Body Talk(BL)บทที่ 12
บทที่ 12

รุจน์พบว่าที่เขาคาดการณ์ไว้นั้นผิดถนัด ทศวรรษนั้นไม่ได้กลับเข้ามาในแกลลอรี่อีกครั้ง เมื่อสังเกตจากน้ำฟ้าก็พบว่าหล่อนไม่ได้มีทีท่าจะเอ่ยถึงทศวรรษแต่ประการใดแสดงว่าหล่อนมาทำงานเพียงลำพัง ทศวรรษไม่ได้นัดที่จะมาหาหรือมาส่งหล่อนเหมือนทุกครั้ง รุจน์ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน เสยผมแล้วหยิบเอกสารส่งของมาเปิด หยิบปากกามาจรด เสียงเคาะประตูชายหนุ่มเงยหน้าแล้วอนุญาตให้ผู้ที่อยู่หลังประตูก้าวเข้ามา เมษาก้าวเข้ามาแล้วปิดประตู รุจน์มองเขาด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง เด็กหนุ่มเดินมาที่หน้าโต๊ะทำงานของผู้เป็นนาย รอยช้ำที่ระหว่างปากกับจมูกยังมีปรากฏให้เห็น รุจน์เดินลุกเดินอ้อมจากด้านในโต๊ะมาหยุดตรงหน้าเมษา ยื่นมือออกไปแตะรอยนั้นอย่างเบามือ แต่เมษายกมือขึ้นกันไว้

“ผมไม่เป็นไร นิดหน่อยเอง ว่าแต่คุณโอเคนะ”
“อืม” รุจน์หดมือกลับพร้อมพยักหน้าแรง
“ดีฮะ วันนี้ตารางงานมีว่าไงเจ้านายว่ามาเลยครับ” เมษาค้อมกายอย่างนอบน้อม รุจน์ยิ้มแล้วหันไปหยิบเอกสารส่งของ ยื่นให้
“นายเอารถฉันไปใช้นะ ช่วงเช้านายรับไป 5 รายนะ ในช่วงบ่ายฉันต่ออีก 3 ราย”
เมษาเงยหน้าทำตาโต
“ หูย ถือว่าเป็นเจ้านายเอาเปรียบนี่นา”
รุจน์กอดอกเชิดคางเรียวได้รูปของเขา หลุบตามอง
“ก็เมื่อคืนใครทำให้ฉันต้องเลือดตกยางออกกันล่ะ แล้วยังไม่สำนึกมากล่าวหาว่าเอาเปรียบอีก ก็ได้ๆๆ ช่วงเช้าฉันรับเอง ทำงานหนักๆให้กระเทือนแผลเยอะๆเลย คราวนี้จะได้พักยาวไม่รู้ใครกันจะอดอยาก” รุจน์หรี่ตามองแล้วจะหันเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ เมษารั้งเอวเขาเข้ามากอด

“บ่นนิดเดียวพูดซะยาว แก่แล้วเหรอ?” เมษายื่นหน้าเข้ามาชิด “ผมขอโทษนะครับที่ปากเสีย” เมษาทำหน้าซื่อใส ปริบตา ปากยื่น ราวเด็กน้อย รุจน์อมยิ้มที่สุดก็ปล่อยก๊ากออกมา
“ดูทำหน้าเข้า ประสาท” รุจน์บีบจมูกโด่งเป็นสันของเมษา
“วันนี้ทำให้หมดทุกรายการเลย ไถ่โทษที่โหดไปหน่อย โอเค๊” เมษาทำนิ้วมือ โอเค

“ไม่ต้องหรอกตามนี้ล่ะ ถ้าฉันไม่ทำอะไรเลยคุณน้ำฟ้าจะสงสัยว่าฉันเอาเปรียบลูกน้องจริงๆ” รุจน์ยิ้ม เมษาพยักหน้าพร้อมพูดเบาๆว่าก็ได้ รุจน์มองใบหน้าของเขานิ่งขึงไปพักหนึ่ง ดูเอาเถอะมีเหตุร้าย คนใจดำมาทำเรื่องให้หน้าตาหวุดหวิดจะแตกเยินปานฉะนั้น เด็กคนนี้ยังยิ้มให้เรื่องราวที่ดำเนินต่อจากนั้นได้ หากให้เขาพูดออกมาเขาก็คงหัวเราะแล้วบอกว่า ....ก็แล้วไงโลกได้มันหมุนไปแล้ว สิ่งใดที่เกิดขึ้นย่อมผ่านเลย ที่เหลือก็ดำรงชีวิตในนาทีต่อจากนี้ให้ดีที่สุด... รุจน์วางท่อนแขนทั้งสองบนบ่าของเมษาก่อนจะรั้งดึงเขาเข้ากอด

“ฉันว่าฉันตกหลุมรักนายจริงจังเลยล่ะเมษา” รุจน์ซบใบหน้ากับต้นคอล่ำสันของเมษา เขาได้ยินเสียงถอนใจ แอบคาดเดาเอาว่าดวงตารีเรียวคู่นั้นคงหรี่แคบลงจนเป็นเส้นหมึกดำที่ตวัดด้วยพู่กัน ริมฝีปากกระจับนั้นคงคลี่ยิ้มเบิกบานดั่งแดดอุ่นที่ทอดแสงจากตะวันดวงโตด้วยเช่น ไม่นานร่างกายของรุจน์ก็รู้สึกถึงอ้อมแขนที่แข็งแรงรัดรึงแนบแน่นเช่นกัน
“อยู่กับฉันนะ” รุจน์กระซิบแผ่วออกไป ครู่เดียวก็รับรู้ถึงการตอบรับจากความสั่นไหวของร่างกายของเมษาจากการพยักหน้าแรง รุจน์ผละออกมามองหน้าเมษาเขาเองก็จ้องกลับมาราวกับจะรับคำขอของรุจน์อย่างเต็ม รุจน์ยื่นหน้าไปจูบกับเมษา เขาตอบรับอย่างอ่อนโยน เสียงเคาะประตูอีกครั้งทำให้ทั้งคู่รีบผละออกจากกัน ทั้งรุจน์และเมษาต่างเลียริมฝีปากพร้อมกัน

“ครับ” รุจน์จัดเสื้อผ้า เมษารีบถอยไปยืนอีกด้าน มือยื่นไปหยิบเอกสารส่งของ ประตูเปิดออกพร้อมร่างเพรียวบางในชุดติดกันผ้าไหมจีนสีเบจของน้ำฟ้า
“ฟ้า มาดูเมษาน่ะค่ะ เป็นไงบ้างล่ะเรา” น้ำฟ้าก้าวเข้าประชิด หล่อนยื่นมือไปแตะที่ริมฝีปากของเมษามากกว่าจะเป็นร่องรอยช้ำ เมษายิ้มและบอกว่าไม่เป็นไร มีรอยนิดหน่อยลูกค้าคงไม่ทันสังเกต เขาจะพยายามหลบๆแบบดาราอาศัยมุมกล้องช่วยอะไรแบบนั้น น้ำฟ้าเงยหน้าหัวเราะชอบใจ หล่อนจับแก้มของเมษาแล้วว่า เออ เข้าใจพูดเล่นแน่ะ รุจน์หายใจลำบากเขามองตาไม่กระพริบ แม้จะรู้ว่าน้ำฟ้าเป็นสาวตะวันตกสุดขั้ว ความเป็นกันเองทำให้ไม่ถือสาหญิงชาย ทุกคนเท่าเทียมกันไม่เว้นการถึงเนื้อถึงตัว และแม้จะเป็นคู่นอนกันมาระยะหนึ่งแต่มันก็ไม่เกี่ยวกับที่เขารู้สึกเหมือนมีฟองอากาศปุดๆในอกกับความไม่ชอบมาพากลกับที่หล่อนมาแตะต้องใกล้ชิดเมษาที่เขาเพิ่งบอกรักไป

“ออกไปทำงานได้แล้ว ปากเจ่อยังอยากจะจ้ออยู่ได้”รุจน์พูดห้วนๆ น้ำฟ้าหันมามองเขานิดหน่อยก่อนจะโบกมือให้เมษาออกไป พอประตูปิดลงพร้อมการหายออกจากห้องของเมษา น้ำฟ้าก็หัวเราะออกมาอีก หล่อนเบิกบานอะไรกันนักนะ รุจน์ยังไม่หายเคือง
“รุจน์หึงหรือคะ” น้ำฟ้านั่งบนโซฟาพร้อมตบเบาที่ข้างตัว รุจน์เลยเดินเข้าไปนั่ง หล่อนวาดเรียวขาขึ้นพาดบนตักของรุจน์ ผิวเนียน กับ ขาที่ผอมพอดี ชายกระโปรงที่หดขึ้นอีกเผยให้เห็น ต้นขาขาวกระจ่างราวหิมะ รุจน์ปรายตามองน้ำฟ้า หล่อนกำลังจ้องเขาอย่างนิ่งสงบรอยยิ้มที่ให้กับเมษาเมื่อครู่หายไป เรียวนิ้วของหล่อนยื่นมาสอดเส้นผมนิ่มของรุจน์ เขาเอนศีรษะคลอเคลีย

“บางคืนฟ้าก็คิดถึงคุณมากๆเลยนะคะ คิดถึงที่เราอยู่ด้วยกัน” น้ำฟ้าเอื้อมแขนมากอดคอของรุจน์ หล่อนซบหน้าอันอุดมด้วยความงดงามผ่องพรรณแม้จะมีเครื่องสำอางค์ปิดทับบางเบาของหล่อนกับปกเสื้อของรุจน์
“คุณโกรธฟ้าหรือเปล่าที่ขอร้องคุณแบบนั้น” น้ำเสียงอ่อนเบา รุจน์เงยหน้ามองเพดาน เขากำลังนึกรูปภาพอันอัปลักษณ์ที่เกิดจากต่อจิ๊กซอว์ผิดชิ้นต่อไม่สนิท รูปที่ออกมาเลยออกมาบิดเบี้ยวเสียรูปทรงอันเป็นธรรมชาติ ไม่รู้ตัวเมื่อไรที่มือของเขาได้ยกขึ้นลูบไล้ต้นขาของหล่อนเบามือก่อนปล่อยให้ปลายนิ้วเคลื่อนเลื่อนสอดเข้าใต้ชายกระโปรงผ้าเนื้อนุ่ม

“บางครั้งผมก็เหมือนกัน บางครั้งจริงๆ ทั้งที่คิดว่าผมคิดแบบนั้นไม่ได้แล้ว และผมไม่คิดโกรธเลยที่คุณบอกให้เราต้องกลายเป็นแบบนี้ ผมรู้ดีว่าใครเหมาะสมกับคุณในทุกด้าน” รุจน์หยุดมือที่เคลื่อนไหวเมื่อมันเข้าใกล้ศูนย์กลางลำตัวของน้ำฟ้า ด้วยรู้ดีเขาไม่มีสิทธิ์อีกต่อไปไม่ว่าจะทางกายภาพหรือจิตใจ แต่น้ำฟ้ากลับจับมือของเขากลับไป หล่อนพาปลายนิ้วของเขาสอดเข้าในแพนตี้ตัวเล็กจ้อยของหล่อน รุจน์พยายามฝืนมือกลับ เขามองหน้าหล่อนเหมือนจะหาความแน่ใจ ใบหน้าฝาดด้วยสีเรื่อและดวงตาปรอยปรือมีแววเว้าวอน ปลายนิ้วของรุจน์สัมผัสความเป็นหญิงที่ลื่นและอุ่นชื้นของน้ำฟ้า ที่ซึ่งเขาคุ้นเคยและกระหายที่จะหลบเร้นเข้าดูดดื่มความหอมหวานนับครั้งไม่ถ้วนเมื่อครั้งกระนั้น น้ำฟ้าขยับขึ้นนั่งบนตัวรุจน์

“พี่ทศ ใจดี เป็นสุภาพบุรุษ แต่เขาไม่เคยรู้หรอกว่าที่เขาไม่แตะต้องฟ้าเลยมันทำให้ฟ้าเหงา รุจน์คะเข้าใจฟ้าไหมคะ” น้ำฟ้าจูบใบหน้าของรุจน์ก่อนจะมาที่ปาก รุจน์ย่นคิ้วเขาผละจูบของเพื่อจะถาม
“เขาไม่นอนกับคุณเลยจริงๆหรือ”
“เขาบอกว่าจนกว่าจะคบให้แน่ใจว่าเราไม่อาจมีใครอื่นได้อีกค่ะ ไม่ยักรู้ว่าพี่ทศเชยบรมแบบนี้”น้ำฟ้าถอดสูทของรุจน์แล้วผลักรุจน์นอนลง หล่อนทัดผมยาวดำขลับราวไหมคุณภาพดีที่ใบหูขณะจูบนัวเนียกับรุจน์ ทั้งใบหน้า ลำคอ ใบหู รุจน์คำนึงถึงแนวโน้มของตัวเองและไม่ต้องการจะกลายเป็นสิ่งที่เขากลัว แม้กระนั้นก็ไม่สามารถหยุดได้เมื่อถูกเชิญชวนจากร่างกายผอมบางหากแต่ได้สัดส่วนของน้ำฟ้า กลิ่นน้ำหอม กลิ่นแชมพูในเส้นผมของหล่อน อุ่นกายของอิสตรีอันแท้จริง สัมผัสที่มีแต่ความคุ้นชินผุดวาบหวิวราวแมลงไต่ยุบยิบบนผิวกาย

รุจน์ขยับตัวเพื่อให้หล่อนได้แนบกับร่างกายเขาได้อย่างสนิทแน่น ตอนนั้นเองที่ล่างสุดของแนวสันหลังก็เกิดเจ็บร้าวจนรุจน์ไม่อาจขยับเขยื้อนใดๆได้อีก รอยปริที่ยังคงสดใหม่นั้นเสมือนฝ่ามือที่ตบเข้าใบหน้าเขาอย่างแรงจนชาดิก ชายหนุ่มรีบยันตัวลุกขึ้น จนน้ำฟ้าประหลาดใจกึ่งเสียอารมณ์
“อะไรคะ” หล่อนถามอย่างไม่เม้มความไม่พอใจ
“เปล่า แต่ว่าผมคิดว่ามันผิดแล้วล่ะ เราไม่ได้อยากทำแบบนี้จริงๆใช่ไหมครับ คุณก็แค่เหงาที่ไม่ได้มีเซ็กส์กับคนที่รัก” รุจน์หอบหนักเขารีบลุกขึ้นยืน จัดไทด์ใหม่แล้วเดินไปที่โต๊ะ น้ำฟ้าลุกขึ้นจัดกระโปรงเข้าที่แล้วเดินตามกอดจากด้านหลัง

“คุณเคยคิดอยากแต่งงานกับผมไหมครับ”
“ตอบตามตรงคือ ไม่ค่ะ แม้ว่าจะชอบคุณมากขนาดนี้ แต่ฟ้านึกภาพการใช้ชีวิตร่วมกันของเราไม่ออกเลยค่ะ”
“แล้วกับคุณทศ”
“ไม่แค่ภาพนะคะฟ้าวางแผนที่จะแต่งงานกับเขาแน่นอนหากเราพร้อมทั้งคู่”
“แล้วเราสองคนล่ะคุณคิดลักลอบกับผมตลอดไปไหม”

“ก็แค่ Body Talk”
รุจน์หันขวับกลับมา
“คุณมาขอร้องให้เราเลิกพฤติกรรมแบบนี้ แล้วคุณก็มากลับคำเสียเอง คุณฟ้า ขอร้องล่ะครับ ในเมื่อคุณทศให้เกียรติคุณขนาดนี้แล้ว ก็อย่าทำให้เขาเสียใจเลยนะครับ” รุจน์รู้สึกแปลกใหม่เมื่อรู้ว่าทศวรรษไม่ได้โกหกเขาจริงๆ เขาได้ยินเสียงน้ำฟ้าถอนใจแรงด้านหลัง หล่อนเกยคางกับบ่าของเขา แขนยังไม่ยอมปล่อยจากการรัดเอวของเขา
“พูดแบบนี้ตบหน้ากันตรงๆเลยดีกว่าไหมคะ” น้ำฟ้าหัวเราะ รุจน์หันข้างยิ้มข้ามไหล่ตัวเองไปด้านหลัง เขาชอบหล่อนก็ด้วยเพราะหล่อนเป็นแบบนี้เปิดเผยและกล้าจะยอมรับในสิ่งที่ถูกต้อง

“ฟ้าชอบพี่ทศมากนะ ชอบในแบบที่ว่าใกล้เคียงกับคำว่ารักเข้าไปทุกวัน คนๆนั้นน่ะดูเหมือนจะไร้ใจเย็นชาและน่าค้นหาในเวลาเดียวกัน บางเวลาเขาก็เหมือนคนบ้าทำอะไรดีเดือด บางเวลาก็ใจดีเหมือนพี่ชาย นี่รู้ไหมคะ” น้ำฟ้าปล่อยมือจากรุจน์เดินมาหยิบก๊อปปี้ใบส่งของบนโต๊ะที่รุจน์เพิ่งตัวจริงกับเมษาไป
“รู้ไหมตลอดสามปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยย่างกายมาที่แกลลอรี่ ไม่เคยสั่งภาพจากเราเลย จนฟ้าน่ะใจหายมากเลยคิดมากทุกวัน รุจน์เองก็เหมือนกันล่ะซิลูกค้าขาประจำหายตัวไปเลยใช่ไหมล่ะ” น้ำฟ้ายื่นใบก๊อปปี้ทั้งหมดมาตรงหน้ารุจน์ เขามองรายชื่อลูกค้าหญิงเหล่านั้นก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

เมษาเดินตามสาวสำนักงานรุ่นพี่ที่ส่ายเอวในชุดรัดรึงจนแทบปริไปตามโถงทางเดิน ในบรรดาลูกค้าสาวทั้งหมดที่ต้องมาส่งภาพเขียนให้ถึงมือ คนสุดท้ายนี่ทำให้เขาลำบากใจในการทำงานมากที่สุด แต่จะให้ทำอย่างไรเมื่อเช้ารุจน์ยื่นรายชื่อมาให้เขาพอเห็นชื่อหล่อน แม้จะรู้สึกคล้ายดั่งลาวาข้นร้อนอย่างไรก็ต้องมาเอง จะปล่อยให้รุจน์มาเองไม่ได้เด็ดขาด หญิงสาวผลักประตูไม้สักบานใหญ่เปิดออกแล้วหันมาผายมือเชิญเมษา เขาค้อมกายให้นิดหน่อยแล้วเดินเข้าไป
“ผมมาส่งภาพเขียนครับ” เมษาพูดกับเบื้องหลังของคนที่ยืนหลังกระจกใส

“ชื่อคนสุดท้ายรุจน์ยังจำเค้าได้ใช่ไหมคะ”
“อ้อ เป็นลูกค้าใหม่ในตอนนั้นนี่ แล้วเมื่อเร็วๆนี้เขามาติดต่อกับคุณน้ำฟ้า เพราะภาพที่เขาอยากได้เลยต้องไปพบกับซุรุงะซัง เป็นผู้หญิงเรียบๆแต่รสนิยมดีนะ”
“นี่ล่ะ พี่ทศของพวกเราล่ะ หล่อนเป็นเลขาที่พี่ทศเพิ่งจ้างมาทำงานโครงการเมื่อสามปีก่อน พี่ทศให้หล่อนมาซื้อภาพที่นี่แทนเขา ฟ้าก็ไม่รู้เหตุผลของเขาหรอกนะ แต่คิดว่าเขาคงไม่อยากออกหน้าเพราะจะทำให้ฟ้าคิดว่าเป็นการซื้อขายกันเองในหมู่คนรู้จัก ธุรกิจแบบนั้นอย่างไรก็ไม่รอด อาจไม่คิดอยากทำต่อ พี่วุฒิก็คงเสียใจ การมีลูกค้าแปลกหน้าเข้ามาบ้างคงช่วยเรื่องกำลังใจให้เราทำต่อไปได้ และเราก็ทำได้จริงๆใช่ไหมรุจน์แกลลอรี่ขยายได้ขนาดนี้ก็เพราะกำลังใจจริงๆ ฟ้าให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกค้าของรุจน์เพราะหล่อนแสดงเจตจำนงค์ว่าต้องการรุจน์ ที่แท้ก็เพราะพี่ทศสั่งมา พี่ทศน่ะไม่เคยทิ้งคนที่เคยโอบอุ้มกันเลยเนอะ” น้ำฟ้าหยิบกอปปี้ใบหนึ่งส่งให้รุจน์ เขารู้สึกเหมือนถูกกรีดเป็นริ้วกับคำว่า “เคยโอบอุ้ม” ใช่เลย อุ้มและโอบเขาขึ้นเตียงอย่างไม่เคยปราณี

คนที่หลังกระจกใสหันกลับมาที่เมษา เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วยิ้ม
“วิทยายุทธของฉันนี่ดีชะมัด รอยหมัดแทบไม่มีรอย แต่ระวังจะช้ำใน”
“ผมอาจจะถูกหมัดคุณจริงแต่ก็แปลกที่อาการช้ำในกลับย้อนกลับไปหาคุณเอง สงสัยคุณคงเรียนวิทยายุทธ ผิดหลักสูตรมา”
“หมายความว่าไง” ทศวรรษยื่นหน้าเข้ามาชิดเมษา
“วันนี้ได้ยินชัดหรือยัง ผู้จัดการพูดใส่หน้าว่าไง ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าผมจะทำให้เขาพูดกับคุณเอง” เมษายิ้มมุมปาก เขาดึงปกเสื้อสูทของทศวรรษแล้วปล่อยก่อนจะตบให้เรียบร้อยเหมือนเดิม

น้ำฟ้ามองต้นไม้แห้งๆกับลานจอดรถว่าง นอกหน้าต่าง
“อย่างไรพี่ทศก็ยังต้องการให้ค่าคอมเป็นของรุจน์อยู่ดี ฟ้าว่าเขารักรุจน์เหมือนน้องนะ พี่วุฒิเล่าให้ฟังว่าตอนที่รุจน์มาสมัครงานน่ะ แท้จริงแล้วพี่ชายฟ้าตั้งใจจะปฏิเสธโดยที่ไม่คิดอ่านใบสมัครด้วยซ้ำ แต่พี่ทศน่ะเป็นคนบอกพี่วุฒิเองให้รับไว้ พี่วุฒิอย่างไรก็ไม่เห็นด้วยเพราะรุจน์ไม่มีประสบการณ์เลย พี่ทศบอกว่าการให้โอกาสคนไม่เห็นเสียหายนี่ และหากรุจน์เกิดทำเสียหายขึ้นมาจริงๆเขาจะรับผิดชอบเอง” น้ำเสียงของน้ำฟ้าเรื่อยเอื่อยราวลมอ่อนในท้องทุ่งที่ชวนเคลิบเคลิ้ม หากรุจน์กลับรู้สึกเหมือนตัวเองถูกบางสิ่งดึงให้จมลงบ่อโคลนเหนียวข้นลงเรื่อยๆ สิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน รุจน์ทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้

นี่เขาหลงซาบซึ้งน้ำใจวุฒิมาตลอดนี่มันกลายเป็นเรื่องผิดด้านผิดคนราวกับไม่เคยมีอยู่จริงไปเลยหรือ? รุจน์กัดปากล่างแน่น เหตุผลที่น้ำฟ้าไม่มีวันได้รู้ว่าทำไมทศวรรษถึงหายหน้าจากแกลลอรี่ถึง 3 ปี เหตุผลนั้นคือคำอำลาที่เขาให้กับรุจน์ ....จะไม่มาให้เห็นหน้าอีก... แต่ด้วยเหตุใดก็ตามทศวรรษยังอาวรณ์ว่ารุจน์อาจจะไม่มีเงินใช้จ่ายเพื่อชีวิตสุขสบายเหมือนเดิมเขาจึงกลับมาในรูปของลูกค้าสาว

//images.asianfanatics.net/gallery/albums/Japanese-Male/NEWS---Takahisa-Masuda/

ทศวรรษเอียงคอมองเมษาที่มองเขากลับอย่างไม่คิดหลบสายตาแล้วรอยยิ้มมุมปากก็ผุดขึ้นพร้อมแววตาที่ฉายประกายที่ไม่อาจมีใครเข้าใจ กระนั้นเมษาก็ไม่สนจะหาคำตอบใดๆในแววตา ไม่ว่าจะเป็นอะไร จะเลวร้ายแค่ไหนขอเพียงให้รุจน์ปลอดภัยจากไอ้เจ้าบ้านี่เขาพร้อมจะลงเล่นด้วยทั้งนั้น ทศวรรษยื่นมือมาตบแก้มเมษาเบาๆ
“มึงนึกว่าชนะแล้วหรือกะอีแค่นั้นน่ะ” แรงตบหนักมือขึ้นเรื่อย เมษายกมือขึ้นปัดด้วยความแรงไม่แพ้กัน

“ก็ไม่รู้สินะ เพราะคำนั้นไม่ใช่กูที่ฟังแล้วจี๊ดนี่หว่า สำหรับกูฟังแล้วมันชื่นอกชื่นใจมากกก” เมษาลากเสียง ก่อนจะดันปลายลิ้นที่กระพุ้งแก้มข้างที่ถูกตบจนเป็นก้อนนูน เขายักไหล่แล้วหันหลังก้าวตรงไปที่ประตู ทศวรรษเชิดคาง หลุบตามองตึกรูปทรงแข็งทื่อสูงต่ำไร้ระเบียบนอกหน้าต่าง ความไม่เป็นระเบียบทำให้ทัศนียภาพในอุดมคติของเขาเสียหายหมด เขาเป็นชอบอะไรที่อยู่ในกรอบที่เขาอยากให้อยู่ สิ่งใดก็ตามที่ไม่ค่อยอยู่ในกรอบที่เขาคิดว่าสวยงามก็คงต้องจัดการให้เป็นที่พอใจให้ได้

“เฮ้.....” ทศวรรษหันกลับไปก่อนที่เมษาจะดึงประตูเปิด
“มึงน่ะ มีลูกชายกับเมียเก่าอยู่ที่สมุทรปราการใช่ไหม?” ทศวรรษเดินไปนั่งที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานไม้มะฮอกกานีเนื้อดี เมษามือค้างอยู่ที่ลูกบิด เลือดในกายทั้งหมดไหลลงไปกองที่ปลายเท้า ทั่วทั้งกายเย็บเฉียบ ความรู้สึกหายวับในวินาทีราววิญญาณหลุดหาย

“มึงคิดว่าคนระดับกูจะทำอะไรได้บ้างล่ะ?” ทศวรรษเท้าคาง อีกมือเลื่อนไปหยิบซิกกาจากกล่องหรูบนโต๊ะมาเคาะกับโต๊ะเป็นจังหวะ เมษาค่อยๆหันกลับมา ก้าวพรวดๆยืนตรงหน้าโต๊ะของทศวรรษ
“ไอ้สารเลว มึงแตะพวกเขาเมื่อไหร่กูจะตายกับมึง แล้วตอนจบก็ไม่มีใครได้ผู้จัดการไป สมการลงตัวแบบนี้ดีไหม?” เมษาโน้มตัวข้ามโต๊ะไปกระซิบด้วยเสียงคำรามต่ำ
“เป็นคำขู่เหรอ? กระจอกอย่างมึงทำอะไรกูได้” ทศวรรษโต้กลับด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกัน
“ไม่ทันที่มึงจะขยับใกล้กู มึงก็บรรลัยแล้ว เอาสิ ถ้ามึงอยากแลกมึงนั่นล่ะจะฉิบหายยกครัว ไม่ง่ายกว่าหรือ ปล่อยรุจน์ซะ” ยิ่งพูดสายตาของเขาทศวรรษก็ยิ่งเยือกเย็นลง เมษาก้มหน้า ไม่สานสบตา ร่างสูงกลับไปยืนนิ่งที่เดิม ทศวรรษเบะปากยิ้มมุมปากอย่างที่เขาชอบทำยามที่สามารถหยามคนได้

เมษาเคลื่อนมือไปดึงซิกกาจากมือทศวรรษมาแกะพลาสติกหุ้ม เขาส่งมันเข้าปากของทศวรรษแล้วหยิบไฟแช็กของตัวเองมาจุดให้ ทศวรรษดูดควันก่อนพ่นใส่หน้าเด็กหนุ่ม เมษาพยักหน้ายิ้มแล้วดึงตัวขึ้นยืนตรง เขามองวิวนอกหน้าต่างหลังทศวรรษครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาที่รูปของทศวรรษบนโต๊ะ เขาโน้มตัวข้ามโต๊ะไปกระซิบใกล้ใบหน้าของทศวรรษ
“แต่กูว่ามึงไปลงนรกน่าจะง่ายกว่าให้กูปล่อยมือจากผู้จัดการนะ” เมษาดึงซิกกาจากปากทศวรรษไปขยี้บนกระจกรูปตรงหน้าของทศวรรษ

“มันเหลือจะเชื่อว่ะ ว่าคนยิ่งใหญ่อย่างมึงจะหมดปัญญาจัดการกูที่มึงดูถูกว่ากระจอกหนักหนาแบบตัวต่อตัวถึงกับต้องหันไปรังแกผู้หญิงกับเด็กแทน มึงนี่มันไร้ศักดิ์ศรี แถมสิ้นคิดน่าดูชมจริงๆว่ะ อยากทำอะไรก็เชิญ แต่กูขอบอกไว้เลยไม่ว่าผู้หญิงหรือเด็กมึงจะไม่มีวันได้แตะต้อง และกูก็จะไม่ปล่อยมือจากผู้จัดการเด็ดขาด” เมษาตบโต๊ะปัง ทศวรรษนิ่งเขาสานมือบนโต๊ะ เมษาหันหลังเดินตรงไปที่ประตู นึกอะไรได้หันกลับมาอีกครั้ง พบว่าทศวรรษยังอยู่ในอริยาบทเดิม ดวงตาเข้มคมยังจับจ้องเขาไม่กระพริบ

“เวลาสมองว่างคิดดูซะหน่อยก็ดีนะ โอกาสของมึงมันน่ะมันหมดนานแล้ว ยิ่งดิ้นรนยิ่งน่าสมเพช สงสารตัวเองบ้างไหมเวลาต้องพล่านกับจินตนาการในคืนที่ต้องนอนหิวโหย ความปรารถนาในเรือนร่างของผู้จัดการฟุ้งกระจายทั่วทิศทาง ตอนนั้นนอนคงได้แต่นอนคลั่งเพียงเดียวดายเพราะรู้เต็มอกว่าทุกคืนกูกับเขา เรานอนด้วยกัน เมคเลิฟแบบโลกถล่มไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง” คราวนี้เป็นฝ่ายเมษาที่คลี่ยิ้มมุมปากอิ่มเอิบ ทศวรรษยิ้มรับคำพูดของเมษาราวกับนั่นเป็นคำชมเชย

“ก็คงเป็นอย่างนั้นกระมัง ว่าแต่จะไม่เอาวิธีที่แนะนำกูไปใช้กับตัวเองสักครั้งหรือ เผื่อบางทีความรักความหลงใหลอาจทำให้มึงมองข้ามบางสิ่งไป”
เมษาหายใจเข้าพร้อมเท้าเอว ตั้งใจว่าหากมีคำที่ไม่ถูกหูหลุดจากปากสวยแต่ห่วยเรื่องคำพูดนั้นเมื่อไหร่จะอัดไม่ยั้งเลย ทว่าประโยคท้ายสุดในการพบกันของทั้งคู่ในวันนั้น ไม่ได้ทำให้เมษาได้อัดคู่ปรับอย่างตั้งใจหากในทางตรงกันข้ามขณะนั้นเขากลับรู้สึกตัวหดเหลือเล็กนิดเดียวในห้องกว้างนั้น เขาได้แต่มองใบหน้าคมของทศวรรษแล้วหันหลังเดินออกจากห้องอย่างเงียบสนิท ในลำคอไร้คำพูด ในสมองไร้ภาพใดๆ ว่างเปล่าคงจะเป็นความรู้สึกที่ตรงกับใจเขามากที่สุด

รุจน์ยืนพิงกรอบหน้าต่างมองต้นไม้แห้งโกร๋นกลางแดดร้อนนอกหน้าต่าง ในวันนั้นที่เขาคิดตัดขาดจากทศวรรษ ที่โถงทางเดินเขามองอาทิตย์ยามเช้าในตอนนั้นเขาได้เอ่ยคำขอต่อโชคชะตา แม้อยากจะตัดขาด แม้จะเจ็บจนแทบจะขาดใจ แต่คำขอที่หัวใจพร่ำขอออกไปอย่างที่สุดของความรู้สึกคือ....ขอให้ทศวรรษรักเขาสักวัน... รุจน์หันหลังให้วิวนอกหน้าต่างศีรษะที่พิงกับกระจกด้านหลังเริ่มขยับกระแทกเบาๆอย่างไม่รู้สึกรู้สม รุจน์หลับตาแน่น

ไม่รู้เลยพรุ่งนี้ หรือแม้แต่นาทีต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร เขากลัวจับใจ กลัวตัวเองในตอนนี้เหลือเกิน กลัวจะทำพลาดในแบบที่เรียกได้ว่าไม่สามารถกู้คืนได้อีกครั้ง รุจน์เคลื่อนมือขึ้นมาจับริมฝีปากตัวเอง แล้วเลื่อนลูบไล้ร่างกาย ทุกอย่างของเขาเป็นของเมษาทั้งหมด ร่างบางทรุดตัวลงนั่งบนพื้น สองมือทิ้งลงข้างตัว เขารักเมษาเขาแน่ใจในน้ำคำและเซ็กส์ที่ให้กับเด็กคนนั้น แต่เขา...ในส่วนลึกล้ำนั้นก็....ไม่เคยลืมทศวรรษได้เลย

เสียงประตูไล่ความเหม่อลอยของรุจน์หลุดหายในอากาศ เขายันตัวลุกขึ้น เมษาเดินยิ้มเข้ามา รุจน์ยิ้มตอบ เมษาวางกุญแจบนโต๊ะแล้วเดินอ้อมมาด้านหลังโต๊ะมาที่รุจน์
“ทุกอย่างเรียบร้อยนะ” รุจน์ยื่นแขนออกไปเมื่อเมษาเข้ามาใกล้
“ครับ คุณน้ำฟ้าไม่อยู่หรือเห็นบนห้องเงียบๆ” เมษากอดเอวรุจน์ รุจน์โอบคอของเมษาไว้เช่นกัน
“ออกไปกับคุณวุฒิ เขามาชวนไปดูที่ที่จะสร้างโรงงานให้ภรรยาเขาน่ะ”
เมษาไม่ได้ฟังที่รุจน์พูด เขากดริมฝีปากที่ลำคอของรุจน์ รุจน์เอียงคอวาบหวิว เมษาเลื่อนขึ้นจูบใบหน้า จูบหนักที่ไฝบนแก้มและใต้คางและมาจบที่กลีบปากเย้ายวนของรุจน์ ร่างกายของรุจน์เริ่มไหวสะท้าน เขาเลยต้องรีบเลิกโดยการผละออกไปพิงที่หน้าต่าง

“น่ากลัวมาก นายทำให้ฉันมีอารมณ์แล้ว” รุจน์เลียริมฝีปาก เมษาแทบอยากจะผลักเขานอนลงแล้วทำให้สุดโต่ง แต่ความว่างเปล่าที่มีมาตลอดก็ค่อยๆก่อตัวเป็นเรื่องราวขึ้น
“เวลาที่เราเมคเลิฟกัน คุณรู้จักเซ็กส์ของผมหรือเปล่า”
รุจน์พ่นหัวเราะออกมาเบาบาง เสียงหัวเราะค่อยจางหายแต่ยังคงทิ้งไว้ซึ่งรอยยิ้มชวนตา
“ถามอะไรน่ะ จะให้ตอบจริงๆหรือ”

“ช่วยบอกผมหน่อย” เมษาพูดรัวแทบไม่หายใจ บางสิ่งกำลังไล่ตามเขาราวเงาปีศาจ คำตอบของรุจน์เท่านั้นที่จะป้องกันเหตุร้ายได้
“อืม อายมากนะ แต่ก็เอาเถอะนายอยากรู้นี่ บอกให้ก็ได้” รุจน์เดินมายื่นหน้ากระซิบ ริมฝีปากเซ็กซี่ของเขาอยู่ใกล้กับเมษาไม่กี่เซ็นต์

“ร้อนแรง หนักแน่น แล้วก็..เจ็บ แต่ฉันก็หลงใหลความเจ็บอันรัญจวนนั้นมาก มันบ่งบอกว่านายน่ะเซ็กซี่ที่สุดเลย” พูดจบรุจน์ก็จูบปากเมษาก่อนถอยกลับไปยืนที่เดิม เมษาสูดหายใจเข้าหนักหน่วง พอผ่อนหายใจออก อกผายยวบลงราวกับปล่อยลมจากลูกโป่ง
“แล้วเซ็กส์ของคุณทศวรรษล่ะ”
คำถามของเมษาทำเอารุจน์บื้อเป็นท่อนไม้ไปพักใหญ่ แล้วปล่อยยิ้มกึ่งขำออกมาก่อนจะพูดออกมาอย่างหนักแน่น
“ฉันลืมไปแล้ว ทุกวันนี้ร่างกายของฉันมีเต็มไปด้วยเซ็กส์ในแบบของนายเท่านั้น มีอะไรหรือเมษา” พอถามออกไปใบหน้ายิ้มแย้มของรุจน์เผือดลง เขากำลังคิดถึงรายชื่อสุดท้ายในส่งของที่เมษารับไป

“นายพบกับคุณทศมาเขาพูดอะไรกับนาย ที่จริงผู้หญิงคนนั้นแท้จริงแล้วน่ะคือ...” รุจน์แล่นเข้ามาจับแขนของเมษา
“ผมรู้มาก่อนหน้านั้นแล้วว่าหล่อนทำงานให้คุณทศวรรษ หล่อนเป็นนอมินีให้เขา” เมษาพูดแทรกก่อนที่รุจน์จะพูดจบ รุจน์กอดเมษาแน่น
“ไม่ว่าคนๆนั้นจะพูดอะไรเกี่ยวกับฉัน นั่นมันก็แค่อดีต ฉันอยู่ตรงนี้ ในขณะนี้ ฉันคือฉัน คือคนไม่มีตัวตนในโลกของเขาอีกต่อไปแล้ว” รุจน์ซบหน้ากับอกเมษา
“ฉัน ฉัน ฉันมีตัวตนอยู่แต่ในโลกของเรา จักรวาลที่มีแค่เราสองคนเท่านั้น” รุจน์เงยหน้าขึ้นมองอย่างเว้าวอน เมษาพยักหน้ายิ้มพร้อมกอดตอบ

“อย่าให้ราคากับคำพูดของคนๆนั้นเลยนะ ได้โปรดนะ” รุจน์ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงอยากร้องไห้ออกมาเหลือเกิน
“ครับ ผมเชื่อ”เมษากอดรุจน์แน่นขึ้น หัวใจเขาบอกเหมือนกับที่เปล่งคำพูดออกไป ก็ช่างมันเถอะ ช่างมันประไร คำถามที่ทศวรรษไม่อยากได้คำตอบ
...มึงรู้หรือเปล่าว่าตอนที่รุจน์นอนกับมึงน่ะเขาคิดถึงใคร?....

งานเลี้ยงรุ่นนักศึกษาไทยของมหาวิทยาลัย Yale ในหมู่เพื่อนฝูงกันเองของทศวรรษและSมักจัดขึ้นแบบไม่เป็นทางการ กล่าวคือโทรเรียกรวมพลเมื่อว่างพร้อมกัน เจ้าภาพจัดงานจะเวียนกันตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ ไม่มีการ์ดหรูหรา ไม่ต้องพูดถึงสื่อ เซเลบเกลียดแสงแฟลตระดับตัวพ่อตัวแม่อย่างคนพวกนี้ไม่ยอมให้ข่าวเล็ดลอดไปถึงหูนักข่าวเด็ดขาด พวกทศวรรษเป็นพวกรักความเป็นส่วนตัวอย่างที่สุด กระนั้นก็น่าแปลกที่พวกเขาก็เป็นที่ต้องการของเหล่านักข่าวและปาปารัซซี่เช่นกัน ดั่งคำที่ว่า ยิ่งเก็บ ยิ่งลึกลับ ยิ่งอยากรู้ ทศวรรษเข้ามาในงานพร้อม S ไม่ทันจะขยับตัวไปไหน ทั้งคู่ก็โดนล้อมกรอบโดยเพื่อนทั้งงาน ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่เพราะเขาหากเป็นเพราะเสน่ห์ดึงดูดสายตาอันลี้ลับของ S สมัยเรียนเขาเคยได้สมญานามจากความงามชวนให้หันมองซ้ำสองนี้ ทั้งไทย ฝรั่ง เอเชีย ต่างเรียกเขาเล่นๆว่า “พริ้นเซส”

ส่วนทศวรรษที่อยู่เคียงกายเสมอมักถูกตั้งสมญานามไปด้วย ทุกคนเรียกเขาว่า “ไนท์(ที่แปลว่าอัศวิน)” โดยมีเพื่อนที่เรียนด้านจิตเวชอีกคนได้รับสมญานามว่า “เมอร์ลิน” จากบุคลิกเงียบขรึมและอ่านหนังสือทั้งวันราวกับพวกจอมขมังเวศย์กำลังศึกษาวิชาโบราณ เป็นพวกหนอนหนังสือตามแบบฉบับ เพียงแต่เขาไม่เหมือนหนอนตัวอื่นตรงที่เขารูปหล่อและเป็นขวัญใจของสาวๆคณะแพทย์ พอจบจากมหาวิทยาลัยด้วยคะแนนเกียรตินิยมเขาก็ทำงานที่อเมริกาอยู่ 5 ปีก่อนจะกลับมารับใช้เหล่าคนรวยจนเครียด เหล่าดาราดังช่างวิตก และเซเลบร่ำรวยอีกหลายคนจนเป็นโด่งดังคับวงการ....จิตบำบัด ทศวรรษถอนใจพลางส่ายหน้า

สงสัยอีกไม่นานเขาคงต้องไปพึ่งบริการบ้างเหมือนกัน คิดถึงตรงนี้ทศวรรษเลยกวาดตามองหา และยิ้มเมื่อเห็นเมอร์ลินที่กำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่มุมในสุดของงาน ตั้งแต่สมัยเรียนมาจนบัดนี้ทศวรรษไม่เคยเปลี่ยนเชื่อของตัวเองเลยว่าการได้นั่งอยู่เมอร์ลินทำให้เขาสงบทั้งใจและกาย
“อืม ผมขอชื่อเขาไว้ก่อนก็แล้วกันนะ เผื่อว่าวันไหนเขาเอาชนะความอายได้มาพบตามคำแนะนำของคุณ ผมจะได้จำได้และดูแลเขาอย่างดีที่สุด” เมอร์ลินเงยหน้าเมื่อเห็นทศวรรษเข้ามาทรุดตัวนั่งฝั่งตรงข้าม เขายกมือทักแล้วคุยโทรศัพท์ต่อ ทศวรรษเรียกบริกรมาสั่งบรั่นดีออนเดอะร็อค พอบริกรผละออกไปก็เอื้อมมือไปหยิบมันฝรั่งทอดแผ่นโยนเข้าปาก พอเห็น S ขอตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนได้ก็เตรียมจะยกมือเรียก

“ช้าๆนะ ชื่อรุจน์ นามสกุล วริศรา หรือ”
ชื่อและนามสกุลที่เมอร์ลินพูดออกมาทำให้มือของทศวรรษค้าง S เดินเลยไปหาเพื่อนอีกกลุ่มแล้ว เขาหันมามองเมอร์ลินเต็มตา กลั้นใจรอจนเมอร์ลินเลิกสาย
“รุจน์ วริศรา เป็นอะไร” ทศวรรษโพล่งออกไปอย่างเร็ว เขาไม่มีเวลาแม้จะสังเกตสีหน้าของเมอร์ลินที่งงงันสุดขีด

“นายรู้จักหรือ?” เมอร์ลินดันแว่น ดวงตาหลังแว่นยังไม่หายงง
“บอกมาเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ได้ยินไหม ฉันถามว่า รุจน์ วริศรา นายพูดถึงเขาทำไม?”
“มีอะไรทศ ค่อยๆซินายทำฉันทั้งงงทั้งตกใจนะ ไอ้ท่าทางแบบนี้มันอะไรวะ” เมอร์ลินวางโทรศัพท์ข้างตัว ทศวรรษมองเมอร์ลินแล้วค่อยสงบลง เขายกมือขึ้นทั้งสองข้าง
“ฟังนะเพื่อน ฉันรู้จักและสนิทกับคนชื่อรุจน์ เราเป็นคนที่สนิทกัน ฉันเลยอยากรู้ว่าชื่อของเขามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน”
“ในเมื่อเขาไม่ได้บอกนายแสดงว่านี่ยังเป็นความลับของเขา” เมอร์ลินหยิบมันฝรั่งใส่ปาก

“ขอร้องล่ะ เมอร์ลินอย่ามากวนประสาทกัน”
“นายเปลี่ยนคนสำคัญในชีวิตไปตั้งแต่เมื่อไหร่” เมอร์ลินโน้มตัวมาข้างหน้า แววตารู้ทันฉายแวววับหลังแว่นใส ทศวรรษถอนใจมองไปอื่น สมกับเป็นเมอร์ลิน สมกับเป็นหมอจิตเวช เขามองทศวรรษทะลุตั้งแต่สมัยเรียน ดูออกในรสนิยมและจิตใจ ดูออกจนทศวรรษรู้สึกเป็นแค่แก้วใสใบหนึ่งจนบัดนี้
“ถ้างั้นพูดได้ยัง” ทศวรรษส่งเสียงแบบหน่ายเซ็ง

“ก็ได้เห็นแก่ความเป็นเพื่อนนะเฟ้ย และก็เห็นแก่....คนสำคัญของนายด้วย เผื่อนายจะช่วยเขาทัน” เมอร์ลินกระซิบ
“เออ ขอบใจ” ทศวรรษกระแทกเสียง
“นายกับหมอที่ชื่อรุจน์เคยนอนกันไหม” เมอร์ลินดึงตัวกลับไปนั่งตัวตรงด้วยสีหน้าปกติ แต่ทศวรรษหน้าม้านและเริ่มเรื่อแดง
“ก็มีบ้างนะ” ไม่รู้เหตุผลในการจะปฏิเสธคนที่รู้ไปทำไม ทศวรรษจึงตอบตามตรงด้วยเสียงค่อยอ้อมแอ้ม
“นายสังเกตเขาบ้างหรือเปล่าล่ะ”

“โอ้ย อะไรเนี่ยะ นายจะให้ฉันแบบ...โอ้ว ธรรมดามาก ตอบเหมือนกับนายถามกินข้าว กินน้ำ ปกติดีหรือเปล่ากับเรื่องแบบนี้นะ”
“มันสำคัญกับคู่ของนาย ทศ” เมอร์ลินจริงจังกับคำพูดของเขาจนทศวรรษอึ้ง
“สังเกตว่าเขาทำไมล่ะ”
“เขาชอบมีเซ็กส์กับนาย แบบขอมีบ่อยๆ หรือขาดไม่ได้ อะไรประมาณนั้น”

“ไม่รู้สิ ส่วนใหญ่จะเป็นฉันที่ลุยดะเมื่ออยาก กี่ครั้งไม่ได้นับ แต่เขาก็รับได้ตลอด”
“อ้อๆๆ” เมอร์ลินเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ใบหน้าอมยิ้มมีเลศนัย
“นายมันไอ้ม้าป่าคึกนี่เองถึงไม่ทันสังเกต มันเข้าลอคเป๊ะกับสิ่งที่รุจน์เข้าข่ายหรือมีแนวโน้ม”
ทศวรรษอยากบอกต่อว่ามันเป็นอดีตไปแล้วด้วยซ้ำเพื่อนเอ๋ย แม้ฉันจะคิดถึงอยากโบกสะบัดสะโพกใส่เรือนร่างอันน่าลุ่มหลงนั้นขนาดไหนก็ไม่มีสิทธิ์อีกแล้ว ....ฉันรู้ดีแบบเจ็บกลางใจเลย



Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2555 20:22:24 น.
Counter : 442 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

vannessia
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]