"ความสามัคคีปรองดอง เป็นกำลังอย่างสูงสุดของชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ความสามัคคีของคนในชาติ จะทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นอุปสรรค และทำให้สังคมไทย ร่มเย็นเป็นสุข" พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
สนใจลงโฆษณา ในพื้นที่ข้างบน ติดต่อ email : nana_sara1000@ymail.com
Home Lover’s Corner นานา สาระ๑๐๐๐ นานา สารพัด พระพุทธประวัติ ภาคพิเศษ
Travel Around the World Real Estate Buyer's Guide สุขภาพกาย สุขภาพใจ Pets & Animals
ปางพระพุทธรูปตามพุทธประวัติ Horoscope 12 ราศี พระพุทธศาสนา World of Beautiful Musics

สวดภาณยักษ์

การสวดภาณยักษ์


การสวดภาณยักษ์ เป็นคำที่บางคนอาจจะยังไม่เคยได้ยิน แต่สำหรับคนต่างจังหวัดจะคุ้นเคยกับการสวดภาณยักษ์ดี ปัจจุบันในกรุงเทพฯก็มีหลายวัดจัดการสวดภาณยักษ์ขึ้น และมีผู้เข้าร่วมพิธีมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ในอดีตการสวดภาณยักษ์มีอยู่สองแบบคือ สวดภาณวาร และ สวดภาณยักษ์ ซึ่งการสวดทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันคือ

การสวดภาณวาร เป็นการสวดแบบมีทำนองครุ ลหุ คือมีการเน้นเสียงหนักเบา ใช้น้ำเสียงสวดที่ไพเราะ ไม่กระแทกกระทั้นดุดัน เหมือนการสวดภาณยักษ์

การสวดภาณยักษ์ เป็นการสวดที่มีน้ำเสียงกระแทกกระทั้นดุดัน เกรี้ยวกราดและน่ากลัว จึงได้เรียกว่า สวดแบบภาณยักษ์นั่นเอง ใช้สวดเพื่อขับไล่ยักษ์หรือภูตผีต่างๆ



ท้าวเวสสุวัณ








การสวดภาณยักษ์ได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย เข้าใจว่าตั้งแต่ครั้งสมัยของพ่อขุนรามคำแหงทีเดียว ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพระสงฆ์ทางลังกาสายเถรวาท โดยเริ่มเข้ามาทางด้านจังหวัดนครศรีธรรมราช จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อได้เสด็จเมืองนครศรีธรรมราช จึงได้นำมาจัดเป็นพิธีประจำปี สำหรับพระนคร เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่พระนคร และแก่พระเจ้าแผ่นดิน


ด้วยความเชื่อที่ว่า บ้านเมืองหนึ่งๆ จะมีผีที่ดีและผีที่ไม่ดีอาศัยอยู่ ผีที่ไม่ดีเรียกว่า ภูติผีปิศาจ ส่วนผีที่ดีเรียกว่า เทพยดา การที่บ้านเมืองมีเหตุเพทภัยต่างๆเกิดขึ้นนั้น ก็เป็นเพราะเกิดจากภูติผีปิศาจ กลั่นแกล้งบันดาลให้เป็นไป ซึ่งก็มักจะแยกกันออกไปว่า เทพเจ้าที่ดี เป็น เทวดา และในทางตรงกันข้าม ที่ดุร้าย คือ ยักษ์ แต่ก็ไม่มีบทสรุปลงไปแบบฟันธง เพราะเทวดาเกเรก็มีมาก ส่วนยักษ์ที่มีคุณธรรมก็มีไม่น้อย อย่างเช่น ท้าวเวสสุวัณ













ดังนั้นเมื่อสิ้นปีหนึ่งไป จึงได้ทำพิธีสวดภาณยักษ์ เพื่อเป็นการขับไล่ภูตผีกันสักครั้ง เพื่อความเป็นสิริมงคล และความร่มเย็นเป็นสุขของบ้านเมือง และแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งปวง

นอกจากนี้ พิธีสวดภาณยักษ์ในสมัยก่อนจะมีการยิงปืนใหญ่ด้วย เป็นปืนโบราณใส่ดินปืนกระทุ้ง แต่ไม่ใส่ลูกปืน เพียงให้มีเสียงดังตูมตามน่ากลัวมากกว่า เพื่อให้ยักษ์กลัว เรียกว่าต้องทำกันทุกวิถีทางเลย เมื่อไม่มั่นใจว่าแค่สวดด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นดุดันเกรี้ยวกราด แล้วก็ยังไม่กลัว ก็ตามสำทับด้วยเสียงปืนใหญ่ซ้ำอีก ไม่ใช้ปืนเล็กๆ เช่นปืนสมัยปัจจุบัน













การสวดภาณยักษ์นั้น ที่จริงแล้ว ก็คือ การสวดพระอาฏานาฏิยปริตร โดยพระปริตรนี้ แบ่งเป็น ๒ ภาค คือ ภาคภาณพระ และ ภาคภาณยักษ์

โดยตามพระพุทธประวัติกล่าวว่า หลังจากพระมหาบุรุษตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั้น ท้าวจตุโลกบาลก็มาเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสกล่าวถึงพระพุทธวงศ์ คือพระนามพระพุทธเจ้าที่เคยตรัสรู้มาแล้ว (ภาณพระ) จากนั้นท้าวจตุโลกบาลก็มีดำริว่า บริวารของตนนั้นมีมากมาย ทั้งที่เป็น ยักษ์ กุมภัณฑ์ นาค และคนธรรพ์ ซึ่งมีมากมาย ที่ไม่มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา กลัวว่าจะมารบกวนพระสงฆ์สาวกที่ไม่มีฤทธิ์ ขณะจาริกและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานให้ได้ความเดือดร้อน จึงถวายพระปริตรนามว่า อาฏานาฏิยปริตร แด่พระพุทธเจ้า เพื่อให้พระสงฆ์นำไปสวดกัน (ภาณยักษ์) โดยในพระปริตรดังกล่าวจะกล่าวถึงพระนามของท้าวจตุโลกบาล ทั้งนี้เมื่อบริวารของท้าวจตุโลกบาล เมื่อได้ยินพระนามท้าวเธอก็ย่อมจะเกรงกลัว และเร้นกายไปไม่มารบกวน













ดังนั้นความเชื่อของชาวพุทธ เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายไม่มีในบ้านเมือง ก็จะนิมนต์ให้พระสงฆ์สวดภาณยักษ์ ดังเช่นในสมัยต้นกรุงฯ ได้เกิดโรคห่า ยุคนั้นก็มีการสวดภาณยักษ์กันมากมาย แต่จริงๆแล้ว พระอาฏานาฏิยปริตร นั้น เวลาเรานิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์เย็น พระท่านก็จะสวดอยู่แล้ว เพราะพระปริตรดังกล่าวนั้นได้รวมอยู่ทั้งในจุลราชปริตร (สวด ๗ ตำนาน) และมหาราชปริตร (สวด ๑๒ ตำนาน) ด้วยแล้ว













การสวดภาณยักษ์นั้น ถือกันว่าเป็น “พุทธโอสถ” ที่จะช่วยขจัดปัดเป่าอัปมงคลออกไปจากร่างกาย ทำนองเดียวกับการทำบุญสวดบ้านเมื่อมีเรื่องร้าย แต่ต่างกันที่สวดภาณยักษ์ เป็นการชักชวนคนจำนวนมากมาร่วมทำในพิธีคราวเดียวกัน โดยเมื่อเริ่มพิธีกรรม จะมีพระสงฆ์ที่ยกย่องกันว่าเชี่ยวชาญเชิงอาคมและขมังเวทย์จำนวนสี่รูป นั่งบนอาสนะประจำทิศทั้งสี่ ส่วนอีกสี่รูปรวมกันอยู่ด้านหน้าพิธี ท่องบทสวดและผสมเสียงใส่กัน ฟังคล้ายเสียงประกอบหนังสยองขวัญ ลี้ลับดุดันน่าขนลุก และออกจะน่ากลัวสำหรับคนจิตอ่อน


หลังการสวดดำเนินไปสักพักก็ถึงช่วงสำคัญ พระสงฆ์ที่นั่งประจำทิศทั้งสี่เริ่มประพรมน้ำมนต์ ผู้ร่วมพิธีบางคน (ที่เชื่อว่ามีสิ่งของไม่ดีอยู่ในตัว) จะออกอาการแปลกๆ บางคนร้องไห้โฮ บ้างสั่นเหมือนเจ้าเข้า และผู้หญิงบางคนก็ออกท่าทางร่ายรำ โดยคนเหล่านี้ เหมือนว่าไม่รู้สึกตัว หรือควบคุมตนเองไม่ได้ คนเหล่านี้ก็จะได้รับการช่วยเหลือจากหมู่พระสงฆ์เหล่านั้นให้คืนสู่สภาพปกติ การที่มีคนเข้าร่วมพิธีกันมากขึ้นนั้นเพราะเชื่อกันว่า พิธีกรรมเหล่านี้จะสลายสิ่งที่ไม่ดีงามทั้งปวงตามกาลโยค ทุกข์ โศก โรคภัยต่างๆ หรือใคร ถูกคุณไสย ต้องเสน่ห์มนต์ดำ โดนอาถรรพณ์ ฯลฯ ให้มลายสิ้นไป














ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับพิธีนี้ ก็จะมีความคิดเห็นต่างกันไป เช่นนายแพทย์ท่านหนึ่งได้ให้ สัมภาษณ์และวิจารณ์ว่า เสียงสวดที่มีความโหยหวนกระแทกกระทั้นและมีเสียงสูงต่ำ ยิ่งมีการจุดประทัดด้วย จะกระตุ้นระบบประสาท ทำให้เกิดมีอาการชักได้ง่าย การสวดนี้จะเป็นการ กระตุ้นทางกายและใจ คนที่ใจอ่อนอยู่แล้ว จะชักได้ง่าย ยิ่งคนที่ชัก คิดว่ามีผีอยู่ในตัว ก็จะยิ่งมีแนวโน้มจะชักมากขึ้น ความรุนแรงของการดิ้นหรือชักจะแตกต่างกันไป ตั้งแต่พนมมือและสั่น ( ไม่ได้รวมไว้กับอาการดิ้นหรือชัก) ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก อาการรุนแรงอื่นๆได้แก่ ลุกขึ้นชัก กระตุกไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งแรงมาก โดยมีการชกต่อยเกิดขึ้น หรือทำร้ายตัวเอง และหกคะเมนตีลังกา ในทรรศนะของจิตเวชแผนปัจจุบัน อธิบายว่า ได้เกิดมีอาการแตกแยกของจิตใจไปชั่วขณะหนึ่ง ลักษณะต่างๆและพฤติกรรมที่มองเห็น เช่น การกระตุก การสั่น การชักดิ้น เช่นนี้จะเกิดขึ้นชั่วคราว พร้อมกับส่งเสียงร้องกรี๊ดอย่างน่ากลัว ทำให้บุคคลที่ใจอ่อนอยู่แล้ว เกิดมีอาการเอาอย่างขึ้น กับกลุ่มชนที่อยู่ร่วมกันในระหว่างพิธี จะเห็นมีข่าวบ่อยครั้งที่นักเรียนทั้งโรงเรียนมีอาการคล้ายผีเข้าทั้งโรงเรียน เขาก็เรียกว่าเป็นอุปทานหมู่ ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ในการเข้าพิธี สวดภาณยักษ์ ถือว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ซึ่งสิงอยู่ในร่างกายเช่น ถูกของ ผีเข้า ผีสิง ฯลฯ กำลังจะออกจากตัว แต่การชักเพราะจิตประสาทนี้ อาจจะทำให้สุขภาพจิต ดีขึ้น ไม่มีผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด


แต่เนื่องจากมีความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันการสวดภาณยักษ์หลายแห่ง ได้กลายเป็นพุทธพาณิชย์เชิงธุรกิจไปแล้ว โดยมีนายหน้ามาขอเช่าสถานที่ของวัด จัดพิธีสวดฯ กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีหน้าม้า ค้าวัตถุมงคล ผ้ายันต์ สารพัด ซึ่งเป็นธุรกิจที่หากินกับความศรัทธาของชาวพุทธ ที่ยังไม่เข้าใจถึงพระธรรมคำสอน ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง การเข้าร่วมพิธี จึงต้องดูให้ดีด้วย ว่าผู้จัดเป็นใคร เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน



ที่สำคัญคือ เมื่อสวดประจำย่อมสามารถขับไล่ “ยักษ์ภายใน”
คือโลภ โกรธ หลง ออกจากใจได้แน่นอน

TraveLArounD



ปล. ท่านที่เพิ่งเข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ค้นดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group : นานา สาระ๑๐๐๐ เพราะเรื่องต่างๆ เขียนไว้ 1350 กว่าเรื่องแล้ว

หมายเหตุ : ขณะได้มี website อื่นๆหลาย website ได้นำเอาเรื่องที่ผมเขียนไว้ ไปลงต่อในลักษณะของเนื้อหา โดยไม่ได้รับอนุญาตใดๆ ถ้าต้องการบทความใดไปใช้ ขอให้ติดต่อขออนุญาต ก่อนทาง Email : nana_sara1000@ymail.com มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายลิขสิทธิ์

ส่วนผู้ที่ต้องการนำเรื่องไปโพสต่อ เพื่อเผยแพร่ โดยมิใช่ทางการค้า ขอให้ติดต่อขออนุญาตให้ถูกต้องก่อนโพส

รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก :
//www.saiyasard.com/panyak2.htm
//www.sarakadee.com/80/
ก้อง กังฟู นสพ.ไทยรัฐ
//www.thairath.co.th/news.php?s...&content=78300
//www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=6734




 

Create Date : 20 เมษายน 2551    
Last Update : 10 มิถุนายน 2554 0:22:26 น.
Counter : 6441 Pageviews.  

พิสูจน์ภาพ ปลาพญานาค

พิสูจน์ภาพ ปลาพญานาค


หลายปีมาแล้ว มีรูปที่ทำเอาคนพบเห็นฮือฮากันมาก คือรูปทหารอเมริกันกลุ่มหนึ่งยืนเข้าแถวอุ้มสัตว์ประหลาดตัวยาวมากถ่ายภาพ โดยมีคำอธิบายว่าเป็นภาพพญานาค ภาพนี้มีแหล่งที่มาจากประเทศลาว ซึ่งบางภาพ ก็มีคำบรรยายภาษาลาวติดมาด้วยว่าเป็น “บางพยาบาภ” หรือนางพญานาค ( Queen of Nagas ) รูปนี้ถ่ายเมื่อ วันที่ 27 มิ.ย. 2516 เมื่อทหารอเมริกันที่ตั้งฐานทัพอยู่ในประเทศลาว จับปลาชนิดหนึ่งได้ในแม่น้ำโขง ปลาตัวนี้วัดความยาวได้ ประมาณ 7.80 เมตร มีลำตัวยาวคล้ายงู หัวเหมือนม้า มีขนคอสีแดงดุจเปลวเพลิง มีข่าวว่าทหารหลายคนกินเนื้อปลาตัวที่จับได้นี้ และทุกคนที่กินเนื้อปลาเข้าไปก็มีอันต้องตายตามกันไป แต่เป็นเรื่องเล่าที่ไม่มีแหล่งข้อมูลยืนยัน และเจ้าตัวประหลาดนี้ก็ไม่มีใครออกมาอธิบายว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ ปล่อยให้เป็นปริศนากันไป หรือชาวบ้านส่วนหนึ่งก็เชื่อว่าเป็นภาพพญานาค










หลังๆมานี่ เริ่มมีการพบปลาตัวนี้เพิ่มเรื่อยๆ และถ่ายภาพได้เรื่อยๆ และการเผยแพร่ในอินเตอร์เนท ก็ทำให้เรารู้ความจริงของปริศนาอันนี้ ว่ามันคืออะไรกัน ?









































สัตว์ประหลาดตัวดังกล่าว มีชื่อเรียกกันว่า "มังกรทะเลลึก" (Dragons of The Deep) โดยนักวิทยาศาสตร์ ได้ทำการค้นคว้าหาความจริง ในที่สุดก็พบความจริงว่า "มังกรทะเลลึก" ที่กล่าวถึงนั้น ที่แท้แล้วก็คือ ปลาประหลาดชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า “ปลาใบพาย” หรือปลาริบบิ้น นั่นเอง บางทีก็เรียกว่า ปลาออร์ (OAR FISH) ปลาชนิดนี้ มีขากรรไกรยาว หน้าผากโหนกคล้ายม้า ตาโต ครีบบนหลัง ยื่นออกมายาวเลยหัว มีครีบพิเศษ ยื่นออกมาทั้งสองข้างของส่วนหัว คล้ายใบพาย หรือหงอนเล็กๆ และมีลำตัวแบน แต่ปลาประหลาดชนิดนี้ จะพบได้ยากที่สุดในโลก เพราะมันอยู่ในความลึกของท้องทะเล ถึง 3,000 ฟุต และเคยพบตัวใหญ่ที่สุด มีความยาวถึง 200 ฟุต แม้ว่าสัตว์ประหลาดชนิดนี้จะมีขนาดใหญ่โตอย่างไร แต่ก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับมนุษย์ เพราะมันไม่มีเขี้ยวเล็บหรือพิษอะไร มันเป็นเพียงสัตว์โลกที่แปลกประหลาด พันธุ์หนึ่งเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะพบในสภาพที่ตายแล้ว เพราะเมื่อมันพลัดหลงมาน้ำตื้นเมื่อไหร่ มันก็จะตายทันที

































































ดูภาพกันชัดๆก็จะเห็นว่า แม้ลำตัวมันจะยาวมาก แต่ก็ไม่เหมือนงูหรืองูใหญ่ หัวก็ไม่มีหงอนแบบพญานาค และเหมือนปลามากกว่า ดังนั้นก็สมควรเรียกมันตามฉายาที่เขาตั้งให้มันว่า “มังกรทะเลลึก” ต่อไป


TraveLArounD




ปล. ท่านที่เพิ่งเข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ค้นดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group : นานา สาระ๑๐๐๐ เพราะเรื่องต่างๆ เขียนไว้ กว่า 1400 กว่าเรื่องแล้ว

หมายเหตุ : ขณะได้มี website อื่นๆหลาย website ได้นำเอาเรื่องที่ผมเขียนไว้ ไปลงต่อในลักษณะของเนื้อหา โดยไม่ได้รับอนุญาตใดๆ ถ้าต้องการบทความใดไปใช้ ขอให้ติดต่อขออนุญาต ก่อนทาง Email : nana_sara1000@ymail.com มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายลิขสิทธิ์

ส่วนผู้ที่ต้องการนำเรื่องไปโพสต่อ เพื่อเผยแพร่ โดยมิใช่ทางการค้า ขอให้ติดต่อขออนุญาตให้ถูกต้องก่อนโพส

ข้อมูลจาก - rka_favour
//ctm-favour.blogspot.com/2007/10/dragons-of-deep.html
webmaster@everykids.com




 

Create Date : 05 เมษายน 2551    
Last Update : 26 ตุลาคม 2554 1:02:50 น.
Counter : 11627 Pageviews.  

พระสังกัจจายน์ : พระอรหันต์ผู้บันดาลโชคลาภ

พระสังกัจจายน์ : พระอรหันต์ผู้บันดาลโชคลาภ
ปัญญา และเมตตามหานิยม


พระสังกัจจายน์ เป็นพระอรหันตสาวกอีกองค์หนึ่ง ที่มีผู้นิยม กราบไหว้บูชากันเป็นจำนวนมาก และก็มีผู้เข้าใจสับสนกับพระศรีอารยเมตไตรย ของจีนกันมากเช่นกัน ด้วยรูปลักษณ์ ที่ละม้ายคล้ายคลึงกันเป็นอย่างยิ่ง คือเป็นพระอ้วน พุงพลุ้ย นั่นเอง ผู้ที่ไม่ได้มีความรู้ หรือศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับท่าน จึงเข้าใจผิดโดยรูปลักษณ์ นี่เอง









ถ้ามาดูประวัติแล้ว จะเห็นว่า ที่มาที่ไปนั้น คนละเรื่องกันทีเดียว แต่การที่ท่านจะสังเกตนั้น กลับไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะศิลปะไทยกับจีนนั้นแตกต่างกันมาก ดูก็รู้ทันที ถ้าเป็นพระไทยก็จะเป็นพระสังกัจจายน์ แน่นอน แต่ถ้าเป็นพระจีนนั้นคือพระศรีอารยเมตไตรย หรือที่เขาเรียกกันว่า happy Buddha หรือ smile Buddha นั่นเอง (ที่จริงศัพท์อังกฤษนี่ก็ไม่น่าจะเรียกว่า Buddha ด้วยซ้ำ เพราะเห็นอะไรเข้าข่ายเป็นพระพุทธรูป ก็เรียกเหมารวมไปหมดเลยว่า Buddha ที่จริงนอกจากพระพุทธรูปที่เป็นรูปแทนพระสมณโคดมแล้ว ยังมีพระโพธิสัตว์ พระอัครสาวก พระอริยสงฆ์ อีกมากมาย ที่ควรจะเรียกต่างกัน) ดังนั้นการแยะว่าองค์ไหนเป็นองค์ไหนนั้น ดูที่ศิลปะเป็นหลัก ดูที่วัดก็ไม่ได้นะครับ เพราะเดี๋ยวนี้วัดไทยหลายๆวัด ก็นิยมสร้างพระศรีอารยเมตไตรย กันมาก สร้างพร้อมกับพระโพธิสัตว์กวนอิม (อันนี้พระสงฆ์ท่านสร้างเพื่อเป็นกุศโลบายในการหาปัจจัยบำรุงวัดมากกว่า เพราะก็ต้องยอมรับกันว่า คนไทยเชื้อสายจีนนั้น ค่อนข้างมีฐานะดี เข้าวัดไหนก็จะทำบุญวัดนั้นมาก)









ประวัติของพระสังกัจจายน์

พระสังกัจจายน์ มีพุทธลักษณะอ้วน พุงพลุ้ย จึงใช้เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ โชคลาภ ท่านเป็นหนึ่งในพระสาวกผู้ใหญ่ ที่เป็นเอตทัคคะองค์หนึ่งในบรรดาพระเอตทัคคะ ๔๑ องค์ ลักษณะของพระสังกัจจายน์ โดดเด่นแตกต่างจากพุทธสาวกองค์อื่นๆ ทั้งปวง

พระสังกัจจายน์ เป็นบุตรของพราหมณ์ปุโรหิต กัจจายโคตร หรือกัจจายนโคตร ในแผ่นดินของพระเจ้าจัณฑปัชโชต กรุงอุชเชนี เมื่อกัจจายนะกุมารเจริญวัย เรียนจบไตรเพท บิดาได้ถึงแก่กรรม จึงได้รับตำแหน่งปุโรหิตแทนบิดา ครั้นต่อมาพระเจ้าจัณฑปัชโชต ทรงทราบว่า พระศาสดาตรัสรู้แล้ว และเสด็จเที่ยวโปรดสัตว์สั่งสอน ธรรมะที่พระองค์สอนนั้น เป็นธรรมที่แท้จริง ยังประโยชน์แก่ผู้ประพฤติตาม จึงมีพระประสงค์ใคร่เชิญเสด็จพระบรมศาสดาไปประกาศที่กรุงอุชเชนี จึงรับสั่งให้กัจจายนะปุโรหิตไปทูลเสด็จยังกรุงอุชเชนี 


กัจจายนะปุโรหิตพร้อมด้วยผู้ติดตาม ๗ คน จึงออกจากกรุงอุชเชนี ครั้นมาถึงจึงพากันเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา พระองค์ทรงเทศน์สั่งสอน ในที่สุดบรรลุอรหันต์ทั้ง ๘ คน หลังจากนั้น ทั้ง ๘ ก็ทูลขออุปสมบท ทรงอนุญาต ครั้นอุปสมบทแล้ว จึงทูลเชิญเสด็จกรุงอุชเชนี ตามหน้าที่ พระองค์รับสั่งว่า
"ท่านไปเองเถิด เมื่อท่านไปแล้ว พระเจ้าปัชโชตจักทรงเลื่อมใสท่าน"
พระกัจจายนะจึงออกเดินทางพร้อมพระอรหันต์อีก ๗ องค์ ที่ติดตามมาด้วย กลับคืนสู่กรุงอุชเชนี และประกาศสัจธรรมให้แก่พระเจ้าจัณฑปัชโชต พร้อมชาวพระนคร ให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและถ้อยคำประกาศอันเป็นสัจธรรม หลังจากนั้นจึงกลับคืนสู่สำนักของพระพุทธองค์ 

พระพุทธองค์ ตรัสว่า ท่านเป็นผู้ฉลาดในการอธิบาย แห่งการย่อคำพิสดาร
นับจากนั้นมาพระสังกัจจายน์ก็เป็นผู้สรุปย่อคำสอน บอกแก่บรรดาสาวกทั้งหลาย ด้วยความพอใจอย่างยิ่งในคำย่อนั้น และยังเป็นผู้ทูลขอให้พระพุทธองค์บัญญัติแก้ไขพุทธบัญญัติบางประการ ปรากฏว่าเป็นที่พอพระทัยแก่องค์พระศาสดาเป็นอย่างมาก 












พระสังกัจจายน์ เป็นผู้มีรูปงาม ผิวเหลืองดุจทอง ตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีโสเรยยะบุตรเศรษฐีคะนอง เห็นพระสังกัจจายน์จึงปากพล่อยกล่าวว่า ถ้าเราได้ภรรยามีรูปกายงดงามเยี่ยงท่านนี้ จักพอใจยิ่ง พลันปรากฏว่าโสเรยยะบุตรมหาเศรษฐีหนุ่มคะนองปาก ได้กลายเพศเป็นหญิงในทันที จึงหลบหนีไป ต่อมาได้สามีและบุตรสองคน จึงกลับมาขอขมากับพระสังกัจายน์ โสเรยยะจึงกลับคืนสู่เพศชายเช่นเดิม นับว่าพระสังกัจจายน์มีฤทธิ์อำนาจยิ่งองค์หนึ่งในพุทธสาวก และเพราะรูปกายอันงดงามของพระสังกัจจายน์ นี้เองได้สร้างความปั่นป่วนแก่อิตถีเพศอย่างมาก ทานจึงได้เนรมิตกายใหม่ให้อ้วน พุงพลุ้ย น่าเกลียด เพื่อความสงบแห่งจิตและกิเลส ของผู้พบเห็น












ชาวพุทธเราจำนวนไม่น้อยต่างหวังแต่โชคลาภ สักการะ อันเป็นทรัพย์สมบัติ แต่ลาภอันประเสริฐที่แท้จริง คือ "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" นั้น ตามบาลีที่ว่า "อโรคฺยาปรฺมา ลาภา" กลับไม่ค่อยสนใจ

พระพุทธองค์ ทรงเน้นเรื่องโรคทางใจมากกว่าเรื่องโรคทางกาย พระองค์สรุปว่า "ผู้ที่ไม่มีโรคทางกายเป็นเวลาหลายปีนั้นพอหาได้ แต่ผู้ที่ไม่มีโรคทางใจแม้เพียงชั่วเสี้ยวนาที ก็หาได้ยาก" 












ชาวพุทธเรากราบไหว้สักการบูชาพระสังกัจจายน์เพื่อให้บังเกิดความเป็นสิริมงคล 3 ประการแก่ตนเองและครอบครัวคือ
1. โชคลาภและความอุดมสมบูรณ์ พระสังกัจจายน์ได้รับการยกย่องให้เป็นพระผู้อุดมด้วยโภคทรัพย์ และลาภสักการะเสมอด้วยพระสิวลี
2. สติปัญญา เนื่องเพราะพระสังกัจจายน์ได้รับการยกย่องจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศในทางอธิบายความพุทธภาษิต ท่านเป็นอรหันต์ผู้มีปฎิภาณเฉียบแหลม
3. ความงามและความมีเสน่ห์ เนื่องจากเพราะก่อนที่ท่านจะอธิษฐานจิตให้รูปร่างเปลี่ยนแปลง พระสังกัจจายน์มีผิวดั่งทองคำและมีรูปงามละม้ายเหมือนพระพุทธเจ้า จนแม้แต่เทพยดา พรหม มนุษย์ทั้งปวงพากันรักใคร่ชื่นชม 









ส่วนประวัติของพระศรีอารยเมตไตรย นั้นมีว่า
พระศรียอารยเมตไตรยเป็นพระโพธิสัตว์ รอที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ถัดไป เมื่อสิ้นพุทธกาลของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีตำนานกล่าวถึงรูปลักษณ์ไว้สองเรื่อง คือ

ตำนานแรก บอกว่ามีพระสงฆ์ชื่อ ชีฉื่อมีรูปร่างอ้วนท้วน แต่พยากรณ์อากาศและโชคชะตาได้แม่นยำได้ทิ้งปริศนาธรรมไว้ก่อนมรณภาพเกี่ยวกับ "พระศรีอารยเมตไตรย" ต่อมาจึงทราบว่าหลวงจีนท่านนี้คือนิรมาณกาย (การแบ่งภาคมาเกิดในโลกมนุษย์) ของพระศรีอารยเมตไตรย จากนั้นก็เลยยึดเอารูปร่างของพระชีฉื่อมาเป็นต้นแบบในการสร้างประติมากรรมเพื่อระลึกถึงพระศรีอารยเมตไตรยนั่นเอง










ส่วนตำนานที่สอง กล่าวว่า ในการชุมนุมเทพยดาตามเรื่องราวคัมภีร์มิลอแอ้แซเก็ง เซียนองค์หนึ่งพรรณาไว้ว่า เห็นพระศรีอารยเมตไตรยประทับอยู่เบื้องขวาของพระพุทธเจ้า รูปลักษณ์ของท่านจำได้ง่าย ด้วยว่าท่านห่มจีวรแบบเปิด เห็นท้องที่ใหญ่และหน้าตายิ้มแย้มตลอดเวลา ซึ่งจากตำนานนี้ก็ยังยืนยันว่าท่านมีลักษณะอ้วนอยู่เองก่อนแล้ว ต่างกับตำนานแรกว่าคนยึดเอารูปหลวงจีนชีฉื่อมาเป็นต้นแบบเพราะถือว่าเป็นนิรมาณกายของพระโพธิสัตว์




ดังนั้นเรื่องนี้คงจะทำให้ทุกท่านไม่สับสน และเข้าใจผิดต่อไปว่าเป็นองค์เดียวกัน การกราบไหว้บูชาก็จะกระทำได้ถูกต้อง อธิษฐานขอพร ก็จะไม่ผิดองค์นะครับ

การบูชาพระสังกัจจายน์ให้เป็นมงคล
บูชาด้วยธูป 3 ดอก พร้อมดอกไม้สีขาวมีกลิ่นหอมต่างๆ หรือดอกบัว มิว่าจะบูชาด้วยดอกใดให้ใช้ 7 ดอก ถวายน้ำสะอาด 1 แก้วและถวายผลไม้ทุกวันพระ

คาถาบูชา
กัจจานะ จะ มหาเถโร พุธโธ พุทธานัง พุทธะตัง พุทธัญจะ พุทธะ สุภา สิตัง พุทธะตัง สะมะนุปปัตโต พุทธะ โชตัง นะ มามิหัง ปิโยเทวะ มะนุสสานัง ปิโยพรหม นะ มุตตะโม ปิโยนาคะ สุปันนานัง ปิยินทะริยัง นะ มามิหัง สัพเพชะนา พะหูชะนา ปุริโสชะนา อิถีชะนา ราชาภาคินิ จิตตัง อาคัจฉาหิ ปิยังมามะฯ

คาถาบูชาขอลาภ (สวดบทนี้ได้ทุกวันเพื่อสิริมงคล)
กัจจายะนะ มะหาเถโร เทวะตานะระ ปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ มะหาลาภัง ภะวันตุ เม ลาเภนะ อุตะโมโหติ โสระโห ปัจจะยาทิมหิ มะหาลาภัง สัพพะลาภา สะทาโสตถิ ภะวันตุ เม


TraveLArounD



ปล. ท่านที่เพิ่งเข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ค้นดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group : นานา สาระ๑๐๐๐ เพราะเรื่องต่างๆ เขียนไว้ 1370 กว่าเรื่องแล้ว

หมายเหตุ : ขณะได้มี website อื่นๆหลาย website ได้นำเอาเรื่องที่ผมเขียนไว้ ไปลงต่อในลักษณะของเนื้อหา โดยไม่ได้รับอนุญาตใดๆ ถ้าต้องการบทความใดไปใช้ ขอให้ติดต่อขออนุญาต ก่อนทาง Email : nana_sara1000@ymail.com มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายลิขสิทธิ์

ส่วนผู้ที่ต้องการนำเรื่องไปโพสต่อ เพื่อเผยแพร่ โดยมิใช่ทางการค้า ขอให้ติดต่อขออนุญาตให้ถูกต้องก่อนโพส

อ้างอิงจาก:
ศุภวิทย์ ถาวรบุตร. "พระอ้วนจีนและพระอ้วนไทยคือใครกัน?", ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 23 ฉบับที่ 4 กุมภาพันธ์ 2545. กรุงเทพฯ : มติชน, 2545.

ชั่วโมงเซียนป๋องสุพรรณ
นสพ.คม-ชัด-ลึก

//www.tumsrivichai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=5327401&Ntype=40




 

Create Date : 02 เมษายน 2551    
Last Update : 25 กรกฎาคม 2555 17:44:34 น.
Counter : 9264 Pageviews.  

ปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย

ปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย

มนุษย์และสัตว์มิได้สิ้นสุดที่ความตาย
เพราะการ “ตาย” หมายถึงสภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่จิตวิญญาณใช้งานต่อไปได้อีก วิญญาณยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้ว ทั้งนี้สภาพการตายจะบ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั้นไปสุคติหรือลงสู่นรกภูมิ
1. ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติร่างกายอ่อนนิ่มสีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ
2. ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว
3. ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัวเพราะความตกใจบางคนจะกรีดร้องเสียคล้ายสัตว์คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์
4. ชนิดสังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทางเมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท
- ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตายดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่)
- หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตายหูจะชันขึ้นจะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย
- จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนันชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมากวิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ
- ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสีด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอดจะเกิดเป็นสัตว์น้ำไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก



เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน?
ดวงวิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรกจะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์หรือเรียกว่า “อนันตริยกรรม” มีอยู่ 5 อย่าง
คือ 1.ฆ่าพ่อ 2.ฆ่าแม่ 3.ฆ่าพระอรหันต์ 4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก 5. ทำร้ายพระพุทธเจ้าห้อเลือด


มาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย

หลังจากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้วเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย 7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี ในระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับงานศพ ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่างชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพังเท่านั้นไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น

เจ็ดวันรอบแรก วิญญาณผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึงก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้นก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัวกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี 49 วันหลังความตาย เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวะทูต คอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉยไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย

เจ็ดวันรอบที่สอง เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผีเจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่านเมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานีและยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้เวลานั้น ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดีเมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย

เจ็ดวันรอบที่สาม เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรมยามมีชีวิตทำชั่วอะไรภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติเสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิดตอนนี้ แต่ก็สายเสียแล้ว ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงจะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆและพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด

เจ็ดวันรอบที่สี่ เมื่อมาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทองการจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์

เจ็ดวันรอบที่ห้า วิญญาณผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลานคนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตนถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีกได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์

เจ็ดวันรอบที่หก เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชียมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญ ที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิตหลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให้ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา

เจ็ดวันรอบที่เจ็ด เมื่อวิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่าผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกินเจละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้นเร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งลวงโลกตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฎแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริงขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท


ปล. ตอนนี้ผมเขียนบล็อกมาได้เกือบ 200 เรื่องแล้ว ล้วนเป็นสาระน่ารู้ต่างๆ ท่านที่เข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group : Blog Of All You Needs To Know เปิดทีเดียวเลือกดูเนื้อเรื่องได้ครบครับ จะได้ไม่เสียเวลาคลิกที่ group blog เข้าๆ-ออกๆ


จากเว็บไซท์ //www.precadet26.org
โดย Bigsu
//www.precadet26.org/msgboard/MsgView.php?page=59&msgid=30347&nr=2




 

Create Date : 03 มีนาคม 2551    
Last Update : 24 มีนาคม 2551 14:57:56 น.
Counter : 2802 Pageviews.  

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พบพญานาคแม่น้ำโขง

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอริยะเจ้าอีกรูปหนึ่งที่เป็นที่เคารพบูชาของพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านได้ผ่านพบประสบการณ์อันอัศจรรย์มากมาย ระหว่างธุดงค์ไปในป่าเขาลำเนาไพร เพื่อพากเพียรบำเพ็ญธรรม หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นศิษย์อีกรูปหนึ่งของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แม่ทัพธรรมสายปฏิบัติแห่งภาคอีสาน หลวงปู่ชอบเคยได้ร่วมธุดงค์ไปกับท่านพระอาจารย์มั่นหลายวาระ มีอยู่ครั้งหนึ่ง...หลวงปู่ชอบได้ร่วมธุดงค์ไปกับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และท่านได้รับรู้เรื่องพญานาค และท่านได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า...

“เราตามท่านพระอาจารย์มั่นไปปักกลดอยู่ริมบึงน้ำใหญ่แห่งหนึ่งในเขตป่าดงดิบ เราเดินสำรวจดูรอบๆปากบึง เราพบความผิดปรกติอย่างหนึ่ง ทั้งนี้เพราะปรกติแล้วน้ำในบึงย่อมเป็นที่พึ่งพาของสัตว์ป่าทั้งหลาย และเมื่อมีสัตว์ป่ามากินน้ำในบึงแล้ว จะต้องทิ้งรอยเท้าไว้ที่ขอบบึง แต่ไยเล่าจึงไม่ปรากฏรอยเท้าสัตว์อยู่แม้แต่รอยเดียว เรากำหนดจิตตามที่ท่านพระอาจารย์สอนไว้ จิตเรากระทบกับสิ่งหนึ่งทันที พญานาคผู้ยิ่งใหญ่แต่ไร้คุณธรรมได้พ่นพิษอันร้ายกาจไว้ในบึง ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์น้อยใหญ่หากได้กินน้ำแล้ว ย่อมถึงแก่สิ้นชีวิตด้วยพิษอันร้ายแรงนั้นในไม่ช้า เราจึงบอกกับพวกพ้อง ที่เดินมาด้วยกันกับท่านพระอาจารย์มั่นให้งดใช้น้ำในบึงนั้น เราเข้าไปกราบเรียนท่านพระอาจารย์มั่นโดยตรง ท่านใช้พลังจิตสำรวจดูจึงกล่าวกับเราว่า “เธอกล่าวถูกแล้ว” ขอให้งดใช้น้ำ เราจะติดต่อกับพญานาคนั้นเอง คราวนั้นเรากับพวกพ้องต้องเดินไปแสวงหาน้ำจากแหล่งอื่นเป็นเวลาหลายวัน อยู่มาวันหนึ่งท่านพระอาจารย์มั่นเรียกเราเข้าไปบอกว่า “เธอไปบอกพวกพ้องว่าดื่มน้ำและใช้น้ำในบึงนี้ได้แล้ว” น้ำในบึงปราศจากพิษแล้ว พวกเราจึงใช้น้ำได้อย่างสะดวก เราทราบในภายหลังว่าท่านพระอาจารย์ได้ทรมานพญานาคนั้นจนหมดทิฐิ แล้วถามว่า “ท่านไยจึงพ่นพิษลงมาหมายสังหารพระสงฆ์ผู้ทรงศีล มิรู้หรือว่าเป็นอนันตริกรรม ถึงลงสู่อเวจีมหานรก ท่านจงรีบไปถอนพิษออกเสียเถิด” พญานาคราชจึงไปถอนพิษออกจากบึงจนหมด ท่านพระอาจารย์มั่นจึงบอกให้พวกเราใช้น้ำได้ เราได้ทราบต่อมาอีกว่า หลังจากนั้นพญานาคก็ชวนพวกพ้องมาฟังธรรม มาให้การอารักขาเรากับพรรคพวกและท่านพระอาจารย์ จนได้เวลาอันสมควรจึงถอนกลดออกเดินทางต่อไป”










นี่คือประสบการณ์ข้องเกี่ยวกับพญานาคของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านกล่าวว่าผู้ที่จะผ่านมิติอันเร้นลับถึงขั้นพบเห็นหรือสนทนากับพญานาคได้นั้น จะต้องเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์และบำเพ็ญเพียรธรรมจนได้ญาณวิสุทธิ์เท่านั้น เรื่องของพญานาคนี้ปรากฏมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลเมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้ว ผู้ที่ไม่เคยศึกษาพระไตรปิฎกมาก่อน และปฏิบัติธรรมถึงขั้นได้อภิญญาญาณย่อมไม่มีความเชื่อเรื่องพญานาค คิดว่าเป็นนิทานชาดกซึ่งเล่าขานเอาไว้อย่างเลื่อนลอย ทั้งๆที่พญานาคมีจริงๆ แม้ในปัจจุบันก็มีอยู่


หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ท่านพบเห็นพญานาคอีกครั้ง เมื่อคราวที่ท่านนำหมู่คณะสงฆ์ธุดงค์ข้ามไปฝั่งลาว แล้วไปปักกลดใกล้หมู่บ้านชาวลาวแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับแม่น้ำโขง หลังจากท่านฉันภัตตาหารแล้ว ชาวบ้านนำบาตรของท่านไปล้าง โดยเทเศษอาหาร มีข้าวสุกและน้ำแกงน้ำพริกปลาร้า ลงไปในน้ำ เหตุการณ์ตอนนี้หลวงปู่ชอบเล่าว่า...

“เราได้ยินเสียงตลิ่งพังดังครืนๆ และบรรดาชาวบ้านวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาทางที่เรานั่งอยู่ ท่าทางดูเขาตกใจมากเขาบอกกับเราว่า เมื่อกี้ได้นำบาตรไปล้างในแม่น้ำโขง พอเทน้ำล้างก้นบาตรลงไปก็เกิดเหตุอัศจรรย์ น้ำในแม่น้ำที่ใสแจ๋วกลับขุ่นคลั่กในพริบตา เหมือนมีอะไรลงไปกวนน้ำในกลางน้ำวน (วังน้ำหันตาไก่) วนเป็นน้ำวนอย่างรุนแรง แรงหมุนของน้ำถล่มเข้าสู่ตลิ่งที่พวกเขาล้างบาตรอยู่ พังออกเป็นกระบิๆ พวกที่อยู่ริมตลิ่งต้องวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เพราะหากตกลงไปในน้ำแล้วต้องถูกแรงน้ำวนดูดจมลงไปในวังน้ำแน่ๆ ตอนที่เขามาหาเราเสียงตลิ่งพังดังครืนๆไม่ขาด เรากำหนดจิตไปดู เราจึงมองเห็นพญานาคในลำน้ำโขง มีความแค้นเคืองคนเหล่านั้น ที่เอาน้ำพริกน้ำปลาร้าไปถูกตัวเขาซึ่งอยู่แถบนั้นพอดี เราจึงห้ามเทเศษข้าวและนำพริกปลาร้าลงไปน้ำอีกเป็นเด็ดขาด เรื่องก็น่าจะจบแค่นั้น แต่ก็มีพระที่ไปกับเราถือดี คิดว่าที่เราพูดเป็นเรื่องเล่น หลังจากวันนั้นก็มีผู้นำบาตรไปล้างในแม่น้ำและเทน้ำล้างลงไปอีก ก็เกิดอาเพศน้ำหมุนตลิ่งพังต้องวิ่งหนีเอาชีวิตกันแทบไม่รอด ทุกคนจึงยอมฟังไม่กล้าทำในสิ่งที่เราห้ามอีก”

“เมื่อเราไปจำพรรษาในถ้ำไม่ห่างจากแม่น้ำโขงมากนัก พญานาคราชได้นมัสการเราเพื่อคารวะ ที่เราห้ามมนุษย์ไม่ให้ทิ้งเศษอาหารและของสกปรกลงไป ส่วนหัวของเขามานอบน้อมคารวะเราที่ปากถ้ำ ส่วนหางยังอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโขงห่างกันเป็นกิโลเมตร เราพบว่าเขาสร้างกรรมไว้โดยไม่ตั้งใจ เมื่อชาติก่อนเขาเป็นมานพผู้มั่นในศีล 5 แต่วันหนึ่งถือวิสาสะว่าคุ้นเคยได้ถือเอามีดของพระสงฆ์ไปใช้เป็นของส่วนตัว เมื่อดับชีวิตแล้วจึงมาเป็นพญานาคราช แม้แสดงฤทธิ์ได้แต่ก็อับวาสนา ไม่ได้เป็นคน เราให้ศีล 5 เขายึดถือ เพื่อเจริญภาวนาและยึดในไตรสรณคมน์ต่อไป”

พญานาคกับหลวงปู่ชอบ ดูเหมือนจะมีความผูกพันกันเป็นพิเศษ แม้แต่ท่านอยู่ในวัด พญานาคก็ยังมาปรากฏกายให้ท่านได้เห็น ดั่งที่ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังดังนี้....

“เราอยู่วัดห้วยน้ำริน อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ระยะหนึ่งเราสังเกตพบว่า ในบรรดาทายกทายิกาที่นำภัตตาหารมาถวายพระและฟังธรรมนั้น มีชายคนหนึ่งแม้แต่งกายพื้นเมืองธรรมดากว่าคนอื่น แต่ก็มีท่วงท่าสง่างามกว่าผู้คนที่มาทำบุญด้วยกันอย่างเห็นได้ชัด กิริยาอาการสำรวมกว่าคนธรรมดา อาหารที่เขานำมาถวายทุกครั้งนั้นเป็นอาหารพื้นเมืองธรรมดา แต่เมื่อได้ฉันแล้ว กลับมีรสโอชากว่าอาหารของคนอื่น แต่เราไม่อาจปลงใจได้ว่าเป็นของชายคนนั้น เพราะเราฉันรวมกันในบาตรด้วยการเคล้า เรามักจะอาศัยเวลาว่างจากการแสดงธรรมสอบถามชาวบ้านเสมอว่า เขานั้นเป็นใครมาจากไหน มีความเป็นอยู่อย่างไร จะได้รู้จักและสอนธรรมะได้อย่างสะดวกใจ และเราได้ถามถึงชายคนที่นำดอกไม้และภัตตาหารมาถวาย ทุกคนที่เราถามรู้ว่าหมายถึงใคร แต่ก็ตอบไม่ได้ว่าเป็นใคร เพราะต่างคนต่างคิดว่าเป็นญาติของอีกคนหนึ่งต่อๆกันไป วันสุดท้ายที่เราพบชายผู้นั้นเขานำดอกไม้และภัตตาหารมาถวายเหมือนเคย ครั้นเราถามว่าบ้านโยมอยู่ที่ไหน ถามไถ่ผู้คนก็ไม่รู้จัก เขาก็อมยิ้มก่อนตอบว่าอยู่แถวนี้เองแหละพระคุณเจ้า กล่าวตอบเราแล้วก็ถอยฉากไปนั่งรอถวายภัตตาหาร หลังจากที่ได้ถวายภัตตาหารแล้วธรรมเนียมของคนบ้านนั้น จะตักอาหารที่เหลือจากการถวายพระแจกกันไปทั่วๆ จากนั้นก็นั่งกินกันเป็นกลุ่มๆ แต่ชายผู้นั้นกับนั่งกินคนเดียวไม่รวมกลุ่มกับคนอื่น เราจึงคอยดูเวลากลับ เขาก็เดินแบกถาดอาหารไปตรงสระน้ำหน้าวัด พอเห็นไม่มีใครสังเกตก็หายวับไปในสระนั้นเอง”

ในวันหนึ่งเราได้พบกับเขาตามลำพังเราได้สนทนากับเขาถึงเรื่องที่เราอยากรู้
“ท่านต้องการอะไรหรือ จึงขึ้นมาพบพระป่าอย่างเรา”
“พระคุณเจ้ากระผมคือ นาคมานพ วิสัยพญานาคนั้นเคารพในผู้ทรงศีล ผู้ทรงคุณธรรม มนุษย์ผู้เป็นกัลยาณชนปรารถนาในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา พญานาคก็ต้องการบำเพ็ญทานภาวนาและศีลด้วยเช่นกัน ครั้งเมื่อสมเด็จพระพุทธองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นพญานาค ชื่อพระภูมริทัตต์ ก็บำเพ็ญทานภาวนาจนตัวตายเหมือนกัน”
“ศีลของพระคุณเจ้าหอมเหลือเกิน หอมไปไกล พวกกระผมจึงขึ้นมาบำเพ็ญทานถวายพระคุณเจ้า เพื่อเพิ่มพูนบารมีของตนสืบไป”
“เราขอถามท่านว่าเราเคยพบพวกท่านเนรมิตในรูปต่างๆมามาก เราต้องการทราบว่าท่านทำกันอย่างไร”
“ขอให้พระคุณเจ้าได้โปรดทัศนาด้วยตาของท่านเอง”

“เขากล่าวกับเราว่าเป็นนิมิตภาพเท่านั้น ผู้บารมีธรรมจึงได้เห็น ร่างของเขาหายวับไปแล้วปรากฏเป็นมานพหนุ่มรูปงามเดินเข้ามา แล้วหายวับไปเป็นคนแก่งกๆเงิ่นๆ เดินเข้ามาแล้วกลายเป็นสตรีรูปงาม กลายเป็นนายพรานขมังธนูดูโหด เขาบอกกับเราว่าการเนรมิตคือการคิด แล้วร่างก็เปลี่ยนไปอย่างต้องการ จะให้เป็นมนุษย์ครั้งละหลายๆคนก็ได้ เป็นสัตว์ป่าหลายๆตัวก็ได้ เป็นสัตว์ 2 อย่างพร้อมๆกันก็ได้ ศิษย์ที่ฟังท่านเล่าจึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า เมื่อเนรมิตเป็นอะไรก็ได้แล้วรูปร่างจริงเป็นอย่างไร หลวงปู่ก็ตอบว่า เราเคยเห็นอยู่เหมือนกันในภาพผนังโบสถ์นั้นแหละ มี 3 หงอนบ้าง 4 หงอนบ้าง 7 หงอนบ้าง มาด้วยกันทั้งตัวผู้และตัวเมียก็เคยเห็น หงอนสีแดงมีแพรคอเหมือนม้า ลำตัวใหญ่ยาวเกล็ดสีดำเป็นมันเลื่อม บางครั้งเขาก็มาเป็นมนุษย์ทรงเครื่องแบบกษัตริย์สง่างามมาก มีข้าราชบริพารแห่แหนมาดังขบวนยุรยาตรพระราชา เราพบมาหลายแบบงูตัวเล็กๆก็มี ผ้าขาว ผู้หญิง เสือ มนุษย์ กษัตริย์ และอีกหลายอย่างสารพัดสารเพ ดังนั้นพญานาคจึงมีฤทธิ์ในด้านการแปลงกายเป็นพิเศษ”



อีกครั้งหนึ่ง...หลวงปู่ชอบกำลังเดินธุดงค์อยู่ฝั่งไทยเลาะเลียบไปตามฝั่งแม่น้ำโขง ท่านอยากจะข้ามไปวิเวกฝั่งลาว แต่บริเวณนั้นไม่มีผู้คนและเรือแพ ท่านจึงตั้งจิตอธิฐานขอให้เกิดนิมิตว่าจะข้ามไปฝั่งลาวดีหรือไม่ ซึ่งท่านได้เล่าไว้ดังนี้...

“เราคิดในใจว่าเราจะข้ามไปฝั่งลาวดีหรือไม่ เพราะตอนนั้นเราเพิ่งออกธุดงค์ ในตอนต้นพรรษากาล ในคืนนั้นเราปักกลดอยู่ริมฝั่งน้ำเหียง เราเจริญภาวนา และในนิมิตนั้นเอง ร่างของมานพหนุ่มก็ปรากฏขึ้น เขาเดินเข้ามากราบเราด้วยเบญจางคประดิษฐ์ เขากล่าวกับเราในนิมิตว่า ได้ทราบว่าพระคุณเจ้าจะข้ามไปแสวงวิเวกในฝั่งลาว ปวงข้ารู้สึกปีติเป็นอย่างยิ่ง จึงใคร่ขอนิมนต์พระคุณเจ้า ข้ามไปฝั่งโน้นเพื่อโปรดสัตว์ผู้ยากให้พ้นจากความหลงผิดด้วยเถิด เราน้อมรับในนิมิตด้วยความดุษฎีเขาจึงลาจากไป รุ่งเช้าเราเสร็จภัตตกิจแล้ว จึงรวบรวมบริขารออกเดินทางมายังฝั่งน้ำเหียงที่ใกล้กับแม่น้ำโขง เราทอดสายตาออกไปลำน้ำเหียง ทุกอย่างเงียบสงบ สายลมพัดพลิ้วผ่านผิวน้ำ ทันใดนั้นก็ปรากฏว่ามีเรือลำน้อยลำหนึ่งพุ่งตรงมาฝั่งที่เรายืนอยู่ คนพายวาดหัวเรือเข้ามาอย่างจงใจ พอหัวเรือชนริมตลิ่ง คนในเรือก็ร้องว่า “นิมนต์บนเรือเถิดพระคุณเจ้า” หลวงปู่จึงถามว่าจะไปทางไหนกันเล่าโยม ชายหนุ่มเจ้าของเรือตอบว่าจะไปฝั่งลาว ยินดีรับท่านไปฝั่งโน้น หลวงปู่จึงลงเรือลำนั้น”

ท่านเล่าเหตุการณ์ในตอนนี้ไว้ดังนี้...

“คนเรือมีใบหน้ายิ้มแย้มละไม และกิริยานอบน้อมต่อเราเป็นพิเศษ เรือลำนั้นพุ่งตรงออกจากฝั่งตัดลำน้ำเหียงเข้าสู่ลำโขง ตรงดิ่งไปยังประเทศลาว เรือจอดสนิท เราประคองบาตรและบริขารเดินขึ้นไปบนฝั่ง ครั้งถึงฝั่งเรียบร้อยแล้วหันกลับมา จะให้พรโยมเจ้าของเรือ ก็ต้องประหลาดใจ ไม่มีเรือ ไม่มีอะไรเลย นอกจากความเวิ้งว้างและความสงบเงียบของน้ำ แต่ในกลางแม่น้ำโขงนั้นเองปรากฏร่างจระเข้ตัวใหญ่ ลอยฟ่องอยู่กลางแม่น้ำโขงหันหัวมาดูเราตาแจ๋ว เราจึงกำหนดจิตลงไปยังจระเข้ตัวนั้น จึงพลันได้รู้ว่า นั่นคือนาคราชแปลงเป็นคนและเรือมารับเราสู่ฝั่งลาว เมื่อส่งถึงฝั่งก็กลายเป็นจระเข้ให้รู้เป็นนัยๆ เราจึงทดลองเดินขึ้นจากฝั่งไปจนไกลพอสมควร จึงหันมามองก็เห็นจระเข้ตัวนั้นมองดูเราอยู่อย่างอาลัยอาวรณ์ เราจึงกำหนดจิตแผ่เมตตาไปให้เขาแล้วกล่าวว่า “เอาละ เราขอบใจท่านที่ช่วยเป็นภาระให้เราข้ามมาฝั่งนี้ได้ เราเดินทางต่อไปได้เองแล้ว ท่านจงอย่าเป็นห่วงเราเลย” สิ้นคำกล่าวจระเข้ก็ชูหัวขึ้น 3 ครั้งแล้วหมุนตัวกลับหายไปในแม่น้ำโขงในพริบตา เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าพญานาค เป็นพุทธมามกะตั้งแต่สมัยพุทธกาล และยังดำรงความเป็นพุทธมามกะนั้นมาจนถึงทุกวันนี้”



คราวหนึ่ง...หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ธุดงค์ไปกับพระอาจารย์เหรียญ บนดอยสูงทางภาคเหนือ หลวงพ่อก็พบกับพญานาคอีก ดังเรื่องราวต่อไปนี้...

“เราปักกลดอยู่ที่เนินเขา แต่ขึ้นไปบิณฑบาตบนดอยของพวกแม้ว แม้วเพิ่งรู้จักพระ วันแรกใส่ข้าวเปล่า วันที่สองเอาหมูสดๆ ที่ลวกน้ำเกลือกันเน่ามาใส่ เราต้องให้โยมที่ติดตามไปด้วยรับไว้แทน ไม่ให้ใส่ในบาตร เดือดร้อนโยมเมื่อกลับถึงที่ก็ต้องไปทำสุกมาถวาย วันต่อมาโยมที่ไปด้วยกันบอกกับพวกแม้วว่าพระต้องฉันอาหารสุก จึงได้อาหารสุกตามต้องการ เราได้ขึ้นไปแสวงหาวิเวกบนดอยโดยมีโยมช่วยกันสร้างที่พัก เราจึงได้แสวงวิเวกและบำเพ็ญเพียรอยู่บนนั้น คืนหนึ่งเรากำลังเดินจงกรม พลันก็เกิดแสงสว่างประหลาดพุ่งไปสู่เส้นทางที่เดินจงกรม และที่ปลายแสงนั้นพญานาคในรูปกายจริงก็ชำแรกดินขึ้นมาทันที เรากำหนดจิตถามเขาว่า “มาจากไหนหรือท่านนาคราช” เขาก็ตอบมาว่า “ข้าพเจ้าอยู่ตีนเขาลูกนี้ ในเขาลูกนี้มีลำธารลอดอยู่ภายใน ไหลผ่านลงไปที่เชิงเขาแล้วลงสู่ไร่นาชาวบ้าน ที่พระคุณเจ้าธุดงค์ผ่านมาคงจำได้นะ นั้นแหละขอรับเส้นทางเดินของข้าพเจ้า” หลังจากได้สนทนากับเราพอสมควรแล้ว เขาก็ชำแรกดินขึ้นมาทั้งตัวให้เห็นเป็นร่างอันแท้จริง หงอนสีแดงฉาน แผงที่คอเหมือนแผงคอม้า ลำตัวมีเกล็ดสีดำมะเมื่อม ส่วนหัวอยู่เบื้องหน้าเรา แต่ส่วนหางยาวไปจรดเขาอีกลูกหนึ่ง ศิษย์ถามว่าพญานาคมาหาหลวงปู่ด้วยเหตุใด หลวงปู่ตอบว่า “เขาบอกเราว่า ข้าพเจ้ามีความเย็นกายเย็นใจที่มีพระกัมมัฏฐานที่ประเสริฐเยี่ยงท่าน มาภาวนาแผ่ความสุขความเมตตาให้แก่สัตว์โลก เสียงที่ท่านสวดมนต์และแผ่เมตตาทำให้เย็นอกเย็นใจมีแต่ความสุข สุดจะทนอยู่ได้จึงขอขึ้นมาชมบารมี เพราะสมเด็จพระบรมศาสดาทรงมรพุทธดำรัสว่า การเห็นสมณะเป็นอุดมมงคลอันสูงสุด”


จบเรื่องหลวงปู่ชอบ เพียงเท่านี้


TraveLArounD




ปล. ท่านที่เพิ่งเข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ค้นดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group : นานา สาระ๑๐๐๐ เพราะเรื่องต่างๆ เขียนไว้ 1200 กว่าเรื่องแล้ว

ส่วนท่านที่ชอบเพลง background ผมได้รวบรวมเพลงไพเราะ เพลงรัก romantic และเพลงซึ้งๆ ที่หาฟังได้ยากในสมัยนี้ ไว้หลายชุด สนใจ email ติดต่อมาได้ครับที่ nana_sara1000@ymail.com

หมายเหตุ : ขณะได้มี website อื่นๆหลาย website ได้นำเอาเรื่องที่ผมเขียนไว้ ไปลงต่อในลักษณะของเนื้อหา โดยไม่ได้รับอนุญาตใดๆ ถ้าต้องการบทความใดไปใช้ ขอให้ติดต่อขออนุญาต ก่อนทาง Email : nana_sara1000@ymail.com มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายลิขสิทธิ์

ส่วนผู้ที่ต้องการนำเรื่องไปโพสต่อ เพื่อเผยแพร่ โดยมิใช่ทางการค้า ขอให้ติดต่อขออนุญาตให้ถูกต้องก่อนโพส

คัดลอกมาจากหนังสือ พระอริยสงฆ์เผชิญพญานาค
โพสโดยซุปเปอร์แมน ในเวปพลังจิต
//board.palungjit.com/showthread.php?t=115216




 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 10 ตุลาคม 2553 22:51:45 น.
Counter : 7403 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

travelaround
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [?]





ยินดีต้อนรับทุกท่านที่แวะเข้ามาชม blog มีข้อคิดเห็น เชิญ comment มาได้นะครับ ถ้าตอบได้ จะตอบให้ทันทีครับ แต่ถ้าไม่ทราบ ต้องขอเวลา จะค้นคว้ามาให้อ่านกัน ท่านที่จะถามคำถาม หรือติดต่อเรื่องบทความ ได้ทาง Email :- d_sign_place@yahoo.com ครับ


เรื่องต่างๆที่ผมได้เขียนหรือรวบรวม เรียบเรียงมานี้ ยินดีให้ทุกท่านได้อ่านเป็นวิทยาทานและเพื่อการศึกษา ถ้าจะนำไปโพสต่อใน website สาธารณะ หรือ website อื่นใดที่ไม่ใช่ทางพาณิชย์ กรุณาระบุที่มา คือ https://www.travelaround.bloggang.com และนามปากกาผู้เขียนคือ TraveLArounD ด้วย

แต่ขอสงวนสิทธิ์สำหรับการนำไปใช้ ในเชิงพาณิชย์ หรือโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง จะถูกดำเนินคดี ตามกฏหมายลิขสิทธิ์

ส่วนบทความหรือภาพถ่ายใดๆ ที่ได้นำมาจาก website อื่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเรื่องนั้นๆ เป็นการถ่ายทอดจากวิจารณญาณแล้วว่า มีความถูกต้องเป็นจริง มากที่สุด และได้นำมาจาก website ที่เป็นสาธารณะ ถ้าเรื่องราวหรือภาพของท่านที่ได้นำมาถ่ายทอดนี้ ไปละเมิดลิขสิทธิ์ของท่าน กรุณาแจ้งมาทาง email :– nana_sara1000@ymail.com ผมจะทำการลบข้อมูลหรือภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ออกทันที

Acknowledges that I try to write or report accurately but postings may contain fact , speculation or rumor. I find images from the Web that are believed to belong in the public domain. If any stories or images that appear on the site are in violation of copyright law, please email to :- nana_sara1000@ymail.com and I will remove the offending information as soon as possible.


Website counter
: Users Online









ที่ดินเชียงใหม่ ทางไปแม่ริม ใกล้ศาลากลาง และสนามกีฬา 700 ปี ติดน้ำปิง ในหมู่บ้านเพชรริมปิง พื้นที่ 667 ตารางวา @ 14,000.- บาท สภาพแวดล้อมดี สนใจติดต่อ โทร. 0859559950



DESIGN PLACE CO.,LTD. รับออกแบบ และตกแต่งภายใน บ้านพักอาศัย ในแบบไทย และไทยร่วมสมัย



มรดก ฉบับที่ 1

มรดก ฉบับที่ 2

มรดก ฉบับที่ 3

มรดก ฉบับที่ 4

มรดก ฉบับที่ 5

มรดก ฉบับที่ 6

มรดก ฉบับที่ 7

ช่วยสนับสนุนการจัดทำ BLOG ด้วยการซื้อหนังสือ "มรดก" 1ชุด 7เล่ม (หนังสือเก่า) ในราคาชุดละ 700 บาท (รวมค่าส่งทางไปรษณีย์)

สนใจสั่งซื้อทาง E-mail :- nana_sara1000@ymail.com



New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add travelaround's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.