนึ่งแตะใบหน้าของทศวรรษ
“ฉันรู้ ฉันจึงพยายามเรื่อยมา แต่มันก็อ่อนล้าเรื่อยมา แม้จะรักนายมากแต่ฉันไม่คิดจะแย่งนายกับใครอีกแล้ว ฉันจะอยู่กับน้ำฟ้านายเข้าใจคำว่าอยู่ใช่ไหม ก็แค่กายเท่านั้น จบ” ทศวรรษจับมือรุจน์ไปจูบที่ปลายนิ้ว รุจน์ก้มหน้ากัดปาก ทำไมหนอเขาไม่ทำแบบนี้มาเสียแต่แรกที่ใจของรุจน์ยังเป็นของเขาทั้งหมด ตอนนี้ทศวรรษเจ็บปวด ส่วนรุจน์ก็ควรจะแค่รู้สึกสงสาร ทว่าเขากลับไม่เข้าใจตัวเองทำไมลึกๆในใจถึงเจ็บกับทศวรรษด้วย

“ฉันอยากให้นายเป็นกำลังใจให้ฉันได้ก้าวต่อไปในวันข้างหน้ากับน้ำฟ้า ฉันจะทำ ฉันอยู่ได้รุจน์ แค่กายไม่หนักหนาหรอก ทุกเมื่อเชื่อวันฉันจะคิดถึงนายตลอดไป นายแค่รู้ไว้เท่านั้น ชีวิตและหัวใจของนายทั้งหมดจงอยู่กับคนที่นายรัก อย่างที่บอกนายก็รักกับเขาไป ด้านนี้ฉันจะรักนายเอง และตอนนี้ฉันแค่ขอกอดนายไว้ กอดไว้เท่านั้น” ทศวรรษดึงรุจน์ไปกอด

“ฉันขอนายแค่เวลานี้ จากนี้จะไม่ทำให้นายต้องลำบากใจเลย” ทศวรรษซบใบหน้ากับลำคอของรุจน์
รุจน์เงยหน้า นี่คือทศวรรษที่แสนจะร้ายกาจ เย่อหยิ่งทรนงคนนั้นจริงๆหรือ ทำไมคนๆนั้นถึงกลับกลายเป็นเช่นนี้เสียได้ ความเจ็บปวดที่มาจากความรักได้สั่งสอนคนอย่างเขาจนราบคาบแล้วกระนั้นหรือ ให้หัวเราะเยาะ ให้สมน้ำหน้า ให้ผลักไส ให้รังเกียจ คนๆนี้ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ รุจน์ตัวอ่อนปล่อยให้ทศวรรษกอดจูบตามใจ หากนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายของสัมผัสและปิดตำนานรักที่มียาวนานระหว่างกัน ก็ช่างเถิดเขาจะยินยอม เพื่อแลกกับหัวใจที่สงบสุขกันทุกฝ่าย
“คุณทศ” รุจน์ค่อยๆเปิดริมฝีปากรับการบดเบียดลิ้นกับทศวรรษ สองมือยกขึ้นโอบกอดแผ่นหลังทศวรรษแน่น

ที่นอกประตูแกลลอรี่ น้ำฟ้าที่ต้องเดินกลับมาเพราะลืมดอกไม้ของทศวรรษ หล่อนทอดสายตามองร่มคุ้นตาด้วยจำได้ว่ามันเคยวางอยู่ท้ายรถของใครคนหนึ่ง หล่อนผลักประตูเบามือและเงียบเชียบ และเมื่อเพ่งมองดวงตาหญิงสาวก็เบ่งกว้างอย่างตกตะลึง.....ร่างสองร่างที่แนบชิดติดกำแพง น้ำฟ้าก้าวถอยออกมาจากที่นั่น หล่อนเกร็งนิ้วเลื่อนดันคันกางร่มทั้งที่ตั้งใจจะพักอยู่ต่อในแกลลอรี่จนกว่าฝนจะซาลง หากแต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลา ยิ่งก้าวเดินหญิงสาวยิ่งรู้สึกไม่ทันอกทันหล่อนจึงออกวิ่ง วิ่ง และวิ่งด้วยความรู้สึกคล้ายดั่งตนเองนั้นไม่เหมาะสมกับที่ตรงนี้ด้วยประการทั้งปวง หัวใจหล่อนเต้นในแบบที่เรียกได้ว่าแทบจะหลุดออกมาข้างนอก นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหล่อนถึงไม่ใส่ใจกับเสื้อผ้าหน้าผมที่ค่อยๆเปียกปอนจากฝนที่ปะทะเข้ามาด้วยแรงลม น้ำฟ้าเหลียวมองหารถของตัวเองหากที่ปลายหางตาสะดุดกับรถอีกคันที่จอดอีกด้าน หล่อนเพ่งมองด้วยอาการสงบนิ่ง

รุจน์ผละจากริมฝีปากของทศวรรษแต่เขาไม่ขัดขืนที่ทศวรรษยังคงนัวเนียอ้อยอิ่งกับลำคอและใบหูของเขา ทศวรรษรูดไทของรุจน์ลง ปลดกระดุมเชิ้ทตัวในเม็ดแรก
“คุณทศ ผมขอเถอะนะครับ” รุจน์รีบคว้ามือเขาไว้
“ร่างกายของนายมีมนตราใดซ่อนอยู่นะ ถึงทำให้ทั้งฉันหรือเด็กเมษาหรือใครๆไม่สามารถจะห้ามใจหากได้ใกล้ชิด” ทศวรรษยอมปล่อยมือ
“เป็นตราบาปต่างหากครับ อย่าพูดให้มันเลิศเลอขนาดนั้นเลย” รุจน์ก้มหน้ามองปลายไทที่ทอดยาวบนรังดุมเสื้อเชิ้ท
“ฉันคงไม่มีวันเข้าถึงนายได้อีกแล้ว แปลกนะฉันน่าจะสำเหนียกมาตั้งแต่ที่นายบอกให้ฉันไปตายวันนั้น แต่...”ทศวรรษถอนใจเมียงมองไปทางอื่น ปลายนิ้วชี้ถูกส่งเข้าปากให้ฟันขบเล็บยาวเบาๆ
“ร่างกายของฉัน สมองของฉันก็ไม่ยอมละทิ้งนาย ความหยิ่งผยองของฉันไม่ยอมรับว่านายไม่ได้รักฉันอีกต่อไปแล้ว ทิฐิของฉันพังราบฉันถึงมาอยู่ตรงนี้ไง รุจน์ ฉันอยากจะปรบมือให้นายจริงๆ นายทำได้มากว่าผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนที่ฉันข้องเกี่ยวด้วย นายทำให้ความรู้สึกเอาชนะของฉันกลายเป็นพ่ายแพ้ ขอให้ได้แค่พบหน้า นายจะให้ฉันได้แค่ไหน ใจฉันก็ยินยอมด้วยไม่มีเงื่อนไข เป็นแบบนี้สู้ให้ฉันตายไปเสียดีกว่า ไอ้เมษาทุเรศ แม่งเอ๊ย!” ทศวรรษสบถถ่มชื่อเมษาออกมาอย่างอัดอั้นก่อนจะหันหลังเดินห่างออกจากรุจน์ รุจน์พ่นหัวเราะออกมา

“นายรักเมษาที่ตรงไหนวะ แล้วเคยรักฉันที่ตรงไหน ช่วยบอกให้รู้สึกดีก่อนลาขาดกันจริงๆหน่อยซิ” ทศวรรษก้าวออกไปนั่งที่โซฟารับแขกข้างภาพสีน้ำมันเทฟเนปจูนแห่งท้องทะเลขนาดใหญ่ ชายหนุ่มไขว้ขาเท้าศอกกับที่พักแขน กริยาสบายๆกระนั้นก็ยังมีท่วงท่าที่สง่างาม เนปจูนผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องทะเลที่อยู่ด้านหลังและทศวรรษได้รวมเอาความองอาจและมีความยิ่งใหญ่เข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน หากแต่รุจน์พึงใจที่จะยืนอยู่ไกลๆเป็นเพียงผู้เฝ้ามองความงดงามตรงหน้าโดยไม่คิดเป็นส่วนหนึ่งความยิ่งใหญ่อันแสนเยือกเย็นนั้นด้วยแต่อย่างใด

หากเป็นเมื่อคราก่อนนั้นเขาคงตะเกียกตะกายไปให้ถึงแทบเท้าทศวรรษ หากแต่ตอนนี้ รุจน์หลับตาพิงศีรษะกับผนัง ดูเอาเถิดเพียงได้ยินชื่อเนื้อตัวหัวใจเขาก็ให้เกิดรุมร้อนในปรารถนาที่จะพบเจอ อยากได้ยินแม้เสียงลมหายใจ ผู้ชายที่ชื่อเมษาคือสิ่งใด การจะค้นหาถึงก้นบึ้งหัวใจในแบบกันกระทันด้วยคำถามต่อหน้าคงเป็นไปได้ยากยิ่ง ไม่มีนิยามตายตัวสำหรับกับความหมายที่เมษามีต่อเขา คำว่า “เรา”ระหว่างเขากับเมษานั้นมิอาจพรรณาบอกมาเป็นคำพูดเพียงไม่กี่คำเพื่อตอบให้ใครอื่นเข้าใจเฉพาะหน้าดั่งในเวลานี้



Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2555 19:21:06 น.
Counter : 584 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

vannessia
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]