พระสังกัจจายน์ : พระอรหันต์ผู้บันดาลโชคลาภ
พระสังกัจจายน์ : พระอรหันต์ผู้บันดาลโชคลาภ ปัญญา และเมตตามหานิยม
พระสังกัจจายน์ เป็นพระอรหันตสาวกอีกองค์หนึ่ง ที่มีผู้นิยม กราบไหว้บูชากันเป็นจำนวนมาก และก็มีผู้เข้าใจสับสนกับพระศรีอารยเมตไตรย ของจีนกันมากเช่นกัน ด้วยรูปลักษณ์ ที่ละม้ายคล้ายคลึงกันเป็นอย่างยิ่ง คือเป็นพระอ้วน พุงพลุ้ย นั่นเอง ผู้ที่ไม่ได้มีความรู้ หรือศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับท่าน จึงเข้าใจผิดโดยรูปลักษณ์ นี่เอง
ถ้ามาดูประวัติแล้ว จะเห็นว่า ที่มาที่ไปนั้น คนละเรื่องกันทีเดียว แต่การที่ท่านจะสังเกตนั้น กลับไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะศิลปะไทยกับจีนนั้นแตกต่างกันมาก ดูก็รู้ทันที ถ้าเป็นพระไทยก็จะเป็นพระสังกัจจายน์ แน่นอน แต่ถ้าเป็นพระจีนนั้นคือพระศรีอารยเมตไตรย หรือที่เขาเรียกกันว่า happy Buddha หรือ smile Buddha นั่นเอง (ที่จริงศัพท์อังกฤษนี่ก็ไม่น่าจะเรียกว่า Buddha ด้วยซ้ำ เพราะเห็นอะไรเข้าข่ายเป็นพระพุทธรูป ก็เรียกเหมารวมไปหมดเลยว่า Buddha ที่จริงนอกจากพระพุทธรูปที่เป็นรูปแทนพระสมณโคดมแล้ว ยังมีพระโพธิสัตว์ พระอัครสาวก พระอริยสงฆ์ อีกมากมาย ที่ควรจะเรียกต่างกัน) ดังนั้นการแยะว่าองค์ไหนเป็นองค์ไหนนั้น ดูที่ศิลปะเป็นหลัก ดูที่วัดก็ไม่ได้นะครับ เพราะเดี๋ยวนี้วัดไทยหลายๆวัด ก็นิยมสร้างพระศรีอารยเมตไตรย กันมาก สร้างพร้อมกับพระโพธิสัตว์กวนอิม (อันนี้พระสงฆ์ท่านสร้างเพื่อเป็นกุศโลบายในการหาปัจจัยบำรุงวัดมากกว่า เพราะก็ต้องยอมรับกันว่า คนไทยเชื้อสายจีนนั้น ค่อนข้างมีฐานะดี เข้าวัดไหนก็จะทำบุญวัดนั้นมาก)
ประวัติของพระสังกัจจายน์
พระสังกัจจายน์ มีพุทธลักษณะอ้วน พุงพลุ้ย จึงใช้เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ โชคลาภ ท่านเป็นหนึ่งในพระสาวกผู้ใหญ่ ที่เป็นเอตทัคคะองค์หนึ่งในบรรดาพระเอตทัคคะ ๔๑ องค์ ลักษณะของพระสังกัจจายน์ โดดเด่นแตกต่างจากพุทธสาวกองค์อื่นๆ ทั้งปวง
พระสังกัจจายน์ เป็นบุตรของพราหมณ์ปุโรหิต กัจจายโคตร หรือกัจจายนโคตร ในแผ่นดินของพระเจ้าจัณฑปัชโชต กรุงอุชเชนี เมื่อกัจจายนะกุมารเจริญวัย เรียนจบไตรเพท บิดาได้ถึงแก่กรรม จึงได้รับตำแหน่งปุโรหิตแทนบิดา ครั้นต่อมาพระเจ้าจัณฑปัชโชต ทรงทราบว่า พระศาสดาตรัสรู้แล้ว และเสด็จเที่ยวโปรดสัตว์สั่งสอน ธรรมะที่พระองค์สอนนั้น เป็นธรรมที่แท้จริง ยังประโยชน์แก่ผู้ประพฤติตาม จึงมีพระประสงค์ใคร่เชิญเสด็จพระบรมศาสดาไปประกาศที่กรุงอุชเชนี จึงรับสั่งให้กัจจายนะปุโรหิตไปทูลเสด็จยังกรุงอุชเชนี
กัจจายนะปุโรหิตพร้อมด้วยผู้ติดตาม ๗ คน จึงออกจากกรุงอุชเชนี ครั้นมาถึงจึงพากันเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา พระองค์ทรงเทศน์สั่งสอน ในที่สุดบรรลุอรหันต์ทั้ง ๘ คน หลังจากนั้น ทั้ง ๘ ก็ทูลขออุปสมบท ทรงอนุญาต ครั้นอุปสมบทแล้ว จึงทูลเชิญเสด็จกรุงอุชเชนี ตามหน้าที่ พระองค์รับสั่งว่า "ท่านไปเองเถิด เมื่อท่านไปแล้ว พระเจ้าปัชโชตจักทรงเลื่อมใสท่าน" พระกัจจายนะจึงออกเดินทางพร้อมพระอรหันต์อีก ๗ องค์ ที่ติดตามมาด้วย กลับคืนสู่กรุงอุชเชนี และประกาศสัจธรรมให้แก่พระเจ้าจัณฑปัชโชต พร้อมชาวพระนคร ให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและถ้อยคำประกาศอันเป็นสัจธรรม หลังจากนั้นจึงกลับคืนสู่สำนักของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ ตรัสว่า ท่านเป็นผู้ฉลาดในการอธิบาย แห่งการย่อคำพิสดาร นับจากนั้นมาพระสังกัจจายน์ก็เป็นผู้สรุปย่อคำสอน บอกแก่บรรดาสาวกทั้งหลาย ด้วยความพอใจอย่างยิ่งในคำย่อนั้น และยังเป็นผู้ทูลขอให้พระพุทธองค์บัญญัติแก้ไขพุทธบัญญัติบางประการ ปรากฏว่าเป็นที่พอพระทัยแก่องค์พระศาสดาเป็นอย่างมาก
พระสังกัจจายน์ เป็นผู้มีรูปงาม ผิวเหลืองดุจทอง ตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีโสเรยยะบุตรเศรษฐีคะนอง เห็นพระสังกัจจายน์จึงปากพล่อยกล่าวว่า ถ้าเราได้ภรรยามีรูปกายงดงามเยี่ยงท่านนี้ จักพอใจยิ่ง พลันปรากฏว่าโสเรยยะบุตรมหาเศรษฐีหนุ่มคะนองปาก ได้กลายเพศเป็นหญิงในทันที จึงหลบหนีไป ต่อมาได้สามีและบุตรสองคน จึงกลับมาขอขมากับพระสังกัจายน์ โสเรยยะจึงกลับคืนสู่เพศชายเช่นเดิม นับว่าพระสังกัจจายน์มีฤทธิ์อำนาจยิ่งองค์หนึ่งในพุทธสาวก และเพราะรูปกายอันงดงามของพระสังกัจจายน์ นี้เองได้สร้างความปั่นป่วนแก่อิตถีเพศอย่างมาก ทานจึงได้เนรมิตกายใหม่ให้อ้วน พุงพลุ้ย น่าเกลียด เพื่อความสงบแห่งจิตและกิเลส ของผู้พบเห็น
ชาวพุทธเราจำนวนไม่น้อยต่างหวังแต่โชคลาภ สักการะ อันเป็นทรัพย์สมบัติ แต่ลาภอันประเสริฐที่แท้จริง คือ "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" นั้น ตามบาลีที่ว่า "อโรคฺยาปรฺมา ลาภา" กลับไม่ค่อยสนใจ พระพุทธองค์ ทรงเน้นเรื่องโรคทางใจมากกว่าเรื่องโรคทางกาย พระองค์สรุปว่า "ผู้ที่ไม่มีโรคทางกายเป็นเวลาหลายปีนั้นพอหาได้ แต่ผู้ที่ไม่มีโรคทางใจแม้เพียงชั่วเสี้ยวนาที ก็หาได้ยาก"
ชาวพุทธเรากราบไหว้สักการบูชาพระสังกัจจายน์เพื่อให้บังเกิดความเป็นสิริมงคล 3 ประการแก่ตนเองและครอบครัวคือ 1. โชคลาภและความอุดมสมบูรณ์ พระสังกัจจายน์ได้รับการยกย่องให้เป็นพระผู้อุดมด้วยโภคทรัพย์ และลาภสักการะเสมอด้วยพระสิวลี 2. สติปัญญา เนื่องเพราะพระสังกัจจายน์ได้รับการยกย่องจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศในทางอธิบายความพุทธภาษิต ท่านเป็นอรหันต์ผู้มีปฎิภาณเฉียบแหลม 3. ความงามและความมีเสน่ห์ เนื่องจากเพราะก่อนที่ท่านจะอธิษฐานจิตให้รูปร่างเปลี่ยนแปลง พระสังกัจจายน์มีผิวดั่งทองคำและมีรูปงามละม้ายเหมือนพระพุทธเจ้า จนแม้แต่เทพยดา พรหม มนุษย์ทั้งปวงพากันรักใคร่ชื่นชม
ส่วนประวัติของพระศรีอารยเมตไตรย นั้นมีว่า พระศรียอารยเมตไตรยเป็นพระโพธิสัตว์ รอที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ถัดไป เมื่อสิ้นพุทธกาลของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีตำนานกล่าวถึงรูปลักษณ์ไว้สองเรื่อง คือ ตำนานแรก บอกว่ามีพระสงฆ์ชื่อ ชีฉื่อมีรูปร่างอ้วนท้วน แต่พยากรณ์อากาศและโชคชะตาได้แม่นยำได้ทิ้งปริศนาธรรมไว้ก่อนมรณภาพเกี่ยวกับ "พระศรีอารยเมตไตรย" ต่อมาจึงทราบว่าหลวงจีนท่านนี้คือนิรมาณกาย (การแบ่งภาคมาเกิดในโลกมนุษย์) ของพระศรีอารยเมตไตรย จากนั้นก็เลยยึดเอารูปร่างของพระชีฉื่อมาเป็นต้นแบบในการสร้างประติมากรรมเพื่อระลึกถึงพระศรีอารยเมตไตรยนั่นเอง
ส่วนตำนานที่สอง กล่าวว่า ในการชุมนุมเทพยดาตามเรื่องราวคัมภีร์มิลอแอ้แซเก็ง เซียนองค์หนึ่งพรรณาไว้ว่า เห็นพระศรีอารยเมตไตรยประทับอยู่เบื้องขวาของพระพุทธเจ้า รูปลักษณ์ของท่านจำได้ง่าย ด้วยว่าท่านห่มจีวรแบบเปิด เห็นท้องที่ใหญ่และหน้าตายิ้มแย้มตลอดเวลา ซึ่งจากตำนานนี้ก็ยังยืนยันว่าท่านมีลักษณะอ้วนอยู่เองก่อนแล้ว ต่างกับตำนานแรกว่าคนยึดเอารูปหลวงจีนชีฉื่อมาเป็นต้นแบบเพราะถือว่าเป็นนิรมาณกายของพระโพธิสัตว์
ดังนั้นเรื่องนี้คงจะทำให้ทุกท่านไม่สับสน และเข้าใจผิดต่อไปว่าเป็นองค์เดียวกัน การกราบไหว้บูชาก็จะกระทำได้ถูกต้อง อธิษฐานขอพร ก็จะไม่ผิดองค์นะครับ การบูชาพระสังกัจจายน์ให้เป็นมงคล บูชาด้วยธูป 3 ดอก พร้อมดอกไม้สีขาวมีกลิ่นหอมต่างๆ หรือดอกบัว มิว่าจะบูชาด้วยดอกใดให้ใช้ 7 ดอก ถวายน้ำสะอาด 1 แก้วและถวายผลไม้ทุกวันพระ คาถาบูชา กัจจานะ จะ มหาเถโร พุธโธ พุทธานัง พุทธะตัง พุทธัญจะ พุทธะ สุภา สิตัง พุทธะตัง สะมะนุปปัตโต พุทธะ โชตัง นะ มามิหัง ปิโยเทวะ มะนุสสานัง ปิโยพรหม นะ มุตตะโม ปิโยนาคะ สุปันนานัง ปิยินทะริยัง นะ มามิหัง สัพเพชะนา พะหูชะนา ปุริโสชะนา อิถีชะนา ราชาภาคินิ จิตตัง อาคัจฉาหิ ปิยังมามะฯ คาถาบูชาขอลาภ (สวดบทนี้ได้ทุกวันเพื่อสิริมงคล) กัจจายะนะ มะหาเถโร เทวะตานะระ ปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ มะหาลาภัง ภะวันตุ เม ลาเภนะ อุตะโมโหติ โสระโห ปัจจะยาทิมหิ มะหาลาภัง สัพพะลาภา สะทาโสตถิ ภะวันตุ เม TraveLArounDปล. ท่านที่เพิ่งเข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ค้นดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group : นานา สาระ๑๐๐๐ เพราะเรื่องต่างๆ เขียนไว้ 1370 กว่าเรื่องแล้ว หมายเหตุ : ขณะได้มี website อื่นๆหลาย website ได้นำเอาเรื่องที่ผมเขียนไว้ ไปลงต่อในลักษณะของเนื้อหา โดยไม่ได้รับอนุญาตใดๆ ถ้าต้องการบทความใดไปใช้ ขอให้ติดต่อขออนุญาต ก่อนทาง Email : nana_sara1000@ymail.com มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ส่วนผู้ที่ต้องการนำเรื่องไปโพสต่อ เพื่อเผยแพร่ โดยมิใช่ทางการค้า ขอให้ติดต่อขออนุญาตให้ถูกต้องก่อนโพส อ้างอิงจาก: ศุภวิทย์ ถาวรบุตร. "พระอ้วนจีนและพระอ้วนไทยคือใครกัน?", ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 23 ฉบับที่ 4 กุมภาพันธ์ 2545. กรุงเทพฯ : มติชน, 2545. ชั่วโมงเซียนป๋องสุพรรณ นสพ.คม-ชัด-ลึก //www.tumsrivichai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=5327401&Ntype=40
Create Date : 02 เมษายน 2551 | | |
Last Update : 25 กรกฎาคม 2555 17:44:34 น. |
Counter : 9264 Pageviews. |
| |
|
|
|