Body Talk(BL)บทที่ 12.3
“นายคงรังเกียจฉันแล้วใช่ไหม ฉันมันขาดเซ็กส์ไม่ได้” รุจน์ลุกพรวดแล้วเดินไปที่ประตูระเบียง
“เปล่าเลย ผมไม่รู้สึกอย่างนั้นสักนิดเลย ในทางตรงข้ามผมกลับคิดว่าต้องใส่ใจกับผู้จัดการในระดับปกติอย่างที่เคย ผมจะไม่ทำให้อะไรมากจนโอเวอร์ ไม่ทำอะไรน้อยจนเหมือนรังเกียจ ผู้จัดการเป็นคนปกติ ไม่ใช่คนป่วย ผมคิดอย่างนี้” เมษาเดินตามไปกอดรุจน์จากด้านหลัง รุจน์หลับตาห่อไหล่ที่สั่นไหวเมื่อเมษากระชับวงแขน ไออุ่นจากเมษาทำให้เขาหลุดหายจากโลกและสงบลงได้เสมอ ด้วยรู้สึกว่าความอ้างว้างใดๆก็ไม่สามารถทำให้เขาหนาวเย็น

เมษาดันไหล่ของรุจน์ให้หันมาหาเขา รุจน์ทำตามอย่างว่าง่าย เมษาโอบกอดเขาแนบแน่น แม้มีครอบครัว แม้มีพ่อแม่ที่รัก แต่คนที่กอดเขามาตลอดคือแม่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ และพี่ชายก็ไม่คิดว่าเป็นน้อง รุจน์จึงโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงามาตลอด อ้อมกอดของใครสักคนคงสามารถหยุดความเจ็บปวดของเขาได้ แต่กลับโชคร้ายที่เขามาได้มันจากทศวรรษ แม้จะรุนแรง เจ็บปวดและไม่อบอุ่นดั่งหวังแต่รุจน์ก็ยังยินดีจะแลกด้วยกายหรืออะไรก็ได้ ขอเพียงให้ทศวรรษกอดเขา ความปรารถนานั้นเองที่ทำให้รุจน์เป็นไป เมษากดเปลือกตาแน่นด้วยรู้สึกปวดร้อนจนขอบตาต้องหลั่งน้ำอุ่นออกมา

“ถึงผมเข้าใจ และรักผู้จัดการแค่ไหน ก็คงไม่อาจทานทนกับเรื่องที่พวกคุณหลับนอนกันเสมอแบบนี้หรอกนะครับ นั่นน่ะมันหนามแหลมทิ่มตำผมชัดๆยามคุณพาร่างกายที่ชอกช้ำมาร่วมรักกับผมอีก”
“ฮือ ขอโทษนะ ขอโทษจริงที่รัก ฉันขอโทษ ถ้านายจะไม่เอาฉันแล้ว ก็ไม่เป็นไรนะ ถ้าเราไม่พบกัน....วันนี้นายคงไม่ต้องมาเสียใจกับฉันหรอก” รุจน์ปล่อยโฮออกมา เมษาก้มลงจูบปากเขาแน่นเนิ่นนาน สองร่างกายค่อยๆทรุดลงนอนกับพื้น

“ผมไม่เคยเสียใจกับเรื่องราวของเรา ไม่เลย หากจะเสียใจก็คงเพราะวันนี้เราไม่เคยรู้จักกันต่างหาก” เมษาเงยหน้าโคลงศีรษะเมื่อถูกรุจน์ไล้จูบอันตะกรุมตะกรามที่ลำคอ ใบหู และใบหน้า เขาปรือตามองรุจน์ลดลำตัวลงไปจดจ่อกับกางเกงยีนส์ของเขา รุจน์รูดซิปลงเบามือ ดึงอันเดอร์ของเขาลงก่อนจะประคองหน่วยก้านของเขาขึ้นจรดจูบอย่างรักใคร่
“ผู้จัดการเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือครับ” เมษายันศอกไปด้านหลังดันท่อนบนลุกขึ้น รุจน์ไม่ตอบปากของเขาลิ้นของเขากำลังเข้มข้นดูดดื่ม เมษาเงยหน้าหายใจหอบราวเพิ่งหยุดวิ่ง

รุจน์เปลือยท่อนล่างแล้วก้าวขึ้นนั่งบนยอดหอคอยมั่นคงของเมษา เขาครางกัดปากเมื่อค่อยปล่อยตัวลงช้าเชื่องเพื่อกลืนกินความตะหง่านใหญ่โตนั้น เมษาหายใจรัวเฝ้ามองหอคอยแห่งนั้นถูกจมหายเข้าไปในร่างของรุจน์จนกลายเป็นการแนบสนิทของสองร่างกาย
“ฉันจะเป็นคนควบคุมตัวเอง ไม่ให้กระเทือนแผลแน่นอน” รุจน์ซึ่งอยู่ในท่าคุกเข่ายันตัวขึ้นก่อนแล้วค่อยๆกดตัวลงเป็นจังหวะช้าๆ เมษาลุกขึ้นนั่งแล้วเลื่อนมือไปกอบกำของรุจน์แล้วเริ่มขยับมือ รุจน์เงยหน้าครางขณะโยกโคลงร่างกายตัวเองเบาบาง

“ฉันรักนาย โอว เมษาฉันพร้อมจะแหลกสลายเพื่อนาย” รุจน์กอดคอเมษาประกบจูบกับเขาราวหิวโซ

ร่างกายเปลือยเปล่าของ S ชื้นไปด้วยเหงื่อ S หอบและเกร็งใบหน้าของเขาซีดเซียว ทศวรรษพยายามดันนิ้วที่สามเข้าไปตามที่Sขอร้องแต่ดูเหมือนมันจะไร้ผล ทศวรรษล้มเหลวที่สอดนิ้วที่สามเข้าไป S หอบจนตัวโยน
“ถ้าเป็นของนายล่ะ” S กลืนน้ำลายพูดเสียงพร่า ทศวรรษส่ายหน้า
“ร่างกายนายต้องคุ้นกับสิ่งที่ฉันหยิบยื่นเสียก่อนไม่งั้นนายตายแน่ แล้วนายก็จะขยาดไปเลย จะเอาแบบนั้นหรือ” ทศวรรษหลับกัดปาก ทศวรรษก้มลงแนบกลีบปากกับเขา ใช้ลิ้นบุกเบิกเข้าไปในปากของS เขาตอบสนองทศวรรษอย่างเร่าร้อน ทศผละออกแล้วส่งนิ้วของมืออีกข้างเข้าปากของ S Sโลมเลียดูดดื่มทศวรรษกระทุ้งปลายนิ้วเข้าไปในปากเขาอีก

“พวกนายทำกันแบบนี้หรือ” Sพูดทั้งที่มีนิ้วคาในปาก ร่างเปลือยหอบหนักราวกับจะขาดใจ ทศวรรษมุดเข้าผ้าห่ม สอดตัวกลางช่องว่างระหว่างขาของ S
“นายจะทำอะไรน่ะ” S รีบปิดเข่า ทศวรรษที่อยู่ใต้ผ้าห่มฝืนจับแยกออกแล้วก้มลงใช้ปากกับ S
“อืม” S พริ้มหลับตาบิดส่ายลำตัวอย่างเพลิดเพลิน ริมฝีปากเผยอร้องเพ้อว่าดีเหลือเกิน วิเศษจริงๆ

สพางค์กายเปล่าว่างของเมษากับรุจน์ตะแคงกอดก่ายเกี่ยวกวัดบนพื้นพรมขนสัตว์เทียม ผิวกายขาวนวลของทั้งสองแนบสนิทเคลื่อนไหวไปด้วยกัน ใบหน้าของรุจน์สะพรั่งเรื่อด้วยเลือดฝาด ดวงตาพริ้มหลับ ริมฝีปากเผยอครางเบาบาง เมื่อบั้นเอว สะโพกแข็งแรงของเมษาขยับเชื่องช้านุ่มนวล กล้ามเนื้อต้นขาและแนวสะโพกที่แนบประสานของทั้งสองงดงามราวภาพเขียน รุจน์หันไปยิ้มและจูบกับคู่แห่งตนที่อยู่ด้านหลัง ร่างแบบบางของเขาซุกอิงอยู่ในอ้อมแขนอันสวยงามด้วยมัดกล้ามที่ได้สัดส่วนกับร่างกายของเมษา

“รู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหวก็รีบบอกนะครับ” เมษาไซร้จมูกโด่งของเขาที่ไหล่ขาวสะอาดด้านหลังของรุจน์
“อืม...” รุจน์พยักหน้า เรียวขนงคิ้วย่น ดวงตาปรือปรอย ริมฝีปากล่างถูกกัดไว้ แม้ดูคล้ายจะเป็นดั่งเจ็บปวดหากแต่ในความเป็นจริง เขากำลังเพริดพริ้วกับลีลาดั่งปลาใหญ่แหวกว่ายในคูแคบเล็กของเมษา รุจน์เหนื่อยทั้งที่ไม่ได้ออกวิ่งสักก้าว เขากลืนน้ำหนืดเหนียวคอนับครั้งไม่ถ้วน ถึงจะเจ็บแต่ในเวลารัญจวนใจเช่นนี้คำพูดที่นอกเหนือจากต้องการอีกคงไม่มีวันหลุดออกจากปากเขาเป็นแน่ เมษาตั้งเข่าฉากกับพื้น ส่วนรุจน์พลิกหันหลังยันกายขึ้นรับเมษาที่ค่อยๆดันแทรกเข้าร่างกายของเขาอย่างเบานุ่มทะนุถนอม

“อ๊า” รุจน์เผลอร้องเมื่อรู้สึกถึงรอยฉีกขาดกำลังถูกกระทบ เขารีบเอามือปิดปากปล่อยให้เมษาระเบิดพลังของเขาออกมาให้หมด เมษาทรุดตัวนั่งแล้วให้รุจน์นั่งบนตัวเขา รุจน์เงยหน้าพ่นหายใจแรงเป็นจังหวะเมื่อร่างกายโยกไหวตามแรงกระทบกระทั่งของเมษา เขาดึงมือเมษาที่อยู่ด้านหลังมาจับแนบไว้กับอก
“อย่าเลิกรักฉันนะเมษา อย่าเลิก”รุจน์ก้มลงจูบปลายนิ้วของเมษา
“ครับ” เมษาพารุจน์ค้อมตัวแนบกับพื้นด้วยกันก่อนจะกดจังหวะหนักเร่งเร้าแรงขึ้น รุจน์ปิดปากแน่น รู้สึกเจ็บจนเกรงว่าแผลจะฉีกขาดเสียหายอีกครั้ง ทว่าเมษาก็หมดแรงลงบนหลังเขาเสียก่อน
“คุณสวยงามเหลือเกินผู้จัดการ” เมษากลืนน้ำลายหอบฮั่ก เขาซบใบหน้ากับแผ่นของรุจน์

ทศวรรษเลื่อนตัวมานั่งที่พื้นปลายเตียง ดวงตาคู่สวยเข้มเหม่อมองออกนอกประตูกระจก สนธยาใกล้ค่ำแล้ว แสงแดดอ่อนสีส้มกำลังจะกลายเป็นเทาและดำมืดยามที่รัตติกาลมาเยือน ในอุ้งมือของเขามีถุงกำมะหยี่ เสียงผ้าเสียดสีกันจากการขยับกายทำให้รู้ว่า S ตื่นแล้ว เขายังไม่ได้ใส่เสื้อผ้ายังซ่อนกายาผุดผ่องใต้ผ้าห่ม ชายหนุ่มเลื่อนตัวมาตรงที่ทศวรรษนั่งอยู่โดยที่นั่งบนเตียงสองขาแยกขนาบทศวรรษไว้ สองแขนกอดคอของทศวรรษไว้
“คราวหน้าฉันต้องทำได้ดีกว่านี้แน่ๆ ให้โอกาสกันหน่อยนะ” S กระซิบจูบที่ใบหูของทศวรรษ

“ยังเจ็บอยู่เปล่าที่ฉันใช้นิ้วกับนาย” ทศวรรษลูบแขน S
“ก็นิดหน่อย รู้สึกแปลกมากๆเลย” S ทิ้งสายตาไว้ที่ขอบฟ้าสีล้มจาง จู่ๆเขาก็คิดถึงผู้ชายที่ร้านกาแฟ คิดถึงร่างกายเปล่าเปลือยของคนๆนั้นจะเป็นอย่างไรกันนะ ยามที่ถูกผู้ชายที่น่ามองคนนั้นบุกเข้าสู่ร่างกายความรู้สึกนั้นจะฉ่ำหวานหรือเจ็บปวดประการใดนะ

“S” เสียงของทศวรรษปลุก S จากภวังค์ที่ไหลไปกับชายหนุ่มที่ไม่อยู่ที่นี่
“หืม..” S วางคางบนไหล่ของทศวรรษ
“ฉันน่ะนะถูกเจ้านั่นตัดเยื่อใยแบบไม่เหลือแล้ว ถึงไม่อยากรู้สึกอะไรทั้งนั้น แต่สุดท้ายก็อดที่จะรู้สึกหมดเรี่ยวแรงไม่ได้”ทศวรรษกำถุงกำมะหยี่แน่น แม้เขาจะฝืนใจหลับนอนกับรุจน์สำเร็จ ทว่ามันกลับไม่เหลือความรู้สึกใดๆสักกระผีก ไม่มีเลยแม้ความรู้สึกว่างเปล่า ข้างในอัดแน่นไปด้วยความเศร้าระทม

ดูเอาเถอะแม้กายจะเจ็บจนหลั่งเลือดทั้งภายนอกภายใน แต่หมอนั่นก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ กริยาและแววตาหมอนั่นไม่เหมือนเดิม เขารู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นของกริยาที่รุจน์แสดงออก มันไม่สำคัญอีกแล้วการร่วมรักครั้งนี้ รุจน์แข็งใจลุกขึ้นทันทีที่เขาร่ายบทรักใส่จนจบ แม้แต่ละก้าวทีขะผกขเผกจะเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลรินอาบผิวด้านในขาอ่อนทั้งสองข้าง รุจน์ก็แข็งใจเดินไปถึงที่หมาย หมอนั่นหยิบสิ่งที่อยู่ในมือของเขาจากลิ้นชัก มองมันครู่หนึ่งก็คว้างมันใส่หน้าทศวรรษพร้อมประกาศด้วยสีหน้าที่กร้าวแกร่งและน้ำตา

....ผมคืนมันให้คุณ ถ้านี่คือฟางเส้นสุดท้ายระหว่างเรา ขอให้เราตัดขาดนับจากนี้ วันเวลาที่ผ่านมาของเราขอให้ถือซะว่ามันไม่เคยมี คุณก็คิดเสียว่าเคยเร่าร้อนกับโสเภณีคนหนึ่งแล้วมันก็ผ่านไป ผ่านเลย ไม่หวนกลับมาอีกแล้ว เวลาที่ชวนสะอิดสะเอียนแบบนั้นคุณลืมมันไปซะ เซ็กส์ครั้งนี้ผมให้คุณเป็นครั้งสุดท้าย ให้เพื่อกล่าวลา ให้เพื่อบอกว่าขอบคุณสิ่งพันละอันน้อยนิดที่คุณทำให้ประทับใจ เพื่อบอกว่าผมเจ็บปวดมากพอแล้ว ผมรักเมษา ผมรักเขาจริงๆผมจะไม่ยอมเป็นแบบนี้อีกแล้ว....

ทศวรรษพิงศีรษะกับ S
“แม้ไม่อยากยอมรับ แต่...รุจน์น่ะหลุดมือฉันไปแล้วจริงๆ ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะเจ็บเพราะคนๆนี้เลยนะ” ทศวรรษหลับตาลง แต่ยังเห็นเบื้องหลังเปลือกตาอมแสงสีส้มจากแดดอ่อนภายนอก เขาได้ยินเสียงของ S กระซิบแผ่วเบาภายใต้แสงแดดอ่อนนั่น
“วางมือจากเขาเสียซิ ทศ”

ในเวลาเดียวกัน ผืนฟ้าที่กว้างไกล ภายใต้อาทิตย์ที่กำลังอัสดงดวงเดียวกัน
รุจน์พิงหลังกับเตียงพร้อมยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบนบ่าของเมษาที่นั่งตรงข้ามกับเขา
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าต่อไปจะทำได้ดีหรือเปล่า แต่ฉันก็ได้เริ่มพยายามบ้างแล้ว”รุจน์ยิ้ม ในแสงแดดอ่อนแรงใบหน้าของเขาเกิดเป็นแสงเงา ใบหน้าที่สวยชวนตายิ่งน่ามอง
“อย่างเช่น...” เมษาอดปรายมองช่องแคบที่ยังฉ่ำนองด้วยน้ำรักสีขาวข้นของเขาไม่ได้ เห็นแล้วก็ให้กลางลำตัวปวดหนึบหน่วง รุจน์วาดเท้าลงจากบ่าของเมษา ข้อเท้าของเขาสวยหาใครเสมอเหมือนเดิม
“มันว่างเปล่า” รุจน์พยักเพยิดให้เมษามองที่ข้อเท้า

“หายหรือครับ” เมษาพาซื่อถาม
“หึๆๆ” รุจน์หัวเราะจนไหล่สะเทือน
“ฉันถอดคืนคุณทศไปแล้ว” รุจน์วาดเรียวขาขึ้นพาดกับบ่าเมษาอีกครั้ง
“นายจะไม่หาอะไรมาใส่เพื่อจองจำฉันไว้กับนายหรือ ที่รัก”
เมษาอมยิ้มดีใจเขาดึงขารุจน์ลงจากบ่าเพื่อดูให้แน่ใจก่อนก้มลงจูบข้อเท้านั้นด้วยจุมพิตที่บอกว่าหมดใจ
รุจน์ถอนใจมองเมษาอย่างลึกซึ้งก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนไหว
“ฉันจะบำบัด ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อนายบ้าง ไม่ใช่เพื่อตอบแทนแต่เพราะว่าฉันรักนาย รักจริงๆ”
ภายในห้องที่สลัวด้วยแสงของอาทิตย์ที่ใกล้ลับขอบฟ้า เงาที่ฉาบบนใบหน้าของรุจน์และเมษาสีหน้าอิ่มเอิบ ดวงตาที่สบตากันอย่างไม่รู้หลบเร้นแววประกายในนั้นส่องประกายวิบแวมส่งผ่านความรู้สึกแห่งรัก อากัปกริยาที่เป็นธรรมชาติของทั้งคู่งดงามราวภาพสีน้ำมันชั้นเลิศจากฝีมือของศิลปินที่ได้ชื่อว่าเป็นตำนานของโลก

รุจน์ทำหน้าเมื่อยขณะเดินตามเมษาออกมาจากลิฟท์
“ทำไมฉันต้องมาออกแรงอีกล่ะหลังจากเสียพลังงานไปตั้งเยอะ” รุจน์ทำหน้ามุ่ยปากยื่นบ่นใส่แผ่นหลังกว้างของเมษา
“น่าเห็นก่อนแล้วจะไม่ผิดหวัง” เมษายิ้มขณะกดรีโมทรถ
“รถสวยนี่” รุจน์โดดเข้าไปยืนพิงข้างรถพลางมองเมษายกฝากระโปรงขึ้น
“บีเอ็มคุณสวยกว่า” เสียงเมษาอื้ออึงอยู่ในท้ายรถ
“ฮอนด้าแอคคอร์ด สวยจะตาย ดูซิท้ายแจ่มมากๆเลย” รุจน์ว่าพลางตบลงบนก้นของเมษา เมษาสะดุ้งจนหัวชนขอบท้ายรถด้านในดังโป๊ก

“อ๊ะ! ขอโทษ” รุจน์พ่นหัวเราะลั่น เมษาถอยจากใต้ฝากระโปรงรถได้ก็โผเข้าหารุจน์ รุจน์โดดหลบหัวเราะชอบใจ
“ก็ขอโทษแล้วไง”รุจน์โวยวายพร้อยรอยยิ้มเมื่อถูกเมษารวบตัวไว้ได้
“ใครบอกให้จับในที่สาธารณะ ของเขามีเจ้าของนะ” เมษารวบเอวของรุจน์ที่พยายามดิ้นหนี
“อืมแล้วเจ้าของนายน่ะ เขาชอบนายทั้งตัวหรือเปล่าล่ะ” รุจน์ยกแขนทั้งสองวางบนไหล่ของเมษา เมษาหมุนตัวแล้วยกเขาขึ้นนั่งบนกระโปรงหน้ารถ
“ว่าไงครับ เจ้านาย มีคนถามน่ะ ว่าคุณชอบผมทั้งตัวหรือเปล่า?” เรียวตารีนั้นเจิดจ้าด้วยความเร่าร้อนจนรุจน์ต้องเมินไปทางอื่น ด้วยเกรงว่าจะหากไปสบสานด้วยหัวใจจะยวบยาบราวลูกโป่งถูกปล่อยลมจนหมดแรงตอบ

“ชอบเข้าไปถึงข้างตับไตไส้พุงเลย” รุจน์ยิ้มกับวิวนอกตึก เมฆบางกำลังเคลื่อนบังอาทิตย์จนแดดหลัวหม่นลง ใจจริงเขาก็อยากสานนัยตากับเมษาอยู่หรอกทว่า ดวงตาสดใสหรี่แคบจนเป็นประกายคู่นั้นอาจทำให้เขาละลายได้โดยไม่ทันตั้งตัว
“แล้วหัวใจ เซ่งจี๊ล่ะ” เมษาเอียงคอรอคำตอบ
“นั่นน่ะของสำคัญเลยนะ” รุจน์ทนไม่ไหวกับความรู้สึกท่วมท้นข้างในเลยหันขวับมาแข็งใจสบตา แต่เมษากลับฉกฉวยวินาทีนั้นจูบปากเขาแนบแน่น
“ผมรักผู้จัดการจนทนแทบไม่ไหวสักขณะจิต” เมษาผละริมฝีปากไปแนบกระซิบข้างใบหน้าของรุจน์ รุจน์หลับตาแน่นสองแขนที่วางบนไหล่รัดรึงกลายเป็นโอบกอด

“ฉันก็ทนนายไม่ไหวเหมือนกัน รักจนไม่สามารถจะอธิบายเป็นคำพูดให้ใครเข้าใจถึงความรู้สึกที่มันเต็มตื้นข้างในนี้ได้อีกแล้ว”
“ดีใจจัง” เมษาก้มศีรษะซบกับอกของอีกฝ่าย รุจน์โอบกอดรอบศีรษะเขาไว้อย่างรักใคร่
รุจน์ผวาเข้าไปจับขอบท้ายรถก่อนจะร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
“กุหลาบ กุหลาบจริงๆด้วย สวยจังมีตั้งหลายสีแน่ะ”
“ผมเอามาจากที่บ้านน่ะครับ ผู้จัดการจะว่าอะไรไหมฮะ ถ้าผมจะเอามันมาเลี้ยงที่นี่”
“นอกว่าไม่ว่าแล้ว ยังขอบคุณด้วย สวยๆทั้งนั้นเลย สีขาว สีแดง สีเหลือง สีม่วง สีส้ม 1 2 3..” รุจน์ชี้นิ้วนับ
เมษากอดอกมองเขาจากด้านอย่างดีใจ
“ปลูกให้เต็มระเบียงเลยเนอะ เวลาออกดอกพร้อมกันแบบเยอะๆนะ ทั้งหอมทั้งสวยเลย” รุจน์หันมาบอกอย่างตื่นเต้น

“ช่วยกันนะ”เมษายกมือ รุจน์ตบมือกับเขา
“วันหยุดเราจะได้มีอย่างอื่นทำบ้างนอกจาก....” รุจน์เสยผมอย่างเขินอาย เมษามองรุจน์ที่กุลีกุจอยกกระถางพลาสติกสีดำขนาดไม่ใหญ่โตพลางคิดสารตะ บางทีถ้ารุจน์ได้เพลิดเพลินกับกิจกรรมอย่างอื่นบ้างนอกจากเซ็กส์ของผู้ชายสองคน บางทีแนวโน้มก็อาจจะกลายเป็นไม่ใช่ ไม่เกี่ยวข้องไปเลยก็ได้ เมษาคลี่ยิ้มอย่างมีหวังก่อนจะวิ่งเข้าไปช่วยรุจน์ยกที่เหลือ
“ฉันชอบมากๆเลย ขอบคุณนะ” รุจน์กอดกระถางกุหลาบอย่างไม่กลัวเสื้อเปื้อน
“แล้วเมื่อกี้ใครไม่รู้เนอะบ่น”
“ก็ไม่รู้นี่นาว่ามันจะดีแบบนี้”

รุจน์หันมาโน้มตัวมาหอมแก้มของเมษาแล้วเดินนำหน้าไปที่ลิฟท์ เมษาก้มลงดมดอกกุหลาบแล้วช้อนตามองท้องฟ้า เขาบอกกับแม่บนสวรรค์...แม่ครับ เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ นี่คือต้นกุหลาบของผมครับ...
ตะวันที่แอบหลังเมฆเทาค่อยเคลื่อนจนแสงแทงทะลุออกมาเป็นลำมากมายก่อนจะปรากฏตัวเฉิดฉายเต็มแสงจ้าดั่งเดิม เมษาเงยหน้ามองพร้อมระบายยิ้มอย่างเต็มกลีบปากอันอวบอิ่มของเขา
“นะครับ คุณแม่” เขาพูดตามลำพังกับท้องฟ้า แสงแดดและดวงตะวันก่อนจะวิ่งตามรุจน์ไป

พิสราถอนใจแรงจน S ต้องหันกลับมา เขาพอจะเข้าใจจึงยื่นมือไปจับบ่าคู่หมั้นสาว
“ก็น้องอยากภาพของมิสเตอร์ซุรุงะ คอลเลคชั่นสปริงนี้ไม่ใช่หรือครับ พอมาถึงกลับทำหน้าเหมือนเพิ่งกลืนก้อนดินเข้าไป”
“พี่ชายยังพูดไร้เดียงสาอยู่ได้ ภาพน่ะน้องอยากได้ค่ะแต่ไม่อยากอยู่ที่นี่สักวินาทีเลยค่ะ เรื่องพวกนั้นทำกันเข้าไปได้ คุณรุจน์นี่ช่างเหนือจินตนาการของน้องเลย เขาเป็นสุภาพบุรุษที่น้องชื่นชม” พิสราเพ่งมองไปที่ประตูแกลลอลี่
“หรือจะให้น้ำฟ้าเขาถ่ายรูปแล้วส่งเมล์ให้ล่ะ”
“ขำอีกแล้วพี่ชาย ตัวเองน่ะแฟนผลงานตัวยงของอาจารย์ จะดูผลงานของอาจารย์ จะเลือกชิ้นที่ดีต้องดูด้วยตาไม่ใช่หรือคะ แนะนำอะไรออกมาน่ะ บ้าจัง” พิสราตีแขน S เบาๆ

“อ้าวคู่รักทำไมไม่เข้าไปล่ะคะ” เสียงน้ำฟ้าที่ดังด้านหลังทำให้ทั้งสองหันกลับมอง
“แกลลอรี่เปิดแล้วนี่คะ”น้ำฟ้าเดินมากับทศวรรษ ชายหญิงดูสมกันด้วยความสูง ความงาม และเครื่องแต่งกายอันปรานีตมียี่ห้อ ทศวรรษในสูทดำสนิท น้ำฟ้าในชุดติดกันสีครีม ลำคอละหงถูกทำให้เด่นน่ามองมากขึ้นด้วยสร้อยมุกเม็ดเล็กเส้นสั้น เรียวแขนของน้ำฟ้าคล้องกับแขนของชายหนุ่มข้างกาย พิสราด้วยความรู้สึกกึ่งชื่นชมกึ่งประหลาด หล่อนทักน้ำฟ้าทักทศวรรษแต่ไม่มองหน้าเขา S ยกมือทักทศวรรษ
“นึกแล้วว่าวันนี้คุณพิสราต้องมา ฟ้าน่ะพอคุณซุรุงะติดต่อมาก็รีบเมล์บอกคุณพิสราเลย”
“ตื่นเต้นมากๆค่ะ” พิสราเสียงสูงขึ้นจมูก ทศวรรษแอบส่ายหน้า S อมยิ้มขณะมองเขา

“เป็นการพักผ่อนหลังทำงานในคอลเลคชั่นนี้ล่ะค่ะ มาเป็นการส่วนตัวด้วยค่ะ ยังไม่ได้บอกรุจน์ให้จัดการเรื่องการต้อนรับเลยมัวแต่ยุ่งเลยลืมๆไป” น้ำฟ้าเปิดประตูแกลลอรี่เดินเข้าไปก่อน พิสราเหลือบมอง S ด้วยสีหน้าเฝื่อนเหมือนกลืนก้อนดินขนาดใหญ่กว่าเดิม S แทบอยากจะพ่นหัวเราะออกมา แต่ทศวรรษเดินมาตบหัวเสียก่อน
“กลืนเข้าไปเลย ขืนหัวเราะออกมาจะอัดให้หน้าหงายเลย” ทศวรรษพูดลอดไรฟันก่อนจะเดินตามน้ำฟ้าและพิสราเข้าไป
“หวัดดีตอนเช้าๆจ้าหนุ่มๆของฉัน” น้ำฟ้าทักทายเมษากับรุจน์ที่กำลังทำงานที่โต๊ะ เมษายกมือพุ่มไหว้หล่อน รุจน์ค้อมตัวให้

“อ้อ รุจน์เดี๋ยวเข้ามาคุยงานกันหน่อยนะคะ”
“ได้ครับ”
น้ำฟ้าเดินผ่านเขาขึ้นออฟฟิศพิสราที่ตามมามองเขาอย่างห่างเหินอย่างเห็นได้ชัด สายตาแบบนั้นรุจน์อดเจ็บแปลบไม่ได้ เขาเลยรีบเดินเลี่ยงหลบเข้าห้องทำงานตัวเองไป เมษามองตามอย่างงงๆกำลังจะก้าวเท้าตามไปแต่พนักงานส่งดอกไม้ก็เข้ามายื่นบิลและใบส่งของ เมษาจำต้องเดินตามพนักงานไปที่รถที่จอดหน้าแกลลอรี่ กำลังจะสวนกับทศวรรษและS ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยกัน ต่างคนต่างไม่หลบไหล่กระแทกกันต่างผงะถอยตามแรงอีกฝ่าย เมษาเหลือบจ้องเต็มตา

“ไอ้เด็กเมื่อวานซืนนี่อะไรวะ” S ย่นคิ้วเหลือบมองอย่างไม่สบอารมณ์ ทศวรรษถอนใจ สายตาไม่เว้นวายให้เมษาเหมือนกัน
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร อย่าตีปีกไป” ทศวรรษยิ้มเย็นเยือกก่อนจะเดินจากไป เมษาหันตาม ทำอย่างไรเขาทำใจปลงตกกับคนๆนั้นไม่ลง
“พี่ครับ” เด็กจากร้านดอกไม้วิ่งกลับมาตามเมษา
“อ้อ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะ ขอโทษที” เมษารีบก้าวตามออกจากแกลลอรี่
“ใครน่ะ ทำไมทำท่าทางแบบนั้นกับนาย” S มองตามเมษา
“คนรักของรุจน์” ทศวรรษพูดเร็วแบบปากแทบไม่ขยับ

“เหรอ ก็สมกันดี หวังว่าคงเข้ากันได้นะ คนพวกเดียวกันอยู่ด้วยกันน่ะดีที่สุดนะ เอ้อ...ทศ นายขึ้นไปก่อนนะฉันลืมของน่ะ” S บอกทศวรรษก่อนจะเดินกลับไปที่หน้าแกลลอรี่ ทศวรรษพยักหน้าก่อนจะเบนสายตาไปที่ห้องแพนทรี

รุจน์เข้ามาหยิบน้ำในตู้เย็นรินดื่มก่อนหายใจลึกแล้วค่อยๆผ่อนออกเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปลาบในทรวง เมื่อรู้สึกค่อยดีขึ้นจึงเปิดตู้บนผนังหยิบชุดกาแฟรับแขกออกมาวางตรงหน้า
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณผู้จัดการ นายนี่หากมองผ่านๆอย่างไม่คุ้นเคย ก็เหมือนอย่างที่น้องสาวว่านะ หล่อ หน้าสวย สุภาพบุรุษ ใครจะไปรู้ล่ะว่า ตัวตนอันแท้จริงที่ปลอกเปลือกล่อนจ้อนก็แค่โสเภณีที่ไม่รู้จักพอ” เสียงหน้าประตู ทำเอารุจน์หายใจไม่ถูกจังหวะ เขาหันขวับกลับไป S ยืนพิงกรอบประตู รุจน์ปริบตาด้วยคาดไม่ถึงว่าจะเป็น S
“คุณ S”
S ยักไหล่เบะปากเดินเข้ามาในแพนทรี

“แต่ก็นะ ที่ผ่านมาฉันขอบใจโสเภณีอย่างนายนะที่ตอบสนองอารมณ์กดดันของทศวรรษมานานนับปีๆ เขาบอกว่านายถึงใจทุกลีลา ทุกการเชิญชวน ไม่ว่าเขาจะเริ่มอย่างไรนายก็สนองอย่างถึงพริกถึงขิง ซึ่งดูจากท่าทางชอบยั่วคนจนหื่นกระหายของนายฉันก็เชื่อนะ แต่นั่นมันก็เป็นแค่อดีตไปแล้วจริงไหม? ตอนนี้นายก็มีใครที่ก็น่าจะเหมาะสมกับนายแล้วนี่ ดังนั้นขอล่ะ ขอเลย หากตัดสินเดินออกจากชีวิตของทศวรรษแล้วก็อย่าได้มาทำท่าสนิมสร้อยอ้อยอิ่งเรียกหาความหลังกับเขาอีก เพราะนั่นมันจะทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่านายมันก็แค่โสเภณีโสโครกที่ใช้วิธีโสมมเรียกร้องความสนใจจากเขา” S ยื่นใบหน้าเข้ากระซิบ ริมฝีปากของเขาอยู่ห่างจากผิวหน้าของรุจน์ไม่กี่เซ็นต์ ลมหายใจกระชั้นทำให้รุจน์รู้สึกถึงความโกรธขึ้งของอีกฝ่าย S ประกบปากจูบปากรุจน์พร้อมทั้งกัดริมฝีปากของรุจน์โดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว

“คุณทำอะไรน่ะ” รุจน์ถอยมาติดขอบโต๊ะด้านหลัง S ตามเข้าประชิดอีก
“ถ้านายมันขนาดผู้ชายสองคนยังชิลล์ ฉันก็อยากลองเหมือนกันนะ ฉันไม่เคยกับผู้ชายเสียด้วย เปิดซิงกับนายก็ดีเหมือนกัน นายคงทำให้ติดใจได้ไม่อยาก จากสองเป็นสามตามตำราดีนะ” S ยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่ซีดเซียวของรุจน์
“ทำท่าแบบนี้เสมอซินะเวลาอยู่ลำพังกับผู้ชายน่ะ ทำเป็นลูกไก่ตัวสั่นตัวซีดที่แท้ก็ร่านอยากแทบบ้าอยู่ล่ะซิ” S จะจูบอีก รุจน์ผลักเขาออกห่างอย่างแรง
“พอซะที หยุดดูถูกผมนะ” รุจน์ตะโกน

“ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ล่ะ S” ทศโผล่พรวดเข้ามา รุจน์หอบหนัก เขาคว้าแก้วที่ยังมีน้ำเดินตรงไปที่ทศวรรษ ถึงตัวก็สาดน้ำใส่หน้าทศวรรษ
“คุณพูดแบบนั้นหรือครับ คุณพูดถึงผมกับเขาแบบนั้นหรือครับ” รุจน์กัดปากน้ำตาไหล
“พูดอะไรห๊า! ฉันไปพูดอะไรกับเขา นายกล้าดีอย่างไรทำแบบนี้นี่” ทศวรรษจะพูดต่อ รุจน์เงื้อมือตบหน้าเขาอีกแล้วกระแทกไหล่เขาเดินออกจากห้องไป ทศวรรษมอง S ฝ่ายนั้นเงยหน้าหัวเราะแล้วเดินออกจากห้องอีกคน
“นายไปพูดอะไรกับเขา” ทศวรรษเดินตามทันจนคว้าไหล่ของ S กระชากให้หันกลับมา
“ทำไมต้องบอกนายด้วย ดูนายซิจ้องหน้าฉันอย่างกับจะกินเลือดเนื้อ สายตาแบบนั้นน่ะหมายความว่าอย่างไร นายร้อนตัวเรื่องอะไร นายจะชกฉันด้วยซินะหากว่าฉันพูดกับไอ้บ้านั่นไม่ดีน่ะ นายกล้าเป็นแบบนี้กับฉันแล้วหรือ” S ปัดมือทศวรรษ

“อย่าให้มันมากนะ S นายไม่ใช่พ่อฉันนะโว๊ย ทำไม่ฉันต้องกล้าไม่กล้ากับนาย นี่มันเรื่องส่วนตัวของฉันกับรุจน์ เราเป็นอะไรกัน เราลึกซึ้งกันไหนถึงไหน แล้วนายเป็นอะไรกับฉัน ที่เล่าให้ฟังเพราะเห็นเป็นเพื่อนกัน แล้วนี่นายทำอะไรลงไป”
S จำต้องกลืนความบันดาลโทสะผ่านทรวงเต็มความพยายาม เขาถอนใจแล้วยิ้มอ่อยแบบสำนึกผิดเดินมาตบบ่าทศวรรษ
“ใช่ฉันไม่ใช่พ่อนาย เพราะถ้าเป็นพ่อนาย เขาคงโยนเงินให้มาเฟียที่ไหนก็ได้ยำไอ้นั่นเละโดยไม่จำกัดวิธีการ จำไม่ได้หรือพ่อนายเกลียดนักพวกไม่มีหัวนอนปลายตีน เขาไม่ชอบให้นายไปเกลือกกลั้วแม้แต่แค่เล่นด้วย น่าทศนี่ถ้านายโกรธจริงจังล่ะก็ขอโทษด้วย เราอดโกรธเคืองแทนนายไม่ได้นี่นา”
“อย่าทำอย่างนี้อีกนะ ให้ฉันจัดการเรื่องของฉันเอง”ทศวรรษพ่นหายใจแรงหันหลังเดินไปทางอื่น S ยักไหล่ ก็เหมือนธุรกิจล่ะ รู้จักผ่อนปรน ยอมอ่อน ยอมเสียหน้าบ้าง ในเวลาที่ไม่สะดวก จะเป็นไรไปในเมื่อผลประโยชน์ที่รอข้างหน้านั้นยิ่งใหญ่กว่ามากมายนัก

รุจน์พิงหลังกับประตูหลังร้านด้านนอก ความรู้สึกอึดอัดกดดันทำให้ต้องถอนใจออกมาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งชันเข่าแนบใบหน้ากับท่อนแขน คำพูดของ S ท่าทางของพิสรา ท่าทีของคนระดับนั้นทำให้เขารู้สึกราวตัวเองเป็นของประหลาดที่ไม่น่ามีอยู่บนผิวโลก สิ่งมีชีวิตอย่างเขานั้นช่างเป็นที่น่าสงสัยนักว่าจะเป็นพิษภัยเมื่อหายใจร่วมอากาศกันหรือไม่ เรียวนิ้วมือที่สานเข้าด้วยกันบีบแน่นจนซีดขาว ปลายนิ้วจากด้านตรงข้ามเลื่อนเข้าแตะแผ่วเบาจากนั้นจึงเป็นเกาะกุมและบีบมือของรุจน์แน่น รุจน์เงยหน้า
“คุณทศ”
“ไม่ว่านายจะเชื่อหรือไม่ แต่ฉันไม่เคยพูดว่านายเป็นโสเภณีต่อหน้า S” ทศวรรษพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง หากแต่ใบหน้าอ่อนโยน

“เขาเกลียดผมหรือครับ ผมไปทำอะไรให้เขาหนักหนาครับ” รุจน์ออกแรงดึงมือกลับ แต่ทศวรรษกลับรั้งเขาเข้าไปกอด
“เขาไม่ได้เกลียดนายหรอก แค่ปฏิกริยาของคนที่กำลังจะสูญเสียเท่านั้นล่ะ” ทศวรรษซบกับลำคอของรุจน์
“สูญเสียหรือครับ?” รุจน์ย่นคิ้วขณะก้มมองทศวรรษ
“เขาสูญเสียฉันไปแล้วจริงๆ รุจน์ฉันรู้สึกกับนายมากเกินไป เกินกว่าจะทำใจลืมได้ ฉันอาจจะช้าไปแต่ฉันก็ยังคงอยากบอกนาย” ทศวรรษผละออก เขาดึงรุจน์ลุกขึ้นยืน

“แทนที่จะเที่ยวไปบอกคนอื่นให้กลายเป็นแบบนี้ ฉันควรจะบอกนายเอง ฉันอยากให้นายแค่ได้ยินไว้เท่านั้นจริงๆ ฉันจะยอมรับในสิ่งที่นายเลือกแล้วอย่างไม่มีคำใดจะประท้วง แต่อย่างไรก็โปรดฟังฉันสักวินาที คิดเสียว่ามันเป็นแค่สายลมอันไร้คุณค่าที่พัดผ่านเข้ามาแล้วจากไปเสียก็ได้”

“คุณทศ หยุดเถอะครับ ผมไม่อยากเกี่ยวข้องกับคุณอีกแล้ว โปรดไปเสียเถอะครับ” รุจน์ยกมือปิดหู ทศวรรษจับมือของเขาออก รุจน์ฝืน
“ฟังฉัน” ทศวรรษจับมือทั้งสองของรุจน์กดกับประตู
“ไม่” รุจน์บิดข้อมือให้เขาปล่อย
“ฉันรักนายนะรุจน์”
“ทำไมคุณไม่ไปตายซะล่ะครับ ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณอีกแล้ว” ที่ทศวรรษตั้งใจพูดกับที่รุจน์พลั้งปากสวนกันในเสี้ยววินาที ดวงตาของทั้งสองเบิกโพลงด้วยคำพูดของอีกฝ่าย ทศวรรษปล่อยมือรุจน์ รุจน์ส่ายหน้าหมดแรงเขายันหลังพิงกับประตู ดวงตาคู่งามมองทศวรรษเนิ่นนาน ทศวรรษเองก็เช่นกัน

“เหรอ นายคิดว่าอย่างนี้ดีต่อนายซินะ” ทศวรรษเม้มปากพยักหน้า ท่าทางของเขาเก้กังยามก้าวถอยหลัง รุจน์กระพริบตาเรียกความรู้สึกตัวกลับมา มีน้ำอุ่นไหลอาบแก้ม ไหนใครว่านั่นเป็นแค่สายลมอันไร้คุณค่า แค่พัดผ่านมาแล้วจะพัดผ่านไป รุจน์ยกมือขึ้นป้ายน้ำตา แต่กลับสะอื้นไม่หยุด จนเขาต้องยกอีกมือมาปิดหน้า ในหัวอกรู้สึกถึงซากดวงใจที่มอดไหม้พังทลายคล้ายฟื้นคืนเพราะสายลมนั้น ที่จริงนั่นไม่ใช่สายลมไร้คุณค่า หากแต่เป็นสายน้ำทิพย์ที่ดวงใจนั้นรอจนดับสูญต่างหาก

“คุณน่ะตายไปเสียล่ะดีแล้ว คนอย่างคุณน่ะมันร้ายกาจ” รุจน์หันหลังไปซบกับประตู ทศวรรษถอนใจขอบตาปวดร้อนจนต้องรีบเงยหน้า
“เข้าใจแล้วล่ะ ขอบใจนะที่ไม่ปิดบังความรู้สึกกับฉัน” ทศวรรษหันหลังเดินจากไป รุจน์เลื่อนมือทั้งสองมาปิดปากไว้
“ทำไมมาบอกกันตอนนี้ครับ ผมไม่อยากรู้แล้ว ไม่อยากจริงๆ คนใจร้ายทำไมทำอย่างนี้” รุจน์พูดเบื้องหลังฝ่ามือของตัวเอง อีกด้านคำพูดของทศวรรษและปฏิกริยาของรุจน์ทำให้เมษาต้องหลับตาเงยศีรษะพิงกำแพง ริมฝีปากเรื่อสีธรรมชาติเผยอพ่นหายใจแรง

พิสรากอดอกมองน้ำฟ้าที่กำลังพูดสายกับลูกค้าสายแล้วสายเล่าก่อนจะก้าวคืบเข้าไปยืนหน้าโต๊ะทำงาน โน้มตัวไปกดตัดสาย น้ำฟ้าตะลึงกับการกระทำของหล่อน
“คุณพิสรา ทำไม..?” น้ำฟ้าพยายามปั้นยิ้ม บนใบหน้าที่ตึงไปแล้ว
“เอาไว้ค่อยโกรธพิสราหลังจากนี้เถอะค่ะ หรือไม่หลังจากนี้พิสราอาจตัวเล็กจิ๋วไปเลยสำหรับสิ่งที่คุณน้ำฟ้าจะได้รู้” พิสรายิ้มแต่สีหน้าเครียด น้ำฟ้าวางหูโทรศัพท์ลงบนเครื่องแล้วทิ้งตัวลงนั่ง พิสราเดินอ้อมมายืนพิงโต๊ะข้างน้ำฟ้า น้ำฟ้าเงยหน้ามองพิสราพลางคิดว่าขณะจิตตอนนี้ทำไมถึงคิดว่าพิสราสวยแบบพิสดารแปลกตา S ที่กำลังก้าวขึ้นบันไดไม่ทันได้ยินสิ่งที่อยุ่ในห้อง หากได้ยินเขาคงเห็นด้วยกับผู้ชายบางส่วนบนโลกนี้ที่บอกว่า ผู้หญิง อากาศและ งูพิษ อย่าได้ไว้ใจ...

ภายในห้องที่ไร้แสงไฟเมษากับรุจน์ร่วมรักกันอย่างรุนแรง พละกำลังของเมษาที่กำลังถั่งโถมใส่รุจน์ดูเหมือนไม่ลดน้อยถอยลงแม้จะกินเวลายาวนาน แผ่นหลังขาวนวลเรื่อในความสลัวของรุจน์วาวมันด้วยความชื้นจากเหงื่อ เมษาลูบไล้แนวกระดูกสันหลังของรุจน์อย่างเพลินมือ เขาชอบมันมาก มันอยู่ในสายตาของเขาเสมอร่วมรักในท่านี้ รุจน์ซบหน้ากับที่นอนครวญครางจนเริ่มคอแห้งด้วยเพราะเซ็กส์นี้ช่างยาวนาน จุดสัมผัสที่ต้องต่อกรกับขนาดของใหญ่โตของเมษาก็มีอาการแสบเจ็บบ้างแล้ว รุจน์ถูกจับพลิกให้นอนหงายโดยที่จุดสัมพันของเขาและเมษายังแนบสนิท รุจน์รัดเกี่ยวต้นขากับเอวของเมษาพลางทอดแขนไว้เหนือศีรษะ

ร่างกายเปลือยเปล่าของทั้งสองวาววามในความหลัวของแสงจากภายนอก กล้ามเนื้อสัดส่วนแห่งกายต่างไหวสะเทือนราวกำลังเกิดแผ่นไหว รุจน์ยกมือขึ้นลูบไล้บั้นท้ายของเมษาพลางสงสัยเพลิงรักของเมษาจะจบลงเมื่อไหร่ ทำไมคืนนี้เขาถึงแข็งแรงราวกับมีขุมพลังซ่อนอยู่ในที่ใดที่หนึ่งของร่างกายซึ่งคอยป้อนกำลังให้ไม่รู้จักจบสิ้น

“เก่งจังที่รัก นายยอดมาก อีกนะ อีกมากๆเลย” รุจน์พริ้มตาระบายยิ้ม ใช่เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้วนอกจากเซ็กส์ และรักจากคนที่อยู่ด้วยกันนี้ คำพูดที่คิดว่าเพราะรอคอยมานานจึงหวั่นไหวต้องลบเลือน ลบให้ออกเพราะมิฉะนั้นมันจะกลายเป็นรอยขีดข่วนความรักของเขากับเมษาได้
“เมษาฉันต้องการนาย อ๊าๆๆ” รุจน์ขยับบั้นเอวสอดประสานกับเมษา เมษายิ้มอย่างถูกใจ รุจน์ยันกายลุกขยับหนีจากเมษาลงจากเตียง เมษาได้แต่มองตามตาปริบงงว่าเขาจะไปไหนสวรรค์ยังไม่โน้มลงมาหาเลย รุจน์เดินไปที่ผนังกระจกใสที่อยู่ด้านที่หันออกสู่ท้องฟ้าและอาคารสูงภายนอก เขาคุกเข่าลงแล้วโน้มตัวลงต่ำสองมือดันกระจกไว้ ซอกแคบฉ่ำนองด้วยน้ำสีน้ำนมที่ไหลลงอาบง่ามขาด้านในตั้งรออย่างใจจดจ่อ

“เข้ามาสิ เข้ามาให้ถึงที่สุด ฉันต้องการนาย มาซิ” ใบหน้ายวนใจเบื้องหลังไหล่ของรุจน์อยู่ในเงามืด เมษาเดินลงไปคุกเข่าแล้วดันความแกร่งที่ยังแข็งราวท่อนไม้พรวดเดียวสุดปลาย รุจน์เงยหน้ากรีดร้องร่างกายเกร็งแล้วค่อยคลายลง เมษาจึงเริ่มขยับหนักหน่วงในทำนองรัก รุจน์แนบแก้มกับกระจกพลางร้องกระเส่าไม่เป็นภาษากระนั้นก็สามารถสื่อได้ว่าถูกใจเพียงใด เขาปรายตามองต้นกุหลาบที่ระเบียง กลีบดอกหลากสีกำลังพริ้วไหวรับสายลมและบรรยากาศแห่งคืนค่ำ รอยยิ้มผุดบนใบหน้า กุหลาบที่สวยที่สุดในโลก กุหลาบที่ปักกลางใจของเขาอย่างที่ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้ นั่นไงกุหลาบของเมษาล่ะ รุจน์หลุบตาทั้งรอยยิ้ม

แล้วเวลาก็ทำให้ได้ใคร่ครวญอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้หัวใจของเขาคงไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่กว่านี้อีกแล้ว อาจจะจริงที่เขาไหวหวั่นกับคำพูดของทศวรรษ ด้วยรอคอยที่จะได้ยินมานาน แต่หากเทียบกับวินาทีที่ผ่านไปกับการได้อยู่กับเมษา คำพูดนั้นก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปแล้วจริงๆ รุจน์พลิกกลับขึ้นนั่งพิงกับกระจก เมษาดันขาเขาขึ้นสูงก่อนจะผลักเนื้อหนังที่ยังคงเต็มไปด้วยความแข็งแรงกลับเข้าข้างในของรุจน์อีกครั้ง รุจน์กลืนน้ำลายกัดปากกับความเจ็บจี๊ดเมื่อริมเนื้อขยายรับจนตึงแต่ยังคงต้องขยายต่ออีกเพื่อให้เมษาซุกเข้าไปจนพอกับขนาด เมษาดึงรุจน์ขึ้นไปนั่งบนตัวเขา

รุจน์กอดคอเขา สองคนต่างหอบฮั่กเมื่อสานสายตาด้วยกัน รุจน์ระบายยิ้ม ใบหน้าที่งดงามอยู่แล้วยิ่งชวนหลงใหล เมษาจรดจูบแก้ม ริมฝีปาก ลำคอของเขาอย่างไม่รู้เบื่อ รุจน์ขยับสะโพกเริงร่ายอย่างร้อนแรง จนเมษาต้องถอนปากจากรุจน์หอบหายใจ รุจน์จับใบหน้าเขาไปประกบจูบอีกครั้ง เมษาเร่งเร้าพิศวาสกับภายในที่กำลังบีบรัดเป็นจังหวะ เสียงรุจน์ร้องอื้ออ้าแผ่วครางทุกครั้งเมื่อเขาทุ่มโถมร่างกายใส่เมษา เหงื่อเม็ดพราวเป็นประกายในความสลัว รุจน์ดูคล้ายเจ้าชายรูปงามผู้ง่วงงุนบนหลังม้าที่กำลังควบห้อตะบึง เมษาค่อยประคองรุจน์นอนลงกับพรมเขากำลังจะถึงปลายทางฉิมพลีแล้ว เอวและสะโพกของเขาเริ่มดุดันแบบไม่ยั้งจนรุจน์ต้องบิดกาย เกร็งปลายนิ้วเท้าจิกบนพรม ดวงตาปิดแน่น คิ้วย่นยับเล็กน้อย
“อ๊ะๆๆ” เมษาร้องออกมาอย่างไม่เก็บเสียง
“จะ เจ็บ..” รุจน์พึมพัมในคอ ก่อนเมษาจะฟุบลงบนตัวของเขา สองคนจูบอ้อยอิ่งกันก่อนที่เมษาจะพลิกลงไปนอนข้างรุจน์

“กี่โมงแล้วครับ”
“เกือบจะตีหนึ่งแล้วล่ะ”รุจน์ตอบด้วยเสียงแหบแห้ง เขายันตัวลุกขึ้นคลานไปเกาะที่นอนนุ่ม
“เพลียจัง”
เมษาตามมากอดจากด้านหลัง ผิวกายที่หนืดเหนียวด้วยเหงื่อของทั้งสองถูกลูบไล้ด้วยความเย็นจากเครื่องปรับอากาศจนเย็นเยียบ รุจน์หันมองเมษาที่ซบใบหน้ากับแผ่นของเขาด้านหลังขณะเอ่ยถาม
“มีอะไรหรือ? อย่าบอกนะว่านายจะต่ออีกรอบ”

“ได้เปล่าล่ะ”
“จะบ้าหรือไม่ได้หรอก ต้องนอนแล้ว พรุ่งนี้คุณน้ำฟ้าจะคุยงานแต่เช้า วันนี้เห็นว่าจะเรียกเข้าไปคุยก็ไม่เห็นเรียก พอโทรถามก็บอกเลื่อนเป็นพรุ่งนี้เช้า” รุจน์เท้าคางกับที่นอนเหลือบตามองเพดาน

ภายในแกลลอรี่น้ำฟ้าเดินดับไฟทีละห้อง จนมาถึงห้องทำงานของรุจน์ลองหมุนลูกบิดดูปรากฏว่าติดล็อค หล่อนยิ้มก็ธรรมดาล่ะนะห้องทำงานส่วนตัวนี่นา น้ำฟ้าถอยออกมากอดอกมอง เรื่องบางเรื่องเหนือจินตนาการอย่างที่พิสราพูด เรื่องที่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับรู้มันทำให้ขยับไม่ได้พักใหญ่และเมื่อสติที่ขาดห้วงกลับมา หล่อนก็เริ่มคิดว่าตัวหล่อนเองก็แปลกประหลาด ความคิดนั้นจมดิ่งลงช้าๆกลางทรวงอันว่างเปล่ามืดมน




Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2555 18:30:51 น.
Counter : 417 Pageviews.

3 comments
  
น้ำฟ้ารู้เรื่องแล้วหรือคะ ร้ายจริงพิศราเนี่ย
แล้วไงเอ่ย จะไล่รุจน์ออกรึเปล่า เฮ้ออ
ไม่รู้สถานะทางการเงิน แต่ถ้ารุจน์มีเงินเก็บเยอะๆก็ดี
อย่างน้อยก็อยากให้หางานใหม่ได้
โดย: โยธิกาหน้าหนาว IP: 202.176.105.49 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:40:40 น.
  
เอออันนี่น่าคิดแฮะ
โดย: vannessia IP: 103.1.164.7 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:14:48:39 น.
  
แวะมาส่งความรักค่ะ
โดย: พี่รุ้ง (บุฟเฟ่ต์จินตนาการ ) วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:01:48 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

vannessia
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]