"ความสามัคคีปรองดอง เป็นกำลังอย่างสูงสุดของชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ความสามัคคีของคนในชาติ จะทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นอุปสรรค และทำให้สังคมไทย ร่มเย็นเป็นสุข" พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
สนใจลงโฆษณา ในพื้นที่ข้างบน ติดต่อ email : nana_sara1000@ymail.com
Home Lover’s Corner นานา สาระ๑๐๐๐ นานา สารพัด พระพุทธประวัติ ภาคพิเศษ
Travel Around the World Real Estate Buyer's Guide สุขภาพกาย สุขภาพใจ Pets & Animals
ปางพระพุทธรูปตามพุทธประวัติ Horoscope 12 ราศี พระพุทธศาสนา World of Beautiful Musics

อิทธิฤทธิ์ ม้าทรง

อิทธิฤทธิ์ ม้าทรง






ผ่านพ้นไปอีกปี สำหรับเทศกาลกินเจ ของเรา ใครกิน หรือไม่กิน ก็แล้วแต่ศรัทธา และความเชื่อ เท่าที่ดูจากข่าวทั่วๆไป รู้สึกว่าปีนี้ จะมีคนกินเจกันเยอะขึ้น แต่ส่วนหนึ่งมากินเพราะเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ แต่ก็นับว่าอย่างน้อย ก็ได้ล้างท้อง ล้างระบบ ปรับสมดุลย์ร่างกายได้พอสมควร


























นอกจากการกินเจเพื่อสุขภาพ ที่นำเสนอกันไปแล้ว ออกเจแล้ว ก็มาดูเรื่องของพิธีกรรมกันบ้าง เป็นการปิดท้าย

ความสำคัญ ของพิธีถือศีลกินเจ
๑.เป็นการบำเพ็ญศีล สมาทานกินเจ บริโภคแต่อาหารผักและผลไม้ เป็นการละเว้นการทำบาป ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต รักษาศีลทำจิตใจให้บริสุทธิ์ งดการเที่ยวเตร่ ไม่ดื่มของมึนเมา ผู้ศรัทธาที่กินเจจะสวมเสื้อผ้าสีขาวและสวดมนต์ทำสมาธิภาวนาแผ่เมตตาจิต ขอพรให้ตนเองและครอบครัว
๒. เป็นการสะเดาะเคราะห์ปัดเป่าความชั่วร้าย โรคภัยไข้เจ็บให้ออกไปจากตัวผู้ที่ถือศีลกินเจ
๓. เกิดความสามัคคีในหมู่ผู้ที่ศรัทธาที่เข้าร่วมพิธีถือศีลกินเจ ต่างก็ยิ้มแย้มเป็นมิตรมีไมตรีต่อกัน มีการบริจาคทรัพย์สำหรับเป็นค่าอาหารและค่าใช้จ่ายในโรงครัว เพื่อให้มีอาหารเพียงพอ มีอาสาสมัครมาช่วยงานทำงานครัวเป็นจำนวนมาก



























ด้านพิธีกรรม
ประเพณีถือศีลกินเจเป็นประเพณีที่มีการผสมผสานของลัทธิความเชื่อต่าง ๆ หลายลัทธิ ได้แก่ ลัทธิเต๋า ลัทธิขงจื่อ ลัทธิการนับถือเทวะ และพุทธศาสนานิกายมหายาน

การประกอบพิธีกรรม
๑. ก่อนพิธีหนึ่งวัน จะมีการทำความสะอาดศาลเจ้า รมกำยาน ไม้หอม และยกเสาธงเต๊งโก ไว้หน้าศาล เพื่ออัญเชิญดวงวิญญาณของเจ้า พอถึงเวลาเที่ยงคืนจะประกอบพิธีอัญเชิญยกอ๋องฮ่องเต้ และกิวอ๋องไตเต้มาเป็นประธานในพิธี พร้อมกับแขวนตะเกียงน้ำ ๙ ดวง ซึ่งหมายถึงดวงวิญาณขององค์กิวอ๋องไตเต้ เป็นอันว่าพิธีกินเจได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หลังจากพิธีรับเจ้าเข้ามาเป็นประธานในศาลแล้ว ก็จะทำพิธีวางกำลังทหารรักษาการณ์ตามทิศต่าง ๆ
๒. การเตรียมการกินเจ ผู้ศรัทธาที่จะร่วมถิอศีลกินเจ จะทำความสะอาดภาชนะเครื่องใช้ในการประกอบอาหารให้สะอาดหมดกลิ่นคาว จัดแยกเครื่องใช้ไว้เฉพาะไม่ปะปนกับเครื่องใช้ทั่วไป บางบ้านจะนำภาชนะชุดใหม่มาประกอบอาหารและใส่อาหารเจ บางบ้านจะรับอาหารจากโรงปรุงของศาลเจ้า
๓. พิธีกรรมตลอด ๙ วัน ของการกินเจ มีดังนี้
๑. พิธีบูชาเจ้า ทำในวันแรก บูชาด้วยเครื่องเซ่นต่างๆ ทั้งที่ศาลเจ้า และที่บ้านของผู้ที่กินเจ เมื่อกินเจครบสามวัน ถือว่าผู้กินเจได้ชำระร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ได้สะอาดบริสุทธิ์
๒. พิธีโขกุ้น เป็นพิธีเลี้ยงทหารที่รักษาการณ์ตามทิศต่างๆ จะทำพิธีในวัน ๓ ค่ำ ๖ ค่ำ และ ๙ ค่ำ มีอาหารและเหล้า เซ่นสังเวยเลี้ยงทหาร
๓. พิธีซ้องเก็ง เป็นพิธีการสวดมนต์ พิธีนี้จะเริ่มตั้งแต่องค์กิวอ๋องไตเต้ เข้ามาประทับในศาลและจะกระทำกันทุกๆวัน วันละ ๒ ครั้ง ในตอนเช้าและตอนค่ำ
๔. พิธีบูชาดาว จะทำในคืนวัน ๗ ค่ำ เพื่อขอความคุ้มครองให้แก่ผู้กินเจ ในพิธีบูชาดาว จะมีการแจกฮู้ (กระดาษยันต์) เพื่อคุ้มครองผู้กินเจ
๕. พิธีแห่เจ้า (ออกเที่ยว) เป็นพิธีที่เจ้าทั้งหมดออกเยี่ยมลูกหลานตามบ้าน เพื่อความเป็นสิริมงคลและปัดเป่าความชั่วร้าย ศาลเจ้าแต่ละโรงจะออกเยี่ยมไม่พร้อมกัน พิธีนี้จะจัดเป็นริ้วขบวน แห่แหนไปตามถนนสายต่าง ๆ บรรดาชาวบ้านที่จะศรัทธาจะตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้ไว้รับพระและจุดประทัดเมื่อขบวนผ่าน เจ้าองค์ที่เข้าประทับทรงจะแสดงอิทธิฤทธิ์อภินิหารโดยใช้ของมีคม เหล็กแหลม ทิ่มแทงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งแต่ละปี ก็จะมีอุปกรณ์แปลกๆ มาใช้อยู่เรื่อยๆ บางทีก็มีรถจักรยาน ที่มีประจำ ก็พวกของมีคมและอาวุธประเภทต่างๆ ล้วนชวนหวาดเสียว สยดสยอง
๖. พิธีลุยไฟ เพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ของเจ้า จึงมีการก่อกองไฟให้เป็นถ่านแดงระอุร้อน เจ้าที่เข้าประทับคนทรงจะเข้าไปวิ่งลุยผ่านกองไฟ เพื่อแสดงให้เห็นความบริสุทธิ์และอิทธิฤทธิ์ ผู้ที่ถือศีลกินเจก็จะเข้าไปลุยไฟด้วยเพื่อให้ไฟทิพย์ชำระร่างกายให้บริสุทธิ์
๗. พิธีส่งพระ ทำกันในวันสุดท้ายของการกินเจ พิธีนี้แบ่งออกเป็น ๒ ภาค คือภาคกลางวันจะส่งเทวดาเง็กเซียนฮ่องเต้ ซึ่งทำกันที่เสาธง และภาคกลางคืนจะส่งองค์กิวอ๋องไตเต้ ซึ่งจะทำกันตอนเที่ยงคืน โดยผู้กินเจ จะเดินไปส่งกันที่ฝั่งน้ำเพราะเจ้าจะกลับสวรรค์ทางทะเล และทันทีที่คณะส่งเจ้าออกพ้นประตูศาลไฟทุกดวงจะต้องดับสนิท แล้วปิดประตูใหญ่ รุ่งขึ้นจะลดเสาธง เรียกทหารพร้อมกับเลี้ยงทหารและส่งกลับ เสร็จแล้วก็เปิดประตูใหญ่เมื่อได้ฤกษ์ตามวัน/เวลาที่เจ้าสั่งไว้















































การประกอบพิธีสำคัญ ๆ ในช่วง ๙ วันนี้ จะมีการทรงเจ้าโดยอัญเชิญเจ้าต่างๆ มาประทับทรงในร่างของม้าทรง ซึ่งนั่นคือผู้ที่ชะตากำลังจะดับ ก็จะเข้าร่างประทับทรง เพื่อต่ออายุให้ หรือบุคคลที่เหมาะสม และสมัครใจจะเป็นม้าทรง เจ้าก็จะเข้าประทับทรงเช่นกัน


ในระยะที่มีการประกอบพิธีต่างๆ หรือในกรณีที่มีการแห่ขบวนไปม้าทรงจะแสดงอิทธิฤกษ์ ฟาดฟันอาวุธไปตามร่างกายของตนเอง บ้างเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงลิ้น แก้ม แขน ขา มีการขึ้นบันได มีดแหลมคมก็มิได้ปรากฏบาดแผลให้เห็นเลย ภาษาที่ม้าทรงพูดขณะที่เจ้าประทับทรงก็เป็นภาษาจีนตลอด ถึงแม้ตัวม้าทรงเองจะไม่เคยรู้เรื่องภาษาจีนเลยก็ตาม


การที่ม้าทรงแสดงอิทธิฤทธิ์ถือกันว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์ให้แก่ผู้ที่กินผัก โดยพระเป็นผู้รับเคราะห์เสียเอง ในระหว่างการประกอบพิธีต่าง ๆ จะมีการประโคมด้วยกลอง เสียงอึกทึกมาก มีการซื้อหาประทัดเพื่อนำมาจุดในระยะของการประกอบพิธีกันมากมาย จนหูอื้อ เมื่อขบวนผ่านไป ก็จะเหลือแต่กองเศษกระดาษสีแดง ที่ห่อประทัด เต็มไปหมด





































ประเพณีถือศีล กินเจ ที่ปฏิบัติกันต่อมา อย่างยาวนาน เริ่มเป็นที่สนใจของคนทั่วไปมากขึ้น จนกลายเป็นประเพณี ที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวไปกลายๆ ที่โด่งดังที่สุดก็ต้องเป็นที่ภาคใต้ ที่ภูเก็ต ตรัง และกระบี่ ทุกๆปีจึงมีนักท่องเที่ยวมาชมพิธีกรรมกันมากมาย สร้างรายได้ให้กับจังหวัดนั้นๆ อย่างงาม

TraveLArounD


ข้อมูลจาก
//www.trangzone.com/prapenee_detail.php?ID=73




 

Create Date : 09 ตุลาคม 2551    
Last Update : 9 ตุลาคม 2551 2:32:27 น.
Counter : 8832 Pageviews.  

พระโพธิสัตว์กวนอิม (กวนอิมพู่สัก)

พระโพธิสัตว์กวนอิม (กวนอิมพู่สัก)

พระโพธิสัตว์กวนอิม เดิมเป็นเทพธิดาที่มาจุติยังโลกมนุษย์ เพื่อมาช่วยปลดเปลี้องทุกข์ภัยแก่มวลมนุษย์ ท่านเป็น ราชธิดาองค์ที่สามของกษัตริย์เมี่ยวจวง ซึ่งมีราชธิดา 3 องค์ องค์โตชื่อ เมี่ยวอิม องค์รองชื่อ เมี่ยวหยวน องค์ที่สามชื่อ เมี่ยวซ่าน คือ พระโพธิสัตว์กวนอิมนั่นเอง ตอนเยาว์วัยท่านเป็นพุทธมามกะ มีความรู้แจ้งในหลักพุทธธรรมอย่างลึกซึ้ง ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะบำเพ็ญภาวนา เพื่อความหลุดพ้นจากสังสารวัฏ แต่พระเจ้าเมี่ยวจวงพระราชบิดา ไม่เห็นด้วยกับความประสงค์ของราชธิดา ไม่คิดว่าหญิงสาวควรจะฝักใฝ่ในทางธรรม จะบังคับให้เลือกราชบุตรเขย เพื่อจะได้สืบทอดราชบังลังก์ต่อไป แต่องค์หญิงสามไม่สนพระทัยเรื่อง ลาภยศสรรเสริญ หรือราชบัลลังก์แต่อย่างใด



แม้จะถูกพระบิดาดุด่าอย่างไร องค์หญิงก็ไม่เคยนึกโกรธเคืองแต่อย่างใด ต่อมาองค์หญิงสาม จึงได้ถูกขับไปทำงานหนักในสวนดอกไม้ เพื่อเป็นการทำโทษ เช่น หาบน้ำ ปลูกดอกไม้ ทั้งนี้เพื่อทรมานให้เปลี่ยนความตั้งใจ แต่ก็มีเหล่ารุกขเทวดามาช่วยทำงานให้ทั้งหมด พระบิดาเมื่อเห็นว่าวิธีการนี้ไม่ได้ผล จึงรับสั่งให้หัวหน้าแม่ชีนำองค์หญิงไปอยู่ที่วัดนกยูงขาวและ ให้เอางานของแม่ชีทั้งวัดมอบให้องค์หญิงทำคนเดียว แต่องค์หญิง ก็มีพระทัยเด็ดเดี่ยวไม่เปลี่ยนแปลง งานการต่างๆก็มีเหล่าเทวดามาช่วยทำแทนให้อีก พระเจ้าเมี่ยวจวงเข้าใจว่า พวกแม่ชีไม่กล้าเคี่ยวเข็ญใช้งานหนัก ก็ยิ่งกริ้วหนักขึ้น สั่งให้ทหารเผาวัดนกยูงขาวจนวอดเป็นจุณไปพร้อมกับพวกแม่ชีทั้งหมด



มีแต่ พระธิดาเมี่ยวซ่าน เท่านั้นที่ปลอดภัยรอดชีวิตมาได้ พระเจ้าเมี่ยวจวงทราบดังนั้น จึงสั่งให้นำตัวราชธิดาไปประหารชีวิต ตอนนั้นมีเทพารักษ์คอยคุ้มครององค์หญิงสามอยู่ โดยเนรมิตทองคำทิพย์เป็นเกราะหุ้มตัว คมดาบของนายทหารจึงไม่อาจระคายพระวรกาย จนดาบหักสะบั้นถึง 3 ครั้ง 3 ครา พระบิดาทรงกริ้วหนักขึ้น โดยเข้าใจว่า นายทหารไม่กล้าประหารจริง จึงให้ประหารนายทหารแทน แล้วรับสั่งให้จับองค์หญิงไปแขวนคอ ทว่าผ้าแพรที่แขวนคอก็ขาดสะบั้นลงอีก ทันใดนั้นปรากฏมีเสือเทวดาตัวหนึ่งได้นำองค์หญิงขึ้นพาดหลัง แล้วเผ่นหนีไปที่เขาเซียงชัน



ต่อมา เทพไท่ไป๋ ได้แปลงร่างเป็นชายชรามาโปรดองค์หญิง ชี้แนะเคล็ดวิธีการบำเพ็ญเพียรเครื่องดับทุกข์ จนสามารถบรรลุมรรคผล สำเร็จธรรม
ข้างฝ่ายพระบิดาเข้าใจว่าองค์หญิงถูกเสือคาบไปกินเสียแล้ว จึงไม่ได้ติดใจตามราวีอีก ต่อมาไม่นาน บาปกรรมที่พระองค์ก่อไว้ได้ส่งผล กษัตริย์เมี้ยวจวงเกิดป่วยด้วยโรคร้ายแรง ไม่มียาใดที่จะสามารถรักษาให้หายได้
องค์หญิงเมี่ยวซ่าน ได้ทรงทราบด้วยญาณวิถีว่า พระบิดากำลังประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก ด้วยความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ มิได้ถือโทษโกรธเคืองการกระทำของพระบิดาแม้แต่น้อย ทรงได้สละดวงตาและแขนสองข้างเพื่อรักษาพระบิดาจนหายจากโรคร้าย

องค์หญิง เมี่ยวซ่านนั้น ตอนแรกเป็นชาวพุทธ ตอนหลังเทพไท่ไป๋ได้มาโปรด ชี้แนะหนทางดับทุกข์ ด้วยเหตุนี้ พระโพธิสัตว์กวนอิม จึงเป็นเทพทั้งฝ่ายพุทธและฝ่ายเต๋าในขณะเดียวกัน




พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์
พระโพธิสัตต์ผู้มากล้นด้วยความเมตตา

เรื่องของพระโพธิสัตต์พระองค์นี้ มิใช่สิ่งแปลกปลอมในพุทธศาสนา แต่เป็นพระโพธิสัตต์องค์สำคัญ ที่ได้รับการสักการะบูชามากที่สุด ที่อินเดียรูปเคารพมักจะเป็นภาพเขียน ปูนปั้น หินและไม้แกะสลัก ซึ่งปรากฏอยู่ตามฝาผนังถ้ำ วัดวาอาราม สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และวิทยาลัยทางพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นนาลันทา วิกรมศาลา ไม่จำเพาะแต่ที่อินเดียเท่านั้น ในเอเชียกลาง อาฟกานิสถานก็ปรากฏอย่างมากมาย

ลักษณะของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ในอินเดีย พระพักตร์ พระวรกาย และพระอิริยาบท ตลอดจนการฉลองพระองค์อยู่ในรูปลักษณะของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินจักรพรรดิเป็นมหาราช มิได้มีฉลองพระองค์จนอ่อนพลิ้วอย่างจีน หรืออย่างที่พบกันในปัจจุบันของเมืองไทย ก็ได้อิทธิพลมาจากจีนทั้งสิ้น
เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ ทรงมีพระกตัญญู (เมตตากรุณาธิคุณ) คอยปลดเปลื้องความทุกข์ภัยของสัตว์โลก จึงมีพระเนมิตตกนาม ( นามที่ได้จากลักษณะและคุณสมบัติ ) ตามภาษาจีนเรียกว่า พระกวนอิมพู่สัก แปลว่า พระโพธิสัตต์ที่มีพระกรรณาวธานโลกาศัพท์ หรือเรียกง่ายๆก็คือ ผู้คอยเงี่ยหูสดับรับฟังความทุกข์ของสัตว์โลก

ในพระพุทธศาสนามหายาน คณะสงฆ์จีนนิกาย กล่าวไว้ว่า สามารถเนรมิตกายได้ 32 กาย แล้วแต่ว่าจะไปโปรดใคร มิใช่มีรูปร่างเป็นหญิงดังที่ปรากฏเท่านั้น ที่สำคัญ มี 6 ร่าง คือ
1. อวโลกิเตศวร (กวนอิมพู่สัก)
2. สหัสหัตถ์สหัสเนตรอวโลกิเตศวร
3. เอกาทสมุขีอวโลกิเตศวร
4. หัยครีวอวโลกิเตศวร
5. จัณฑิอวโลกิเตศวร
6. จินดามณีจักรอวโลกิเตศวร



มงกุฏเหนือเศียรเกล้าแห่งพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์มหาสัตต์ หลังพุทธศตวรรษที่ 14 มักจะเป็นรูปของพระอมิตาภะในปางสมาธิแทบทั้งสิ้น ในกรณีที่เป็นพระโพธิสัตต์มีหลายเศียร เศียรบนสุดอย่างไรเสียก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้าอมิตภะ ดอกบัวสัญญลักษณ์ของกวนอิม คือ บัวสีชมพู สีขาวใช้กับพระมัญชุศรีโพธิสัตต์เท่านั้น ด้วยดอกบัวสีชมพูในตระกูลปัทมะนี้เอง ทำให้พระองค์ได้รับการขนานพระนามว่า " พระปัทมปาณีโพธิสัตต์ "
ด้วยความเมตตา กรุณาต่อสรรพสัตว์อันประมาณมิได้นี้เอง ก่อให้เกิดแนวในการสร้างพระกวนอิมพันมือพันตาในเวลาต่อมา โดยขนานนามพระองค์ท่านว่า พระสหัสสหัตถ์สหัสสเนตรอวโลกิเตศวร หรือถ้าเป็นปาง 4 พระกร เรียก จตุหัตถ์อวโลกิเตศวร



ส่วนพระคาถาสรรพราเชนทร์ ด้วยถ้อยความศักดิ์สิทธิ์ 6 พยางค์
" โอม มณี ปัทเม หุม " นั้นมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า " ษฑักษรีมหาวิทยา " โดยกำหนดให้ปางหนึ่งของพระอวโลกิเตศวร หรือพระษฑักษรีโลเกศวร เป็นพระโพธิสัตต์ผู้รักษามนตราศักดิ์สิทธิ์ 6 พยางค์นี้ ในพุทธศาสนามหายานนั้น ยกย่องพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ ว่าเป็นพระผู้ได้รับธรรมจักรมาโดยตรงจากพระพุทธเจ้า และเป็นผู้นำในการรักษาพระพุทธศาสนา และหมุนธรรมจักรต่อไป

พระคัมภีร์สำคัญๆของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานประกอบด้วย คัมภีร์มหาสุขาวดีวยุหสูตร , จุลสุขาวดีวยุหสูตร , อมิตายุรธยานสูตร , ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร , พระสัทธรรมปุณฑรีกสูตร ซึ่งโดยวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของอินเดียและชนชาวจีนแตกต่างกันมาก ดังนั้น เมื่อจำเป็นต้องแปลคัมภีร์เหล่านี้ จึงต้องใช้เวลาในการปรับความเข้าใจในหลักคิดและการใช้ภาษาเป็นอย่างมาก เพื่อมิให้ผิดเพี้ยนไปตามความหมายเดิม แต่คัมภีร์และแนวคิดเกี่ยวกับพระอวโลกิเตศวรนั้น ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างมากเกือบ 800 ปี ตั้งแต่เริ่มต้นคริศตศักราชมาจนถึงจุดสูงสุดในราชวงศ์ถัง ( ราว ค.ศ. 7-8 ) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 6 ทางตอนเหนือของประเทศจีนมีวัดของพุทธศาสนามากกว่า 3หมื่นวัด มีพระและชีรวมกันราวๆ 2ล้านคน ส่วนทางใต้ซึ่งเป็นเขตปกครองของราชวงศ์เหลียว มีวัดมากกว่า 2,800 วัด มีพระและชีราวๆ 82,700 รูป



แนวความเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตต์เริ่มแพร่หลายในประเทศจีนเป็นอย่างมาก พระพุทธเจ้าที่ได้รับการบูชาอย่างแพร่หลายคือ พระอมิตภพุทธเจ้า , พระศากยมุนีพุทธเจ้า , พระไภษัชคุรุพุทธเจ้า , พระไวโรจนพุทธเจ้า เป็นต้น พระโพธิสัตต์ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากคือ กวน เซ ยิน หรือ กวน ยิน หรือคนไทยคุ้นเคยกับการอ่านและสะกดว่า กวนอิม ซึ่งมีต้นรากมาจากพระโพธิสัตต์พระองค์หนึ่งซึ่งปรากฏพระนามในภาษาสันสกฤตว่า อวโลกิเตศวรโพธิสัตต์


จากกวนอิมหน้าม้าเป็นมหาบุรุษ
เทพฝ่ายจีนในระยะเริ่มต้นนั้นมักผสมปนเปกันไประหว่างเพศหญิงและเพศชาย รวมถึงครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ด้วย ฉะนั้นเทวปกรณ์ของฝ่ายจีนนั้น จึงมีทั้งเทพและมารด้วยตำนานอันแสนพิสดาร แม้ว่าต้นเค้าของพระเป็นเจ้าแห่งสวรรค์ตะวันตก หรือโลกทิพย์สุขาวดี อันประกอบด้วยพระอมิตภพุทธเจ้า , พระโพธิสัตต์อวโลกิเตศวรมหาสัตต์ , พระโพธิสัตต์มหาสถามะปราบต์มหาสัตต์ จะมีที่มาหลากหลายทางก็ตาม

แต่ทางอินเดียแล้ว รากฐานดั้งเดิมของพระโพธิสัตต์อวโลกิเตศวรมาจาก เทพม้าคู่ ในลัทธิพราหมณ์-ฮินดู ทั้งนี้เมื่อปราชญ์ฮินดูเริ่มปฏิรูปและจัดหมวดหมู่ของพระเวทและเทพเจ้าใหม่ เป็นระยะๆด้วยการสถาปนาพระเป็นเจ้าพระองค์ใหม่ๆ หรือการเพิ่มเติมฤทธิ์เดชอย่างมากมายนั้น ก็เพื่อสร้างศูนย์รวมศรัทธาให้เหนียวแน่น เป็นเครื่องบีบรัดมิให้คนของตนเองถ่ายเทมายังศาสนาพุทธ ที่เกิดขึ้นภายหลัง แต่กลับมีหลักการและคำสอนที่ชัดเจน เข้าใจศึกษาได้ เห็นผลด้วยตนเอง จึงมีผู้เข้ามาศึกษาทางพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะคนวรรณะต่ำ ที่ถูกจำกัดสิทธิในทางสังคมในช่วงเวลานั้น การสถาปนาพระเป็นเจ้าพระองค์ใหม่ๆอย่างกรณี พุทธาวตาร ซึ่งถือว่า เป็นนารายณ์อวตารองค์ที่ 9 นั้น เป็นการบิดเบือนความจริง ก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หรือศรัทธา ที่มีต่อพระพุทธเจ้า ให้กลับเข้าไปอยู่ภายใต้ลัทธิพราหมณ์-ฮินดู ตามเดิม เพื่อที่จะกลืนเอาประชาชน ที่หันมานับถือศาสนาพุทธ กลับไปเป็นพวกตน



ดังนั้นเพื่อที่สืบต่อพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน คณะสงฆ์ของพุทธศาสนาในขณะนั้น จึงมีการผ่อนปรน ปรับหลักคิดเสียใหม่ ด้วยการนำเอาความคิดเรื่องเทพเจ้ามาปรับใหม่ให้กลายเป็นเรื่องพระโพธิสัตต์เสีย เพื่อเป็นการชักจูง โน้มน้าวด้วยเครื่องบันเทิงตั้งแต่คัมภีร์ เทวปกรณ์ ไปจนถึงการประโคมดนตรีขับกล่อมพระโพธิสัตต์ ดังจะเห็นได้ว่า เรื่องสุขาวดีพุทธเกษตรของพระอมิตภพุทธเจ้านั้น น่ารื่นรมย์เพียงไร เป็นแนวทางตอบโต้การบิดเบือนเรื่อง นารายณ์อวตารองค์ที่ 9 ในลักษณะเดียวกัน แต่นโยบายนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย คือสามารถดึงสาวก หรือผู้นับถือไว้ได้ แต่ตัวพระพุทธศาสนาเอง ก็เปลี่ยนแปลงไป แตกเป็นหลายสาย หลายสำนักอาจารย์ จนเป็นมหายาน ในที่สุด

ในสมัยฤคเวทของพราหมณ์นั้น มีเทพเจ้าคู่หนึ่งเป็นม้าแฝด ชื่อ พระกุศลเทพ สร้างบารมีด้วยการโปรดผู้คนซึ่งตกทุกข์ได้ยาก ดังนั้นศาสนาพุทธจึงใช้ระบบสถาปนา เข้าทำนองหนามยอกเอาหนามบ่ง สร้างพระโพธิสัตต์ขึ้นมาพระองค์หนึ่ง เรียกว่า พระหัยครีวโพธิสัตต์ หรือเรียกกันง่ายๆว่า กวนอิมหัวม้า ในสมัยที่เป็นเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์นั้น ม้าแฝดคู่นี้เป็นสัญญลักษณ์แห่งความเมตตา กรุณาและความดีงาม เนื่องด้วยมีอิทธิฤทธิ์มากมาย สามารถทำให้คนตาบอดกลับกลายเป็นคนมีนัยน์ตาปกติ คนเป็นหมันสามารถมีบุตรได้ โคถึกสามารถให้นมแก่ลูกได้ ไม้ผุสามารถออกดอกได้
เพื่อให้แนวคิดในการโปรดสรรพสัตว์ในห้วงทุกข์ ได้รับการต้อนรับมากยิ่งขึ้น จึงก่อให้เกิดรูปลักษณ์อย่างมหาบุรุษขึ้นที่อินเดียก่อน จากนั้นในเมืองจีน ราวๆคริสตศตวรรษที่ 5 กวนอิมจึงค่อยๆขยับฐานะจากม้ามารับสถานภาพของบุรุษเพศครั้งแรก รูปลักษณ์ของใบหน้าซึ่งมีหนวดในการบ่งบอกเพศอย่างชัดเจน จากนั้นจึงเริ่มแปรพักตร์เป็นชายใบหน้าอิ่มเอิบ และฉายแววของความกรุณาปราณีผ่านทางแววตาเพียงเล็กน้อย แม้บางลักษณะจะดูกลืนกันไประหว่างเพศหญิงและเพศชายก็ตามที แต่กระนั้นกวนอิมก็ยังคงรูปแบบของอณูแห่งความเป็นชายมากกว่า จนเมื่อคริสตศตวรรษที่ 8 ภาพลักษณ์ของผู้หญิงเพิ่งจะปรากฏออกมาให้เห็น ในระยะ 200 ปีนี้

โดยเฉพาะในประเทศจีน ต้องยอมรับในความพยายามของศาสนาพุทธฝ่ายมหายานที่ต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อมิให้กลืนหายไปกับลัทธเต๋า (อย่างประเทศไทย ที่มีความเชื่อเดิมในการนับถือผี เทวดา หรือพราหมณ์ ก็ต้องมีกุศโลบายไปอีกอย่างหนึ่ง) ข้างฝ่ายลัทธิเต๋านั้น ก็มีเทพฝ่ายหญิงเหมือนกัน และที่ได้รับความนิยมและศรัทธามากคือ พระมารดาราชินีแห่งทิศตะวันตก สี หวาง มู เหตุที่บัญญัติทิศตะวันตกเช่นเดียวกับพระอมิตภพุทธเจ้าและกวนอิมโพธิสัตต์ เพราะชาวจีนเชื่อว่า เป็นทิศแห่งสรวงสวรรค์ (สุขาวดี) ที่คนตายจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า



การเกิดกวนอิมในสถานภาพของเพศหญิงขึ้นมาเพื่อรองรับความจำเป็นทางวัฒนธรรมของชุมชน และต้องการลดกระแสของเพศชายซึ่งมีอำนาจสูงสุดมาแต่เดิม ทุกศาสนาล้วนแต่มีเทวนารีด้วยกันทั้งสิ้น ศาสนาคริสต์มีการบูชาพระนางมาเรีย มารดาของพระเยซูคริสต์ ศาสนาพุทธฝ่ายมหายานสร้างพระแม่กวนอิม ศาสนายิวมีพระนางโซเฟีย หรือแม้แต่ฮินดูเองก็เกิดลัทธิบูชาศักติชายาของมหาเทพขึ้น แม้จะไม่สามารถเปลี่ยนศูนย์กลางอำนาจของฝ่ายชายได้เต็มร้อย แต่ก็ทำให้เกิดมุมมองและวัฒนธรรมทางศาสนาอย่างใหม่ และขยายตัวอย่างกว้างขวาง



หากพิจารณาอย่างลึกซึ้ง ภาพลักษณ์ภายนอกระหว่างพระนางมาเรียกับกวนอิมในเพศหญิง (ปางกวนอิมชุดขาวอุ้มบุตร) เทพธิดาไอซีสกับเทพบุตร พระนางอุมาอุ้มพระคเณศ เหล่านี้ต่างกันแต่ผู้แสดงนำเท่านั้น แต่โดยเนื้อแท้แล้ว ย่อมไม่แตกต่างกัน เพราะนั่นคือการถ่ายเททางวัฒนธรรมระหว่างศาสนาซึ่งมีมาแต่โบราณ

รูปแบบการสร้างรูปเคารพของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์มหาสัตต์ในระยะแรกจนถึงราชวงศ์ถัง ได้สร้างขึ้นด้วยแนวคิดเยี่ยงบุรุษเพศ หลังจากนั้นจึงเริ่มสร้างแนวคิดใหม่ กลายเพศจากชายเป็นหญิง ให้สะท้อนถึงความรู้สึกและความเชื่อของประชาชนพื้นบ้าน ให้ห่างไกลแม่แบบซึ่งมาจากอินเดีย จนอาจจะเรียกได้ว่า กวนอิมในรูปลักษณ์ของสตรีนั้น เป็นเอกลักษณ์ที่ได้รับการต้อนรับอย่างกว้างขวางที่เมืองจีน และขยายเข้าสู่ประเทศอื่นๆในแถบเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฯลฯ (ที่มีคนเชื้อสายจีน อพยพไป) ทั้งนี้เพราะรูปลักษณ์ของฝ่ายหญิงแทนค่าในเรื่องเมตตากรุณาได้มากกว่า ในขณะที่รูปลักษณ์อย่างชายนั้น สะท้อนในเรื่องคุณธรรมมากกว่าความเมตตา



ที่ธิเบต แม้ว่าทางด้านภูมิศาสตร์แล้ว จะใกล้เคียงอินเดียและจีน แต่พระโพธิสัตต์ก็นิยมสร้างอย่างเพศมหาบุรุษ และบางรูปลักษณ์นั้นมีรูปลักษณ์น่าสะพรึงกลัว ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพของประเทศธิเบตที่เคยมีความเชื่อเรื่องธรรมชาติ ความเชื่อในเรื่องยักษ์ มาร ภูติ ผี ปีศาจ และอำนาจเร้นลับต่างๆ ซึ่งเป็นอิทธิพลของศาสนาบอนปะที่ธิเบตนับถือกันมาแต่เดิม ก่อนที่พุทธศาสนาจะเข้าไปเผยแพร่ โดยท่านมหาโยคี คุรุปัทมะสัมภวะ (ศาสนาพุทธ แม้จะเกิดขึ้นมานานแล้วก็ตาม แต่ก็ยังถือว่าเกิดภายหลังลัทธิ ความเชื่ออื่นๆ ที่มีอยู่เดิมในแต่ละท้องถิ่น)

พระโพธิสัตต์ในศาสนาพุทธถูกระบุเพศมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ฉะนั้นกฏอันเข้มงวดนี้จึงต้องแทนค่าด้วยความเมตตาและช่วยเหลือให้ประชาชนพ้นทุกข์ จากนั้นจึงวางกุศโลบายอันแยบยลอีกชั้นหนึ่งเพื่อแปลงโฉมกวนอิมโพธิสัตต์ในคราบบุรุษเพศให้เป็นอิสตรี กฏอันเข้มงวดยังคงอยู่ แต่สร้างวัฒนธรรมใหม่ หรือใช้กฏที่เลี่ยงได้ กล่าวคือ ในโลกมนุษย์ กวนอิมคือเพศหญิง ในโลกสวรรค์ กวนอิมคือเพศชาย โดยใช้ตำนานและความเชื่อท้องถิ่นเข้ามาอธิบายความเปลี่ยนแปลงนั้นๆ เทพเจ้าฝ่ายหญิงจะได้รับความนิยมเพียงพระองค์เดียวหาได้ไม่ ดังนั้นจึงเริ่มรวมเอาเทพีท้องถิ่น เข้ามาอยู่ร่วมวงศ์เทวัญ ด้วยการมอบตำแหน่งตามลำดับชั้นลงไป



อวโลกิเตศวร มีความหมายอย่างไร
เนื่องจากพระโพธิสัตต์พระองค์นี้มีชื่อเสียงสูงสุดในประเทศอินเดียมาแต่เดิม และขยายความเชื่อไปยังนานาประเทศในแถบเอเชีย ดังนั้นเรื่องราวของพระองค์จึงได้รับความสนใจจากนักปราชญ์ทางศาสนา โบราณคดี หลายชาติ หลายภาษา ซึ่งแต่ละท่านให้ความหมายของคำว่า อวโลกิเตศวร แตกต่างกันไป มหาปณิธานของพระโพธิสัตต์พระองค์นี้ คือ หากยังมีสัตว์โลก ตกทุกข์ได้ยาก แม้เพียงคนเดียว จะไม่ขอบรรลุพุทธภูมิ นั่นย่อมแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติในด้าน พระมหากรุณา ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน โพธิสัตต์ หมายถึง ท่านผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
อวโลกิเตศวร ประกอบขึ้นด้วยคำ 2 คำ คือ อวโลกิตะ หมายถึง ผู้มองมายังเบื้องล่าง และ อิศวร แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ หรืออวโลกิเตศวร แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ที่มองเห็น พระผู้เป็นเจ้าซึ่งมองดู, พระผู้เป็นเจ้าซึ่งมองลงมาจากเบื้องบน พระผู้เป็นเจ้าผู้มองดูด้วยความเมตตา ผู้ซึ่งได้รับการกล่าวอำลาแล้ว ผู้ที่สามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ คือ อาจจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อใดก็ได้ แต่ทรงปฏิเสธ เนื่องจากความกรุณาสงสารต่อสรรพสัตว์

ในภาษาสันสกฤต พระโพธิสัตต์พระองค์นี้ยังเรียกอีกพระนามหนึ่งว่า อวโลกิตโลเกศวร ทางจีนนั้น พระภิกษุเหี้ยนจัง (พระถังซัมจั๋ง) เรียกเป็นภาษาจีนว่า กวนเซยินเซอไซ , กวนเซอไซ นักปราชญ์ทางพุทธศาสนาบางท่านให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า คำว่า อิศวร นั้น เป็นตำแหน่งที่ติดมากับพระนามอวโลกิตะ เรียกได้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตต์พระองค์เดียวเท่านั้นที่มีตำแหน่งระบุไว้ท้ายพระนาม ในขณะที่พระโพธิสัตต์พระองค์อื่นหามีไม่ นั่นแสดงให้เห็นถึง ความยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตต์พระองค์นี้

TraveLArounD


เรียบเรียงจาก พระอวโลกิเตศวรกวนอิมโพธิสัตต์
พระพุทธศาสนามหายาน คณะสงฆ์จีนนิกาย
(ทีมงาน โอม มะโม กวนซืออิม ผู่สัก )
และ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 18:05:48 น.
Counter : 13534 Pageviews.  

พระอุปคุตตเถระ (พระบัวเข็ม)

พระอุปคุตตเถระ (พระบัวเข็ม)

กาลครั้งนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชทรงดำริว่า จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุบรรจุไว้ในพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ที่สร้างไว้นั้น เพื่อจะได้เป็นที่สักการบูชาแห่งทวยเทพและมวลมนุษย์ทั่วทุกประเทศพระพุทธศาสนาจะได้แผ่ไปอย่างกว้างขวางและวัฒนาสถาพรสืบต่อไป และพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์จะกระทำมหกรรม คือการฉลองใหญ่พระเจดีย์ทั้ง ๘๔,๐๐๐ องค์ทุกๆพระนคร ทั่วสกลชมพูทวีปกับพระมหาสถูปนั้นด้วย พระองค์จึงทรงดำริว่า “เราจะกระทำการฉลองพระสถูปเจดีย์ทั้งหลาย ทั้งจะกระทำมหาสักการบูชาให้ครบกำหนด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน จึงจะสมควรกับศรัทธาปสาทะของเรา ทำอย่างไรจึงจักไม่มีอันตรายในการบำเพ็ญกุศลครั้งนี้ เราควรถามพระอริยสงฆ์ดีกว่า ว่าจะช่วยกันคิดหาทางป้องกันประการใด ”

พระองค์ทรงเสด็จไปสู่พระวิหาร พร้อมด้วยหมู่อำมาตย์ เมื่อทรงนมัสการพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายแล้วประทับ ณ สถานที่อันควร จึงตรัสกับพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระว่า “ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระคุณเจ้าจงช่วยค้นหาพระภิกษุผู้มี มหิทธานุภาพมาเพื่อป้องกันอันตรายในงานมหกรรม คือการบุชา เพื่อฉลองพระสถูปเจดีย์ของโยมที่จะจัดให้มีขึ้นถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ในครั้งนี้แก่โยมด้วยเถิด ”

พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระได้ฟังพระราชดำรัสแล้ว ถวายพระพรว่า “ ขอถวายพระพระบรมบพิตรพระราชสมภาร พระราชปริวิตกของพระมหาบพิตรนี้ อาตมาภาพจะขอรับภารธุระแสวงหาและเลือกพระภิกษุผู้ทรง อิทธิฤทธิ์
มาช่วยการกระทำมหากรรมในครั้งนี้ ขอถวายพระพร ”

พระเจ้าอโศกมหาราชทรงโสมนัสอย่างยิ่งต่อถ้อยคำรับรองของพระเถระแล้วทรงนมัสการลาเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระและพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมด ได้ช่วยกันพิจารณาหาเหตุแห่งอันตรายในการบำเพ็ญพระราชกุศลของพระเจ้าอโศกมหาราช ก็ได้เห็นอันตรายแน่ชัดนั้นว่าจะมีพระยามาร มาทำลายพิธีกรรมในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในครั้งนี้อย่างแน่นอน จึงได้ปรึกษากันเพื่อหาผู้มีฤทธิ์เดชที่จะสามารถต่อสู้ป้องกันภัยพิบัติอันตรายจากพระยามารในครั้งนี้ได้



ครั้นรุ่งขึ้นได้สองวันแล้วก็ยังหาผู้ที่มีความสามารถที่จะปราบพระยามารในครั้งนี้ไม่ได้ ในขณะนั้นเอง ได้มีพญานาคตัวหนึ่งได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามจึงได้ขึ้นมาจากนาคพิภพเพื่อจะนมัสการพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวง ในเวลาที่พญานาคได้ถวายวันทนาการพระภิกษุสงฆ์อยู่นั้นก็พอดีมีพญาครุฑตัวหนึ่งบินผ่านมาได้เหลือบแลลงมาเห็นพญานาคเข้า ก็คิดว่าวันนี้ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้อาหารอันโอชะเป็นเลิศช่างเป็นลาภปากของแท้ๆ ที่บินผ่านมาที่นี้ ว่าแล้วก็บินโฉบลงมาเสียงลมปีกกระพือตัดอากาศเสียงดังสนันหวั่นไหว

ฝ่ายพญานาคได้ยินเสียงนั้น ก็รู้ได้ในทันทีถึงอันตราย ด้วยสัญชาตญาณว่า
นั่นคือเสียงลมปีกกระพือของพญาคุรฑ ถึงกับสะดุ้งตกใจกลัวจนตัวสั่น จะชำแรกแทรกลงแผ่นดิน หนีลงไปก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว จึงได้เข้าไปหลบอยู่ในระหว่างเท้าของพระสังฆ์เถระทั้งหลายและได้ร้องวิงวอนขอร้องว่า “ขอพระคุณเจ้าจงช่วยป้องกันชีวิตของข้าพระเจ้าด้วยเถิด ”

พระสังฆเถระเหล่านั้นได้กล่าวกับพญานาคว่า “ อาตมาไม่อาจช่วยป้องกันชีวิตของท่านได้หรอก พญานาค ” ในที่สังฆสันนิบาตนั้น (ประชุมสงฆ์) ได้มีสามเณรอาคันตุกะรูปหนึ่ง อายุประมาณ ๗ ขวบ นั่งอยู่ข้างหน้าอาสนของพระสงฆ์ฯ พระสงฆ์เห็นเหตุร้ายจะเกิดขึ้นเช่นนั้น จึงกล่าวกับสามเณรน้อยรูปนั้นว่า “ ดูก่อนสามเณร เธอจะช่วยป้องกันอัตราย ให้พญานาคได้รอดพ้นจากการเบียดเบียนของพญาครุฑได้หรือไม่ ” สามเณรน้อยกล่าวออกตัวแกมปฏิเสธว่า “ ข้าแต่พระเดชพระคุณทั้งหลายผู้เจริญ พระเดชพระคุณท่านทั้งหลายเป็นผู้ใหญ่ยังมิอาจป้องกันภยันตรายให้แก่พญานาคได้ ส่วนกระผมเป็นสามเณรเล็กเป็นเด็ก เหตุไฉนเลยจะสามารถคุมครองป้องกันภยันตรายได้เล่า ขอรับ ” พระภิกษุทั้งหลายจึงได้ช่วยกันปลอบประโลมขอร้องให้สามเณร จงช่วยป้องกันชีวิตของพญานาคนี้ด้วยเถิด

สามเณรน้อยผู้มีฤทธิ์ ก็จำยอมแล้วกล่าวว่า “ ตกลงขอรับกระผมจะช่วยป้องกันอันตรายให้แก่พญานาคในครั้งนี้ กระผมจะไล่ให้พญาครุฑปลิวไปประดุจปุยนุ่นไปในอากาศเลยขอรับ ” ครั้นพญาครุฑบินโฉบต่ำลงมาสูงเกือบเท่าคนยืน แต่สามเณรน้อยก็ยังคงยืนนิ่งเฉยอยู่ พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจึงได้ร้องเตือนสามเณรว่า “ ดูก่อนสามเณร เธอจงไล่ครุฑโดยเร็วเถิด ” สามเณรก็เข้าฌานสมาบัติโดยฉับพลัน อธิษฐานให้บังเกิดลมพายุอันร้ายแรงเหมือนลมยุคันตวาด (หมายถึงลมที่ มาทำลายโลกเมื่อสิ้นยุค) พัดพญาครุฑให้ปลิวหนีหายไป ประดุจปุยนุ่นถูกลมพายุใหญ่พัดพาไป
ฉะนั้น

เมื่อพญานาคเห็นเช่นนั้นก็โล่งอก เรารอดตายในครั้งนี้ก็ด้วยสามเณรน้อยองค์นี้เป็นผู้ช่วยช่วยชีวิตเราไว้ พร้อมทั้งกล่าวคำสรรเสริญและกราบลาพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายแล้วแทรกแผ่นดินกลับไปสู่นาคพิภพ พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจึงได้ซักถามสามเณรน้อยว่า “ ดูก่อนสามเณรเหตุไฉนเธอจึงได้ปฏิเสธในตอนแรก รู้ไหมว่ากระทำการอย่างนี้ไม่สมควร เอาล่ะ อาตมาพร้อมทั้งพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายที่อยู่ในที่นี่จะลงทัณฑกรรม เธอ” สามเณรน้อยจึงได้กราบเรียนว่าถามว่า “ พระเดชพระคุณทั้งหลายจะลงทัณฑกรรมแก่กระผมประการใด ขอรับ ”

“ ดูก่อนสามเณร บัดนี้พระเจ้าอโศกมหาราชจะทรงกระทำมหกรรมคือการฉลองพระมหาสถปเจดีย์โดยมีกำหนดนานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน เกรงว่าพระยามารจะการะทำอันตรายในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เธอจงมาช่วยป้องกันอันตรายของพระยามารในครั้งนี่ กิจอันนี้แหละเป็นทัณฑกรรมที่พระภิกษุสงฆ์จะลงโทษแก่เธอ ”

“ ข้าแต่พระเดชพระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย กระผมเป็นเพียงสามเณรทั้งอายุและฤทธิ์ก็ยังน้อยนิด ไม่สามารถจะป้องกันของพระยามารได้ กระผมเห็นจะมีแต่พระนาคอุปคุตตเถระ ที่มีมหิทธิฤทธิ์ภานุภาพยิ่งล้น และจะทรมานพระยามารให้ปราชัยได้ ขอรับ ”



“ ดูก่อนสามเณร พระอุปคุตตเถระผู้มีอนุภาพมากกว่าเธอรูปนั้น ท่านอยู่ที่ไหน ” สามเณรตอบว่า “ ข้าแต่พระเดชพระคุณผู้เจริญ พระอุปคุตตเถระ ท่านได้ทำลายอุทกขันธ์ลงไปเนรมิตปราสาทแก้ว ๗ ประการ จำพรรษาอยุ่ในท้องมหาสมุทร (ที่สะดือทะเล) เพื่อหลบหนีความวุ่นวายสับสนอลหม่าน
ท่านนั่งเข้าฌานสมาบัติอยู่บนรัตนบัลลังก์ ในท่ามกลางปราสาทแก้วนั้น ไม่ได้ฉันภัตตาหารมาเป็นเวลานาน ถ้าท่านได้มาสู่สังฆสมาคมนี้ ก็จะสามารถทรมานพระยามารผู้มีใจบาปให้พ่ายแพ้ด้วยฤทธิ์เดชอันยิ่งใหญ่ของท่านได้ ดังมีเรื่องกล่าวว่า สมัยเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนมายุอยู่ ได้ตรัสพยาการณ์ไว้ว่า ต่อไปในอนาตคกาลข้างหน้า จะมีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่า พระอุปคุตต์ จะได้ทรมานพระยามารให้ละพยศหมดความเลวร้ายอหังการยอมพ่ายแพ้อานุภาพของท่าน แล้วจะกล่าวปฏิญาณปรารถนาพุทธภูมิ คือ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า พระเดชพระคุณท่านทั้งหลายได้ทราบถึงพยากรณ์นี้บ้างไหม ขอรับ ”

พระภิกษุทั้งหลายได้ฟังคำบอกเล่าของสามเณรน้อยแล้ว ทุกองค์ต่างก็พากันชื่นชมยินดี ทั้งให้ความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า จะไปนิมนต์ พระอุปคุตตเถระ จึงได้จัดพระภิกษุ ๒ รูป ผู้ได้อภิญญาสมาบัติไปนิมนต์พระอุปคุตตเถระ เมื่อพระภิกษุ ๒ รูปรับหน้าที่เป็นสมณฑูต ก็ใช้อภิญญาฤทธิ์ดำดินลงไปที่ปราสาทแก้วของพระอุปคุตตเถระ แล้วเข้าไปกราบนมัสการและบอกให้ทราบถึงความประสงค์ของพระสงฆ์ทั้งหลายที่ได้ใช้มานิมนต์ขึ้นไปสังฆสันนิบาต

พระอุปคุตตเถระกล่าวกับพระภิกษุทั้ง ๒ รูป ด้วยกิริยาที่แสดงความเคารพในพระสงฆ์ มิได้แสดงอาการขัดขืนหรือแข็งกระด้างแต่ประการใดเลยว่า
“ ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท่านทั้งสองจงล่วงหน้าไปก่อนเถิด กระผมจะตามไปในภายหลัง ” เมื่อส่งพระภิกษุ ๒ รูปให้ออกเดินทางไปก่อนแล้ว พระอุปคุตตเถระได้ไปด้วยอิทธิฤทธิ์อันรวดเร็วยิ่งนัก และได้ไปถึงสถานที่สังฆสันนิบาตก่อนพระภิกษุทั้ง ๒ รูปนั้นเสียอีก เมื่อไปถึงแล้วจึงกระทำความเคารพพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวง เสร็จแล้วก็นั่งบนอาสนะอันสมควรแก่ตน พอพระภิกษุสมณฑูตทั้งสองรูปมาถึงที่ประชุมสงฆ์นั้น ได้แลเห็นพระอุปคุตตเถระมานั่งอยู่ก่อนแล้ว ก็ให้บังเกิดความประแปลกประหลาดใจ จึงกล่าวกับพระเถระว่า “ ท่านส่งกระผมทั้งสองให้ล่วงหน้ามาก่อน และบอกว่าข้าพเจ้าจะตามมาทีหลัง แต่เหตุไฉนท่านกลับมานั่งอยู่ในที่นี้ก่อนพวกกระผมอีกนี่แสดงให้เห็นว่าท่านมีมหิทธิฤทธิ์เหลือล้น ขอรับ ”



ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวง ก่อนที่จะมอบหน้าที่รับผิดชอบให้พระอุปคุตตเถระ ก็ได้กล่าวตำหนิพระเถระว่า “ ดูก่อนท่านอุปคุตต์ ท่านไม่ได้ร่วมสามัคคีอุโบสถกับพระภิกษุสงฆ์ และไม่ได้ช่วยเหลืองานของพระศาสนา หลบไปหาความสงบสบายแต่ลำพังแต่ผู้เดียว ขาดความเคารพในสงฆ์ เป็นการขัดกับพระพุทธประสงค์ แม้แต่พระมหากบินเถระพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงตรัสติเตียน เพราะเหตุที่ไม่เคารพในสงฆ์ ฉะนั้นท่านสมควรที่จะถูกพระภิกษุสงฆ์ลงทัณฑกรรม ” (ทัณฑกรรม คือการลงโทษ หรือลงอาญา)

พระมหาเถระได้ฟังเหตุผลของพระภิกษุทั้งปวงแล้ว ก็ยอมรับความผิดนั้นด้วยดี กราบขอขมาโทษพร้อมกับกล่าวว่า “ พระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงจะลงทัณฑกรรมประการใด กระผมพร้อมที่จะน้อมรับทัณฑกรรมประการนั้น ขอรับ ”

“ ดูก่อนท่านอุปคุตต์ พระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดจะยังไม่อดโทษให้ในตอนนี้
แต่จะอดโทษให้ก็ต่อเมื่อท่านได้ช่วยกระทำงานป้องกันอันตรายถวายแด่พระมหากษัตริย์ได้แล้วนั้นแหละ คือพระเจ้าอโศกมหาราชผู้ทรงเป็นสังฆอุปฏฐาก ทรงมีพระราชสัทธาปนาการจะทรงกระทำมหกรรม คือ การฉลองพระสถูปในพระนครนี้ โดยกำหนดจะกระทำอธิการสักการบูชา เป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ท่านจะทรงรับภารธุระป้องกันพระยามาร อย่าให้มากระทำอันตรายในงานทรงบำเพ็ญพระราชมหากุศลครั้งนี้ งานนี้แหละเป็นทัณฑกรรมที่พระสงฆ์ลงแก่ท่าน”

พระมหาเถระได้รับฟังการลงทัณฑกรรมจากพระภิกษุสงฆ์จึงยอมรับด้วยดี ลุกขึ้นกราบเท้าพระมหาเถระทั้งหลายแล้วกล่าวว่า “ ถ้าหากกระผมแสวงหากัปปิยบิณฑบาต คือบิณฑบาตอันควร และได้ฉันกัปปิยะภัตแล้ว ก็อาจที่จะกำจัดพระยามารไม่ให้มากระทำอันตรายในการทรงบำเพ็ญบุญของพระบรมกษัตริย์ได้ อนึ่งพระบรมศาสดาได้ทรงพิจราณาเห็นเหตุนี้แล้ว จึงได้ตรัสพยากรณ์ไว้ว่า ในอนาคตกาลข้างหน้า จะมีภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อว่า อุปคุตต์ จะทรมานพระยามารให้ละพยศหมดความร้ายกาจ ”

ครั้นรุ่งเช้า พระเจ้าอโสกมหาราชเสด็จมาสู่พระอารามทรงนมัสการพระภิกษุแล้วตรัสถามถึงเรื่องที่พระองค์ทรงได้ขอร้องไว้ พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระผู้เป็นประธานแห่งสงฆ์ทั้งปวงได้ถวายพระพรว่า “ขอถวายพระพร บรมบพิตรพระราชสมภาร พระภิกษุทั้งปวงได้หาพระภิกษุที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นนักปราชญ์มีความรอบรู้ในพระธรรมวินัยพุทโธวาท ทั้งสมบูรณ์ด้วยศีลาจารวัตร และมี มหิทธิฤิทธิ์เป็นเลิศ จักสามารถป้องกันอันตรายจากหมู่มารที่จะมากระทำอันตรายในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในครั้งนี้ได้ และจะช่วยให้การทรงบำเพ็ญพระราชกุศลของพระมหาบพิตรสำเร็จลงโดยความเรียบร้อยเป็นอันดี ขอถวายพระพร ”

“ พระภิกษุรูปนั้นอยู่ที่ไหน มีชื่อว่ากระไร ”

พระเถระยกมือชี้ไปที่พระอุปคุตตเถระ พร้อมทั้งกับถวายพระพรตอบว่า “ ขอถวายพระพรบรมบพิตรราชสมภาร พระภิกษุนั้นอยู่ที่นี่แล้ว มีชื่อว่า “พระกีสนาคอุปคุตตเถระ ขอถวายพระพร ”



พระเจ้าอโศกมหาราชเสด็จเข้าไปใกล้พระอุปคุตตเถระแล้วทรงกระทำนมัสการ และทอดพระเนตรเห็นพระมหาเถระมีร่างกายผอมมาก จึงทรงดำริว่า “พระมหาเถระนี้จะมีอนุภาพสามารถที่จะป้องกันอันตรายจากพระยามารได้หรือไม่หนอ ” ทรงนมัสการลาพระภิกษุสงฆ์ และทรงลุกขึ้นไป จากที่ประทับ แล้วเสด็จลากลับพระราชนิเวศน์

รุ่งขึ้นวันที่สอง พระเจ้าอโศกมหาราชทรงปริวิตกกังวลพระทัยจึงทรงดำริว่า “เราควรจะทดสอบพระมหาเถระดูว่า ท่านจะมีฤทธานุภาพจริงหรืออย่างไร ” ในรุ่งเช้าของวันนั้นพระอุปคุตตเถระได้เข้าไปบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์เพื่อจะยังพระราชหฤทัยของพระเจ้าอโศกมหาราชให้ทรงเห็น และเกิดปีติโสมนัส พอได้รับบิณฑบาตจากพระเจ้าอโศกมหาราชแล้วท่านจึงกลับออกมานอกประตูพระราชวัง พระเจ้าอโศกมหาราชได้ตรัสสั่งนายควาญช้างให้เตรียมปล่อยช้างซับมัน อันเป็นช้างที่ได้รับการฝึกหัดมาดีแล้ว เพื่อจะทดลองกำลังฤทธานุภาพของพระมหาเถระดูว่า จะสู้กับช้างของพระองค์ได้หรือไม่ประการใด เพราะถ้าหากต่อสู้กับช้างไม่ได้แล้ว ไฉนเลยต่อสู้กับพระยามารได้เล่า

เมื่อพระมหาเถระออกมาพ้นประตูพระราชวังแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชจึงทรงให้สัญญาณแก่นายควาญช้าง ให้ปล่อยช้างพระที่นั่ง แผดเสียงร้องกึกก้อง แล้วช้างก็ได้วิ่งไล่ติดตามพระเถระไปด้วยอาการอันดุดัน ประสงค์ร้าย พร้อมที่จะบดขยี้พระมหาเถระให้แหลกลาญในพริบตา แต่เมื่อช้างนั้นวิ่งเข้ามาใกล้พระมหาเถระ พอเงาของช้างซับมันว่าวิ่งไล่ติดตามมา พระมหาเถระก็นึกรู้ได้ทันทีว่า ช้างเชือกนี้พระราชาทรงแสร้งปล่อย เพื่อจะทดลองดูฤทธิ์ของเรา ท่านจึงได้อธิษญานจิตว่า “ ขอให้ช้างนี้จงกลายเป็นช้างศิลายืนอยู่ที่นี่เถิด ” แล้วพระมหาเถระก็ได้เดินจากสถานที่แห่งนั้นไป

พระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากที่รับสั่งให้นายควาญช้างปล่อยช้างออกไล่วิ่งตามพระมหาเถระแล้ว พระองค์ทรงเป็นห่วงเกรงว่าช้างจะไปทำร้ายพระมหาเถระจนถึงแก่มรณภาพเข้า จึงรีบเสด็จตามมา ครั้นพอทอดพระเนตรเห็นช้างยืนนิ่งมิได้ไหวติงราวกับช้างศิลาเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงบังเกิดความพิศวงงงงวยสงสัย แล้วทรงดำริว่า “ มงคลหัตถีบริบูรณ์ด้วยสรรพลักษณะปานดังนี้ ทำไมมายืนแน่นิ่ง ร่างกายมิได้เคลื่อนไหวประดุจรูปช้างศิลาเช่นนี้ อานุภาพของพระมหาเถระช่างน่าอัศจรรย์แท้ๆ ท่านคงมีฤทธิ์สามารถป้องกันอันตรายจากพระยามารได้เป็นแน่ เราหมดความปริวิตกในเรื่องนี้แล้ว” จึงเสด็จตามพระมหาเถระมาโดยด่วน พอทันกับพระอุปคุตตเถระ ก็ทรงอภิวาทแล้วตรัสขอขมาโทษต่อพระมหาเถระว่า “ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้าจงอดโทษให้แก่โยมด้วยเถิด การที่โยมกระทำในครั้งนี้ มิได้มีความปรารถนาจะบีฑายายีพระคุณเจ้า แต่กระทำลงไปเพื่อจะทดลองดูฤทธิ์ ของพระคุณเจ้าให้เห็นประจักษ์ และโยมก็ได้เห็นแล้วโดยมิต้องเชื่อคำบอกกล่าวเล่าลือของผู้อื่นอีกต่อไป ”

“ ขอถวายพระพร พระบรมบพิตรราชสมภาร อาตมามิได้ถือโทษแต่อย่างไร
ขอมหาบพิตรจงมีความสุขสวัสดิ์วัฒนาสถาพร และคชสารพระที่นั่งนั้นจงมีความสุข แล้วกลับไปอยู่ในที่ของตน ตามปรกติเถิด ขอถวายพระพร ” เมื่อพระมหาเถระกล่าวเพียงเท่านี้ ช้างพระที่นั่งก็สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้
แล้วเดินกลับไปที่อยู่ของตน ในกาลนั้นมหาชนผู้รู้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้ต่างก็เกิดความประหลาดใจ ต่างก็โจษจันกันเรื่องของอิทธิ์ฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระอุปคุตตเถระ

พอถึงวันกำหนดวันงานฉลองพระพระมหาสถูปเจดีย์ ที่ทรงสร้างไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา และพระวิหารตลอดกระทั้งพระมหาเจดีย์ทั้งหลาย พระเจ้าอโศกมหาราชเสด็จพร้อมด้วยพระบรมศานุวงศ์ มหาเสนาบดี เหล่าอำมาตย์ทั้งหลาย และบรรดาเศรษฐี พราหมณ์ พร้อมทั้งประชาชนทุกหมู่เหล่าล้วนตกแต่งร่างกายด้วยสรรพาภรณ์อันวิจิตรตระการตา พร้อมทั้งเครื่องปูชนียภัณฑ์ต่างๆ เช่น ดอกไม้ธูปเทียนของหอมเป็นต้น เครื่องดนตรีนานาชนิดได้มาร่วมประชุมกันประโคมเสียงอึกทึกคึกโครมสนั่นหวั่นไหว ณ ลานพระมหาสถูปเจดีย์นั้น

เมื่อขบวนของพระเจ้าอโศกมหาราช เสด็จมาสู่ลานพระจุฬามณีเจดีย์สถาน พระองค์ตรัสสั่งให้เริ่มพิธี แล้วจุดประทีปบริเวณสถานที่รอบๆ พระมหาเจดีย์นั้น กว้างประมาณครึ่งโยชน์ และตามริมฝั่งแม่น้ำคงคา บริเวณที่ทำพิธีและริมฝั่งแม่น้ำ ได้สว่างไสวไปด้วยดอกไม้และไฟประทีปอันนับไม่ถ้วน นั้นสว่างราวกลางวันก็ไม่ปาน พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายที่ได้เข้ามาร่วมพิธี เพื่อนมัสการพระมหาเจดีย์จำนวนมาก โดยมีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน

ในขณะนั้น พระยาวัสวดีมารผู้มีใจหยาบช้า (อุปมาเหมือนคนชั่วไม่รู้จักความดี) ทราบว่าพระเจ้าอโศกมหาราชจะทรงกระทำมหาสักการบูชาฉลองพระมหาสถูปเจดีย์กับพระอาราม เป็นงานที่ยิ่งใหญ่มโหฬารตระการตานัก ก็มีจิตริษยา คิดจะขัดขวางทำลายพิธีกรรมการกุศลทั้งหลายเสีย จึงได้รีบลงมาจากสวรรค์ชั้นนรนิมมิตวดีในเทวโลก ครั้นแล้วได้แสดงอิทธิฤทธิ์บันดาลให้ท้องฟ้ามืดมัวและพายุใหญ่ก็พัดพามาแต่ไกล เพื่อต้องการจะทำลายพิธีสักการบูชาพระมหาสถูปเจดีย์ด้วยแรงใจอิจฉาริษยาของพระยามารที่ไม่ต้องการเห็นใครได้ดีกว่าตน

ส่วนพระอุปคุตตเถระ ผู้รับหน้าที่ป้องกันอันตรายมิให้เกิดในงานมหกรรมนี้
ได้พิจารณาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ผิดปรกติเช่นนี้ ท่านเข้าสมาบัติก็ทราบได้ในทันทีว่า พระยามารได้เริ่มกระทำทำลายพิธิการบำเพ็ญกุศลแล้ว ท่านจึงใช้อิทธิฤทธิ์ด้วยอธิษฐานานุภาพ ปัดเป่าให้พายุใหญ่ของพระยามารนั้นอันตรธานหายไป พระยามารเมื่อบันดาลพายุใหญ่ร้ายแรงเพื่อทำลายพิธีนั้นไม่ได้ผล ก็โกรธแค้นจึงบันดาลให้ห่าฝนทรายกรดอันรุ่งโรจน์ ดุจเพลิงตกลงมา ให้เป็นเม็ดฝนกรวดกรด ห่าฝนก้อนศิลา ห่าฝนถ่านเพลิง ห่าลมกรด ห่าฝนเถ้ารึง (ได้แก่ กองเถ้าที่ไม่มีถ่านไฟ แต่ยังมีความร้อนระอุอยู่) ห่าฝนเปือกตม ให้ตกลงมาเป็นลำดับกัน และยังบันดาลให้เกิดมืดมิดทมึนทึน ปรกคลุมบริเวณนั้นจนน่ากลัวอีก

พระมหาเถระก็อธิษฐานจิต อิทธิฤทธิ์หอบเอาห่าฝนเหล่านั้น และความมืดมิดของพระยามารไปทิ้งเสียนอกขอบจักรวาล แล้วพระยามารยิ่งโกรธแค้นจัด จึงเนรมิตร่างกายตนเป็นสัตว์ดุร้ายต่าง เช่นโคใหญ่วิ่งเข้าไปหมายจะชนทวีปให้แหลกพังพินาศไปกับตา พระมหาเถระก็เนรมิตร่างกายเป็นรูปพยัคฆ์ใหญ่ วิ่งไล่กวดจับเจ้าโคร้าย เจ้าโคร้ายพระยามารเห็นเช่นนั้นก็ตกใจส่งเสียงร้องหวาดกลัวจนสนั่นหวั่นไหวไปทั้วทั้งบริเวณ

พระเจ้าอโศกมหาราชและเหล่าอำมาตย์เสนาบดีพ่อค้าเศรษฐีและประชาชนต่างก็เฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยใจสั่นระทึก สัตว์ทั้ง ๒ ต่อสู้ไม่นาน โคร้ายพระยามารก็เป็นพ้ายแพ่แก่พยัคฆ์ใหญ่พระมหาเถระ โคร้ายพระยามารจึงได้กลับกายร่างเป็นรูปพยานาคมี ๗ เศียร ตรงเข้าคาบกายของพยัคฆ์ใหญ่พระมหาเถระ พระมหาเถระก็กลายร่างเป็นพญาครุฑแล้วกลับกลายคาบเอาศีรษะของพระนาคพระยามารลากไปจนพระยามารต้องปราชัยอีกครั้ง

แต่พระยามารก็ยังไม่ยอมแพ้ รีบแปลงร่างจากพระยานาคเป็นยักษ์ใหญ่ตัวโตมโหฬาร ทั้งหน้าตาก็ดุร้าย เป็นที่น่ากลัวยิ่ง ในมือถือตะบองทองแดงอันใหญ่เท่าลำต้นตาลใหญ่ กวัดแกว่งเสียงดังก้องกำประนาท เข้าไปประทัตประหารพระยาครุฑพระเถระทันที ฝ่ายพระยาครุฑพระเถระจึงเปลี่ยนแปลงร่างจากพระยาครุฑเป็นยักษ์ที่ใหญ่กว่ายักษ์พระยามารอีกสองเท่า ในมือก็ถือสองตะบองไฟกวัดแกว่ง ไล่ตีศีรษะของยักษ์พระยามาร จนยักษ์พระยามารต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน

เมื่อพระยามารบันดาลอิทธิฤทธิ์หลายประการก็แล้ว แต่พระมหาเถระก็สามารถแก้อิทธิฤทธิ์ของตนให้ต้องพ้ายแพ้ตลอด และไม่สามารถที่จะเอาชนะต่อพระมหาเถระได้ จึงคิดว่า ไม่ว่าเราจะเนรมิตเป็นรูปอะไรที่ร้ายแรงแค่ไหนอย่างไร พระเถระรูปนี้ก็เนรมิตรูปนั้นให้ใหญ่กว่าและมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าเป็นหลายเท่า เราจะทำประการใดดีหนอ เห็นทีว่าเราคงจะต้องพ่ายแพ้แก่สมณะรูปนี้เสียแล้วกระมัง จึงได้ตัดสินใจแสดงตัวให้ปรากฏเป็นรูปเดิมคือพระยาวัสสดีมาร ยืนอยู่ตรงหน้าของพระมหาเถระ

พระอุปคุตตเถระได้คิดค้นหาวิธีที่จะสยบปราบพระยามารนี้ให้สิ้นฤทธิ์
ว่าเราจะกระทำให้ยักษ์ตนนี้ ละพยศสิ้นฤทธิ์สิ้นให้ปลดเปลื้องความชั่วร้าย ให้หันกลับมาเป็นดี เมื่อพระมหาเถระคิดดังนี้แล้วจึงได้แปลงกายจากยักษ์ใหญ่กลับมาเป็นพระมหาเถระตามเดิม และก็ได้เนรมิตสุนัขเน่า มีกลิ่นเหม็นคลุ้ง เต็มไปด้วยหมู่หนอนที่เข้าซอนไซกันยั๊วเยี้ยะ มองดูแล้วน่าขยะแขยง แล้วให้ไปผูกติดไว้ที่คอของพระยามาร พร้อมกับอธิษฐานจิตว่า “ ไม่ว่าบุคคลผู้ใดก็แล้วแต่ หรือกระทั่ง เทพยดา พรหม ขออย่าให้สามารถปลดเปลื้องหรือแก้ออกได้ ” แล้วพระเถระก็กล่าวกันพระยามารว่า “ ดูก่อนมารผู้มีใจบาป หยาบช้า ท่านจงไปจากที่นี้ได้แล้ว ”

ฝ่ายพระวัสวดีมาร มีซากของสุนัขเน่า ผูกติดคออยู่ โดยที่ตัวเองไม่สามารถที่จะแกะออกได้ ไม่ว่าจะทำอย่างไร ซากสุนัขเน่าก็ไม่หลุดออก จนได้หมดอาลัยตายอยาก ให้กลัดกลุ้มและอับอายแก่เทพบุตรเทพธิดา และมวลอมนุษย์สุดจะทนไหว จึงได้เหาะขึ้นไปยังสำนักของท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ คือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิปักข์ และท้าวเวสสุวัณ ได้กล่าววิงวอนให้ท่านทั้งหลายช่วยปลดเปลื้องซากสุนัขเน่านี้ ออกจากคอให้ที ท่านท้าวทั้ง ๔ จึงได้ถามถึงสาเหตุที่มาที่ไป พระยาสวัสดีมารจึงได้เล่าเรื่องให้ฟังและกล่าวว่า “ พระอุปคุตตเถระ ท่านได้เอาซากสุนัขเน่ามาผูกติดคอของข้าพระเจ้าไว้ ท่านทั้งหลายจงช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด”

ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ พอได้ยินชื่อของพระเถระแล้ว จึงพากันกล่าวว่า “ข้าแต่พระยามาร พระเถระรูปนั้นท่านมีฤทธานุภาพยิ่งนัก เมื่อท่านเป็นผู้ผูกไว้ พวกข้าพเจ้าก็หมดความสามารถที่จะช่วยแก้ออกให้ท่านได้ ” พระยามารเมื่อไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ได้ จึงได้เหาะไปสู่สำนักของพระอินทร์ มี ท้าวสุยามา ท้าวสันดุสิต และท้าวสหัมบดีมหาพราหม พระยามารได้กล่าวขอร้องอ้อนวอนให้ช่วยแก้มัดซากสุนัขเน่านี้ออกจากคอของตนที เทวราชทั้งหลายพร้อมทั้งท้าวสหัมบดี ก็กล่าวกับพระยามารว่า “ พวกข้าพเจ้ามิอาจจะแก้ซากสุนัขเน่านี้ออกได้ เพราะพระภิกษุรูปนั้น เป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา (ความรู้ยิ่ง) ๖ ประการ ท่านเป็นพุทธสาวกผู้ปกอปรด้วยมหิทธิเดช ท่านจงกลับไปที่สำนักของพระภิกษุรูปนั้นเถิด แล้วกล่าวขอร้องท่านด้วยวาจาอันสุภาพอ่อนหวาน แล้วท่านก็จะช่วยแก้ออกให้ท่านเอง ส่วนผู้อื่นนั้นเกรงกลัวอานุภาพของท่าน ไม่มีใครกล้าที่จะแก้ออกให้ท่านได้หรอก”

เมื่อพระยามารได้ฟังคำของเทวราชทั้งหลายแล้ว ก็รันทดท้อใจ หมดสิ้นเรี่ยวแรงความคิดที่จะพึ่งพาผู้อื่นให้ช่วยเหลือในครั้งนี้ไม่มีอีกแล้ว จึงต้องจำใจกลับไปหาพระอุปคุตตเถระ พร้อมกับซากสุนัขเน่าผูกติดอยู่ที่คอให้สุดแสนที่อะอับอาย แล้วเข้าไปกราบแทบเท้าของพระมหาเถระ แล้วกล่าวรับสารภาพผิดต่างๆ แล้วกล่าวอ้อนวอนด้วยวาจาอันสุภาพ ต่อพระเถระทั้งอาราธนาว่า “พระคุณเจ้าผู้เจริญขอท่านจงโปรดเมตตากรุณาช่วยปลดเปลื้องซากสุนัขเน่านี้ ให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด พระคุณเจ้าเป็นผู้ชนะ ส่วนข้าพเจ้าเป็นผู้แพ้ จะไม่คิดต่อสู้กับพระคุณเจ้าอีกแล้ว”

พระเถระพิจารณาเห็นว่า นี่เป็นโอกาสเหมาะ ที่เราควรจะทรมานจับพระยามารมัดไว้ก่อน จนกว่างานมหกรรมของพระเจ้าอโศกมหาราชจะเสร็จสิ้น ท่านจึงกล่าวว่า “ ดูก่อนพระยามารท่านจงไปที่ภูเขาลูกนั้นเถิด ” พระยามาร ดีใจไม่รอช้ารีบไปยังภูเขาตามที่พระมหาเถระชี้บอกทันที พระมหาเถระได้ตามไปแก้เอาซากสุนัขเน่าออกจากคอออกให้ แต่ท่านก็เห็นว่าควรจะจับพระยามารนี้ไว้ก่อน จึงได้แก้รัดประคตออกจากเอวของท่าน และได้อธิษฐานจิตให้ประคตนั้นยาวพอที่จะมัดพระยามารติดกับภูเขา แล้วท่านก็จัดการผูกมัดรวบไว้กับภูเขาอย่างมั่นคงพร้อมกับบอกกับพระยามารว่า “ดูก่อนพระยามาร ท่านจงอยู่ที่ภูเขานี้ รอจนกว่าพระเจ้าอโศกมหาราช จะทรงกระทำมหากรรมพิธีใหญ่ คือบูชาพระมหาสถูปเจดีย์และอารามต่างๆ จนแล้วเสร็จแล้วอาตมาจึงจะมาแก้มัดออกให้”

พระยาวัสสดีมาร จำต้องถูกผูกติดกับภูเขาเป็นการประจาน ด้วยโทษฐานเป็นผู้มีใจบาป คอยขัดขวางทำลายของผู้กระทำความดีของผู้อื่น อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ งานมหกรรมการฉลองพระมหาสถูปเจดีย์ และพระอารามต่างๆ มีกำหนด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ของพระเจ้าอโศกมหาราชได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยปราศจากพระยามารมาขัดขวาง เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย

พระอุปคุตตเถระเมื่อเห็นว่างานมหกรรมกุศลได้สำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้ว จึงได้ไปยังภูเขาที่จับพระยามารผูกติดไว้กับภูเขา แต่ท่านได้แอบบังกายของท่านอยู่เบื้องหลัง เพื่อจะฟังว่า พระยามารจะกล่าวว่าอย่างไรบ้าง ฝ่ายพระยามารนั้นเมื่อได้ถูกพระอุปคุตตเถระจับมัดไว้กับภูเขาถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ก็ละพยศหมดความดุร้าย กลับหวนคิดถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วได้กล่าวรำพันสรรเสริญขึ้นว่า “เมื่อสมัยพระพุทธองค์ประทับเหนือรัตนบัลลังก์ ณ ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ข้าพระบาทมิอาจจะอดกลั้นความโกรธอิจฉาริษยาไว้ได้ จึงได้ขว้างจักรอันคมกล้า ที่จะสามารถจะตัดวชิรบรรพต ให้ขาดสะบั้น ภายในพริบตาเดียว ราวกับตัดหน่อไม้ไผ่ฉะนั้น แต่พระพุทธองค์ทรงพิจารณาพระบารมี ๓๐ ประการ มีทานเป็นต้น และมีอุเบกขาเป็นที่สุด จักรนั้นพลันกลับกลายเป็นดอกไม้ กั้นเป็นเพดานอยู่เบื้องบน ส่วนพวกพลบริวารนั้นเล่า ได้ขว้างอาวุธต่างๆไปยังพระพุทธองค์ แต่ว่าอาวุธเหล่านั้นได้กลับกลายเป็นพวงบุปผาชาติ ตกลงยังพื้นดิน ในที่สุดข้าพระบาทก็ต้องพ่ายแพ้ต่อพระองค์ ” พระยามารระลึกถึงพระพุทธคุณกล่าวคะถาว่า “ นโม เต ปุริสาชัญญา” เป็นอาทิ ซึ่งมีความหมายว่า “ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณกระทำประโยชน์แก่สรรพสัตว์ และเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวง ผู้หาที่พึ่งมิได้สิ้นกาลนานโข พระพุทธองค์ทรงประเสร็ฐด้วยคุณ หาผู้เสมอมิได้ จงมาเป็นที่พึ่งของข้าพระบาทในบัดนี้ ในกาลก่อนข้าพระบาทชื่อว่าวัสสวดี กระทำอันตรายแก่พระองค์โดยหาวิธีการอันชั่วร้ายหลากหลายอย่าง แต่พระองค์ก็มิได้ทรงกระทำโทษตอบโต้แก่ข้าพระบาท แม้แต่เพียงน้อยนิดก็ไม่เคยมี แต่กาลบัดนี้พระสาวกของพระองค์ ช่างไม่มีเมตตากรุณา ลงโทษหนักแก่ข้าพระบาทให้ได้รับทุกข์แสนสาหัสเห็นปานฉะนี้ ” พระยาวัสสวดีมารผู้มีทุกข์โทมนัส ก็เอาเท้าทั้งสองถีบถูเขานั้นให้เกิดอาการหวั่นไหวต่างๆ ทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ราวกับจะถล่มทลายลงมาฉับพลัน แม้ภูเขาสิเนรุราช ก็น้อมยอดหวั่นไหว ประดุจดังต้นไม้เมื่อต้องลมพายุ ฉันนั้น พื้นดินก็สะเทือนดังสนั่น ดังกับเกิดแแผ่นดินไหวใหญ่ มหาสมุทรสาครก็เกิดเป็นระรอกลูกคลื่นใหญ่กระฉอกกระฉ่อน เหมือนทะเลต้องลมพายุใหญ่ร้ายแรงฉะนั้น

แล้วพระยามารก็กลับระลึกถึงพระขันติธรรมของพระผู้มีพระภาพเจ้า และก็เปล่งอุทานว่า “ถ้าหากข้าพเจ้ามีกุศลได้สร้างสมไว้แล้ว ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบำเพ็ญบุญบารมีไว้ เพื่อการตรัสรู้ในอนาคตกาลฉันใด ขอข้าพระเจ้าจงได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลกนี้ฉันนั้น เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งแห่งสรรพสัตว์ และกระทำประโยชน์โปรดเวไนยสัตว์ทั้งปวง ในสากลโลก ”

ในขณะที่พระยามารเปล่งวาจาประรถนาพุทธภูมิ คือปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้น พระอุปคุตตเถระจึงแสดงกายให้ปรากฏแล้วเดินเข้าไปแก้มัดออกให้ทันที ท่านได้กล่าวกับพระยามารว่า “ดูก่อนพระยามาร ท่านจงอดโทษแก่อาตมา ที่อาตมาได้ล่วงเกินแก่ท่าน อันว่าประโยชน์ของท่าน คือความปรารถนาพุทธภูมินั้น อาตามาก็ให้บังเกิดได้แล้ว และอาตมาจะขอห้ามท่านว่า ท่านจงอย่ากระทำอันตรายในทางทรงบำเพ็ญบุญของพระบรมกษัตริย์และของผู้อื่นเลย และบัดนี้ท่านได้ถือปฏิญาณที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลข้างหน้า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตัวท่านจะเป็นปูชนียบุคคล คือพระโพธิสัตว์ ควรที่ชาวโลกทั้งหลายจะกระทำนมัสการบูชา” พระยามารจึงกล่าวตัดพ้อตอบว่า “ พระคุณเจ้าผู้เป็นพุทธสาวก ช่างกระไร ไม่มีจิตใจกรุณาปราณีต่อข้าพเจ้าผู้เป็นมารบ้างเลย ”

พระอุปคุตตเถระ จึงกล่าวแสดงเหตุผลต่อพระยามารว่า “ ดูก่อนพระยามาร อาตมากับท่านเป็นคู่ทรมานกัน เพราะเหตุนี้จึงไม่มีกรุณา อาตมาลงโทษแก่ท่านก็เพื่อจะกระทำให้ท่านมีจิตยินดี ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ทั้งตัวท่านก็เที่ยงแท้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญู และพระบรมศาสดาก็ได้ตรัสพยากรณ์ไว้ว่า อาตมานี้จะได้เป็นผู้ทรมานพระยาสวัสดีมารให้ละพยศหมดความอหังการสิ้นความร้ายกาจในอนาคตกาล และในที่สุดพระยามารนั้นก็จะเปล่งวาจาปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า ขอท่านจงตั้งใจละจิตบาปเสียเถิด อย่าได้กระทำกรรมอันหยาบช้าต่อไปอีกเลย ”

พระมหาเถระกล่าวเหตุผลต่างๆ ให้พระยามารได้ฟังแล้ว ท่านก็มีความประสงค์จะให้พระยามาร ช่วยเนรมิตตนเป็นพระรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ชมเป็นมิ่งขวัญตา จึงได้กล่าวขอร้องต่อพระยามารว่า “ ดูก่อนพระยามาร ท่านจงช่วยอนุเคาะห์แก่อาตมาสักครั้งหนึ่งเถิด เนื่องจากพระบรมศาสดา ได้อุบัติขึ้นในโลกและได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว อาตมาได้เห็น ก็แต่พระธรรมวินัยของพระองค์ท่าน ไม่ทันได้เห็นพระวรกายของพระองค์ ขอให้ท่านจงเนรมิตกายของท่าน เป็นพระวรกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทั้งอาการทั้งปวง พร้อมทั้งพระอัครสาวกทั้งคู่ให้อาตมาได้เห็นกับตาด้วยเถิด ”

พระยามารได้ฟังคำขอร้องของพระมหาเถระนั้นแล้ว จึงได้กล่าวข้อแม้ว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า ถ้าหากข้าพระเจ้าเนรมิตกายเป็นพระรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เห็นเป็นประจักษ์กับตาแล้วไซร้ ขอพระคุณเจ้าจงอย่าได้ถวายนมัสการข้าเจ้าเป็นอันขาด ” พระมหาเถระก็กล่าวปฏิญาณว่า “อาตมาจะไม่ถวายนมัสการต่อท่าน จะขอเพียงแต่ขอชมเฉยๆ เท่านั้น ” เมื่อพระยามารได้รับคำปฏิญาณของพระมหาเถระเป็นมั่นแล้ว จึงเข้าไปในไพรสณฑ์แห่งหนึ่ง เพื่อจะบันดาลอิทธิฤทธิ์ให้เป็นไปตามคำขอร้องของพระมหาเถระ

พระอุปคุตตเถระ ได้บอกให้พระภิกษุทั้งหลายมาประชุมกันพร้อมเพียงโดยเร็วพลัน อย่างน่าอัศจารรย์ ด้วยอาศัยอำนาจฤทธิ์ของท่านนั่นเองพระภิกษุสงฆ์รูปใด ใคร่จะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า พระภิกษุรูปนั้นๆ จะนำธูปเทียนดอกไม้ของหอม มาประชุมแวดล้อมอย่างมากมาย พระอุปคุตตเถระจึงได้กล่าวว่า “ข้าพระเจ้าจะชมพระรูปของพระศาสดา และจะกระทำสักการะบูชา ต่อพระองค์ ”

ในกาลนั้น พระยามารได้เนรมิตกายเป็นพระรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันประกอบด้วยพระมหาบุรษลักษณะ ๓๒ ประการ และพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ ทั้งสว่างรุ่งเรืองด้วยพระฉัพพรรณรังสี คือ พระรัศมี ๖ ประการ
มีพระอัครสาวกอยู่ทางเบื้องขวาและเบื้องซ้าย พร้อมทั้งแวดล้อมไปด้วย พระอสีติมหาสาวกเป็นสังฆบริวาร แสดงให้ปรากฏแก่พระมหาเถระ พระภิกษุสงฆ์ ประชาชนพร้อมทั้งพระเจ้าอโศกมหาราชกับหมู่อำมาตย์และข้าราชบริพารก็ได้เสด็จมาคอยทรงทัศนาการอยู่ ณ ที่นั้น

ฝ่ายพระอุปคุตตเถระเมื่อได้แลเห็นพระรูปของพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระมหาสาวกทั้งหลายปรากฏขึ้นดังนั้น ก็บังเกิดมีปีติขนลุกชูชัน ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา อันไม่หวั่นไหวทำให้ลืมคำปฏิญาณที่ให้ไว้แก่พระยามาร จึงก้มลงถวายอภิวาทพระรูปของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเบญจางคประดิษฐ์อย่างสนิทใจ พระเจ้าอโศกมหาราชพร้อมทั้งมหาชนทั้งหลายจึงได้พร้อมเพียงกันกระทำนมัสการสักการบูชา ต่อพระรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระยามารเห็นเป็นเช่นนั้นก็พลันบันดาลให้พระรูปของพระศาสดาและสาวกทั้งหลายให้อันตรธานหายไป กลับกลายมาเป็นรูปของตนเช่นเดิม และได้กล่าวต่อว่ากับพระอุปคุตตเถระว่า “ทำไมพระคุณเจ้าจึงได้ถวายอภิวาทเล่า ข้าพเจ้าได้ตกลงสัญญากับพระคุณเจ้าแล้วมิใช่หรือ ว่ามิให้กระทำนมัสการ ”

“ ดูก่อนพระยามาร อาตมามิได้กราบไหว้ท่านหรอก แต่ว่าอาตมากระทำอภิวาทพระรูปของพระบรมศาสดา และพระมหาสาวกทั้งหลาย ต่างหากเล่า” ตั้งแต่พระยามาร ตั้งความปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
จิตใจก็มีความอ่อนน้อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา ไม่มีความหยาบช้าดุร้ายเหมือนแต่กาลก่อนนั้นเลย

พระอุปคุตตเถระได้พิจารณาเห็นความเปลี่ยนแปลงเป็นไปในทางตั้งใจดีของพระยามารแล้ว ท่านจึงกล่าวกับพระยามารว่า “ ท่านจงไปโดยสุขสวัสดีเถิด ” พระยามารน้อมกายก้มกราบถวายนมัสการพระมหาเถระ แล้วลากลับสู่เทวสถานวิมานของตน...




ชีวประวัติของพระอุปคุตต์เถระ ตามตำนานไม่ได้กล่าวถึงว่าท่านดับขันธนิพพานแล้วหรือยัง ท่านอาจจะมีชีวิตอยู่ถึงกัปป์หนึ่งก็ได้ ด้วยอานุภาพแห่งอิทธิภาวนาของท่าน ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เคยตรัสไว้กับพระอานนท์เถระไว้ว่า “ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดเจริญอิทธิบาท๔ ให้มาก กระทำให้เป็นญาณ กระทำให้เป็นที่ตั้งไว้เนืองๆ สะสมรอบแล้ว และปรารถนาดีแล้ว ผู้นั้นจะประสงค์อยู่ตลอดกัปป์ก็ได้ ”

ชาวไทยส่วนใหญ่ ยังไม่ค่อยรู้จักพระอุปคุตต์ มากนัก ยกเว้นบางพื้นที่ ที่มีประเพณีการบูชาพระอุปคุตต์ เช่น งานไหว้พระธาตุพนม ชาวบ้านจะใส่บาตรกันตอนตี 3 เพราะเชื่อกันว่า พระอุปคุตต์ จะบิณฑบาตตอนตีสาม ส่วน
ชาวพม่ารามัญนั้น นับถือพระอุปคุตเถระกันเป็นจำนวนมากกว่าของไทย จึงมีการสร้างรูปบูชาของท่านขึ้นมา ชาวไทยจะรู้จักกันในชื่อ พระบัวเข็ม จะเห็นได้จากพระบูชาพระอุปคุตที่มีศิลปะแบบพม่าอยู่มากมาย ที่วัดพระบัวเข็ม มีการปิดทองพระบัวเข็ม จากองค์เล็กๆจนกลายเป็นองค์กลมๆใหญ่ๆ มองไม่รู้ว่าเป็นพระอะไร

พระพุทธรูป พระบัวเข็มจะสังเกตุได้ง่ายๆ คือมีใบบัวปิดบนเศียร ไม่มีเกศ เช่นพระพพุทธรูป การตั้งบูชา นิยมการตั้งบูชาบนฐานรองรับ อยู่กลางภาชนะใส่น้ำ เป็นการจำลองคล้ายกับท่านจำพรรษาอยู่ในมหาสมุทร เพื่อให้ตรงกับการเป็นอยู่จริงๆ ของท่าน แล้วใช้ดอกมะลิลอยในน้ำบูชา และต้องตั้งต่ำกว่าพระพุทธ เนื่องจากเป็นพระอรหันต์ สาวกของพระพุทธเจ้า



คาถาสำหรับบูชาเพื่อให้เกิดโชคลาภ มีดังต่อไปนี้

อุปะคุตโต จะ มะหาเถโร สัมพุทเธนะ วิยากะโต
มารัญจะ มาระ พะลัญจะ โส อิทานิ
มะหาเถโร นะมัสสิตะวา ปะติฏฐิโต อะหัง วันทามิ
อิทาเนวะ อุปะคุตตัง จะ มะหาเถรัง ยัง
ยัง อุปัททะวัง ชาตัง วิธัง เสติ อะเสสะโต
มะหาลาภัง ภะวันตุ เม ฯ

หรืออีกแบบหนึ่งว่า

อุปะคุตโต จะ มะหาเถโร ยักขาเทวา นะระปูชิโต
โสระโห ปัจจะ ยาทิมหิ มะหาลาภัง ภะวันตุ เม ฯ



TraveLArounD


ปล. ท่านที่เพิ่งเข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ค้นดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group : นานา สาระ๑๐๐๐ เพราะเรื่องต่างๆ เขียนไว้ 1300 เรื่องแล้ว

ส่วนท่านที่ชอบเพลง background ผมได้รวบรวมเพลงไพเราะ เพลงรัก romantic และเพลงซึ้งๆ ที่หาฟังได้ยากในสมัยนี้ ไว้หลายชุด สนใจ email ติดต่อมาได้ครับที่ nana_sara1000@ymail.com

หมายเหตุ : ขณะได้มี website อื่นๆหลาย website ได้นำเอาเรื่องที่ผมเขียนไว้ ไปลงต่อในลักษณะของเนื้อหา โดยไม่ได้รับอนุญาตใดๆ ถ้าต้องการบทความใดไปใช้ ขอให้ติดต่อขออนุญาต ก่อนทาง Email : nana_sara1000@ymail.com มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายลิขสิทธิ์

ส่วนผู้ที่ต้องการนำเรื่องไปโพสต่อ เพื่อเผยแพร่ โดยมิใช่ทางการค้า ขอให้ติดต่อขออนุญาตให้ถูกต้องก่อนโพส




 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2553 2:26:18 น.
Counter : 8455 Pageviews.  

“แก้วนพเก้า” อัญมณีประจำดาวนพเคราะห์

“แก้วนพเก้า” อัญมณีประจำดาวนพเคราะห์
กับความเชื่อทางโหราศาสตร์

ในตำราโบราณของอินเดีย(ฮินดู) 'Jatak Parijat' นั้น ได้จัดแบ่งอัญมณี ที่มีความสัมพันธ์กับดาวเคราะห์ต่างๆ 9 ดวง จึงเกิดเป็นความเชื่อ หรือความนิยมในอัญมณีเหล่านี้ขึ้น และยกย่องให้เป็น “แก้วนพเก้า” ได้แก่ “เพชรดี มณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม แดงแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารสีหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลสายไพฑูรย์ ”

ซึ่งอัญมณีทั้ง 9 ถือว่าเป็นอัญมณีที่มีความพิเศษ ทางด้านเสริมบารมี สิริมงคล แล้วยังให้ผลทางด้านการคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ตลอดจนป้องกันอาถรรพ์สิ่งชั่วร้าย ไม่ให้เข้ามาถึงตัวผู้สวมใส่อีกด้วย แต่แก้วนพเก้านี้ ถ้าพูดในแง่ของอัญมณีที่มีค่า หรือมีราคาแล้ว ไม่ได้จัดอยู่ในประเภทอัญมณีมีค่า (precious stones) เสียทั้งหมด แต่เป็นอัญมณีที่มีคุณสมบัติด้านของพลังมากกว่า



ความเชื่อด้านนี้ มีไปทั่วโลกมาตั้งแต่โบราณ ชนเผ่าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแถบยุโรป ตะวันออกกลาง อาฟริกา เอเชีย ต่างมีตำนาน เรื่องเล่าขานเกี่ยวกับการใช้อัญมณีในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการประกอบพิธีกรรม การทำนาย การติดต่อกับเทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการบำบัดรักษาโรค จึงทำให้เกิดแนวความเชื่อในการใช้อัญมณีที่หลากหลาย และแต่ละภูมิภาคก็มีหลักการที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับทางเอเชียแล้วจะถือหลักอยู่ 3 ประการด้วยกันคือ
1.กำหนดโดยลัคนาเกิด นั่นคือจะต้องทำการผูกดวง วางลัคนาก่อน เพื่อที่จะทราบว่าบุคคลนั้นมีลัคนาอยู่ราศีอะไร มีดาวอะไรที่ให้คุณกับดวงชะตา สมควรใช้อัญมณีชนิดใด ซึ่งการผูกดวงวางลัคนานี้ ต้องอาศัย วัน เดือน ปีเกิด เวลาเกิด ของบุคคลผู้นั้นมาประกอบ ซึ่งผู้ที่จะทำได้ก็คือโหรที่มีความรู้ทางด้านอัญมณีเป็นอย่างดี
2.กำหนดจากราศีเกิด วิธีนี้นับว่าง่ายกว่าแบบแรก เพราะดูเพียงวันที่กับเดือนเกิด แล้วนำมาเทียบกับตารางราศีเกิด ก็จะทราบว่าบุคคลนั้นเกิดในราศีอะไร สมควรใช้อัญมณีชนิดใด อย่างไรก็ตามเนื่องจากการกำหนดราศีเกิดมีอยู่ 2 ระบบ คือระบบของทางตะวันตกและระบบของทางตะวันออก ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนกันอยู่ประมาณ 7 – 8 วัน ดังนั้นการใช้วิธีนี้ ผู้สวมใส่อัญมณีจึงต้องเลือกใช้ระบบใดระบบหนึ่ง เอาเอง ซึ่งก็น่าจะเป็นวิธีของทางตะวันออกมากกว่า
3.กำหนดจากความชอบส่วนตัว โดยพิจารณาว่าบุคคลนั้นมีความชอบอัญมณีชนิดใดเป็นพิเศษ และอัญมณีชนิดนั้นไม่ได้เป็นอัญมณีประจำดาวที่ให้โทษกับดวงชะตาก็ถือว่าใช้ได้

อัญมณีมีผลอะไรกับชีวิตมนุษย์ ?
ก่อนที่จะรู้ถึงผลของอัญมณี เราต้องรู้ถึงอิทธิพลจากดวงดาวประจำอัญมณีก่อน ซึ่งในทางโหราศาสตร์ อาศัยดาว 10 ดวง ในการทำนาย ดาวทั้ง 10 ดวงที่มีผลต่อชีวิตมนุษย์ ตามหลักโหราศาสตร์ ได้แก่ 1.พระอาทิตย์ 2. พระจันทร์ 3.ดาวอังคาร 4.ดาวพุธ 5.ดาวพฤหัสบดี 6.ดาวศุกร์ 7.ดาวเสาร์ 8.ราหู 9.ดาวเกตุ และ 10.ดาวมฤตยู ดาวทั้ง 10 ดวง จะแผ่อิทธิพลต่อกันและกันโดยแรงดึงดูด และจะส่งพลังงานออกมาในรูปสนามแม่เหล็กไฟฟ้า แล้วแปรสภาพเป็นคลื่นแสงต่างๆ ดาวแต่ละดวงจะเคลื่อนที่ไปตามจักรราศี มีตำแหน่งเปลี่ยนไปตลอดเวลา เมื่อเราทำการผูกดวงวางลัคนา เราก็จะทราบว่า ณ เวลาที่เราเกิด มีดาวดวงใดอยู่ตำแหน่งอะไร มีอิทธิพลระหว่างกันอย่างไร และมีอิทธิพลต่อตัวเราอย่างไร

ในตำราโบราณได้กล่าวถึงอิทธิพลของดาวและอัญมณีเอาไว้ว่า อัญมณีหรือคริสตัล สามารถสื่อพลังจากดวงดาวได้ หรือถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น คือ อัญมณีเปรียบเหมือนกับเครื่องรับวิทยุที่สามารถรับคลื่นจากเครื่องส่ง แล้วแปลงเป็นสัญญาณเสียง ซึ่งหมายถึง อัญมณีสามารถรับคลื่นหรือรับพลังจากดวงดาวประจำอัญมณีแต่ละชนิด แล้วแปลงสภาพเป็นคลื่นเข้าสู่ตัวผู้สวมใส่นั่นเอง

อัญมณีจะส่งเสริมการทำงานของพลังจากดาวต่างๆ โดยวิธีการส่งคลื่น หรือพลังที่ได้รับจากดวงดาวเข้าสู่ร่างกายเราหรือผู้สวมใส่ อธิบายให้เห็นชัดเจนขึ้นก็คือ อัญมณีจะแผ่คลื่นหรือพลังออกมา ขณะที่ร่างกายของมนุษย์ก็จะแผ่คลื่นหรือพลังออกมาด้วยเช่นเดียวกัน (เรารู้จักพลังที่แผ่ออกมาจากร่างกายมนุษย์ในชื่อของ “ออร่า”) พลังงานจะมีแรงดึงดูดระหว่างกัน และการเชื่อมต่อจะได้ผลดีที่สุดก็ต่อเมื่อ พลังงานเป็นคลื่นความถี่เดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ดังนั้นถ้าผู้สวมใส่ฝึกสมาธิ ก็จะทำให้การรับพลังจากอัญมณีได้ผลดียิ่งขึ้น

โดยการเสริมชะตาตามหลักโหราศาสตร์ นั่นคือดาวแต่ละดวงจะมีอิทธิพลต่อเจ้าชะตาที่แตกต่างกันไปในแต่ละด้าน อัญมณีประจำดาวดวงไหนก็จะให้อิทธิพลกับเจ้าชะตาเช่นเดียวกับดาว ตัวอย่างเช่น ในตำราโหราศาสตร์จะมี “แม่บทของดวงดาว” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของดาวแต่ละดวงที่มีต่อเจ้าชะตา ดังนี้ “ ชื่อเสียงอาทิตย์ รูปจริตจิตใจจันทร์ กล้าแข็งขยันอังคาร เชี่ยวชาญทางโลกพุธ ศีลบริสุทธิ์พฤหัสฯ กิเลสกำดัดศุกร์ โทษทุกข์เสาร์มัวเมาราหู อายุยืนอยู่เกตุ ภัยอาเพศมฤตยู ” แปลความหมายง่ายๆ ก็คือ พระอาทิตย์จะให้อิทธิพลทางด้านเกียรติยศ ชื่อเสียง เราก็ใช้ทับทิม (อัญมณีประจำพระอาทิตย์) เป็นเครื่องประดับ หรือพระจันทร์ให้อิทธิพลทางด้าน จิตใจ ความรู้สึก อารมณ์ เราก็ใช้ไข่มุก (อัญมณีประจำพระจันทร์) มาประดับ เป็นต้น แต่เมื่อเอาดวงดาวมากำหนดอัญมณีแล้ว เขาเลือกเอาแค่ 9 ดวง เฉพาะที่มีคุณเท่านั้น ดวงที่มีโทษหรือไม่ดี คือดาวมฤตยู จึงถูกตัดออกไป เพราะคงไม่มีใครอยากใส่อัญมณีที่ให้โทษ หรือส่งเสริมความซวยเป็นแน่

การจัดนพเคราะห์ ตามตำราท่านกำหนดไว้ดังนี้ คือ

1.ทับทิม :Ruby (Manik)



ทับทิม เป็นรัตนของอาทิตย์ : Sun(Surya) ตรงกับราศีสิงห์ Leo (Simha) เป็นรัตนที่ใช้ในการบรรเทาการเจ็บไข้ที่เกิดจากดวงอาทิตย์ และถือว่าเป็นรัตนที่ดีที่สุดที่จะช่วยขจัดอุปสรรคขัดขวางทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งได้รับถ่ายทอดพลังจากพระอาทิตย์ ที่เป็นดาวฤกษ์ เป็นเอกในระบบสุริยจักรวาล อาการที่สามารถบรรเทาได้เช่น โรคหัวใจ อาการเกี่ยวกับสมอง ดวงตาติดเชื้อ มีไข้สูง ไทฟอยด์ ซึมเศร้า ฯลฯ


2.ไข่มุกขาว : White Pearl (Moti)



ไข่มุกขาว ที่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ เป็นรัตนของดวงจันทร์ : Moon (Chandra) เป็นรัตนที่ใช้ในการบรรเทาการเจ็บไข้ที่เกิดจากดวงจันทร์ ไข่มุกมีความสำคัญเกี่ยวพันกับชีวิตในด้าน ความสัมพันธ์ โชค ชื่อเสียง ธุรกิจ ฯลฯ ทางด้านโหราศาสตร์ จันทร์เป็นดาวลัคนาของราศีกรกฏ Cancer (Karka) เป็นสัญลักษณ์ของอารมณ์ โชคลาภ ชื่อเสียง ความทรงจำ ความสำเร็จ ความสุขสบาย ฯลฯ การสวมใส่ไข่มุกขาว จึงเชื่อว่าสามารถบรรเทาอาการ ความจำเสื่อม สายตา โรคในทรวงอก โรคปอด อาการไอและลำคอ ฯลฯ


3.พลอยปะการังแดง : Red Coral (Moonga)



พลอยปะการังแดง เป็นรัตนของอังคาร : Mars (Mangal) ตรงกับราศีเมษ Aries(Mesha) และพิจิก Scorpio (Vrishchik) เป็นรัตนที่ใช้ในการบรรเทาการเจ็บไข้ที่เกิดจากดาวอังคาร ที่เป็นสัญลักษณ์ของ ความกล้าหาญ ความอดทน ความยืดหยุ่น ความมั่นคง ความโกรธ ความอิจฉา ความตื่นเต้น ฯลฯ การสวมใส่ปะการังแดง จะช่วยลดอาการของ คลื่นความร้อน ปวดหัว ไข้ขึ้นสูง มีครรภ์ โรคที่มีผลจากเลือด อาการคัน กระดูก ฯลฯ ความเชื่อโบราณยังกล่าวว่าปะการังแดงป้องกันหญิงจากการเป็นหม้ายด้วย


4.มรกต : Emerald (Panna)



มรกต เป็นรัตนของพุธ : Mercury (Budha) ดาวพุธมักจะเคียงคู่อยู่กับอาทิตย์ และตรงกับราศีเมถุน Gemini(Mithun) และกันย์ Virgo(Kanya) เป็นรัตนที่ใช้ในการบรรเทาการเจ็บไข้ที่เกิดจากดาวพุธ หรือเมื่อดาวพุธอยู่ในตำแหน่งที่เป็นโทษ ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการ ขาดสมาธิ ขี้เกียจซึมเศร้า ปวดหัว โรคทางเพศ ฯลฯ หญิงมีครรภ์ ถ้าสวมใส่มรกต จะทำให้คลอดง่าย ไม่เจ็บปวด


5.บุษราคัม : Yellow Sapphire (Pukhraj)



บุษราคัม เป็นรัตนของพฤหัส : Jupiter (Guru) ตรงกับราศีเมถุน Gemini (Mithun) และกันย์ Virgo (Kanya) เป็นดาวที่มีความโดดเด่นในด้านฤกษ์งามยามดี มีมงคล เป็นสัญลักษณ์ของสติปัญญา พลังจิต ศาสนา โชคลาภ ความสุข ความเสียสละ จิตวิญญาณ ความสุภาพ อิสรภาพ ผู้นำ ผู้ปกครอง ชื่อเสียง ความมั่งคั่ง ความเคารพยำเกรง เกียรติยศ ฯลฯ เป็นรัตนที่ใช้ในการบรรเทาการเจ็บไข้ที่เกิดจากดาวพฤหัส เช่น เสริมสร้างพลังงาน ชีวิตชีวา ปรับสมดุลย์ฮอร์โมนฯ มีความเชื่อว่าถ้าหญิงสาวมีอุปสรรคเรื่องคู่ครองการสวมใส่บุษราคัมจะทำให้ได้แต่งงานเร็ว


6.เพชร : Diamond (Heera)



เพชร เป็นรัตนของศุกร์ : Venus (Shukra) ตรงกับราศีพฤษภ Taurus (Vrishabh) และตุล Libra (Tula) ซึ่งเป็น ตัวแทนของความหรูหรา สะดวกสบาย มีเสน่ห์ ความมั่งคั่ง ความงาม ความสุข เพศ ความบันเทิง ฯลฯ จึงเป็นรัตนที่ใช้ในการบรรเทาการเจ็บไข้ที่เกิดจากดาวศุกร์ เช่นอาการ ผิดปกติทางเพศ ไต ดวงตา อาการไอ อวัยวะภายใน ท้องผูก เชื้อไม่แข็งแรงหรือเป็นหมัน ฯลฯ


7.นิลกาฬหรือไพลิน : Blue Sapphire (Neelam)



นิลกาฬหรือไพลิน เป็นรัตนของเสาร์ : Saturn(Shani) ตรงกับราศีมกร Capricon (Makara) และกุมภ์ Aquarius (Kumbha) ซึ่งเป็นตัวแทนของ ความรักสงบ ความมั่งคั่ง ความสุข ฯลฯ เป็นรัตนที่ใช้ในการบรรเทาการเจ็บไข้ที่เกิดจากดาวเสาร์ เช่น ระบบประสาท กล้ามเนื้อ จมูก ผม กระดูก หัวเข่า ฯลฯ


8.โกเมนส้ม : Gomedha



โกเมนส้ม เป็นรัตนของราหู : Rahu (ภาษาอังกฤษเขาเรียกหัวมังกร) ตรงกับราศีกันย์ Virgo (Kanya) ซึ่งเป็นตัวแทนของ ความขัดแย้ง สับสน มนต์ดำ ความฝัน ความคิดคด หัวกบฏ ฯลฯ เป็นรัตนที่ใช้ในการบรรเทาการเจ็บไข้ที่เกิดจากดาวราหู เช่น แก้พิษต่างๆ โรคที่หาสาเหตุไม่ได้ โรคผิวหนัง นอนไม่หลับ โรคในช่องท้อง อาการคัน โรคเลือด ฯลฯ


9.ไพฑูรย์หรือเพชรตาแมว : Cat's Eye (Lahusunia)



ไพฑูรย์หรือเพชรตาแมว ตรงกับราศีมีน Pisces (Meena) เป็นรัตนของเกตุ : Ketu (ภาษาอังกฤษเขาเรียกหางมังกร) ซึ่งเป็นตัวแทนของ ความขัดแย้ง สับสน มนต์ดำ ความฝัน ความคิดคด หัวกบฏ ฯลฯ เช่นเดียวกับราหู เป็นรัตนที่ใช้ในการบรรเทาการเจ็บไข้ที่เกิดจากดาวเกตุ เช่น เจ็บป่วยเกี่ยวกับระดู จุดขาวตามผิวหนัง เชื้อโรคตามแขนขา หลอดลมอักเสบ ฯลฯ






ความเชื่อด้านโหราศาสตร์และการบรรเทารักษา ถือเป็นความเชื่อที่มีมานาน แต่ก็ควรรับรู้ด้วยวิจารณญาณ ไม่ควรเชื่อแบบงมงาย การใช้อัญมณีต่างๆ ที่แน่ๆ ก็คือเป็นเครื่องประดับร่างกาย อย่างหนึ่ง ในทางจิตใจ คงจะช่วยเสริมในด้านบุคลิก และความเชื่อมั่น ให้กับผู้สวมใส่ เช่นนอกจากการใส่ให้ตรงกับราศีของตนเองแล้ว การใส่แบบครบทุกราศีเป็นนพเก้า ก็นิยมกันมาก ของเรามักทำเป็นสร้อยสังวาลย์ หรือแหวนนพเก้า ส่วนอินเดียต้นตำรับนั้น เขามีสร้อยแบบเรียบๆ และกำไลต้นแขนแบบต่างๆ ดูสวยดี ส่วนเรื่องการบรรเทาหรือรักษาอาการต่างๆนั้น อย่าไปจริงจังมากนักนะครับ




นอกจากดาวนพเคราะห์ในระบบสุริยะแล้ว ทางอินเดียยังมีเทพประจำดาวนพเคราะห์ด้วย และไทยก็รับเอาแนวความเชื่อเช่นนี้มาเช่นกัน เป็นเทวดานพเคราะห์ นั่นเอง ได้แก่ เทวดาพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระเสาร์ พระพฤหัสบดี พระราหู พระศุกร์ พระเกตุ รวม 9 องค์ด้วยกัน ซึ่งเป็นดาวเคราะห์และอุปเคราะห์อันแสดงปรากฎการณ์อยู่บนฟากฟ้า ซึ่งเราค่อยไปว่ากันต่อทีหลังนะครับ

TraveLArounD


เรียบเรียงจาก
//www.askganesha.com/services/yearly_horoscopes/sagittarius.asp&h=253&w=842&sz=38&hl=th
//www.banhonethai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=248997&Ntype=3 โดย สามปอยหลวง
//www.myastrohelpline.com/gems-shop.html




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2551    
Last Update : 25 มิถุนายน 2551 14:02:02 น.
Counter : 12630 Pageviews.  

โทรจิตของหนุ่มนอร์เวย์

โทรจิตของวีโก้ (ชาวนอรเวย์)

โดย พระครูภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน)

เรื่องโทรจิตทางใจ มี นายวีโก้ ที่มาต่อปริญญาโทที่จุฬาฯ เป็นชาวนอรเวย์ อาตมาคิดว่าคงจะเป็นฝรั่งชาติฮอลันดามาบวชที่นี่ เขาเป็นชาวคริสต์ บิดาเป็นวิศวกรไฟฟ้าแห่งนอรเวย์ ปู่เขาเป็นศาสตราจารย์ภาคคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยออสโล มารดาเป็นเลขานุการมหาวิทยาลัยออสโล มีลูกชายคนเดียวชื่อ วีโก้ มีลูกสาว ๒ คน วีโก้เรียนอักษรศาสตร์ภาษาไทยเรียนหลายภาษามาต่อปริญญาโทที่ประเทศไทยที่จุฬา

ปู่เขาเป็นศจ.บอกกับหลานว่า เจ้าไปประเทศไทยจงเอาของดีมาฝากปู่ เพราะปู่อ่านพระไตรปิฎกเป็นภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยของเรา ทุกศาสนามีให้เรียน อ่านแล้วซึ้งใจในภาคปฏิบัติธรรมเหลือเกิน ไปแล้วจงเอามาฝากปู่ให้จงได้ เขาก็โน้ตแล้วให้ปู่เซ็นชื่อไว้ ฝรั่งนี่ทำอะไรละเอียด ก็มาเรียนที่จุฬาฯ เขามาสิงห์บุรี อยากจะมาดูชาวบ้านแป้ง คนเวียงจันทน์ย้ายมาตั้งแต่สมัยเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก บ้านนี้มีอาชีพทางปั้นหม้อ ทำเครื่องช่างต่างๆ ทำทอง ที่บ้านแป้ง มีเจ้าคุณองค์หนึ่งชื่อ เจ้าคุณพรหมโมฬี ก็ไปกราบนมัสการพระคุณเจ้านี้ มีปัญหาถาม ๑๐ ข้อ แต่เจ้าคุณไม่สามารถตอบได้ ก็เลยพาฝรั่งมาหาอาตมาที่วัดนี้ แต่อาตมาก็ไม่ทราบว่าตอบถูกหรือผิด ตอบไปแล้วเขาก็ลากลับ กลับไปได้ ๑๐ กว่าวันเศษ แบกหีบมาที่วัดบอกกระผมขอบวชที่วัดนี้ ขอเจริญวิปัสสนากรรมฐานตามที่ปู่มีความประสงค์ อาตมาบอกไม่ได้ คุณเป็นชาวต่างประเทศต้องได้รับอนุญาตจากบิดา มารดาเสียก่อน จึงจะบวชได้ ไม่งั้นบวชให้ไม่ได้ เขามีใบแสดง ฝรั่งเขามีว่าพออายุเท่านี้ก็หมดหน้าที่ แล้วปู่เขาก็มีในฐานะของพ่อแม่ ก็ได้อนุญาตให้เขาเอาของดีมาฝากให้ได้โดยการบวช อาตมาก็อนุญาต

ฝรั่งคนนี้เก่งมาก ท่องขานนาคได้ใน ๓ ชั่วโมง แล้วก็วินัยของพระรู้มาก่อน เพราะเขาเรียนหนังสือไทยเขียนได้ดีมาก บวชแล้วเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ทำได้เคร่งครัด ๔๕ วัน สามารถโทรจิตได้ เขาถามว่าผมอยากจะกราบเรียนถามว่า คนไทยชาวพุทธเวลาเขาตายกัน กรวดน้ำได้ไม่ได้ไม่รู้ ผมอยากจะถามว่า อุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาให้กับพ่อแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้รับไหมครับ

อาตมาเห็นว่าจิตเขาสูงแล้วพอสมควร สามารถจะโทรจิตได้ พอดีแม่เขากำลังป่วยหนัก พักฟื้นอยู่ที่บ้าน เขาอยากจะอุทิศส่วนกุศลไปด้วยบุญกุศลอย่างนี้ จะได้รับไหม ก็บอกเขาว่าได้ เขาก็เดินจงกรมแล้วนั่ง เสร็จแล้วก็อธิษฐาน เวลาอธิษฐานจะแผ่เมตตา อย่าทำกำลังนั่ง เวลาส่งผลก็เช่นกัน ต้องทำให้เสร็จกิจก่อน ทำให้งานเสร็จก่อน เราจะเดินจงกรม ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง เสร็จกิจในการภาวนาก่อน แล้วค่อยสวดมนต์แผ่เมตตาโดยอโหสิกรรม ทำให้จิตใจสบายเบิกบาน แล้วแผ่ได้เลยอุทิศได้ตอนหลัง ไม่ใช่นั่งด้วยแผ่ไปด้วย จะไม่ได้รับ

พอทำเสร็จแล้ว เขาก็อธิษฐานจิตหลังจากนั่งภาวนาหมดกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว อโหสิกรรมต่อกันให้จิตใจเบิกบานบริสุทธิ์ เขาอธิษฐานว่า ในวันนี้เป็นวันชาติของข้าพเจ้า แม่ของข้าพเจ้ากำลังป่วยหนัก ด้วยบุญกุศลของลูกที่ได้บำเพ็ญกุศลได้บวชในพระศาสนาและได้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าเป็นความจริงดังกล่าวแล้ว ขอให้แม่ของข้าพเจ้าหายจากโรคภัยไข้เจ็บทันที

ประการที่ ๒ ปู่ของข้าพเจ้าที่ต้องการจะให้หลานเอาของดีไปฝากบัดนี้หลานได้ของดีแล้ว

ประการที่ ๓ ขอให้เพื่อนของข้าพเจ้าอีก ๓ คนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันที่เรียนหนังสือมาด้วยกัน จงมีความสุข ความเจริญโดยทั่วหน้ากัน ในเมื่อทั้ง ๓ นี้ได้รับแล้ว ขอให้ตอบทางจดหมายทันที

อธิษฐาน ถึงเดี๋ยวนั้นไม่ต้องรอเวลาเหมือนไปรษณีย์ วันนั้นพอดีเป็นวันชาติของนอรเวย์ เขาก็มาพักคุยกันที่บ้านของวีโก้ อยู่ที่ออสโล คุยกัน แม่เขานอนอยู่ในห้องพักฟื้น กำลังป่วยแต่กลับจากโรงพยาบาลแล้ว ยังอ่อนเปลี้ยอยู่ในห้อง เวลาส่งโทรจิตที่นี่เป็นเวลากลางคืน ๔ ทุ่ม ที่โน่นเป็นเวลาเช้า เวลาไม่เท่ากัน รู้ได้จากการตอบรับหนังสือ ขณะนั้นปู่เห็นผ้าเหลืองแวบผ่านหน้าไป ทุกคนก็สังหรณ์พร้อมใจกัน คิดถึงวีโก้ทันที ก็คุยเรื่องวีโก้ ปู่เขาก็เข้าใจว่าหลานคงจะได้บวชในพระพุทธศาสนา เพราะผ้าเหลืองผ่านหน้าแล้วก็หายไป พ่อเขาก็พูดถึงวีโก้เรียนอักษรศาสตร์ที่จุฬา แม่กำลังคิดถึงลูกชายก็ได้ยินพูดถึงวีโก้ลูกชาย ปู่พูดว่าเห็นผ้าเหลืองแวบ แม่ก็คลานออกมาอารามดีใจคิดถึงลูกเลยหาย ออกมานั่งโต๊ะคุยกันเป็นชั่วโมง พอคุยกันแล้ว แม่ก็เริ่มเขียนหนังสือ เขาเขียน วัน เดือน ปี ลงเวลาด้วย ก็เขียนถึงวีโก้ลูกรัก เหตุการณ์เกิดขึ้นที่บ้านของเราวันนั้นเป็นวันชาติ เพื่อนของเจ้าด้วยก็มาอยู่ที่นี่ พ่อและปู่ ปู่ของเจ้าเห็นผ้าเหลือง ถามว่าเจ้าบวชจริงไหม แล้วปฏิบัติกรรมฐานจริงเท็จประการใด แม่ตอนนี้กำลังพักฟื้น เขาเห็นผ้าเหลืองแล้วก็พูดถึงลูก แม่ก็หายทันที เขียน ๔-๕ หน้ากระดาษ กว่าจะมาถึงวัดหลายวัน ผ่านที่จุฬาฯ ก็ส่งมาให้ที่วัด พอพระวีโก้อ่านแล้วน้ำตาร่วงทันที เขาก็แปลให้ฟัง ตอนนั้นเขาขอเวลาอาตมาวันละชั่วโมงตอน ๓ ทุ่ม อาตมาจะไปไหนไม่ได้ เขาว่าผมข้ามน้ำข้ามทะเลมาท่านต้องไปไหนไม่ได้ ๑ ชั่วโมง ดังที่กล่าวมานี้ยังมีหลักฐานอยู่

ในเวลากาลต่อมา วีโก้จะจบหลักสูตร ก็ต้องกลับประเทศนอรเวย์ หลักการเขามีอยู่ว่า ถ้าไปเรียนมหาวิทยาลัยไหนก็ตาม ถ้าจบแล้วต้องไปเป็นทหาร ๑ ปีไม่ต้องจับใบดำ ใบแดง ประเทศเขามีหลักอย่างนี้ ทุกคนเป็นทหารหมด ๑ ปี แต่เขาไม่นิยมรบกับใคร วีโก้ก็มาบอกกับอาตมาว่าผมจบหลักสูตรปริญญาโทแล้ว อยากจะอยู่ประเทศไทยต่ออีก ๑ ปี จะทำอย่างไร

อาตมาก็แนะนำให้ คือ ทำเหมือนเดิม อธิษฐานจิตเดินจงกรม ๒ ชั่วโมง นั่ง ๒ ชั่วโมง แล้วขอแผ่ถวายเป็นกุศลถึง
๑.องค์พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยาม
๒.อธิการบดีและอาจารย์ภาควิชาของเขา
๓.ถึงประเทศนอรเวย์ มีบิดา มารดา ครูอาจารย์
๔.แล้วก็แผ่ถึงกระทรวงกลาโหมให้ยับยั้งเวลาการเป็นทหารอีก ๑ ปีต่อไป
วีโก้ทำติดๆกัน ๒ คืน แล้วขอลาเข้ามหาวิทยาลัย สิกขาลาเพศ พอลาไปแล้วก็บอกอาตมาว่า ถ้าผมไม่ได้อยู่ต่อไป ก็อาจจะเขียนจดหมายแจ้งช้าหน่อย ถ้าได้อยู่ต่อไปก็จะรีบส่งโทรเลขมาให้ทราบ เขายังถามว่า แม่ราตรีที่เป็นคนไทย ผมจะขอแต่งงานกับเขา เพราะรักกันมาหลายปี ตั้งแต่อยู่เมืองนอก หลวงพ่อเห็นสมควรหรือไม่

อาตมาบอกไม่ทราบไปนั่งกำหนดสติเอาเอง ว่าจะแต่งงานได้หรือไม่ได้มีประโยชน์เหมือนกัน ก็ไปนั่งเดี๋ยวมาบอกก็แล้วกัน หลังจากนั้นเขาก็มาบอกว่าหลวงพ่อถ้าจะไม่ได้แต่งงานเสียแล้ว รู้ได้ยังไง สติบอก บุพเพสันนิวาสไม่ได้แต่งงานกับคนนี้ ผมจะต้องได้ไปแต่งงานกับคนง่อยกำพร้าพ่อแม่ สติบอกได้

ในที่สุดเขาก็กลับไป เขาดีกว่าคนไทย ขอเทียนแพใส่พานดอกไม้ กรวย เขาก็ไปไหว้อธิการขอศีลขอพร ไหว้บ้านเหนือ บ้านใต้ก่อนไป เที่ยวลาคนโน้นคนนี้ คนไทยไม่เอาไหน ขอพรใครที่ไหน สึกแล้วยังไม่ทันไร หนีไปแล้ว ยังไม่ลาพระอาจารย์เสียด้วย จึงไม่ได้รับพร จึงได้มีอายุไม่ยืน

อาตมาก็ให้เขาทำกรวยผ้าไหมให้เขา ก็ไปกราบขอพรอธิการของเขา ยังไม่ทันวางพาน พอเข้าไปอาจารย์บอกว่า วีโก้คุณได้อยู่ต่ออีก ๑ ปี เท่านั้น น้ำตาร่วงเลย เขามีหนังสือยืนยันจากนอรเวย์ กระทรวงกลาโหมให้คุณอยู่ต่อในประเทศไทยได้อีก ๑ ปี อยู่ได้คืนเดียวกลับมาแล้วรายงานให้อาตมาทราบ นี่ด้วยอำนาจบุญกุศล ขอได้ฟังได้พิจารณาด้วยตนเอง เพราะมันเกิดขึ้นแล้วที่นี่ นี่เรื่องของแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล ก็ได้อยู่ต่อ ๑ ปี พอกลับไปก็ไปเป็นทหารแล้วส่งข่าวให้อาตมาเรื่อยมา

อาตมาดีใจอย่างหนึ่ง ทางราชการเคยส่งพวกโรงไฟฟ้าไปดูงานที่นอรเวย์ อาตมาก็จดหมายบอกไป เขาให้พักที่บ้านเลย เปิดโรงไฟฟ้านอรเวย์ให้ดูวันอาทิตย์เลย เขาเป็นหัวหน้าใหญ่ เขาบอกเขารักลูกเขาอย่างไร รักคนไทยอย่างนั้น สามารถจะสงเคราะห์ให้ลูกเขาได้บวชในพระศาสนา เอกอัครราชทูตนอรเวย์มาดูตัวอาตมาที่วัด อยากดูตัว หัวหน้าศาสนาหน่อยไปเอาลูกเขามาบวชได้ยังไง

วีโก้ออกไปจากประเทศไทยไปเป็นทหาร ๑ ปี แล้วไปบรรจุเป็นอาจารย์ที่เดนมาร์ก สอนมหาวิทยาลัยเดนมาร์ก ตอนหลังได้มีโอกาสมาทำวิทยานิพนธ์เรื่องผี เขาให้โอกาส ๓ ปี เลยในที่สุดก็ไปเจอแฟนง่อย แต่งงานกันที่เดนมาร์กเป็นง่อยจริงๆ กำพร้าพ่อแม่ เป็นอาจารย์สอนภาคภาษาจีนกลางเป็นโรคโปลีโอที่ขา เดินไม่ได้ เป็นตั้งแต่รุ่นๆ เป็นชาวฟิลิปปินส์ ญาติพี่น้องส่งเรียน มาบรรจุเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเดนมาร์ก เลยรักกันแต่งงานกัน อันนี้ไม่ต้องหาหมอดู พอมีลูก ๒ คน ก็ได้มาเขียนวิทยานิพนธ์เรื่องผีที่จังหวัดเชียงใหม่ เขียนปีครึ่งจบ พอไปสอนที่เดนมาร์กว่าผีมีจริงมั้ย ที่พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงทางเชียงใหม่ถือผีกันที่ซางดอย มันเป็นประวัติมาอย่างไร เอาไปสอนมหาวิทยาลัยของเขา

เขากลับมาก็พาภรรยามาด้วย เอามาอวดอาตมาว่าเขาได้คนง่อยจริงๆ ที่กล่าวมาแล้วก็เลยนับถือพุทธศาสนาตามสามีมาจนบัดนี้ แต่เดิมเป็นชาวคริสต์เอาลูกมาด้วย มาค้างที่วัดนี่หลายวัน เดินทางไปเขียนวิทยานิพนธ์เรื่องผีมาจากไหน เป็นอย่างไรเรียกว่าผี แล้วทำไมถึงถือผีอย่างไร ก็เอาไปสอนเดี๋ยวนี้เป็นศาสตราจารย์แล้ว ที่บ้านเขามีโต๊ะหมู่บูชา พระบูชาซึ่งอาตมาส่งไป

พอสมควรแล้ว สำหรับเรื่องของวีโก้ ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ที่วัดอัมพวันจนสามารถส่งโทรจิตไปยังญาติพี่น้อง ณ ประเทศนอรเวย์ได้.........


//www.palungjit.com/




 

Create Date : 20 มิถุนายน 2551    
Last Update : 20 มิถุนายน 2551 1:21:22 น.
Counter : 1896 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

travelaround
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [?]





ยินดีต้อนรับทุกท่านที่แวะเข้ามาชม blog มีข้อคิดเห็น เชิญ comment มาได้นะครับ ถ้าตอบได้ จะตอบให้ทันทีครับ แต่ถ้าไม่ทราบ ต้องขอเวลา จะค้นคว้ามาให้อ่านกัน ท่านที่จะถามคำถาม หรือติดต่อเรื่องบทความ ได้ทาง Email :- d_sign_place@yahoo.com ครับ


เรื่องต่างๆที่ผมได้เขียนหรือรวบรวม เรียบเรียงมานี้ ยินดีให้ทุกท่านได้อ่านเป็นวิทยาทานและเพื่อการศึกษา ถ้าจะนำไปโพสต่อใน website สาธารณะ หรือ website อื่นใดที่ไม่ใช่ทางพาณิชย์ กรุณาระบุที่มา คือ https://www.travelaround.bloggang.com และนามปากกาผู้เขียนคือ TraveLArounD ด้วย

แต่ขอสงวนสิทธิ์สำหรับการนำไปใช้ ในเชิงพาณิชย์ หรือโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง จะถูกดำเนินคดี ตามกฏหมายลิขสิทธิ์

ส่วนบทความหรือภาพถ่ายใดๆ ที่ได้นำมาจาก website อื่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเรื่องนั้นๆ เป็นการถ่ายทอดจากวิจารณญาณแล้วว่า มีความถูกต้องเป็นจริง มากที่สุด และได้นำมาจาก website ที่เป็นสาธารณะ ถ้าเรื่องราวหรือภาพของท่านที่ได้นำมาถ่ายทอดนี้ ไปละเมิดลิขสิทธิ์ของท่าน กรุณาแจ้งมาทาง email :– nana_sara1000@ymail.com ผมจะทำการลบข้อมูลหรือภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ออกทันที

Acknowledges that I try to write or report accurately but postings may contain fact , speculation or rumor. I find images from the Web that are believed to belong in the public domain. If any stories or images that appear on the site are in violation of copyright law, please email to :- nana_sara1000@ymail.com and I will remove the offending information as soon as possible.


Website counter
: Users Online









ที่ดินเชียงใหม่ ทางไปแม่ริม ใกล้ศาลากลาง และสนามกีฬา 700 ปี ติดน้ำปิง ในหมู่บ้านเพชรริมปิง พื้นที่ 667 ตารางวา @ 14,000.- บาท สภาพแวดล้อมดี สนใจติดต่อ โทร. 0859559950



DESIGN PLACE CO.,LTD. รับออกแบบ และตกแต่งภายใน บ้านพักอาศัย ในแบบไทย และไทยร่วมสมัย



มรดก ฉบับที่ 1

มรดก ฉบับที่ 2

มรดก ฉบับที่ 3

มรดก ฉบับที่ 4

มรดก ฉบับที่ 5

มรดก ฉบับที่ 6

มรดก ฉบับที่ 7

ช่วยสนับสนุนการจัดทำ BLOG ด้วยการซื้อหนังสือ "มรดก" 1ชุด 7เล่ม (หนังสือเก่า) ในราคาชุดละ 700 บาท (รวมค่าส่งทางไปรษณีย์)

สนใจสั่งซื้อทาง E-mail :- nana_sara1000@ymail.com



New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add travelaround's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.