Body Talk(BL)บทที่ 12.2
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงมองตรงนี้ของพี่ชายเสมอ รุจน์ไล่สายตาไปตามแขนเรียวได้สัดส่วนของพี่ มัดกล้ามไม่ล่ำสันนั้นส่งให้แผ่นอกกว้างผึ่งผายสง่างาม รุจน์อยากเล่าให้พี่ฟังถึงสิ่งที่เขาเผชิญ อยากได้ยินพี่ชายพูดว่าไม่เป็นไรนะรุจน์ ทุกอย่างจะดีขึ้น พี่จะอยู่ข้างๆนาย คอยเป็นกำลังใจให้ หากพี่ทำอะไรไม่ได้พี่ก็จะกอดนายไว้ พี่เชื่อว่าด้วยกายด้วยใจของพี่นายจะปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง ถึงนายจะป่วยทางจิตไม่ใช่แค่แนวโน้มนายก็ยังเป็นน้องของพี่ เราเป็นพี่น้องกัน สายเลือดของพวกเราศักดิ์สิทธิ์นะมันสามารถป้องกันกันและกันได้ และถ้านายรักเขาพี่จะรักเมษาเหมือนที่นายรักแม้เขาจะเป็นผู้ชาย

พี่ไม่สนใจเรื่องรักเพศเดียวกันของนายหรอกสบายใจได้ พี่ชายจะพูดแบบนี้ แล้วกอดเขาแนบแน่นจะเขาแทบจะหายไม่ออกเลยทีเดียว เรื่องเช่นนั้น เรื่องที่เขาแต่ฝันเฟื่องไป รุจน์ก้มหน้ากัดปากจนเจ็บ สองมือข้างลำตัวกำแน่น ไม่มีวันหรอก ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ มันเป็นได้แค่จินตนาการที่ขาดวิ่นของเขาเพียงคนเดียว พี่ชายมีเขตแดนของตัวเอง พื้นที่ที่รุจน์ไม่อาจก้าวเข้าไปได้ พี่ชายอยู่ที่นั่นโดยไม่เคยจะเหลียวแลว่าเขาอยู่ตรงไหน อยู่อย่างไร จะถูกทำร้ายจนลากเลือดปานไหน พี่ชายไม่เคยจะสนเลย รุจน์ช้อนตามองโครงหน้าของพี่จากใต้คางสวยได้รูป พ่อกับแม่รักเขา แต่กระนั้นก็มีแม่เพียงคนเดียวที่กอดเขา สำหรับพ่อแม้จะรักแต่กฌไม่เคยว่างสักครั้งที่จะใกล้ชิดเขาสักครั้ง เมื่อแม่จากไปพร้อมพ่อ เขาก็เหลือเพียงพี่เท่านั้น พี่ชายจะเคยรู้ไหม ว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวในโลกที่รุจน์อยากได้อ้อมกอด อยากได้ยินคำว่ารักจากปากที่ตรงกับความรู้สึก

“แย่ชะมัด” พี่ชายของรุจน์โอบไหล่รุจน์พาเดินฝ่าฝูงชนออกมาด้านนอก
“เลือกเอาระหว่างวิ่งฝ่าฝนไปให้ถึงร้านที่อยู่หัวมุมนั่น หรือกลับไปคอนโดฉัน” พี่ชายทำหน้าเซ็งสุดขีด รุจน์หัวหดตัวลีบ พี่ต้องกำลังคิดว่าเขาพามาซวยแน่ๆ
“ผมว่าถ้ากลับที่พักของพี่เราจะเปียกน้อยกว่านะครับ” รุจน์พูดเสียงอ่อย
“เออ คิดเหมือนกันเลย ไปเหอะ” พี่ชายเดินนำหน้าไปก่อนอย่างไม่รีรอ รุจน์หันไปมองร้านอาหารอย่างเสียดาย

พี่ชายบอกลารุจน์ง่ายๆที่หน้าคอนโด รุจน์ใจหาย
“แต่เรายังไม่ได้กินกลางวันกันเลย แล้วผมก็หิวด้วย นะครับพี่เรากินด้วยกันสักมื้อ ผมอยากกินไปคุยไปกับพี่ เรามีเวลาตามประสาพี่น้องกันสักครั้งได้ไหมครับ ได้โปรดนะครับ ผมขอร้องนะพี่ครับ” รุจน์ดึงมือพี่ชาย เขามองมือของรุจน์ มองรุจน์ที่เอาแต่ก้มหน้าอย่างเฉยชา ยื่นมือไปแกะมือออกจากรุจน์
“รุจน์แถวนี้ไม่มีอะไรให้นายกินหรอก ฝนมันตกขนาดนี้ฉันไม่คิดอยากไปที่ไหนให้ลำบาก นายกลับไปเถอะ” พี่ชายหันหลังจะก้าวเข้าไปในอาคาร
“พี่ครับตอนนี้มีพี่เพียงคนเดียวที่ผมอยากอยู่ด้วย อยากคุยด้วย” รุจน์คว้ามือพี่ชายมากำแน่นด้วยมือทั้งสอง แม้กระนั้นเขาก็ยังไม่กล้าที่จะสบตากับพี่ชาย เสียงพี่ชายถอนใจยาว

“ที่พี่มาพบนาย จะพาเลี้ยงข้าวนาย นั่นก็เป็นเพราะว่า พี่อยากพูดกับนายให้มันเด็ดขาด อยากให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเสียทีว่าพี่ไม่ต้องการ....”
“พี่ครับ ช่วยเข้าใจผมในเวลานี้ด้วยเถอะครับ ผมกำลังเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว และสิ่งนี้ก็ทำให้เหนื่อยเหลือเกิน ผมแค่อยากอยู่ใกล้ๆคนที่ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ คนที่แค่พิงกายแม้ไม่ต้องพูดหรือทำอะไรก็ทำให้ผมสงบ คนที่เยียวยาทุกบาดแผลของผมได้เพียงไออุ่นของเขา พี่ครับ มีพี่เท่านั้นที่ทำให้โลกบุบสลายของผม ความเจ็บช้ำที่ไม่เคยจางหายของผม กลายเป็นฝุ่นผงที่ปลิวหายไปในเสี้ยวนาที ผมไม่ได้ขออะไรที่มันมากไปไม่ใช่หรือครับ ถึงความเกลียดชังของพี่มีต่อผมจะสามารถกลายเป็นมีดปลิดชีวิตผมได้ เราก็ยังเป็นพี่น้องกัน ผมเป็นน้องของพี่ เรามีเลือดของพ่อคนละครึ่ง” แม้จะก้มหน้าก้มตาแต่รุจน์ก็รัวพูดแทรกก่อนที่พี่ชายจะพูดจบ

“ความเจ็บปวดอันนั้นนายทำตัวเองซินะ เพราะสิ่งที่นายเป็นมันคงกำลังทำให้เดือดร้อนอยู่ล่ะซิ”เสียงพี่เรียบราบในอากาศรอบกาย คางของรุจน์ถูกจับให้เงยหน้าขึ้นตอนนี้เองที่เขาได้สบตากับพี่ชายตรงๆ และมันทำให้เขายิ่งชัดเจนในความรู้สึกว่าทำไมเขาถึงไม่กล้าสบตากับพี่ ดวงตาพี่ชายไม่เคยมีแววสดใส แววตาของพี่ดำมืดมนและคล้ายดั่งมีม่านที่ปิดทับซ้อนไว้หลายชั้นจนไม่มีใครสามารถจ้องทะลุเข้าไปสู่ความรู้สึกอันแท้จริงของพี่ชายได้ เขาซ่อนสิ่งต่างๆภายในใจมากเกินไป มันทับซ้อนเสียจนแม้ตัวเองยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับหัวใจไปแล้วกระมัง รุจน์เม้มปากแน่นขณะสานสายตากับพี่ชาย

“แผลที่มุมปากน่ะได้อย่างไรล่ะ คงสำส่อนกับผู้หญิงไปทั่วจนเจอของแข็งของผัวใครสักคนล่ะซิ นายเป็น SEX ADDICT อย่างไรนายก็ต้องเจ็บปวดกับมันวันยังค่ำ อย่ามาโอดครวญน่าสงสารไปหน่อยเลย ไม่รู้จักยับยั้งก็แบบนี้จะโทษใคร นายควรไปหาจิตแพทย์ไม่ใช่พี่ คนที่อยากพิงไหล่คือคนๆนั้น”พี่ชายปล่อยมือจากคางของรุจน์ เขาหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ

“ใครก็มีปัญหาชีวิตทั้งนั้นล่ะรุจน์ คนที่เดินอยู่ตรงนั้น คนที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ตรงนี้ พี่ก็มี หนักหนาสาหัสก็เคย แล้วไงพี่ต้องตายเพราะไม่มีใครไหม นายโตแล้วนะดูแลตัวเองให้เป็น ไม่มีใครอยู่กับนายชั่วชีวิตหรอก พี่ไม่เคยคิดแม้ขณะจิต ไม่มีภาพอยู่ในหัวสักเสี้ยวจิ๊กซอ ว่าเราจะอยู่ด้วยกันอย่างพี่น้อง อย่าทำเสแสร้งอีกเลยว่านายบริสุทธิ์ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น นายจะปัดความรับผิดชอบจากการกระทำของแม่ของนายไม่ได้ สิ่งที่เกิดกับพี่มันไม่ได้ตายตามแม่นายไป และนายมันก็ผลพวงของพ่อที่สัญญากับผู้หญิงคนหนึ่งว่าจะรักตลอดไปแม้กายเธอจะอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตามกับผู้หญิงคนใหม่ พ่อรักแม่นาย รักนาย แล้วฉันล่ะ ตอนนั้นฉันก็เจ็บ ฉันก็แทบตายแล้วไง พวกนายรู้เรื่องตรงนี้ของฉันไหม แต่ฉันก็รอดมายืนตรงหน้านายนี่ไง” พี่ชายยิ้มทั้งที่พูดกรีดใจคนเป็นน้อง รุจน์พยายามห้ามน้ำตาที่เต็มหน่วยตา

“ฉันเกลียดพวกนายจริงๆ ต่อให้นายพูดสวยหรูอย่างไรฉันก็ฝืนความรู้สึกนี้ไม่ได้ ฉันจะไม่พบนายอีก ฉันจะตายของฉันเอง ส่วนนายก็ควรจะทำเหมือนกัน ที่ออกมาพบนาย จะพานายไปกินข้าวด้วยกันตามความต้องการของนายก็เพราะเหตุนี้ อยากบอกนายแค่นี้” พี่ชายกระชากมือกลับจากมือของรุจน์
“หากนายไม่มีเงินใช้ ไม่มีข้าวกิน ไม่มีที่ซุกหัวนอน พี่จะช่วยเหลือ แต่อย่ามาให้เห็นหน้าอีก ส่งข่าวมาก็พอ” พี่ชายพูดใส่รุจน์ที่ยืนบื้อไปแล้วก่อนจะหันหลังเดินเข้าอาคาร รุจน์ไม่รู้สึกตัวใดๆแม้น้ำตาจะไหล แม้เสียงฝนที่ตกซ่าดังเขาก็ไม่ได้ยิน แม้ตัวเองจะทรุดลงนั่งกับพื้นซบหน้ากับเข่า แม้คนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นจะหันมามอง รุจน์ก็ไม่รับรู้ใดๆอีกแล้ว

S เดินมานั่งข้างทศวรรษ เขามองในทิศทางเดียวกับที่ทศวรรษทอดสายตา ตรงนั้นเป็นแค่ต้นดอกไม้ที่ไม่มีดอกสีสันมีแต่ใบที่แห้งเหี่ยว มันคงใกล้ตายแล้ว
“ฉันมาคิดทบทวนแล้วก็รู้สึกสมเหตุสมผลว่าทำไมนายรุจน์นั่นถึงวิ่งตามพวกเราในวันนั้น” ทั้งทศวรรษและSต่างไม่ละสายตาจากต้นไม้ต้นเดียวกัน

“ตอนเล็กๆฉันไม่ค่อยมีเพื่อน พ่อแม่ก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน แต่ก็ห้ามไม่ให้ฉันออกไปเล่นข้างนอกกับเด็กชาวบ้านแถวนั้น แม่บอกว่าพวกคนจนสกปรกและขี้ขโมย ฉันจึงมีแต่ของเล่นรายล้อมตัวเต็มไปหมด ฉันจะมีชิ้นโปรดที่ฉันเอาไว้ข้างกายเสมอ ส่วนชิ้นอื่นๆก็ทิ้งขว้างทุกชิ้นเมื่อเบื่อ พอลูกคนใช้ ลูกคนสวนจะเก็บไปเล่นฉันก็รู้สึกเจ็บใจที่มันเป็นของฉัน คนอื่นไม่มีสิทธิ์มาแตะต้อง หากมันจะต้องตกเป็นของคนอื่นฉันทำลายให้แหลกไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ นั่นคือฉันเมื่อก่อนและคือฉันบัดนี้ด้วย
ทั้งรู้ว่ามันเป็นนิสัยที่ใช้ไม่ได้ แต่ฉันก็เลิกไม่ได้” ทศวรรษเบนสายตามาที่ S

“ฉันไม่เคยคิดกับรุจน์มากกว่าของเล่นเลยนะ และอาจเป็นเพราะของเล่นที่ง่ายๆอย่างเขายิ่งเล่นก็เพลินมือกระมัง ฉันก็เลยติดใจไปโดยไม่รู้ตัว พอรู้ตัวว่าเขากำลังสอดเข้ามาความรู้สึกที่ฉันมีต่อนาย ฉันจึงพยายามสุดขีดที่จะทิ้งขว้างเขาออกไปให้ไกลเพราะฉันยอมปล่อยให้มันเกิดขึ้นมาไม่ได้ในระหว่างที่รอนาย ความรักนอกหัวใจ นายเข้าใจฉันไหม” ทศวรรษมองไปทางอื่น เข่าชันขึ้นกอด เอนหลังพิงกรอบประตูกระจก
“ฉันทำร้ายรุจน์ทุกทาง แต่เราก็ยังมีเซ็กส์ที่ฉันไม่มีวันได้จากนาย ฉันรู้เขาเจ็บปวด แต่ฉันก็ยินดีจะรับรู้อย่างเย็นชา ต่อให้เลือกระหว่างทำให้เขาเจ็บกับเลิกหวังกับนาย ฉันเลือกอย่างแรกอย่างไม่รู้สึกผิด ฉันเลวมากนายรู้ไหม เพราะอย่างนี้นี่ไงกรรมเวรถึงเล่นงานฉัน นายนอกจะไม่สนใจแล้วยังลืมด้วยซ้ำว่าฉันรอนายอยู่ที่เดิม นายออกก้าวเดินไปไกลเกินกว่าฉันจะเรียกไว้ได้อีกแล้ว แล้วดูซิพอจะมีใครมาเก็บของเล่นของฉันอย่างรุจน์ไปเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต ฉันรู้สึกเสียหน้าและหวงแหนขึ้นมาเหมือนของเล่นของฉันทุกชิ้นแม้ฉันไม่ต้องการก็ไม่อยากให้ใครเอาไป ฉันอยากได้รุจน์คืนนะ” ทศวรรษหันมาสบตา S

“ถึงสายไปแต่ฉันก็คงต้องบอกนายว่า ฉันไม่เหมือนเดิมมานานแล้วเพียงแต่ฉันไม่อาจยอมรับได้เท่านั้นเอง ใจของฉันชอบรุจน์ตั้งแต่เห็นเขาครั้งแรกด้วยซ้ำ แต่เพราะไม่อยากรอจึงใช้กำลังเอาเขามาเป็นของฉัน ยิ่งนับวันฉันก็ยิ่งชอบเขามากขึ้นเรื่อยจนฉันหวาดกลัว ทว่าความรู้สึกนี้ก็รุนแรงขึ้นจนฉันชักสับสน ความไม่แน่ใจกลั่นตัวเป็นโกรธา แล้วฉันก็กระหน่ำใส่เขาตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน แต่คนน่าสงสารคนนั้นก็อดทนรับมันไว้ตลอดเพราะว่ารักคำเดียว สุดท้ายฉันก็เริ่มอ่อนใจ แต่ฉันกลับบอกเลิกกับเขา ไม่ให้เขาเห็นหน้า ไม่ติดต่อ ให้เขาแบกรับความเจ็บปวดอย่างไม่เข้าใจเพียงลำพัง แต่แล้วไม่ทันที่ฉันจะทันตั้งตัวทุกอย่างก็กลับกลายเปลี่ยนแปลง คนที่พูดว่าอย่าไว้ใจความเปลี่ยนแปลงในทุกวินาทีน่ะ น่าได้รางวัลเยี่ยมยอดที่สุดโลกไปครองเลยนะ” ทศวรรษยิ้มคนเดียว S มองเขาด้วยหัวใจที่หายห้วง นอกจากเรื่องของเขาแล้วทศวรรษไม่เคยอ่อนแอให้เรื่องของใครแม้แต่คนเดียว ตอนนี้เขากำลังจะทุกข์จนแทบหลั่งน้ำตาด้วยเรื่องคนอื่น

“แล้วกับฉันล่ะ นายบอกว่าไม่เหมือนเดิมแล้วหมายความว่าไง”
ทศวรรษหันมาหา S บัดนี้ดวงตาคมที่มองเขาด้วยความมั่นคงเสมอคู่นั้นกำลังรื้นด้วยน้ำใส
“ขอโทษนะ S ฉันไม่ได้รักนายอีกแล้ว หัวใจของฉันมันเปลี่ยนไปอย่างแท้จริง ฉันอาจเป็นห่วงนายอย่างเหลือเกิน อาจทำเพื่อนายได้ทุกอย่าง แต่.....S ฉันไม่อาจตายเพื่อนายได้เหมือนที่เคยยึดมั่น ฉันมีคนที่อยากตายหากไม่ได้เขาคืนมา”

“ไม่เอา อย่าพูดแบบนี้ อย่าหยุดรักฉัน อย่าเอาคนอื่นมาสำคัญกว่าฉัน ฉันรักใครๆก็จริงแต่ชีวิตของฉัน ฉันขาดนายไม่ได้ ได้โปรดเถอะน” S จับไหล่ทศวรรษหันมาทางเขา ทศวรรษส่ายหน้าน้ำตาหยด
“ฉันก็ไม่อยากเป็นแบบนี้หรอกนะ แต่เราเป็นเพื่อนกันอย่างที่นายต้องการ แบบนั้นดีกว่านะ” ทศวรรษแกะมือ S ออกแล้วลุกขึ้น

S ลุกขึ้นตามเขามองทศวรรษที่เดินห่างออกไปแล้วตัดสินถอดเสื้อผ้าจนหมด เขาเรียกทศวรรษ ทศวรรษหันกลับมา S ก้าวขึ้นเตียงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นห่อร่างกายหลวมๆ ทศวรรษก้าวเข้าไปทรุดตัวนั่งข้าง S ยื่นหน้ามาจูบเขา ทศวรรษหลบเลี่ยงเขาขยับจะพูด แต่ S จูบหนักแน่นที่ริมฝีปาก
“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ฉันขอใช้ความรู้สึกพาไป ให้มันพาฉันกับนายไปให้ถึงที่สุด” S กระซิบพร้อมแกะกระดุมเสื้อของทศวรรษ

“นายไม่จินตนาการใดๆทั้งนั้น เข้าใจไหม นี่คือฉัน นี่คือเนื้อตัวของฉัน” S ถอดเสื้อทศวรรษ เรียวขาของเขาวาดขึ้นนั่งบนตัวของทศวรรษ ทศวรรษเริ่มกอดและตอบสนองจูบของ S เขาพา S นอนลง แต่เมื่อหลังของ S สัมผัสที่นอนใบหน้าเคลิบเคลิ้มก็กลับเป็นหวั่นวิตก คิ้วของเขาย่นยับ เปลือกตาที่พริ้มหลับเริ่มเกร็งสั่น แผงขนตาระริก วงขาที่เกี่ยวลำตัวของทศวรรษ คลายลง เข่าค่อยบีบเข้าหากัน ทศวรรษเลื่อนนิ้วเข้าปากตัวเองโลมเลียมันจนชุ่มฉ่ำ ก่อนจะเคลื่อนไปที่ปากคูหาที่ยังไม่เคยเปิดรับเขาแล้วลองดัน S สะดุ้ง ดวงตาเบิกโพลง เมื่อทศวรรษดันเบียดแทรกเข้าไปหนึ่งนิ้ว

“เจ็บ!!!!” S ร้องลั่น ทศวรรษผ่อนหายใจก่อนจะยิ้มออกมา
“ร่างกายนายไม่เคยพร้อมสำหรับฉันหรือใครอย่าฝืนเลย แม้จะรู้สึกอยากทำกับนายมากเหลือเกินแต่มันก็คงไม่เหมือนเมื่อก่อน ความรู้สึกนี้มันถูกแบ่งแยกไปแล้ว” ทศวรรษลุกขึ้นจับขาของ S ออกจากลำตัวของเขา
“ไม่ เรามาพยายามกันเถอะ ฉันไม่เคย ไม่รู้จักนี่นา ก็มีกลัว นายสอนซิ” S ไม่ละความพยายาม ทศวรรษหันกลับมา
“นายไม่สนว่ามันจะเลือดออกหรือ?”

ซีซ่าเดินมาส่งเมษาที่รถ หล่อนและเขาต่างสบตาส่งยิ้มให้กันอย่างอบอุ่น ในใจล้วนเป็นความรู้สึกที่งดงามเหมือนที่เคยมีต่อกันหลังเลิกลา ความรู้สึกที่ไร้ซึ่งเสน่หาลึกซึ้ง เป็นความรู้สึกแค่ห่วงใยจากคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งก็ยินดีรับไว้ซึ่งความอาทรนั้น ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่ไร้เสน่หาลึกซึ้งใดๆเพราะความรู้สึกนี้คือมิตรภาพอย่างแท้จริง
“ไม่ต้องกังวลอะไรนะ ฉันจะดูแลตัวเองดูแลลูกให้ดีที่สุด นายวางใจได้ขอบใจสำหรับสิ่งที่ให้ไว้ป้องกันตัว ฉันใช้มันเป็น” ซีซ่าจับแขนเมษา เขาพยักหน้ากระนั้นแววกังวลยังคงไม่สิ้นไปจากสายตา

“เรื่องเจ้านายต่างชาติที่มาชอบก็เหมือนกันไม่ต้องกังวลหรอก ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนฉันได้เยอะกับการดูคน ฉันจะดูเขาไปจนกว่าจะแน่ใจว่าเขารักฉันรักลูกและเป็นคนดีจริงๆ ถ้ามีอะไรไม่น่าไว้ใจเกี่ยวกับสถานการณ์ช่วงนี้ หรืออาจสับสนกับความรักฉันจะโทรหานาย จะบอกนายทุกอย่างไม่ปิดบัง โอเค ไหม?” ซีซ่าพูดอย่างจริงจัง เมษาค่อยยิ้มพร้อมพยักหน้าก่อนจะหันไปเปิดประตูรถ

ซีซ่ากอดอกนิ่งไปครู่ใหญ่แต่สุดท้ายหล่อนก็ตัดสินใจพูด
“นายเองก็เหมือนกันนะเมษา ไม่รู้ซินะ บางทีฉันอาจเดาผิดไป แต่ถ้ามันเป็นอย่างที่ฉันคิด กับคนๆนั้นน่ะมีอะไรนายควรบอกกับเขานะ ไม่มีอะไรชัดเจนเท่าพูดออกมา กระทำออกไปหรอก ฉันเชื่อในความกล้าหาญของนาย นายจะแสดงออกเหมือนทุกครั้งที่นายอยากสื่อ” หล่อนเห็นเมษาชะงักนิดหน่อย เขาถอนใจก่อนก้าวขึ้นรถแล้วขับออกไป
“เฮ้อ ให้มันได้อย่างนี้ซิ ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ช่วยจัดการได้ทุกเรื่อง แต่เรื่องของตัวเองนายกับอึ้งเอาง่ายๆนายเมเอ๊ย” ซีซ่าบ่นยิ้มๆแล้วหันกลับเข้าบ้านพัก

เมษาเหลือบมองกระจกหลังเมื่อเห็นซีซ่าเดินหายเข้าไปในรั้วบ้านแล้วก็ถอนใจ อาวุธที่พ่อกับแม่ตีทะเบียนไว้อย่างถูกต้องตามกฏหมายเขาได้มอบให้กับคนที่เขาห่วงใยแล้วทั้งสองคน เขาไม่รู้ทศวรรษเอาจริงกับเรื่องนี้แค่ไหน นี่อาจจะเป็นการป้องกันที่แสนจะเล็กน้อยเมื่อเทียบกับอำนาจและบารมีเงินของทศวรรษ แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ส่วนเรื่องเจ้านายชาวต่างชาติที่มาชอบนั่นมันก็แล้วแต่หล่อน แม้หล่อนย้ำแล้วว่าจะดูแลตัวเองไม่ให้ผิดซ้ำอีก กระนั้นเขาเฝ้ามองห่างๆในแบบพร้อมที่จะยื่นมือเข้าช่วยตลอดอย่างเคยนั่นแหละ คงไม่สามารถปล่อยวางมืออย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ได้หรอกก็เป็นคนที่เคยห่วงใยกันมาตลอดนี่นา

เมษาวางกุญแจรถและมือถือบนโต๊ะ แต่ก็นึกได้ว่าลืมของไว้ท้ายรถ จึงหยิบกุญแจรถมาอีกครั้ง ก่อนจะก้าวออกจากห้อง ปลายหางตาของเขารู้สึกถึงสิ่งที่ผิดแผก เมษาเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ทิ้งสายตาออกไปนอกระเบียง ผ้าปูเตียงกำลังโบกสะบัดอวดความขาวสะอาดสุดปลายผ้า เขาเอนตัวพิงพนักอย่างผ่อนคลาย ขณะจิตตอนนี้คืออยากกดมือถือหารุจน์ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็อยากกลับมาที่นี่ แต่มือที่ตกข้างตัวกลับไม่ขยับ ไม่แม้แต่นิ้วก็ไม่กระดิก จักวาล โลก และทุกสิ่งทุกอย่าง ณ ที่นี้รวมถึงตัวเขาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง.....ผ้าปูเตียงสีขาวสะอาดยังคงพริ้วไหวตามแรงลม

เมษากระพริบตาเมื่อได้ยินเสียงประตู เขาหันไปตามเสียง รุจน์หยุดยืนอยู่ที่ประตู เมษาอยากยิ้มอยากพูดอะไรสักอย่าง คิดว่าตัวเองจะทักทายพร้อมลุกไปกอดรุจน์ จูบใบหน้าอันเย้ายวนใจนั้นเสียให้ชื่นฉ่ำ ทว่าที่เป็นไประหว่างทั้งสองคนคือใบหน้าที่ซีดเซียวยามสบตากัน
“ที่จอดที่ใกล้กับที่จอดของฉันรถของนายหรือ?” รุจน์เดินมาทรุดตัวนั่งข้างเมษา คำพูดปกติน้ำเสียงอ่อนหวานชวนฟังเหมือนเดิม หากแต่สีหน้ายังหม่นหมอง เมษามองพลางคิดถึงปืนทั้งสองกระบอก เขาคิดว่าบางทีอาจไม่จำเป็นอีกแล้ว ซีซ่าคงจะปลอดภัยดีนับจากนี้

“ฮะ ผมแวะไปที่บ้านนอกเมือง” เมษาพยักหน้ายิ้ม มันคงจืดชืดน่าดูเขาคิด
“คิดว่าใช้รถของคุณทำงานตลอดคงไม่เหมาะ ผมเกรงใจน่ะ คนอื่นจะมองไม่ดีว่าผมเอาเปรียบเจ้านาย ทั้งที่เป็นลูกน้อง”
“บ้าน่า ไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอก”
“มีซิ ก็ใครๆก็เห็นว่าเราสองคนแค่เจ้านายกับลูกน้อง” เมษาสานมือรองคาง เขาเหม่อออกไปที่ระเบียง รุจน์เอนตัวไปพิงกับเขา
“มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างที่ผมไม่อยู่หรือฮะ” เมษาไม่วางตาจากผ้าขาวสะอาด ภายใต้แสงแดดแรงดูราวกับมันจะสะท้อนแสงได้ หากนี่เป็นโฆษณาผงซักฟอกคงจะหวังผลการตลาดเต็มที่ เพราะเขาคนหนึ่งล่ะจะซื้อไว้ กำจัดคราบสกปกอันไม่พึงประสงค์อย่างที่สุดออกให้หมด

“เราไม่โกหกกันใช่ไหมครับ” เมษากลืนท้ายเสียงของคำพูดลงคออย่างยากเย็น รุจน์บีบมือตัวเองแน่น เขาดึงตัวขึ้นนั่งตรง โครงหน้าด้านข้างได้สัดส่วนกลมกลืนทั้งหมดทั้งหน้าผาก ตา จมูก ปาก แม้หันมาตรงๆโครงหน้าก็ยิ่งงดงามยวนเย้าสายตาหากแต่คงมีตาแววตาเท่านั้นที่มืดมนราวมีหยาดน้ำตาซ้อนทับมากมายจนกลายบ่อน้ำลึกอันหาที่สุดมิได้
“คุณทศมาที่นี่ ฉันลืมเรื่องกุญแจที่เคยให้เขาไว้ เขาพูดบางเรื่องที่ทำให้ฉันหวาดกลัว ด่าทอ แล้วเขา....” คำพูดของรุจน์หายลงคอไปกระทันหันและดูเหมือนไม่ว่าจะพยายามเท่าใดเขาก็ไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้

“พวกคุณมักจะรุนแรงแต่ลงท้ายก็หลับนอนด้วยกันอย่างนี้เสมอหรือครับ” เมษาพูดพร้อมถอนใจ รุจน์ก้มหน้า ไหล่สั่นสะท้าน
“ปืนของผม เกิดอะไรขึ้นกับมัน ทศวรรษถึงทำตามใจได้”
“.....”รุจน์ก้มหน้าเงียบ
“อืมเขาจัดการมันได้ใช่ไหมครับ แหมถ้าเป็นผมขู่ไม่สำเร็จก็เอาด้ามปืนตบหน้าให้ได้เลือดเลย แต่นั่นมันผม สไตล์ผมน่ะ” เมษาเหลือบมองผ้าปูเตียง เขาไม่อยากจะทำแบบนี้แต่ก็ไม่สามารถบังคับอากัปกริยาตัวเองได้ รุจน์ยกเข่าขึ้นชันบนโซฟาซบหน้าร้องไห้สะอื้นจนตัวโยน
“ขอโทษๆๆๆ”
“ไม่เอา อย่าร้องไห้เหมือนทำอะไรผิดพลาดไปซิครับ เป็นผมก็ไม่กล้ายิงหรอก หากจะมีใครผิดพลาดคงเป็นผมเองที่ดันคิดง่ายๆว่าแค่ขู่ทศวรรษก็คงถอยไปเอง นี่แสดงว่าเขามันบ้าดีเดือดเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจ” เมษาพยักหน้ากับตัวเองขณะพ่นหัวเราะออกมา รุจน์เงยหน้าจ้องเขาพร้อมกัดปากล่าง

“นายคงผิดหวังจนเริ่มรำคาญที่ฉันไม่ได้อย่างใจ ให้เขาข่มเหงร่ำไป ลงท้ายนายก็คงจะเกลียดฉัน” รุจน์ยกมือปิดหน้า พระเจ้าอย่าให้เมษาเกลียดเขาเลย หากสิ้นไร้เด็กแสนดีคนนี้แล้ว ชีวิตของเขาคงไม่ต่างอะไรจากธุลีที่ไม่มีใครต้องการนอกจากเขี่ยออกจากปลายเท้า
“ฉันรักนายนะ รักเหลือเกิน ทั้งที่ฉันพยายามแล้ว อันที่จริงมันน่าอับอายเกินกว่าจะพูด แต่หากไม่พูดนายก็คงไม่เข้าใจ แล้วนายก็จะทิ้งฉันไป แต่ร่างกายของฉัน ร่างกายอันแสนจะต่ำทรามนี้น่ะ” รุจน์เบนตาไปทางอื่น เขากลืนความอ่อนล้า เหนื่อยหน่าย และขายหน้าลงคอจนเงียบไปนาน เมษากลั้นใจ เม้มปากแน่นจนซีด

“ไม่เคยหยุดต้องการคุณทศเลย นั่นทำให้ฉันเกลียดตัวเองจนแทบคลั่งเวลาที่เรามีอะไรกันแล้ว ที่ไม่น่าให้อภัยเลยก็คือ กายของฉันต้องการเขามากเท่าๆกับนาย สารเลว สกปรกที่สุดเลยว่ามั้ย?” รุจน์ยิ้มเยาะตัวเอง หลังสารภาพ “ฉันไม่ปิดบังนายเมื่อนายอยากรู้ แต่เมื่อรู้นายจะทำอย่างไรกับฉันล่ะเมษา” เสียงของรุจน์กลายเป็นเสียงกระซิบ หน่วยตาของเขาค่อยๆไร้แววแห่งชีวิตชีวา เขาเปิดเผยอย่างที่ตั้งใจหากแต่ยิ่งพูดออกยิ่งรู้สึกทรมานจนแทบจะอาเจียน

“เข้ารับการแนะนำเพื่อบำบัดกันเถอะนะ” เมษายื่นมือไปจับรุจน์ รุจน์เงยหน้ามองเมษา ดวงตาที่เบิ่งกว้างนั้นแห้งแล้งและว่างเปล่า นัยตาดำขลับราวเม็ดลำไยสั่นไหว เขาขยับถอยพร้อมปัดมือเมษาออก แต่กลับเสียหลักตกจากโซฟาลงไปนั่งกับพื้น เมษาตามลงไปจับแขน รุจน์ปัดแรงแล้วขยับหนี
“นายพูดว่าอะไรนะ” รุจน์หอบหนัก เขาตวาดใส่เมษา
“ แนวโน้มของ SEX ADDICT ผมรู้มานานแล้ว ผู้จัดการอาจไม่ต้องไปพบหมอด้วยตัวเองก็ได้ ผมจะไปเอง ไปรับคำปรึกษาเอง เถอะนะครับ”เมษาคว้ารุจน์ที่กำลังกระเถิบถอยหนี

“ไม่เอา!!! ไม่!!! นายก็คิดว่าฉันบ้าหรือ” รุจน์ดิ้นทุรนทุราย
“ไม่ใช่นะครับ คุณไม่ได้บ้า แต่เป็นการค้นหาตัวเองให้แน่ใจ ผู้จัดการจะได้เข้าใจเสียทีว่า แท้จริงคุณต้องการทศวรรษด้วยหัวใจ หรือแค่เพราะความต้องการทางกายที่ไม่ปกติ” เมษาดึงรุจน์มากอด รุจน์ทุบเขาไม่ยั้ง
“นาย ทำไม ทำไม ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉันก็แค่เหงา กอดฉันซิ กอดฉันแค่นั้น ทำไมต้องหาหมอด้วย” รุจน์กรีดร้อง
“ผมไม่ต้องการให้ผู้จัดการอยู่ระหว่างผู้ชายสองคนอย่างคลุมเคลือนะครับ ผมยินดีจะจากไปทันทีหากคุณยังรักทศวรรษ และผมก็ยินดีล้นเหลือจะอยู่กับคุณนิรันดร์หากเรารักกันจริง ดังนั้น ดังนั้นได้โปรดเถอะครับ ถือว่าทำให้มันกระจ่างระหว่างเราสองคนเถอะนะครับ ผมยิ้มให้คุณทุกวันทั้งที่รู้ว่าเรามีอีกคนไม่ได้หรอกครับ รอยยิ้มนั้นน่ะใช่ว่าเจ็บไม่เป็นนะครับ” เมษาบีบไหล่ของรุจน์แน่น รุจน์หยุดดิ้นเริ่มหันกลับมามองเมษาที่ก้มศีรษะอย่างยอมแพ้

“นายรู้มาจากที่ไหน” รุจน์ถามด้วยเสียงแหบพร่า เขาไม่กลัวสิ่งใดเท่ากับที่เมษาจะรังเกียจและหวาดระแวงว่าเขาเอารักเข้าแลกเซ็กส์ กลัวเมษาจะสับสนว่าที่แท้ก็หลงดีใจเก้อกับคนบ้าเซ็กส์นี่เอง ประโยคของทศวรรษดังก้องในทรวง บอกรักเพราะอยากได้แค่เซ็กส์มาบำบัดร่างกายที่ร้อนเร่าด้วยเพลิงราคะที่ผิดมนุษย์มนา อย่าให้เรื่องแบบนี้มาทำให้เขาไม่เป็นที่ต้องการอีกเลย
“อย่าโกรธคุณหมอของผู้จัดการนะครับ เขาเข้าใจว่าผมเป็นทำผู้จัดการเจ็บตัวตั้งแต่ต้น เขาอยากให้ผมระวังกับเซ็กส์และพาคุณไปปรึกษาคุณหมอที่เขารู้จัก เขาพูดเพราะหวังดีนะครับ” เมษาเลี่ยงคำว่าจิตแพทย์ด้วยเกรงจะกระทบใจของรุจน์ จากสถานการณ์ก็ทำให้รู้ว่ารุจน์ไม่อาจทำใจรับคำว่า โรคจิต ได้



Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2555 17:23:58 น.
Counter : 341 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

vannessia
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]