Body Talk (BL) บทที่ 2
บทที่ 2

รุจน์ส่ายหน้าบอกไม่เป็นไร จากนั้นก็บอกให้คนที่อีกปลายสายพักผ่อนมากๆก่อนจะวางหูโทรศัพท์ลง เขาหันกลับมามองภายในร้านแล้วเลื่อนเนคไท ปลดกระดุมแขนเสื้อพับขึ้นแล้วเดินไปหอบ ดอกไม้ ใบไม้ประดับ มากมายที่ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์วางกองอยู่ด้านข้างห้องทำงาน มือที่ประคองห่อขนาดใหญ่ค่อยๆเลื่อนไปจับลูกบิดประตูเพื่อเปิดเข้าห้องอย่างทุลุกทุเล รุจน์วางของที่หอบมาเข้ามาวางบนโต๊ะใหญ่ข้างโต๊ะทำงานเขาพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผู้ช่วยที่ทำให้หน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของร้านเพิ่งโทรมาขอลาป่วย วันนี้หน้าที่ของหล่อนคงต้องตกเป็นของเขา ช่วยไม่ได้ที่วันนี้จะต้องเหนื่อยเป็นสองเท่าตัว รุจน์คิดขณะหันมองแจกันใหญ่หลายใบที่เขาเอามาวางเตรียมไว้ให้ผู้ช่วยตั้งแต่เช้าหลังเปิดร้าน

ปกติหล่อนจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆอันไม่เกี่ยวกับการค้าและการเงิน รุจน์แกะห่อดอกไม้ ใบไม้ประดับ แล้วหยิบทั้งหมดออกมาพลางคิดว่าวันนี้เขาเหมือนคนขาดแขนขา ปกติมีผู้ช่วยคอยดูแลรายละเอียดพวกนี้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทำให้เขาทำงานในหน้าที่อย่างไร้กังวล หล่อนเก่งทั้งที่เป็นแค่นักศึกษาที่มาทำงานรายวัน หล่อนไม่ค่อยหยุดงาน ความรับผิดชอบที่ดีของหล่อนทำให้เขาทำงานได้อย่างราบรื่น แต่เมื่อหล่อนมีความจำเป็นจากโรคภัยเขาก็ไม่สามารถคิดอย่างอื่นได้นอกจากเห็นใจและไม่รู้สึกทางลบแม้แต่น้อยหากต้องเหนื่อยอีกเท่าตัวก็ตาม รุจน์พลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เหลือเวลาอีกเกือบสองชั่วโมงสำหรับเวลาทำการประจำวัน เขาหันไปหยิบดอกลิลลี่ขาวขึ้นมาปักใส่แจกันที่บรรจุด้วยโอเอซิสชุ่มน้ำด้านในแล้วเอียงซ้าย ขวา


ไม่นานก็เกาหัว รุจน์ว่าเขาไม่ค่อยรู้จักดอกไม้นักหรอก ไม่รู้ว่า ดอกลิลลี่ขาว ดอกกุหลาบขาว ยิปโซขาว ใบไม้ประดับลายแต้มสลับขาว ที่ร้านดอกไม้ส่งให้ในวันนี้จะสามารถออกมาสวยงามราวสวนหย่อมเล็กๆอย่างที่ผู้ช่วยเขาทำได้อย่างไร พวกรายการดอกไม้ผู้ช่วยของเขาจะเป็นคนทำรายให้ร้านดอกไม้มาส่งในแต่ละวันในหนึ่งอาทิตย์ สีและชนิดของดอกไม้ในแต่ละล้วนมีความหมายในตัวเอง ผู้ช่วยของเขาเคยบอกครั้งหนึ่ง ว่าแต่ทำไมวันนี้ถึงเป็นสีขาวทั้งหมดนะ รุจน์หยิบกุหลาบขึ้นมาปักขึ้นโด่เด่อีกดอก เขาหรี่ตามองครู่หนึ่งแล้วต้องถอนใจไขว้มือกอดอก

"เอาไงดีวะ" รุจน์เสยปอยผมยาวเสมอกับดวงตาที่ตกลงมา
"จัดห่วย ลูกค้าขำตายเลย ไม่มีก็ไม่ได้ รูปภาพพวกนั้นต้องการมันเสียด้วย" รุจน์กัดริมฝีปากขณะใช้ความคิด หยิบหูโทรศัพท์หมุนเบอร์ของร้านดอกไม้ขณะรอสาย มือถือก็สั่นรุจน์หยิบขึ้นมากดรับ

"วันนี้เบื่อๆ ตอนนี้กำลังจะเข้าประชุม นายอยู่ที่ทำงานแล้วยังน่ะ" เสียงของทศวรรษเนือยๆ
"ครับ แต่มีปัญหานิดหน่อย ผู้ช่วยผมน่ะ"
"ยัยเด็กมหาวิทยาลัยคนนั้นน่ะเหรอ ทำไมหล่อนทำนายใจสั่นแต่เช้าด้วยเสื้อคอเปิดเห็นลอดไปถึงพุงหรือไง"
"อย่าพูดถึงคนอื่นแบบนั้นซิครับ น้องเขาทำงานหนักแต่งตัวเรียบร้อยจนผมไม่เห็นแม้ต้นแขนเลย" รุจน์อมยิ้ม

เหม่อมองวิวนอกกระจกร้าน ผู้คนกำลังเร่งรีบไปเร่งรีบเดินไปทำงาน แถวนี้ตึกธุรกิจมากมายผู้คนรีบร้อนพวกนั้นจึงกลายเป็นภาพชินตา แต่พอมีอารมณ์รื่นเริงขึ้นมานิดหน่อย ภาพชินตาก็กลับเป็นน่ามอง
"ปัญหาที่ว่า คือผมจัดดอกไม้ไม่เป็น ตอนนี้มันกองพะเนินอยู่ข้างหน้าผมเต็มไปหมด ผมไม่รู้จะทำไงกับมันดี" รุจน์หยิบยิปโซก้อนผอมบางขึ้นหมุนเล่น

"คงเป็นอะไรที่ดูไม่จืดมากเลยซินะ"
"ถ้าผมจัดดอกไม้เองวันนี้ลูกค้าสงสัยคงไม่เข้าร้านแน่ เฮ้ย!.." รุจน์หันไปคว้าหูโทรศัพท์มาพูด
"ฮัลโลๆๆ" สายไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมานอกจากสัญญาถี่
"ว๊า วางสายไปเสียแล้ว" รุจน์กดรีไดอัล ปรากฏว่าสายไม่ว่าง หมุนอีกสองครั้งก็เหมือนเดิม รุจน์วางหูแล้วหันมาหยิบมือถือมาแนบหู

"มีอะไรหรือ?" ทศวรรษ ยังอยู่ในสาย รุจน์แอบแปลกใจที่เขายังอยู่เผลอยิ้มออกมา
"ผมคิดว่าคุณจะวางสายไปแล้ว"
"ก็บอกอยู่นี่ไงว่าวันนี้เบื่อๆ ไม่รู้จะฆ่าเวลาด้วยอะไรดี คิดว่ามาฟังนายพูดไร้สาระให้ฟังอาจจะดีกว่า แต่ทำไปทำมาน่าเบื่อหนักกว่าเดิม"

"งั้นก็วางสายซิครับ ผมจะได้ทำงานของผมด้วย สงสัยที่ร้านดอกไม้จะงอนไปแล้วปล่อยให้รอสายนานเพราะมัวแต่คุยแต่คุณ ไม่ง้อลูกค้าเลย หยิ่งทะนงเหลือเชื่อ"
"ดูเหมือนจะตกที่นั่งลำบากแล้ว แล้วจะทำอย่างไรต่อไป"
"เป็นเพราะคุณนั่นล่ะ ทำไมคุณถึงชอบทำให้สถานการณ์ของผมแย่เสมอเลยนะ ผมก็คงจัดเองมั้งวันนี้" รุจน์หยิบยิปโซก้านเดิมขึ้นมาปักแจกัน ดอกไม้สามอย่างโด่เด่ไร้รสนิยมแล้วอยากหัวเราะ

"นายนี่มันน่าสังเวชจริงๆ" น้ำเสียงของทศวรรษเรียบเฉย พูดจบเขาก็เลิกสายไปดื้อๆ
รุจน์ส่งเสียงเชอะออกมาดังๆ "ใครมันทำให้ผมน่าสังเวชล่ะ" พูดใส่โทรศัพท์ที่ไม่มีสัญญาณแล้ว
"เอาไงดีวะ ลองโทรอีก อะไรสั่งดอกไม้แต่ละเดือนไม่ใช่น้อยๆ" รุจน์กดโทรศัพท์อีก คราวนี้สายว่าง รอไม่นานก็มีคนรับสาย เขาไม่ทันพูดเสียงผู้หญิงทางนั้นก็ออกปากขอโทษที่วางสายไปก่อนเนื่องจากที่ร้านยุ่งมาก
"ไม่เป็นไรครับ ผมก็คิดว่าทางร้านโกรธเสียอีกที่ปล่อยให้รอสายนาน คือว่าตอนนี้ผมอยากให้คุณส่งคนมาช่วยจัดดอกไม้ให้กับทางเราหน่อยน่ะครับพอดี ผู้ช่วยของผมที่เป็นคนจัดการเรื่องนี้อยู่เขาลาน่ะครับ"

"อย่างนั้นหรือคะ? เราก็อยากไปให้นะคะ แต่ต้องขอโทษจริงๆค่ะ ตอนนี้คนจัดดอกไม้เราออกนอกสถานที่ไปหมดแล้วค่ะ"
"ไม่มีเหลือสักคนเลยหรือครับ หรือคุณเจ้าของร้านก็มาเองได้ไหมครับ" รุจน์เริ่มกังวล เหลือเวลาไม่มากแล้ว
"ดิฉันต้องดูร้านค่ะตอนนี้ยุ่งมากค่ะ" ทางนั้นน้ำเสียงเกรงใจเต็มที่
"เหรอครับ งั้นไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากนะครับ" รุจน์วางหูโทรศัพท์แล้วทิ้งตัวนั่งบนโต๊ะ เสียงกริ่งหลังร้านหลังรุจน์ย่นคิ้วมองไปตามทิศทางของเสียงก่อนจะลุกไปเปิดประตูหลังร้าน

"คุณทศ" รุจน์เบ่งตากว้าง
"ฉันมาประชุมที่บริษัทของลูกค้าตึกนั่นน่ะ" ทศวรรษชี้ไปที่ตึกหรูสูงเสียดฟ้าที่อยู่ถัดไปสองช่วงตึก
"แล้วมาทำอะไรที่นี่ฮะ ไหนคุณบอกว่าจะประชุม"
"เกะกะจริง หลีกไป ฉันจะทำอะไรมันเกี่ยวอะไรกับนาย" ทศวรรษแทรกตัวเบียดรุจน์เข้าไปในแกลลอลี่ เขาเดินเข้าไปในห้องทำงานของรุจน์
"นี่ปัญญาสร้างสรรของนายจริงๆนะ" ทศวรรษมองดอกไม้ทั้งหมดที่รุจน์ปักในแจกัน
"ผมก็แค่.."

"นี่ล่ะน๊า ที่เขาบอกผลงานมันจะแสดงถึงสมองของคน ฉันล่ะสงสารกระโหลกนายจริงๆที่ต้องบรรจุอะไรที่แค่คล้ายสมองไว้" ทศวรรษพูดสวน พร้อมดึงดอกไม้ออกจากแจกันจากนั้นก็ถอดสูทเหวี่ยงไปที่โซฟา รูดเนคไท ปลดกระดุมพับแขนเสื้อขึ้น
"คุณจะทำอะไรฮะ" รุจน์ที่ตามมาถามอย่างประหลาดใจ

"เรื่องของฉันนายหุบปากไปเลย" ทศวรรษพูดพลางหยิบแจกันทั้งหมดมาวางด้วยกันกลางโต๊ะ จากนั้นก็หยิบดอกไม้แต่ละชนิดปักลงไปอย่างรวดเร็วเขาเอนกายไปด้านหลังเป็นบางครั้งคราว แล้วยืดตัวตรงกลับมาจัดการต่อ รุจน์ลืมหายใจเมื่อเห็นดอกไม้ในแจกันค่อยๆเป็นรูปร่าง ในเวลาไม่นานดอกไม้ ใบไม้ ที่กองพะเนินกลายศิลปะงดงามพรรณรายราวหยิบสวนสวรรค์มาย่อให้เล็กลง รุจน์ถลามาที่โต๊ะ

"สวยจัง ครับ"รุจน์เกาะโต๊ะตื่นเต้น แววตาของเขาเป็นประกาย
"บอกให้หุบปากไง" ทศวรรษจับก้านดอกไม้ขยับนิดหน่อยก่อนจะปล่อยมือจากแจกันใบสุดท้าย เขาเดินออกไปกอดอกมองทั้งหมดแล้วปัดปอยผมที่ร่วงมาปกใบหน้า รุจน์ยิ้มพร้อมทั้งเบาเสียงพูดที่สุด..สวย สวย สวยมากๆเลย.
"ค่อยหายเบื่อหน่อย" ทศวรรษทัดผมยาวหลังใบหู ใบหน้าของเขาดูผ่อนคลาย คิ้วเข้มหลังเส้นผม ดวงตากลมโต จมูกสันตรง ริมฝีปากกระจับ ของเขาช่างชวนจับใจจนถอนสายตาไม่ได้ รุจน์สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของเขา**kaireaw**

"นายต้องการฉันหรือไง" ทศวรรษพยักหน้าที่เรียบเฉย สายตากลายเป็นเย็นชา
"ผมพูดได้แล้วหรือยังฮะ?" รุจน์ถามขณะเลี่ยงหลบสายตาของทศวรรษไปที่ดอกไม้
"ก็นายมองฉันอยู่ ถามก็ตอบมาซิ"
"ผมรู้สึกทึ่งที่คุณจัดดอกไม้ได้ และทำออกมาสวยขนาดนี้ สวยกว่าผู้ช่วยของผมเสียอีก" รุจน์ยื่นมือไปจับกลีบลิลลี่ขาว
ทศวรรษยิ้มที่มุมปากเขาลูบแขนเสื้อลงและกลัดกระดุมแต่ก็เปลี่ยนใจยื่นให้รุจน์เป็นคนกลัดให้ รุจน์ทำอย่างเบามือ เมือเสร็จแล้วก็หันไปช่วยจัดเนคไทให้ทศวรรษเช่นกัน

"นายนี่ชักเหมือนผู้หญิงเข้าไปทุกที รู้หน้าที่ว่าต้องทำอะไรให้ผู้ชายบ้าง"ทศวรรษพูดขณะรุจน์เดินไปหยิบสูทมาส่งให้
"เหลืออย่างเดียวคือมีลูก ถ้าทำได้นายคงทำด้วยซินะ ใช่เปล่า?" ทศวรรษดึงสูทไปจากมือรุจน์
"นายนี่มันสวะของจริงเลยนะ ไม่มีผู้ช่วยก็ทำอะไรไม่ได้กะอีแค่ดอกไม้ ปัญญาตื้นเขินกว่าที่ฉันจินตนาการไว้ซะอีก ไม่มีคนคอยช่วยนายจะเป็นอย่างไงนะ"

รุจน์ไม่ตอบเดินดึงสูทจากมือทศวรรษกลับมาแล้วเดินไปด้านหลังคลี่สวมให้ ทศวรรษยื่นมือสอดเข้าแขนเสื้อ
"ผมขอบคุณมากนะครับสำหรับดอกไม้ มันสวยมาก สวยมากจริงๆ ผมชื่นชมประทับใจครับ" รุจน์เดินมาหยุดเบื้องหน้าทศวรรษ
"ก็แค่จัดดอกไม้ ก็แค่อะไรสักอย่างที่นายไม่รู้ว่าฉันทำได้ แน่นอนว่านายย่อมชื่นชมเป็นธรรมดาเพราะไอ้ขี้เลื่อยอย่างนายทำไม่ได้ไง"
"เรื่องนั้นก็คงจะใช่ครับ แต่มันก็ไม่ถูกซะทีเดียว ที่จริงผมชื่นชมประทับใจที่คุณมาช่วยผมไว้ทันเวลาต่างหากครับ เป็นสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิดเลย จะพูดให้ถูกก็คือผมไม่กล้าคิดมากกว่าครับ" รุจน์พูดด้วยอาการเก้กังด้วยว่ารู้สึกตระหนักว่าผลีผลามคิดดีกับเรื่องนี้เร็วเกินไป
"อ้อ เหรอ" ทศวรรษพ่นหัวเราะเบาเขายื่นหน้าเข้ามาจูบใบหน้าของรุจน์ รุจน์ช้อนตามอง
"รู้สึกเราคิดกันคนละเรื่องเลยนะ ฉันก็แค่อยากหนีความน่าเบื่อ คิดว่าอาจจะมาหาเศษหาเลยกับนายสักหน่อย กะเอาใจด้วยการช่วยจัดดอกไม้ แล้วนายก็จะยอมให้ลากไปในที่ของเรา ที่ที่นายชอบ ที่ที่เป็นครั้งแรก" ทศวรรษก้าวเดินไปที่ประตูห้อง

"แต่การจัดดอกไม้ดันใช้เวลามากไปหน่อย ฉันต้องกลับไปประชุมต่อแล้ว"
"อ้อ.." ทศวรรษหยุดเท้าแต่เขาไม่ได้หันกลับมา
"ไม่แปลกหรอกที่นายไม่รู้ว่าฉันจัดดอกไม้ได้ นั่นก็เพราะนายไม่รู้จักฉัน ไม่เคยและจะไม่มีวันได้รู้ด้วย นายไม่มีค่าพอเข้าใจใช่ไหม?" แผ่นหลัง และไหล่กว้างของทศวรรษยืดตรงเมื่อพูดจบ เขาเปิดประตูเดินออกไปด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผย

ภายในห้องเงียบลงราวไร้สิ่งมีชีวิต รุจน์มองแจกันดอกไม้ ยื่นนิ้วไปแตะกลีบดอกไม้ แล้วยิ้ม แล้วหัวเราะออกมาแบบหยุดไม่ได้ ด้วยรู้สึกคล้ายดอกไม้พวกนั้นกำลังพูดใส่หน้าเขา....นายไม่มีค่าพอเข้าใจ ใช่ไหม?.... รุจน์หัวเราะจนน้ำตาไหล

อีกด้านของประตู ทศวรรษยืนพิงบานประตูสอดมือล้วงในกระเป๋าสูท หยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบจุดไฟ สูดควันเข้าลึกจนปลายมวนขาวแดงวาบจึงปล่อยควันหนาสีเทาออกมา ใบหน้าคมเข้มไม่ได้หันกลับไป สายตานิ่งเฉยเพียงเหลือบมองด้านหลัง
"ความพยายามที่ไร้ค่านี่มันน่าสงสารเสียจริง" ทศวรรษพ่นหายใจพร้อมรอยยิ้มเบาบางที่มุมปากก่อนจะทอดน่องไปตามเดินแคบๆ พอถึงลานจอดรถ ก็เห็นรถหรูราคาแพงกำลังเลียบเข้ามาจอด ครู่เดียวก็นิ่งสนิทประตูรถเปิดออก คนที่ก้าวลงมาเป็นผู้หญิงท่าทางดี หล่อนคงเป็นลูกค้ารายแรกในวันนี้

"ยินดีต้อนรับ" ดูเหมือนทศวรรษจะแค่ขยับริมฝีปากเท่านั้น พอหล่อนเดินเข้ามาใกล้เขาก็หลบทางให้ สาวสวยผมยาวในชุดติดกันสีครีมเหลือบมองและอมยิ้มน่ารักให้เขา ทศวรรษยิ้มตอบพลางซ่อนบุหรี่ที่นิ้วคีบไว้ด้านหลัง หญิงสาวเดินอ้อมไปหน้าร้านซึ่งเป็นคนละทิศทางกับทางที่เขาเพิ่งเดินผ่านมา ทศวรรษเหลียวมองตามเพียงนิดหน่อยก่อนจะหันกลับมา เขาอัดบุหรี่อีกครั้งแล้วเดินตัดลานจาดรถสู่ทางเดินหลักที่จะนำเขาไปสู่สถานที่ต้องการ

"นี่ครับ" รุจน์ยื่นภาพสีน้ำมันที่ห่ออย่างประนีตด้วยกระดาษที่ทางร้านนำเข้าจากต่างประเทศ ผูกให้แน่นหนาด้วยริบบิ้นสีเงินพิมพ์ด้วยตราของร้าน
"อืมวันนี้ร้านเงียบจัง เหมือนขาดอะไรไปและดูเหมือนจะมีอะไรแปลกใหม่เข้ามา" คุณพิสรา ลุกค้าประจำอีกคนของร้าน กวาดตาใสกลมโตไปทั่วร้าน ริมฝีปากบางที่แต้มแต่งด้วยลิปสีชมพูธรรมชาติของหล่อนแย้มยิ้มน้อยๆ ความมันวาวของลิปทำให้ริมฝีปากนั้นเย้ายวนน่าจุมพิต

"อือ วันนี้ผู้ช่วยไม่อยู่ครับ ลาป่วย" รุจน์ตอบ
"แต่ว่า ที่แปลกใหม่?"รุจน์เหลียวมองไปรอบๆร้าน
"เรียกว่าแปลกตาดีกว่าค่ะ" พิสราเดินเลี่ยงจากเขาไป เรียวขาของหล่อนทอดเอื่อยอย่างสบายๆ รุจน์มองหล่อนอย่างลืมตัว จะกี่ครั้งที่พบกันหล่อนก็สวยทั้งตัว รูปร่าง ท่วงท่า อากัปกริยาของหล่อนจะรู้ไหมนะว่าความสวยแบบนี้ท่าทางแบบนี้หล่อนทำให้ผู้ชายที่ได้พบอยากดึงหล่อนเข้ามากอดอย่างถนุถนอมทุกคน
"นี่ไงคะ" เสียงของพิสรา เรียกให้รุจน์หันตาม หล่อนกำลังยืนอยู่ใกล้กับแจกันดอกไม้ใบหนึ่งข้างเสา รุจน์ยิ้มไม่ถูกใบหน้าเจื่อนเล็กน้อย

"มันสวยกว่าทุกวัน แล้วมันทำให้รูปพวกนี้มีชีวิตชีวา" พิสราก้มหน้าดมดอกไม้ รุจน์เก้กังทำตัวไม่ถูก
"ฝากชมทางร้านด้วยนะคะ จัดสวยแบบนี้จะไปเป็นลูกค้า"หล่อนเดินกลับมาที่รุจน์
"คือว่า ไม่ใช่ทางร้านหรอกครับ มีคนรู้จักทำให้น่ะครับ ปกติผู้ช่วยผมจะเป็นคนจัดการน่ะครับ แต่เธอป่วยวันนี้ ส่วนผมอะไรแบบนี้ก็ไม่รู้จักกับเขาเสียด้วย พอดีคนรู้จัก...." รุจน์หยุดครู่หนึ่งกับคำนี้ คนรู้จัก พอใจซินะ ทศวรรษ คำๆนี้ แค่คนรู้จัก สำหรับเรา คำๆนี้เหมาะสมแล้วนะ

"คะ?" พิสรา เอียงคอเมื่อเห็นรุจน์เงียบไป
"พอดีคนรู้จัก เขามาทำธุระแถวนี้ก็เลยช่วยจัดการให้น่ะครับ คิดว่าคงเรียนมาครับ" รุจน์เล่าด้วยรอยยิ้มเศร้า โดยพิสราไม่ทันสังเกตุ
"ฝีมือแบบนี้เปิดร้านได้สบายเลย เขาต้องมีร้านแน่ๆเลยค่ะ"
"ผมก็ไม่ทราบ เราแค่เป็นคนรู้จัก ไม่สนิทกัน เขามีน้ำใจมากเลยที่ช่วยผมทั้งที่เราไม่ใช่แม้แต่เพื่อน" รุจน์ยิ้มเนือย เมื่อคิดว่าทศวรรษคงจะดีใจ ชอบใจ จนหัวเราะร่า กระทั่งแม้จูบให้รางวัลเขา หากมาได้ยินเขาพูดแบบนี้

"อืม ถ้าคุณรุจน์เจอเขาอีก พิสรา ฝากขอนามบัตรไว้ด้วยนะคะ" พิสราดูมั่นอกมั่นใจกับข้อสันนิฐานของหล่อนอย่างเหลือเชื่อ
"อ่า ครับ ถ้าผมได้เจอเขาอีกนะครับ" รุจน์รู้สึกร้อนใบหน้ากับคำพูดตัวเอง ...ถ้าได้เจออีก... คำพูดแบบนั้นมันสำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าจะเจอกันอีกเมื่อไหร่ แต่ ทศวรรษน่ะ ถ้าได้เจออีก ในความหมายนี้น่ะเหรอ จู่ๆรู้ก็คิดถึงริมฝีปากของทศวรรษที่แนบกับลำคอของเขาจากด้านหลัง รุจน์พริบตาถี่ไล่ความคำนึงนั้นออกไป นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเรื่องแบบนั้นซักหน่อยเขาเตือนตัวเอง

"ผมจะไปส่งที่รถนะครับ" รุจน์อาสาเมื่อเห็นพิสราทำท่าจะกลับ
"ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ" พิสรามองที่ห่อภาพขนาดใหญ่ หล่อนมักพูดอย่างนี้เสมอเมื่อรุจน์นำภาพไปให้ส่งที่รถของเธอ
"ยินดีครับ"รุจน์มักตอบกลับไปเช่นนี้ด้วยเสมอเช่นกัน บางครั้งความน่ารัก ความสวยของพิสรา ก็ทำให้รุจน์มีแอบคิดอยากให้บทสนทนาที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนี้เป็นอย่างอื่น ทว่ามันก็เป็นแค่ความคิดเลื่อนลอยชั่วขณะของเขาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นจริงๆหรอก....

พิสรารับห่อภาพจากรุจน์แล้วค้อมแทรกตัวเข้าด้านหลังรถ วางมันบนเบาะแล้วหดกายถอยกับมายืนข้างนอก แต่เป็นเพราะการถอยที่ผิดจังหวะจึงทำให้หล่อนซวนเซจะล้ม รุจน์ไหวตัวรีบเข้าประคอง แขนของเขาสัมผัสได้ความอ่อนนุ่มของเนื้อนวลในอ้อมแขน ปลายจมูกได้จรุงกลิ่นน้ำหอมที่รังสรรค์อย่างดีจากธรรมชาติกรุ่นมาจากผิวพรรณหล่อน เพียงแค่นั้นก็ให้รู้สึกได้ว่าหัวใจกำลังเต้นถี่
"ขอโทษครับ" รุจน์รีบปล่อยมือเมื่อพิสราตั้งหลักได้แล้ว หล่อนเอ่ยขอบคุณพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน รุจน์เก้อเขินจนทำอะไรไม่ถูกเลยขยับไปเปิดประตูรถด้านคนขับให้หล่อน พิสราจับผมทัดใบหูแล้วค้อมตัวลงนั่งประจำที่นั่งหลังพวงมาลัย
"ถ้ามีภาพของศิลปินคนนี้เข้ามาอีก ผมจะโทรบอกคุณพิสรานะครับ" รุจน์คำนับนอบน้อม

"ค่ะ" พิสราพยักหน้า รุจน์เอ่ยขออนุญาตปิดประตูให้หล่อน แล้วถอยออกมายืนห่างจากตัวรถ ครู่เดียวรถหรูคันงามก็ขยับเคลื่อนห่างออกสู่ถนนใหญ่ รุจน์หันหลังกลับเข้าร้าน เขาเดินมาหยุดอยู่กลางร้านมองดอกไม้ที่ประดับตามมุมต่างๆ แม้จะรู้สึกบ้าบอแต่นี่เป็นสิ่งที่เขารู้สึก เขากำลังทำตัวไม่ถูกราวกับดอกไม้พวกนี้กำลังมองเขาอยู่ รุจทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะใช้วางอุปกรณ์สำหรับใช้ในร้าน เขาเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วปล่อยความคิดให้เป็นอิสระตามใจ
ทศวรรษผละสายตาจากวิวนอกหน้าต่างหันเก้าอี้กลับมาที่โต๊ะทำงานเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู

"ขอโทษที่ไม่ได้เคาะประตูก่อน" ผู้มาใหม่เดินตรงเข้าหาเขา
"ขอโทษเหมือนกันที่เมื่อเช้าเข้าประชุมไม่ทันช่วงแรก"
"ไม่มีสำคัญนักหรอก แค่มาฟังผลประกอบการของบริษัทลูก" ผู้มาใหม่ยักไหล่ขณะนั่งบนโต๊ะเขา
"ไม่ถามสักหน่อยหรือว่าฉันไปไหนมา" ทศวรรษเอนหลังพิงพนักเก้าอี้

"ฉันไม่ใช่คนสอดรู้ นายและฉันหรือใครๆล้วนอาจมีเรื่องส่วนตัว เรื่องจำเป็นที่ไม่อยากบอกทั้งนั้น"
ทศวรรษถอนใจลุกขึ้นยืน เขายื่นมือไปเท้าแขนทั้งสองข้างลำตัวคนที่นั่งตรงหน้า
"แต่ทำไมฉันถึงอยากรู้เสมอเวลาที่นายไม่อยู่ใกล้ตัว เวลาไม่ได้เห็นว่านายทำอะไรล่ะ" ทศวรรษจ้องหน้าของเขา ชายหนุ่มก้มหน้าหัวเราะแล้วเสมองไปทางอื่น
"ก็เพราะนายเป็นห่วงฉันน่ะสิ นี่ล่ะที่ทำให้เราคบกันเป็นเพื่อนได้นานขนาดนี้" เบนสายตากลับมาจ้องกลับ

ทศวรรษกลืนบางสิ่งลงคอ หากแต่ก็รู้สึกว่ามันยากเย็นเหลือเกิน เขามองใบหน้างดงามตรงหน้าแล้วเลยไปถึงลำคอผอม แล้วยกมือทั้งสองขึ้นประคองใบหน้านั้น
"S นายก็รู้ว่า ฉันเตลิดไกลถึงไหนต่อไหนตั้งแต่ปีสองที่ yale แล้ว" ทศวรรษยื่นหน้าเข้าไปใกล้ S ยิ้มแล้วยื่นริมฝีปากมาสัมผัส เขาตอบสนองจุมพิตอ่อนโอนของทศวรรษ สวมกอดตอบเมื่อทศวรรษรัดแขนที่ลำตัวของเขา ทศวรรษอยากไปต่อ อยากปลดปล่อยหัวใจโบยบินไปพร้อมกับร่างกายที่อยากพาอีกร่างกายร่วมเคลื่อนไหวไป
ด้วยในวินาทีต่อไป กันแต่ในบัดดลทศวรรษกลับหยุดจูบ

"ฉันรักนายนะ" S กระซิบที่ข้างใบหูของเขา"เพราะอย่างนั้น ฉันจึงจูบกับนาย โอบกอดกับนายอย่างแนบแน่น และฉันจะร่วมรักกับนายหากมันทำให้ความต้องการอันทรมานที่ยาวนานของนายน้อยลง ฉันจะยอมทำทุกอย่าง นายเป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันมีนะเพราะฉะนั้น...."
ทศวรรษก้มหน้าซบลำคอของ S อีกฝ่ายจรดริมฝีปากจูบหน้าผากของเขาอย่างอ่อนโยน

"เพระฉะนั้นนายจึงจูบกับฉัน แม้จะนอนกับฉันก็ยังได้ เพียงเพื่อตอบแทนที่ฉันภักดีและซื่อสัตย์ต่อตลอดมา นายจะมอบทั้งจุมพิตและร่างกายให้ฉันทั้งที่ข้างในของนายกลวงโบ๋ ว่างเปล่า แบบนั้นน่ะคือทำร้ายฉันนะ ทำไมต้องทำขนาดนั้นด้วยล่ะ ก็ฉันบอกแล้วไงว่าอย่างไงว่าฉันรอได้ นานแค่ไหนฉันก็จะรอ " ทศวรรษเงยหน้าพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
"ฉันไม่อยากเห็นนายเจ็บปวดนี่นา ถ้านายจะรอฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะอีกนานแค่ไหน หรือบางทีมันอาจไม่มีวันมาถึงก็ได้" S หันหน้าหนี
"นายอย่ามารู้สึกแทนฉันซิ ฉันเป็นเจ้าของความรู้สึกนี้นะ ให้ฉันตัดสินใจเองซิ นายไม่มีวันเข้าใจความรักของฉันหรอก" ทศวรรษเถียง

"ใช่ฉันไม่เข้าใจหรอก และไม่มีวันเข้าใจด้วย ใครจะสามารถรอได้โดยไม่มีหวัง เพราะอย่างนั้น..."
"ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ส่งไปแล้วอย่างไรก็เรียกคืนไม่ได้หรอก ที่นายพูดน่ะร้ายมากเลยนะ นายดูถูกกันเกินไป เข้าใจไหมว่าฉันอยากจะรอ หวังได้หรือไม่อีกเรื่อง ตอนนี้นายไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร ฉันหวังสักวันนายจะเข้าใจความรู้สึกอันนี้ โดยที่คำอธิบายอันใดก็หมดความหมาย ฉันถึงอยากรอความสุขอันนั้น รออย่างไม่วาดฝัน ถึงตอนนั้นฉันจะนอนกับนาย ฉันจะดื่มกินนายอย่างหัวใจของฉันเรียกร้อง

ตอนนี้ฉันแค่เจ็บช้ำที่นายเพียงอยากตอบแทน อยากรู้สึกผิดน้อยลง ทำอย่างนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกแย่ แต่ถ้ามันจะทำให้นายรู้สึกดี งั้นก็นอนกับฉันเดี๋ยวนี้เลย ดีไหม?" ทศวรรษดึงแขน S ตรงรี่ไปที่โซฟารับแขก เขาผลัก S ไปที่โซฟา แล้วโถมตัวตามลงไปทับSไว้ เขาไม่ดิ้นรนขัดขืน เมื่อทศวรรษจูบเขาก็ตอบสนอง ทุกสัดส่วนของร่างกายตอบรับการสัมผัสครั้งแล้วครั้งเล่า หนำซ้ำยังช่วยทศวรรษถอดเสื้อผ้า ผิวหนังที่เย็นชืดจากความเย็นของเครื่องปรับอากาศไม่สู้อารมณ์ที่ชืดชาที่ S ซ่อนไว้ภายใต้ความร้อนแรงอันเสแสร้ง

ทศวรรษถอนใจแรง ตัดใจหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วลุกขึ้นนั่ง
"ช่างมันเถอะ ฉันเหนื่อยมากแล้ว นายกลับไปเถอะ"
"ถ้าฉันพูดอะไรผิดใจนายไป ขอโทษ อย่าเกลียดกันนะ" S ดึงเสื้อขึ้นใส่ กลัดกระดุม
"โธ่เว๊ย ไม่มีอะไรหรอก ฉันรักนายขนาดนี้จะมีอะไรที่ทำให้รู้สึกเกลียดนายได้อีกล่ะ" ทศวรรษใส่เสื้อกลัดกระดุม แล้วหยิบเสื้อสูทมือถือจากนั้นก็ลุกเดินหนีออกจากห้องไป S ถอนใจสีหน้าสับสน เขาทำตัวไม่ถูกเลยจริงๆ

ข้างนอกร้านฝนใกล้จะตก ผืนฟ้าครึ้มเทาราวมีแปรงสีขนาดใหญ่ลงสีพื้นไว้ ลมพัดแรงจนต้นไม้เอนโอน กิ่งอ่อนลู่ลมฉุดใบไว้สุดสามารถแต่สุดท้ายบางใบก็ปลิดปลิวหายตามแรงลม รุจน์เก็บของในร้านเสร็จก็เดินกลับเข้าห้องทำงานเพื่อทำบัญชีสำหรับวันนี้ส่งให้คุณวุฒิเจ้าของร้าน พอปิดไฟร้านด้านนอกฝนใหญ่ก็ร่วงกราวลงมา เขาจึงหันไปหยิบร่มกับเสื้อกันฝนออกมาวางเตรียมไว้ที่โซฟา จากนั้นก็เปิดคอมไม่ทันเข้าโปรแกรมใดๆเสียงฟ้าฝ่าเปรี้ยงใหญ่ก็สนั่นขึ้น

จอคอมและไฟในห้องดับพรึ่บ รุจน์ถอนใจเฮือกยาว ลุกเดินค่อยๆคลำทางไปเปิดประตูแล้วออกไปหยิบเทียนและไม้ขีดที่ตู้ใส่ของข้างห้องทำงาน เมื่อเปลวเทียนให้แสงสว่างแล้วเขาก็นำจานรองถ้วยกาแฟพลาสติกมารองจากนั้นก็เดินกลับเข้าห้องทรุดตัวนั่งหลังโต๊ะทำงาน นั่งมองจอมอร์มิเตอร์ดำมืดอย่างหมดหวัง พลิกนาฬิกาข้อมือดูเวลา ตอนนี้กำลังจะ18.30น. ฟังเสียงฝนที่ยังคงตกหนัก ลมที่พัดเสียงวีดหวิวด้านนอกแล้วไม่คิดว่าไฟฟ้าจะกลับมาไวอย่างใจคิด เขาเองต้องใช้เวลาสำหรับเดินทางกลับบ้าน

ชายหนุ่มตัดสินใจหยิบสมุดบัญชีมาใส่ซองพาสติกที่มีผนึกปิดแน่นหนา จัดการเก็บข้าวของบนโต๊ะใส่ลิ้นชักไขกุญแจปิด หันไปหยิบเสื้อกันฝนและร่มจากนั้นก้าวออกมาจากห้องทำงาน ล๊อคประตูแล้วมองออกไปหน้าร้าน ดอกไม้ในแจกันทุกใบยังอวดโฉมความสดสวยกันอย่างกลั่นกล้า รุจน์เดินเข้าไปใกล้ยื่นมือออกไปแตะแล้วลูบไล้กลีบบางเบามือ

"กว่าจะได้เจอกันอีกก็วันศุกร์ ระหว่างนี้ผมจะทำไรฆ่าเวลาดีล่ะ ผมเบื่อแล้วก็กับการขับรถ การรอคอยไฟแดง กลับเข้าบ้าน กินข้าว ดูทีวี และเข้านอนโดยมีแต่ความรู้สึกเต็มหน่วยหัวใจว่ากำลังจะได้เจอคุณ อยากคิดอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องอื่น คนอื่น หรือแม้แต่คิดถึงตัวเองบ้าง เพราะความหวังแบบนั้นทำให้ผมเหนื่อยเวลาที่คุณพูดเอาแต่ใจ แต่ผมก็ไม่เคยทำได้ แย่หน่อยนะที่สมองชั้นต่ำอย่างผมคิดเรื่องอื่นไม่เป็น ทำได้แค่คุณตลอดเวลาโดยไม่สนว่าคุณคิดถึงใคร" รุจน์มองดอกไม้ทั้งหมดอีกครั้ง แล้วกำลังหันหลังกลับเดินไปที่ออกหลังร้าน

ขณะนั้นเองเขาก็รู้สึกถึงแรงดึงจนต้องก้าวตามไป เทียนในมือร่วงกระแทกบนพื้นกระเบื้องจนดับแสงลง ความมืดเข้าครอบคลุมบรรยากาศโดยรอบไว้ทั้งหมด รุจน์ย่นคิ้วเมื่อใบหน้าและลำตัวของเขาสัมผัสกับร่างกายที่เปียกชื้นของอีกฝ่าย รุจน์ผละออกมองเต็มตา
"คุณทศทำไมเปียกอย่างนี้ล่ะครับ ผมหาผ้าให้เช็ดตัวนะ" รุจน์ก้มลงเก็บเทียนและจานรองถ้วยที่เท้า แต่ก็ถูกจับให้ยืนขึ้น
"ฉันอยากได้ไออุ่นจากนาย" ทศวรรษพูดจบก็งับริมฝีปากของรุจน์อย่างรุนแรง และดันรุจน์ไปติดประตูหลังร้าน มือเย็นเฉียบของเขาลุกไล่เข้าไปในเสื้อของรุจน์ ผิวกายของรุจน์สะดุ้งจากสัมผัส

"คุณทศ ทำไม เป็นอะไร หรือครับ" รุจน์มีโอกาสพูดเมื่อทศวรรษเลื่อนริมฝีปากเร่าร้อนของเขาไปที่ต้นคอ
"กอดฉันซิ กอดให้แน่น กอดให้ฉันรู้สึกถึงอุ่นไอของร่างกายนี้" ทศวรรษถอดเสื้อของรุจน์ออก แล้วผลักให้ล้มนอนลง
"เราจะทำกันตรงนี้หรือครับ" รุจน์จับแขนของทศวรรษ พื้นกระเบื้องหยาบแข็งและเย็นทำให้รู้สึกเจ็บหลัง
"นายมีปัญหาอะไร"ทศวรรษถอดเสื้อตัวเอง รุจน์ยันตัวเองลุกขึ้นโอบกอดทศวรรษแนบแน่น
"อุ่นหรือยังฮะ" รุจน์ซบใบหน้ากับบ่าของทศวรรษ



Create Date : 11 ตุลาคม 2554
Last Update : 11 ตุลาคม 2554 23:04:38 น.
Counter : 478 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

vannessia
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]