Welcome to v@n v@n's life
 
ชำแหละหัวใจ หมอเสริม

ไม่รู้ว่าเรายังจำฆาตกรใจโหด
หมอเสริม สาครราษฎร์
ที่ฆ่าหั่นศพหญิงคนรักของตัวได้ไหม
นี่เป็นบทสัมภาษณ์ ของหมอเสริม
ที่ยาวหน่อย แต่อ่านแล้ว
ก็รู้สึกว่าไม่ใช่คนใจยักษ์ใจมาร
แต่เป็นคนธรรมดามีรัก โลภ โกรธ หลง
และมีอารมณ์ชั่ววูบ
ถึงบทสัมภาษณ์นี้ไม่อาจเปลี่ยนชีวิตหมอเสริมได้
แต่ก็เปลี่ยนทัศนคติที่เคยมองว่า ฆาตกรใจโหด
ต้องเป็นคนบ้า ขาดสติ ความเลวอยู่ในเส้นเลือด
จริงๆชีวิตก็มีเหตุผลที่จะทำให้คนดีกลายเป็นคนบ้าอยู่เหมือนกัน
ลองอ่านดูนะคะ

ชำแหละหัวใจ...เสริม สาครราษฎร์
เมื่อวันที่ 26 ม.ค.2541 หากเรายังจำเรื่องราวของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะแพทย์ศาสตร์ วชิระพยาบาล ก่อเหตุฆ่าหั่นศพ น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรี แฟนสาว นักศึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ชั้นปีที่ 5 มหาวิทยาลัยมหิดลได้ก็คงจะทราบว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นคดีสะเทือนขวัญเขย่าวงการเสื้อกาวน์เป็นอย่างยิ่ง และหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นได้นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ในชีวิตของคนสองคน คนหนึ่งคือ แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันทน์ รองผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้แจ้งเกิดอย่างเป็นทางการจากคดีดังกล่าว และอีกหนึ่งคือ เสริม สาครราษฎร์ ตัวการที่ลงมือชำแหละแฟนสาวทิ้งชักโครก ซึ่งวันนี้อิสรภาพของเขาได้สิ้นสุดลง แต่เราไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังกำแพงสูงของเรือนจำบางขวางนั้น เขามีชีวิตอยู่อย่างไร
HI-CLASS พาคุณเดินผ่านประตูคุกเพื่อเปิดเปลือยเรื่องราวของนักโทษเด็ดขาดอย่าง เสริม สาครราษฎร์ เข้าไปนั่งรับรู้ตัวตนที่แม้จริง เข้าไปฟังวินาทีสังหารชนิดคำต่อคำ และสัมผัสความรู้สึกหลังความผิดบาปที่ได้ก่อขึ้น
ไฮ-คลาส ครอบครัวเสริม สาครราษฎร์
ตั้งแต่เด็กมาก็เป็นเหมือนคนอื่นทั่วไป พ่อแม่ก็อยู่ด้วยกันครอบครัวก็สมบูรณ์คุณพ่อก็ไม่ได้มีภรรยาน้อยอะไรมีอาชีพค้าขายพี่น้องสองคนผมเป็นคนโตแล้วก็มีน้องสาวอีกคนหนึ่ง สมัยประถมผมเรียนที่โรงเรียนศรีราชา เป็นโรงเรียนคริสต์ที่มีแต่ผู้ชายล้วน เรียนอยู่ที่ชลบุรีจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็เข้ามาที่กรุงเทพฯเป็นโรงเรียนคริสต์อีกเช่นกัน

ทำไมถึงตัดสินใจเรียนวิศวะ
ตอนนั้นเป็นคนที่สนใจเรื่องเหล่านี้เป็นคนชอบคอมพิวเตอร์ เลยตัดสินใจเรียนวิศวคอมพิวเตอร์
แสดงว่าสมัยมัธยมเป็นเด็กเรียนเก่งพอสมควร
ตอนมัธยมต้นก็เรียนดีพอสมควร ผมสอบเทียบตั้งแต่มัธยม 4 ช่วงม.ปลายคะแนนอาจจะตกลงไปบ้างเพราะต้องทุ่มเวลาอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเอ็นทรานส์พอสอบจริงก็ติดคณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยทางภาคใต้แต่ก็ไม่เอา เราตั้งเป้าแล้วว่าเราจะเข้าวิศวจุฬาเลยตั้งใจอ่านหนังสืออย่างหนักแล้วก็สอบเข้าได้

ได้ยินมาว่าคุณพ่อเป็นคนที่ดุมากใช่หรือเปล่า
ก็เป็นคนค่อนข้างเจ้าระเบียบมากกว่า ไม่ค่อยถูกตามใจเรียกว่าไม่เคยตามใจเลยดีกว่า เขาเลี้ยงลูกให้อยู่ในกรอบ คงเป็นเพราะเขามองอะไรแบบผู้ใหญ่ ผมเลยได้เรื่องความระเบียบอะไรอย่างนี้มาจากคุณพ่อมาก แต่โดยส่วนตัวไม่ใช่คนที่มีนิสัยดุอะไรอย่างที่เข้าใจนะ เป็นคนเงียบๆ และเก็บอารมณ์ได้มากกว่า
ระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ คุณเสริม สนิทหรือรักใครมากกว่ากัน
ถ้าถามตอนนี้ก็ต้องบอกว่ารักแม่มากกว่าเพราะคุณพ่อเสียแล้ว แต่ถามว่าทั้งคู่รักใครมากกว่ากันนั้นมันตอบลำบาก เพราะเราไม่ได้อยู่กับครอบครัวตลอด เรามาอยู่โรงเรียนประจำมากกว่าพอจบจากโรงเรียนประจำเราก็มาอยู่กรุงเทพฯตั้งแต่ยังเด็กพอมหาวิทยาลัยก็อยู่กรุงเทพฯเลยไม่ค่อยสนิทกับครอบครัวมากเท่าที่ควรเลยไม่รู้ว่ารักหรือสนิทกับพ่อหรือแม่คนไหนมากกว่ากัน
คุณพ่อมีส่วนตัดสินใจบ้างหรือเปล่าเพราะได้ยินข่าวว่าพ่ออยากให้คุณเสริมเป็นหมอ
ข่าวก็เป็นข่าวลงกันเรื่อย ความจริงคุณพ่อไม่ได้อยากให้เราเรียนหมอมาตั้งแต่ช่วงแรกอยู่แล้ว การตัดสินใจเรียนวิศวก็เป็นการตัดสินใจของผมเอง เราตั้งเป้าว่าจะเรียนทางนี้ แต่พอเรียนจริงมันยากพอสมควร เราต้องเรียนหนัก ความจริงแล้วเราก็ไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่งอะไรมากมาย เกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 2 กว่ายังไม่ถึง 2.5 เลยด้วย ซ้ำ ข่าวเอาไปเขียนว่าเรียนเก่งเป็นเด็กอัจฉริยะ ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย แต่เราก็เรียนมาจนจบวิศว เราเข้าเรียนปี 2535 มาจบเอาปี 2539 ก็ 4 ปีพอดีช่วงที่เราเรียน อยู่ปี 4 เป็นปีที่คุณพ่อเสียชีวิตพอดี
มารู้จักกับ 'เจนจิรา' ได้อย่างไร
ความจริงก่อนที่เราจะมารู้จักกับ 'เจนจิรา' ผมเคยมีแฟนมาก่อนแล้วคนหนึ่งแต่พอตอนหลังเขาขอเลิกไปเพราะเรียนหนัก ก็แยกกันด้วยดี จากนั้นเราก็มารู้จักกับ 'เจนจิรา' ประมาณปี 3 เข้าปี 4 ก็รู้จักด้วยการเป็นเพื่อนกันก่อนตอนนั้นยังไม่ได้้เป็นแฟนกัน เขาเรียนมหิดลเราเรียนจุฬาฯแต่ไปเจอกันในโบสถ์เพราะเขาก็นับถือศาสนาคริสต์เหมือนกัน คือไปเจอกันก็เลยมีโอกาสพูดคุยกัน เขาเป็นคนเรียบร้อย ส่วนผมเป็นคนเรียบๆเฉยไม่ค่อยคบหากับใครมากนักชอบเก็บตัวอยู่คนเดียวจึงไม่ค่อยมีเพื่อนอะไรเท่าไหร่
ทำไมมีนิสัยเก็บตัวอยู่คนเดียว
ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อใจใครง่ายๆโดยเฉพาะผู้ชาย ถึงแม้เราจะเคยเรียนโรงเรียนที่มีแต่ผู้ชายล้วนๆ ก็ตาม เพราะเราเจอแต่ความไม่จริงใจเจอความเห็นแก่ตัวมาเยอะ เราอาจจะมองว่าเพื่อนเป็นสิ่งที่ดีคอยช่วยเหลือกันแต่ความเป็นจริงที่เราเจอมันต่างกัน มีแต่การใส่หน้ากากเข้าหากันตลอด ต้องอยู่ในสังคมที่ใช้ความหรูหรามาวัดกัน อวดมั่งอวดมีอวดรวย ชอบงานรื่นเริง เป็นสังคมที่พยายามแสดงตัวเองออกมาว่าเป็นคนระดับสูง ไม่ได้คบกันด้วยความจริงใจ เราเลยไม่ค่อยเชื่อใจใคร เมื่อมาอยู่มหาวิทยาลัยจึงไม่ค่อยมีเพื่อจะมีก็แต่เพื่อผู้หญิง
ทำไมถึงคิดมาเรียนหมอ
ตอนนั้นผมเริ่มอยู่ปี 4 ใกล้จบแล้วเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นเราเริ่มแคร์เขามากขึ้น เขาเคยพูดถึงเรื่อง อนาคตของเขากับเราว่า หากเรียนจบแล้วอยากจะไปอยู่เมืองนอกและอยากมีแฟนเป็นหมอเหมือนเขา คือตอนนั้นเราคบกันแบบเพื่อนะยังไม่ได้บอกว่าเราชอบเขา และจากตรงนั้นมั้งทำให้เราตัดสินใจเรียนหมอ
เราบอกกับ 'เจนจิรา' อย่างไรว่าวันนี้เรารู้สึกกับเขามากกว่าการเป็นเพื่อนธรรมดา
ไม่ได้บอกอะไรตรงๆ มันเป็นเรื่องที่รู้กันเองเริ่มจากการเป็นเพื่อนกันธรรมดามีเวลาให้กันมากขึ้น เข้าอกเข้าใจกันมากขึ้นมันก็พัฒนาไปเองโดยที่เราก็รู้กันว่าระหว่างเรามันมากกว่าการเป็นเพื่อนแล้ว เริ่มมีการหึงหวงบ้างอะไรแบบนี้ ช่วงวันสำคัญเราก็มีอะไรพิเศษให้กันบ้างอย่างวาเลนไทม์ก็ให้ดอกไม้กัน มันเข้าใจกันโดยไม่ได้บอกออกมาเป็นคำพูด
บอกได้มั้ยว่าเรามีอะไรดีที่ทำให้ผู้หญิงมาชอบเรา
คงเป็นเพราะผมเป็นคนที่พูดอะไรตรงๆมั้ง แต่ก็ไม่เคยถามเขานะว่าเขาชอบผมตรงไหน ส่วนเขาค่อนข้างจะเป็นคนจริงจังกับชีวิตพอสมควร ลักษณะนิสัยเรากับเขาคงคล้ายๆ กันคุยกันได้ก็เลยคบกัน คือหลายอย่าง ครอบครัวเขาเองก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แยกทางกันตั้งแต่เขายังเด็ก แม่ก็ไปเปิดร้านอาหารอยู่อเมริกา พ่อก็อยู่อีกทางหนึ่ง เขาต้องมาอยู่กับญาติ คงทำให้ขาดความอบอุ่น พอมาเจอกับเราคุยกันได้ก็สนิทกันจนพัฒนามาเป็นแฟนกัน
ข้ามไปเร็วหน่อยหลังจากคบกันมาระยะหนึ่งรู้ได้อย่างไรว่าเขาเริ่มถอยห่างจากเรา
เราคบกันมากระทั่งจุดหนึ่งก็เริ่มมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองคน คือผมเช่าหออยู่เขาก็มาอยู่ด้วยกับเราเหมือนแฟนทั่วไปที่ผู้หญิงผู้ชายใช้ชีวิตร่วมกันก่อนแต่งงาน อันที่จริงเขาก็มีบ้านนะบางทีเขาก็กลับบ้านบ้าง นอนหอตัวเองบ้าง อยู่กับเราบ้าง อาทิตย์หนึ่งอยู่กับเราประมาณ 3-4 วัน อะไรแบบนี้ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
แต่ระยะหลังเราเริ่มสังเกตว่าเขาเปลี่ยนไปจากเดิม เริ่มมีธุระมากขึ้นเริ่มไม่ค่อยว่าง คือโดยสัญชาติญาณเรารับรู้ได้ว่ามันไม่เหมือนเดิม เขาเคยพูดขึ้นมาครั้งหนึ่งว่าไปรู้จักกับพี่ชายของเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนที่ให้คำปรึกษาในหลายๆ เรื่อง และเคยมีครั้งหนึ่งเขามาเล่าให้ฟังว่า มีเพื่อนผู้หญิงซึ่งมีแฟนอยู่แล้วมาปรึกษาเขา บอกว่าเขาไปชอบผู้ชายอีกคนหนึ่งจะทำอย่างไรดี ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรก็ให้คำปรึกษาไปว่าแล้วแต่ผู้หญิงคนนั้นว่าจะคิดอย่างไรทำนองนี้ แต่พอกลับมานั่งนึกก็เลยเข้าใจว่าอาจเป็นตัวเขาเองที่ไปชอบผู้ชายคนอื่น
เราเริ่มสังเกตพฤติกรรมเขามากขึ้นช่วงที่อยู่กับเรา มีครั้งหนึ่งที่เรานัดกันไปไหนสักแห่งแต่ปรากฏว่าเขาไม่ยอมมาตามนัด ผมเลยจะโทรไปฝากข้อความทางเพจเจอร์ของเขา แต่ก่อนจะฝากข้อความผมก็เช็คข้อความของเขาก่อนว่าฝากอะไรถึงเราหรือเปล่าเพราะเราใช้เพจร่วมกัน โดยที่ผมเองก็มีรหัสผ่าน พอเข้าไปเช็คก็เจอข้อความที่ถูกส่งมาจากรุ่นพี่คนนั้น เป็นคำพูดโรแมนติคมากที่หยิบมาจากภาพยนต์เรื่องหนึ่งแต่ผมจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร และในข้อความนั้นเขาก็นัดไปดูหนังกัน เราเลยรู้ว่าที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เองถึงไม่ว่างและไม่มาตามนัด
พอรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งเราก็ถามว่าเมื่อวานไปไหนมา เขาตอบว่าไปดูหนังแล้วก็กินข้าวกับน้องซึ่งไม่ได้เจอกันนาน เราก็รู้แล้วว่าเขาโกหกไม่บอกความจริงกับเรา ความจริงแล้วมันมีอะไรมากกว่าการไปดูหนังกันธรรมดา มันมีหลักฐานซึ่งผมรู้มานานแล้วไม่ใช่แค่ครั้งนี้ผมไม่อยากพูดถึงเอาเป็นว่าผมพูดกว้างๆ ดีกว่าว่าเขาไปมีอะไรกับคนอื่นด้วยนอกเหนือจากเรา พอดีวันนั้นเป็น วันที่ผมระเบิดออกมาจึงเกิดการทะเลาะกัน หากวันนั้นเขายอมรับออกมาเรื่องก็อาจไม่บานปลายถึงขนาดนี้ ผมมานั่งคิดดูเราอาจจะต่างคนต่างเลิกรากันไป แต่วันนั้นเขาไม่ยอมรับผมเลยโกรธมาก
เหตุการณ์โศกนาฏกรรมวันนั้นเป็นอย่างไรอยากได้ยินจากปากคุณโดยตรง
วันนั้นเราโกรธมาก มันหน้ามืดไปหมดอาจเป็นเพราะเราควบคุมอารมณ์ตัวเอง ไม่ได้ด้วย ตอนนั้นผมเองเพิ่งอายุ 22 ปี ความคิดอะไรมันก็ยังควบคุมไม่อยู่ อารมณ์ตอนนั้นมันโกรธจัด ทะเลาะกันรุนแรงมาก ผมเองไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องโกหกเรา มาหลอกเราทำไม คิดอะไรไม่ออกโมโหมากเดินเข้าไปหยิบปืนแล้วก็เขายิงทันที
ไปเอาปืนมาจากไหน กระแสข่าวออกมาว่ามีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า
ผมเก็บปืนไว้ที่ห้องนานแล้วเขาก็รู้ เพราะแถวที่ผมอยู่นั้นมันเปลี่ยวชาวต่างชาติพวกไนจีเรียอยู่กันเยอะ ผมเองรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยไปเอาปืนจากที่บ้านมาเก็บไว้เผื่อป้องกันตัว
ตอนที่ยิงเขาคิดหรือเปล่าว่าจะต้องยิงให้ตายหรือแค่ให้เจ็บ
ตอนนั้นก็คิดเลยว่ายิงให้ตายเพราะมันโกรธจัด คือผมจ่อยิงที่หัวเลยเป็นเรื่องของอารมณ์มากกว่า ไม่ใช่เราฆ่าเขาแล้วเราจะรู้สึกดีนะ ไม่ใช่เราฆ่าเพราะอยากให้เขาตายให้สมกับความแค้นที่เขาได้หักหลังเรานะ มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ
สังคมมองว่าคุณเป็นฆาตกรโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ที่ฆ่าแฟนตัวเองแล้วยังแล่ศพด้วยความใจเย็น
ตอนนั้นผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี ยิงเขาไปแล้วมันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ พอตั้งสติได้ก็ร้องไห้เสียใจสงสาร ไม่น่าทำแบบนี้เลย จากนั้นก็อุ้มศพเขาเข้าไปในห้องน้ำนั่งมองศพอยู่นานไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ตอนนั้นเริ่มกลัวแล้วไม่อยากถูกจับ เลยจัดการแร่เป็นชิ้นๆ เพื่อทิ้งลงน้ำโดยใช้มีดทำครัวธรรมดานี่แหละไม่ใช่มีดผ่าศพของหมออย่างที่เข้าใจ แล่เป็นชิ้นแล้วทิ้งลงชักโครก แต่พอทิ้งไปได้สักพักมันกดน้ำไม่ลงคือท่อมันตัน ผมเลยทิ้งศพไว้ในห้องแล้วออกมาซื้อถุงดำ ซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำ ซื้อไม้ที่ปั้มท่อ พอกลับมาน้ำมันเพิ่งลดลงไปหน่อยเดียวเองเลยต้องใช้ที่ปั้มนั้นปั้มท่อไปด้วย ส่วนกระดูกที่เหลือก็เอาไปทิ้งที่แม่ น้ำบางปะกง
เป็นไปได้หรือไม่ว่า เพราะการที่คุณเรียนหมอต้องเคยเรียนผ่าศพด้วยและต้องเห็นศพบ่อยๆ
ทำให้ไม่รู้สึกกลัวและสามารถแล่ศพได้อย่างใจเย็น คือเป็นเรื่องชาชินธรรมดา
ความจริงรู้สึกนะไม่ใช่ไม่รู้สึกอะไร เพราะศพที่อยู่ตรงหน้ามันเป็นแฟนเราเป็นคนที่เรารัก ต่างจากการเรียนผ่าศพที่เรียกว่าอาจารย์ใหญ่นั่นเราจะไม่ค่อยรู้สึกอะไรเพราะเราไม่รู้จักเขา การที่ต้องแล่ศพเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรเราทำลายหลักฐานไม่ได้ เราเอาลงมาจากข้างบนหอไม่ได้มันใหญ่เกินไปคนจะสงสัย เลยต้องแล่ศพ หากเป็นที่อื่นก็อาจเผาทำลายหลักฐานได้หรืออย่างอื่น แต่นี่เป็นห้องที่เราอยู่จึงต้องใช้วิธีนี้ เรื่องเรียนหมอหรือไม่ได้เรียนหมอมันไม่เกี่ยวแต่มันเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำวิธีนี้ คุณพ่อค้าขายหมูก็อาจใช้วิธีนี้ก็ได้
ตอนที่คุณชำแหละศพช่วงที่ต้องตัดคอคุณไม่เห็นหน้าเขาหรือคุณมองหน้าเขาอยู่หรือเปล่า
เปล่าผมตัดจากทางด้านหลัง ผมจับเขาหันหลัง คืออย่าเข้าใจว่าเป็นความรู้สึกที่ดีนะ มันแย่มากตอนนั้น เราเคยอยู่ด้วยกันมาก่อนไม่คิดว่าจะมาจบลงตรงนี้ ผมยังพูดกับศพเลยไม่ได้อยากจะทำอย่างนี้ ขอโทษเขาตลอด แต่ก็ไม่อยากถูกจับมันจำเป็นต้องทำ
หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปแล้วคุณรู้สึกกลัวหรือเปล่า เพราะได้ยินว่าคุณก็ยังอยู่ที่ห้องที่เกิดเหตุ
ไม่ได้กลัวอะไร ผมเองก็ยังอยู่ที่นั่นเป็นเดือนไม่ได้หนีไปไหน แต่ก็เหงาบ้างเวลาที่เราขาดเขาไปเพราะเคยอยู่ด้วยกัน
เหตุการณ์วันที่คุณถูกจับกุมเป็นอย่างไร
เรื่องมันผ่านมาได้เกือบเดือนหนึ่งแล้วหลังจากที่ผมฆ่าเจนจิรา ผมก็ยังอยู่ที่ห้องนั้นปกติต่อมา วันนั้นผมเดินๆ อยู่ริมถนนก็มีคนมาอุ้มผมขึ้นรถตู้ ปิดตาผม จากนั้นก็ใส่กุญแจมือแล้วก็ซ้อมด้วย พอเปิดตามาก็รู้ว่าเป็นตำรวจ หลังจากนั้นเขาก็พามาส่งที่สน.สอบสวนผมเสร็จแล้วก็ให้เราเซ็นชื่อรับสารภาพ ว่าฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฆ่าด้วยความทารุณโหดร้าย เขาบอกว่าเซ็นไปก่อนแล้วค่อยไปสู้กันที่ศาล
ทำไมถึงต้องซ้อมด้วย
ผมก็ไม่รู้แต่ได้ยินว่าทางญาติจะให้เงินรางวัลหากใครเจอศพลูกสาวเขา ผมก็ไม่รู้เป็นอย่างไร แต่พอหลังจากจับผมได้แล้วดูเหมือนตำรวจคนนั้นจากที่เคยใช้โทรศัพท์ธรรมดาก็เปลี่ยนมาใช้รุ่นใหม่ การซ้อมก็อาจเป็นการคาดคั้นเอาหลักฐานก็เป็นได้ อันนี้ผมไม่รู้เหมือนกันอาจจะเป็นเพราะแบบนี้ก็ได้
รู้สึกอย่างไรบ้างกับคุณหญิง แพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ที่เข้ามาทำคดีนี้
ถึงแม้เขาไม่เข้ามาทำคดีนี้ ผมรู้ว่าผมก็คงต้องติดคุกอยู่ดี เพราะเรารับสารภาพไม่ใช่เพราะคุณหมอพรทิพย์เข้ามาพิสูจน์ แต่สังคมมองว่าเพราะคุณหมอเข้ามาทำคดีถึงสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ แต่ความจริงนั้นมันไม่ใช่ ผมคิดว่าโดยทางรูปคดีสามารถสาวมาถึงตัวผมได้อย่างแน่นอนผมเลยรับสารภาพ โดยส่วนตัวผมไม่เคยรู้สึกอะไรกับคุณหมอ ไม่มีความโกรธแค้นเขาแต่อย่างใด
ตอนที่ศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิตตอนนั้นรู้สึกอย่างไร
ผมทำใจไว้แล้วไม่มีอะไร แต่ก็ต่อสู้จนถึงศาลฎีกา ในชั้นฎีกาผมต่อสู้ในประเด็นที่ว่า ผมไม่ได้โดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ทุกชั้นศาลก็ไม่ได้เชื่อเราอย่างนั้นเพราะเขามองเห็นว่าเรามีปืนอยู่เขามองว่าเราเตรียมการ แต่ผมยืนยันว่าไม่ได้ไตร่ตรองเป็นอารมณ์ชั่ววูบ แต่เราก็ทำใจไว้แล้ว
คำว่า 'โหด' ในพจนานุกรรมของเสริม สาครราษฎร์ หมายถึงอะไร
การที่ฆ่าใครสักคนในความคิดของผมมองว่าไม่ใช่เรื่องโหดอะไร แต่การที่ขังคนจนตายอย่างนี้สิโหด การฆ่าคนๆ หนึ่งมันจบลงตรงนั้นเลยเขาไม่ได้รู้สึกอะไรต่อ แต่การขังให้เขาอยู่อย่างนั้น 20 ปี 25 ปีอย่างนี้ผมถือว่าโหดเหมือนฆ่าเขาทั้งเป็น บางคนแก่หง่อมทำอะไรไม่ได้แล้วยังต้องติดคุกอยู่อีก
แสดงว่าวันที่ศาลตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิตวันนั้น หากเลือกได้คุณอยากถูกประหารชีวิตมากกว่า
ผมว่าประหารยังดีเสียกว่าเพราะการติดคุกมันทรมาน แต่ถามว่าอยากตายมั้ยต้องตอบว่าไม่อยากเพราะผมยังมีแม่อีกคนที่รอ อยู่ผมยังอยากเจอแม่ แต่สิ่งที่ผมกำลังบอกก็คือการขังใครในระยะเวลานานขนาดนั้นมันไม่มีประโยชน์ ออกไปเขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ซึ่งอาจจะกลับไปกระทำผิดอีกเพราะไม่รู้จะทำอะไร
คุณเชื่อว่าการกักขังอิสรภาพไม่ใช่วิธีลงโทษที่ถูกต้อง
มันเป็นวิธีลงโทษที่ช่วยได้ในระยะหนึ่งเท่านั้น แต่นานเกินไปไม่มีประโยชน์ การที่คนติดคุก 20 ในนี้กับข้างนอกมันต่างกันโดยสินเชิง ข้างนอกอาจมองว่าแป๊บเดียวแต่สำหรับคนที่นี่มันนานแสนนาน
วันแรกที่เดินเข้าเรือนจำรู้สึกอย่างไร
ความรู้สึกแรกเลยเราคิดว่ามันต้องน่ากลัวโหดร้าย มีมาเฟียเหมือนอย่างในหนังที่เราเคยดูมา แต่พอเข้ามามันไม่ใช่อย่างนั้นเป็นการอยู่ร่วมกันแบบเพื่อนมากกว่า เ จ้าหน้าที่ให้การดูแลเราดี ไม่ใช่ว่าจะมาทำร้ายอะไรเรา เรื่องร้ายๆ ก็มีบ้างเป็นธรรมดาแต่ไม่ใช่ทั้งหมดมีเพียงส่วนหนึ่ง แต่เอาเป็นว่าไม่พูดถึงดีกว่าครับพูดแล้วไม่ดีผมอาจไม่มีโอกาสมานั่งคุยแบบนี้ได้อีกเอากว้างก็พอ
อย่างเรื่อพี่ใหญ่ก็มีบ้าง เช่นเราไปช่วยงานเขา ไปซักผ้าให้เขาทำงานให้เขาบ้าง แล้วเขาก็ให้สิ่งของตอบแทนเป็นการพึ่งพากันมากกว่า อย่างผู้ต้องขังบางคนไม่มีญาติมาเยี่ยมเลย คนที่มีญาติมาเยี่ยมก็จะมีของกินข้าวใช้ก็แบ่งกัน คือให้สิ่งตอบแทนเป็นข้าวของ
มีคนมาเยี่ยมคุณเสริมบ่อยหรือเปล่า
หลังจากเกิดเรื่องก็ไม่มีแล้ว ไม่มีใครมาเยี่ยมเลย เพราะข่าวสร้างให้เราดูน่ากลัว วันนี้เพื่อนเก่าๆ กับเรามันเหมือนกับอยู่กันคนละโลกแล้ว ตอนนี้เราจะมีเพียงเพื่อนใหม่ที่เข้าใจเรา เพื่อนที่อยู่ในคุกเหมือนกับเรา เรารู้สึกว่าทุกอย่างข้างนอกจบสิ้นแล้วเรามีเพียงโลกของเราในนี้เพื่อนก็มีเท่าที่นี้เท่าทีอยู่ร่วมกัน เพื่อข้างนอกหายหน้าไปหมดแล้ว แม่ก็ไม่ค่อยมานานๆ จะมาสักครั้งคงเพราะเราทำให้เขาเสียชื่อเสียง ผมเองเคยเขียนกลอนไปให้ที่ช่อง 3 ด้วยนะช่องคำคม เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนี่แหละเขียนในทำนองว่า เวลาเราดีก็มาหากันเยอะแยะแต่พอเราพลาดไปก็หายหน้ากันไปหมด
ได้ยินมาว่าคุณเสริมไม่ค่อยถูกกับผู้คุมใช่หรือเปล่า
(หัวเราะ) เรื่องนี้พูดไม่ได้เอาเรื่องที่คุยได้ดีกว่า
แสดงว่าคุณเกเรหรือเปล่า
ผมทำตัวเรียบร้อยนะ แต่อาจจะเป็นคนที่พูดตรงไปหน่อยเท่านั้น เป็นคนที่ไม่ค่อยตามน้ำเหมือนคนอื่นเท่าไหร่ อย่างสมมุติว่ามีเรื่องเกิดขึ้นในคุกผมเห็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้น บางทีเขาก็ไม่ค่อยชอบเพราะคนอื่นอาจถูกสั่งให้ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ แต่ผมเห็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้นเลยไม่เป็นที่ถูกใจ
ผลที่ตามมาเป็นอย่างไร
ก็โดนย้ายบ้าง อย่างที่ผมเคยโดนย้ายไปที่เรือนจำกลางคลองไผ่ ที่โคราช ที่นั่นกฎระเบียบเข้มงวดกว่าที่นี่มาก ลำบากกว่า ที่นั่นขนาดน้ำที่ใช้กินเขาต้องผ่านเครื่องกรองใช่ไหมยังเขียวอื๋ออยู่เลย ลำบากกว่าที่นี่ อย่างที่นี่ค่อนข้างอบอุ่นเขาดูแลเราดี ขึ้นอยู่กับนาย นายที่ย้ายมาอยู่ที่นี่เขาใจดีดูแลเรื่องสวัสดิการดี
คนที่ทำความผิดกับคนที่มีนิสัยไม่ดีเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
คนที่มาอยู่ในนี้มีทั้งคนที่ไม่ดีและคนที่ดี คนที่เป็นผู้ร้ายโดยสันดารก็มีแต่ไม่เยอะนะในความคิดของผม คนที่คิดว่าเมื่อออกไปก็จะทำความผิดอีกก็มีแต่ไม่เยอะ ไม่อยากให้คนข้างนอกมองว่าคนที่มาอยู่ตรงนี้เป็นคนไม่ดีไปเสียทุกคน
อยู่ที่นี่ผู้ต้องขังต้องทำอะไรบ้าง
ตื่นเช้ามาก็ออกกำลังกาย กินข้าว จากนั้นก็แยกย้ายไปทำงาน ใครเรียนหนังสือก็ไปเรียน อย่างผมก็สอนหนังสือให้ผู้ต้องขัง สอนภาษาอังกฤษพอดีเรามีความรู้เรื่องเหล่านี้อยู่บ้างก็ช่วยสอนได้ ใครถนัดอะไรก็ทำอย่างนั้น กำลังคนเจ้าหน้าที่มีน้อยก็เลยเอาผู้ต้องขังเข้ามาช่วยงาน
ได้ยินว่าเพิ่งเรียนจบคณะนิติศาสตร์อีกใบหนึ่งทำไมถึงเลือกเรียนวิชานี้
อยากที่จะช่วยเหลือคนอื่นด้านคดีอะไรแบบนี้ เพราะเรารู้สึกว่าอย่างตอนที่เราเซ็นชื่อรับสารภาพโดยไม่รู้ว่าจะส่งผลให้รูปคดีเสีย ไม่รู้ว่าข้อกล่าวหานั้นมันเกินความจริงเพราะไม่ได้มีความรู้เรื่องกฎหมายทำให้เราเสียเปรียบก็ เลยอยากช่วยคนอื่นบ้าง เลยเลือกเรียนนิติศาสตร์ มสธ.ก็จบแล้วตอนนี้ อย่างในนี้ก็เหมือนกันบางคนก็เป็นแพะรับบาป ไม่ได้ทำความผิดจริงก็มีเยอะแยะ เราอยากช่วยเขา ช่วยพิมพ์คำร้องบ้าง ช่วยพิมพ์ใบถวายฎีกาบ้าง บางทีเขาก็ให้ของตอบแทนเราบ้างอะไรแบบนี้ แต่บางทีเขาไม่มีก็เข้าเนื้อเราเหมือนกันแต่ก็อยากช่วย เราไม่เคยไปเรียกอะไรจากเขา
ความหวังสูงสุดวันนี้คืออะไร
ความหวังสูงสุดก็อยากได้รับการอภัยโทษลงบ้าง เพื่อโอกาสวันหนึ่งจะได้กลับออกไปอยู่กับครอบครัวเรา อีกสิ่งหนึ่งคือหากมีโอกาสได้ออกไปอยากเจอหน้าแม่อีกครั้ง อยากออกไปทันในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากพูดความหวังในปัจจุบัน ก็อาจเป็นเรื่องสวัสดิการในเรือนจำอยากให้ผู้ต้องขังมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ แต่ที่พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้มันเลวร้ายรับไม่ได้นะ ตอนนี้ตั้งแต่ผบ.คนนี้มาอยู่ที่นี่ก็ดีกว่าเมื่อก่อน ท่านสนใจเรื่องสวัสดิการของผู้ต้องขังมากขึ้น เรื่องห้องเยี่ยมก็มีการตั้งตั้งโทรศัพท์ให้ ในวันศุกร์ผู้ต้องขังมีโอกาสพบญาติใกล้ชิดมากขึ้น เรื่องราคาสินค้าก็ปรับปรุงให้มีราคาถูกลงกว่าแต่ก่อนซึ่งก็ถือว่าดีกว่าเมื่อก่อน เรื่องสวัสดิการนี่แหละคือเรื่องที่ผู้ต้องขังต้องการ
ต้องสรุปว่าชีวิตรักของคุณล้มเหลว เป็นความรักที่เจ็บปวด วันนี้คุณยังศรัทธาในความรักอยู่หรือเปล่า
ยังเชื่อมั่นอยู่ ไม่ได้คิดว่าความรักเป็นเรื่องหลอกลวงอะไรเพียงแต่ความรักที่เราเจอมันไม่สวยงานเท่านั้นเอง ยังศรัทธาอยู่เสมอเชื่อว่าคงมีสักวันที่ได้เราเจอความรักที่งดงามเป็นคนที่รักเราจริงๆ
ณ วันนี้คุณยังเชื่อว่ามีความหวังที่จะได้เจอความรักแบบนั้น
ก็ยังหวัง?ยู่เสมอ แต่คงจะมีความคิดอีก แบบหนึ่ง คืออาจไม่รักใครหัวปักหัวปำแบบนั้นอีกแล้ว คงไม่กล้ารักเขาเต็มร้อยอีกแล้ว
หากมีโอกาสได้ออกไปข้างนอกเหตุการณ์อย่างนี้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีกหรือไม่หากเขาทิ้งคุณไปอีก
ไม่เอาแล้วครั้งเดียวก็พอแล้ว ไม่ฆ่าอีกแล้ว
อย่างแรกที่อยากทำเมื่อออกไปแล้วคืออะไร
ตอนนี้ผมก็มีความหวังอยู่อย่างหนึ่งคือหากวันหนึ่งผมได้ออกไปจากที่นี่ ผมหวังว่าแม่ของผมยังคงอยู่ไม่เสียชีวิตไปก่อนเพราะผมเหลือแม่คนเดียว แต่แม่จะเปิดรับผมเข้าบ้านหรือไม่นั้นยังไม่แน่ใจว่าท่านรับผมได้หรือเปล่าเพราะผมทำให้เสื่อมเสียวงศ์ตระกูล แม่คงเสียใจเรื่องผมมาก
ส่วนเรื่องออกไปแล้วอยากทำอะไรนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับอายุด้วยว่าตอนนั้นอายุเรา เท่าไหร่แล้ว หากอายุมากก็อยากกลับทำเกษตร หากอายุยังน้อยก็อยากเป็นทนายช่วยคนอื่น หรืออาจต้องทำงานใช้หนี้ที่ญาติผู้ตายที่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 18 ล้าน เรายังไม่รู้ว่าจะเอาปัญญาที่ไหนไปใช้หนี้ แต่ผมก็อยากใช้หนี้เขานะเพราะผมเป็นคนก่อเรื่องขึ้นเอง
อยากบอกอะไรกับสังคมบ้างจากบทเรียนที่คุณผ่านมา
ก็อยากจะบอกว่าอย่าใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา เพราะอารมณ์ชั่ววูบเพียงนิดเดียวทำให้เราเสียใจไปตลอดชีวิต นอกจากเราเองแล้วครอบครัวเขาก็ต้องสูญเสียคนที่เขารักไปด้วย เราเองก็ต้องสูญเสียคนที่เรารักไป ทุกอย่างมันแย่ไปหมด ในส่วนของครอบครัวเจนจิราผมก็อยากจะบอกว่าผมขอโทษในเรื่องที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำอย่างนั้น ผมรู้ว่าเขาอาฆาตผมมาก แต่มันพลาดไปแล้วผมเสียใจ วันนี้ผมได้รับผลกรรมที่ตัวก่อแล้ว ผมไม่อยากให้ใครตกอยู่ในสภาพนี้เหมือนผม




Create Date : 15 กรกฎาคม 2551
Last Update : 15 กรกฎาคม 2551 10:59:39 น. 1 comments
Counter : 2517 Pageviews.  
 
 
 
 
มันเป็นเรื่องเศร้านะ

เศร้ามากๆด้วย
 
 

โดย: gluhp วันที่: 22 กรกฎาคม 2551 เวลา:14:00:51 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

vandasung
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ยังไม่แก่มาก แต่ความจำหัววุ้นขนานแท้
วันๆถ้าไม่จมอยู่กะโลกไซเบอร์ ก็จะบ้าๆบอๆ
หาเรื่องกิน เที่ยว ถ่ายรูปกะแก๊งค์ลูกหมูบรรดาสมาชิกพรรคที่ทำงานนี่ล่ะจ๊ะ
มีแม่คนเดียวจึงรักเป็นอันดับหนึ่ง
ผู้ชายอื่นๆมาเป็นที่สอง
เหตุฉะนี้ตอบได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ตั้งใจจะครองโสดไปตลอดชาติ ว่ะฮาฮา
[Add vandasung's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com