พระโพธิสัตว์กวนอิม (กวนอิมพู่สัก)
พระโพธิสัตว์กวนอิม (กวนอิมพู่สัก) พระโพธิสัตว์กวนอิม เดิมเป็นเทพธิดาที่มาจุติยังโลกมนุษย์ เพื่อมาช่วยปลดเปลี้องทุกข์ภัยแก่มวลมนุษย์ ท่านเป็น ราชธิดาองค์ที่สามของกษัตริย์เมี่ยวจวง ซึ่งมีราชธิดา 3 องค์ องค์โตชื่อ เมี่ยวอิม องค์รองชื่อ เมี่ยวหยวน องค์ที่สามชื่อ เมี่ยวซ่าน คือ พระโพธิสัตว์กวนอิมนั่นเอง ตอนเยาว์วัยท่านเป็นพุทธมามกะ มีความรู้แจ้งในหลักพุทธธรรมอย่างลึกซึ้ง ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะบำเพ็ญภาวนา เพื่อความหลุดพ้นจากสังสารวัฏ แต่พระเจ้าเมี่ยวจวงพระราชบิดา ไม่เห็นด้วยกับความประสงค์ของราชธิดา ไม่คิดว่าหญิงสาวควรจะฝักใฝ่ในทางธรรม จะบังคับให้เลือกราชบุตรเขย เพื่อจะได้สืบทอดราชบังลังก์ต่อไป แต่องค์หญิงสามไม่สนพระทัยเรื่อง ลาภยศสรรเสริญ หรือราชบัลลังก์แต่อย่างใด แม้จะถูกพระบิดาดุด่าอย่างไร องค์หญิงก็ไม่เคยนึกโกรธเคืองแต่อย่างใด ต่อมาองค์หญิงสาม จึงได้ถูกขับไปทำงานหนักในสวนดอกไม้ เพื่อเป็นการทำโทษ เช่น หาบน้ำ ปลูกดอกไม้ ทั้งนี้เพื่อทรมานให้เปลี่ยนความตั้งใจ แต่ก็มีเหล่ารุกขเทวดามาช่วยทำงานให้ทั้งหมด พระบิดาเมื่อเห็นว่าวิธีการนี้ไม่ได้ผล จึงรับสั่งให้หัวหน้าแม่ชีนำองค์หญิงไปอยู่ที่วัดนกยูงขาวและ ให้เอางานของแม่ชีทั้งวัดมอบให้องค์หญิงทำคนเดียว แต่องค์หญิง ก็มีพระทัยเด็ดเดี่ยวไม่เปลี่ยนแปลง งานการต่างๆก็มีเหล่าเทวดามาช่วยทำแทนให้อีก พระเจ้าเมี่ยวจวงเข้าใจว่า พวกแม่ชีไม่กล้าเคี่ยวเข็ญใช้งานหนัก ก็ยิ่งกริ้วหนักขึ้น สั่งให้ทหารเผาวัดนกยูงขาวจนวอดเป็นจุณไปพร้อมกับพวกแม่ชีทั้งหมด มีแต่ พระธิดาเมี่ยวซ่าน เท่านั้นที่ปลอดภัยรอดชีวิตมาได้ พระเจ้าเมี่ยวจวงทราบดังนั้น จึงสั่งให้นำตัวราชธิดาไปประหารชีวิต ตอนนั้นมีเทพารักษ์คอยคุ้มครององค์หญิงสามอยู่ โดยเนรมิตทองคำทิพย์เป็นเกราะหุ้มตัว คมดาบของนายทหารจึงไม่อาจระคายพระวรกาย จนดาบหักสะบั้นถึง 3 ครั้ง 3 ครา พระบิดาทรงกริ้วหนักขึ้น โดยเข้าใจว่า นายทหารไม่กล้าประหารจริง จึงให้ประหารนายทหารแทน แล้วรับสั่งให้จับองค์หญิงไปแขวนคอ ทว่าผ้าแพรที่แขวนคอก็ขาดสะบั้นลงอีก ทันใดนั้นปรากฏมีเสือเทวดาตัวหนึ่งได้นำองค์หญิงขึ้นพาดหลัง แล้วเผ่นหนีไปที่เขาเซียงชัน ต่อมา เทพไท่ไป๋ ได้แปลงร่างเป็นชายชรามาโปรดองค์หญิง ชี้แนะเคล็ดวิธีการบำเพ็ญเพียรเครื่องดับทุกข์ จนสามารถบรรลุมรรคผล สำเร็จธรรม ข้างฝ่ายพระบิดาเข้าใจว่าองค์หญิงถูกเสือคาบไปกินเสียแล้ว จึงไม่ได้ติดใจตามราวีอีก ต่อมาไม่นาน บาปกรรมที่พระองค์ก่อไว้ได้ส่งผล กษัตริย์เมี้ยวจวงเกิดป่วยด้วยโรคร้ายแรง ไม่มียาใดที่จะสามารถรักษาให้หายได้ องค์หญิงเมี่ยวซ่าน ได้ทรงทราบด้วยญาณวิถีว่า พระบิดากำลังประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก ด้วยความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ มิได้ถือโทษโกรธเคืองการกระทำของพระบิดาแม้แต่น้อย ทรงได้สละดวงตาและแขนสองข้างเพื่อรักษาพระบิดาจนหายจากโรคร้าย องค์หญิง เมี่ยวซ่านนั้น ตอนแรกเป็นชาวพุทธ ตอนหลังเทพไท่ไป๋ได้มาโปรด ชี้แนะหนทางดับทุกข์ ด้วยเหตุนี้ พระโพธิสัตว์กวนอิม จึงเป็นเทพทั้งฝ่ายพุทธและฝ่ายเต๋าในขณะเดียวกัน พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ พระโพธิสัตต์ผู้มากล้นด้วยความเมตตา เรื่องของพระโพธิสัตต์พระองค์นี้ มิใช่สิ่งแปลกปลอมในพุทธศาสนา แต่เป็นพระโพธิสัตต์องค์สำคัญ ที่ได้รับการสักการะบูชามากที่สุด ที่อินเดียรูปเคารพมักจะเป็นภาพเขียน ปูนปั้น หินและไม้แกะสลัก ซึ่งปรากฏอยู่ตามฝาผนังถ้ำ วัดวาอาราม สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และวิทยาลัยทางพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นนาลันทา วิกรมศาลา ไม่จำเพาะแต่ที่อินเดียเท่านั้น ในเอเชียกลาง อาฟกานิสถานก็ปรากฏอย่างมากมาย ลักษณะของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ในอินเดีย พระพักตร์ พระวรกาย และพระอิริยาบท ตลอดจนการฉลองพระองค์อยู่ในรูปลักษณะของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินจักรพรรดิเป็นมหาราช มิได้มีฉลองพระองค์จนอ่อนพลิ้วอย่างจีน หรืออย่างที่พบกันในปัจจุบันของเมืองไทย ก็ได้อิทธิพลมาจากจีนทั้งสิ้น เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ ทรงมีพระกตัญญู (เมตตากรุณาธิคุณ) คอยปลดเปลื้องความทุกข์ภัยของสัตว์โลก จึงมีพระเนมิตตกนาม ( นามที่ได้จากลักษณะและคุณสมบัติ ) ตามภาษาจีนเรียกว่า พระกวนอิมพู่สัก แปลว่า พระโพธิสัตต์ที่มีพระกรรณาวธานโลกาศัพท์ หรือเรียกง่ายๆก็คือ ผู้คอยเงี่ยหูสดับรับฟังความทุกข์ของสัตว์โลก ในพระพุทธศาสนามหายาน คณะสงฆ์จีนนิกาย กล่าวไว้ว่า สามารถเนรมิตกายได้ 32 กาย แล้วแต่ว่าจะไปโปรดใคร มิใช่มีรูปร่างเป็นหญิงดังที่ปรากฏเท่านั้น ที่สำคัญ มี 6 ร่าง คือ 1. อวโลกิเตศวร (กวนอิมพู่สัก) 2. สหัสหัตถ์สหัสเนตรอวโลกิเตศวร 3. เอกาทสมุขีอวโลกิเตศวร 4. หัยครีวอวโลกิเตศวร 5. จัณฑิอวโลกิเตศวร 6. จินดามณีจักรอวโลกิเตศวร มงกุฏเหนือเศียรเกล้าแห่งพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์มหาสัตต์ หลังพุทธศตวรรษที่ 14 มักจะเป็นรูปของพระอมิตาภะในปางสมาธิแทบทั้งสิ้น ในกรณีที่เป็นพระโพธิสัตต์มีหลายเศียร เศียรบนสุดอย่างไรเสียก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้าอมิตภะ ดอกบัวสัญญลักษณ์ของกวนอิม คือ บัวสีชมพู สีขาวใช้กับพระมัญชุศรีโพธิสัตต์เท่านั้น ด้วยดอกบัวสีชมพูในตระกูลปัทมะนี้เอง ทำให้พระองค์ได้รับการขนานพระนามว่า " พระปัทมปาณีโพธิสัตต์ " ด้วยความเมตตา กรุณาต่อสรรพสัตว์อันประมาณมิได้นี้เอง ก่อให้เกิดแนวในการสร้างพระกวนอิมพันมือพันตาในเวลาต่อมา โดยขนานนามพระองค์ท่านว่า พระสหัสสหัตถ์สหัสสเนตรอวโลกิเตศวร หรือถ้าเป็นปาง 4 พระกร เรียก จตุหัตถ์อวโลกิเตศวร ส่วนพระคาถาสรรพราเชนทร์ ด้วยถ้อยความศักดิ์สิทธิ์ 6 พยางค์ " โอม มณี ปัทเม หุม " นั้นมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า " ษฑักษรีมหาวิทยา " โดยกำหนดให้ปางหนึ่งของพระอวโลกิเตศวร หรือพระษฑักษรีโลเกศวร เป็นพระโพธิสัตต์ผู้รักษามนตราศักดิ์สิทธิ์ 6 พยางค์นี้ ในพุทธศาสนามหายานนั้น ยกย่องพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ ว่าเป็นพระผู้ได้รับธรรมจักรมาโดยตรงจากพระพุทธเจ้า และเป็นผู้นำในการรักษาพระพุทธศาสนา และหมุนธรรมจักรต่อไป พระคัมภีร์สำคัญๆของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานประกอบด้วย คัมภีร์มหาสุขาวดีวยุหสูตร , จุลสุขาวดีวยุหสูตร , อมิตายุรธยานสูตร , ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร , พระสัทธรรมปุณฑรีกสูตร ซึ่งโดยวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของอินเดียและชนชาวจีนแตกต่างกันมาก ดังนั้น เมื่อจำเป็นต้องแปลคัมภีร์เหล่านี้ จึงต้องใช้เวลาในการปรับความเข้าใจในหลักคิดและการใช้ภาษาเป็นอย่างมาก เพื่อมิให้ผิดเพี้ยนไปตามความหมายเดิม แต่คัมภีร์และแนวคิดเกี่ยวกับพระอวโลกิเตศวรนั้น ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างมากเกือบ 800 ปี ตั้งแต่เริ่มต้นคริศตศักราชมาจนถึงจุดสูงสุดในราชวงศ์ถัง ( ราว ค.ศ. 7-8 ) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 6 ทางตอนเหนือของประเทศจีนมีวัดของพุทธศาสนามากกว่า 3หมื่นวัด มีพระและชีรวมกันราวๆ 2ล้านคน ส่วนทางใต้ซึ่งเป็นเขตปกครองของราชวงศ์เหลียว มีวัดมากกว่า 2,800 วัด มีพระและชีราวๆ 82,700 รูป แนวความเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตต์เริ่มแพร่หลายในประเทศจีนเป็นอย่างมาก พระพุทธเจ้าที่ได้รับการบูชาอย่างแพร่หลายคือ พระอมิตภพุทธเจ้า , พระศากยมุนีพุทธเจ้า , พระไภษัชคุรุพุทธเจ้า , พระไวโรจนพุทธเจ้า เป็นต้น พระโพธิสัตต์ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากคือ กวน เซ ยิน หรือ กวน ยิน หรือคนไทยคุ้นเคยกับการอ่านและสะกดว่า กวนอิม ซึ่งมีต้นรากมาจากพระโพธิสัตต์พระองค์หนึ่งซึ่งปรากฏพระนามในภาษาสันสกฤตว่า อวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ จากกวนอิมหน้าม้าเป็นมหาบุรุษ เทพฝ่ายจีนในระยะเริ่มต้นนั้นมักผสมปนเปกันไประหว่างเพศหญิงและเพศชาย รวมถึงครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ด้วย ฉะนั้นเทวปกรณ์ของฝ่ายจีนนั้น จึงมีทั้งเทพและมารด้วยตำนานอันแสนพิสดาร แม้ว่าต้นเค้าของพระเป็นเจ้าแห่งสวรรค์ตะวันตก หรือโลกทิพย์สุขาวดี อันประกอบด้วยพระอมิตภพุทธเจ้า , พระโพธิสัตต์อวโลกิเตศวรมหาสัตต์ , พระโพธิสัตต์มหาสถามะปราบต์มหาสัตต์ จะมีที่มาหลากหลายทางก็ตาม แต่ทางอินเดียแล้ว รากฐานดั้งเดิมของพระโพธิสัตต์อวโลกิเตศวรมาจาก เทพม้าคู่ ในลัทธิพราหมณ์-ฮินดู ทั้งนี้เมื่อปราชญ์ฮินดูเริ่มปฏิรูปและจัดหมวดหมู่ของพระเวทและเทพเจ้าใหม่ เป็นระยะๆด้วยการสถาปนาพระเป็นเจ้าพระองค์ใหม่ๆ หรือการเพิ่มเติมฤทธิ์เดชอย่างมากมายนั้น ก็เพื่อสร้างศูนย์รวมศรัทธาให้เหนียวแน่น เป็นเครื่องบีบรัดมิให้คนของตนเองถ่ายเทมายังศาสนาพุทธ ที่เกิดขึ้นภายหลัง แต่กลับมีหลักการและคำสอนที่ชัดเจน เข้าใจศึกษาได้ เห็นผลด้วยตนเอง จึงมีผู้เข้ามาศึกษาทางพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะคนวรรณะต่ำ ที่ถูกจำกัดสิทธิในทางสังคมในช่วงเวลานั้น การสถาปนาพระเป็นเจ้าพระองค์ใหม่ๆอย่างกรณี พุทธาวตาร ซึ่งถือว่า เป็นนารายณ์อวตารองค์ที่ 9 นั้น เป็นการบิดเบือนความจริง ก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หรือศรัทธา ที่มีต่อพระพุทธเจ้า ให้กลับเข้าไปอยู่ภายใต้ลัทธิพราหมณ์-ฮินดู ตามเดิม เพื่อที่จะกลืนเอาประชาชน ที่หันมานับถือศาสนาพุทธ กลับไปเป็นพวกตน ดังนั้นเพื่อที่สืบต่อพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน คณะสงฆ์ของพุทธศาสนาในขณะนั้น จึงมีการผ่อนปรน ปรับหลักคิดเสียใหม่ ด้วยการนำเอาความคิดเรื่องเทพเจ้ามาปรับใหม่ให้กลายเป็นเรื่องพระโพธิสัตต์เสีย เพื่อเป็นการชักจูง โน้มน้าวด้วยเครื่องบันเทิงตั้งแต่คัมภีร์ เทวปกรณ์ ไปจนถึงการประโคมดนตรีขับกล่อมพระโพธิสัตต์ ดังจะเห็นได้ว่า เรื่องสุขาวดีพุทธเกษตรของพระอมิตภพุทธเจ้านั้น น่ารื่นรมย์เพียงไร เป็นแนวทางตอบโต้การบิดเบือนเรื่อง นารายณ์อวตารองค์ที่ 9 ในลักษณะเดียวกัน แต่นโยบายนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย คือสามารถดึงสาวก หรือผู้นับถือไว้ได้ แต่ตัวพระพุทธศาสนาเอง ก็เปลี่ยนแปลงไป แตกเป็นหลายสาย หลายสำนักอาจารย์ จนเป็นมหายาน ในที่สุด ในสมัยฤคเวทของพราหมณ์นั้น มีเทพเจ้าคู่หนึ่งเป็นม้าแฝด ชื่อ พระกุศลเทพ สร้างบารมีด้วยการโปรดผู้คนซึ่งตกทุกข์ได้ยาก ดังนั้นศาสนาพุทธจึงใช้ระบบสถาปนา เข้าทำนองหนามยอกเอาหนามบ่ง สร้างพระโพธิสัตต์ขึ้นมาพระองค์หนึ่ง เรียกว่า พระหัยครีวโพธิสัตต์ หรือเรียกกันง่ายๆว่า กวนอิมหัวม้า ในสมัยที่เป็นเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์นั้น ม้าแฝดคู่นี้เป็นสัญญลักษณ์แห่งความเมตตา กรุณาและความดีงาม เนื่องด้วยมีอิทธิฤทธิ์มากมาย สามารถทำให้คนตาบอดกลับกลายเป็นคนมีนัยน์ตาปกติ คนเป็นหมันสามารถมีบุตรได้ โคถึกสามารถให้นมแก่ลูกได้ ไม้ผุสามารถออกดอกได้ เพื่อให้แนวคิดในการโปรดสรรพสัตว์ในห้วงทุกข์ ได้รับการต้อนรับมากยิ่งขึ้น จึงก่อให้เกิดรูปลักษณ์อย่างมหาบุรุษขึ้นที่อินเดียก่อน จากนั้นในเมืองจีน ราวๆคริสตศตวรรษที่ 5 กวนอิมจึงค่อยๆขยับฐานะจากม้ามารับสถานภาพของบุรุษเพศครั้งแรก รูปลักษณ์ของใบหน้าซึ่งมีหนวดในการบ่งบอกเพศอย่างชัดเจน จากนั้นจึงเริ่มแปรพักตร์เป็นชายใบหน้าอิ่มเอิบ และฉายแววของความกรุณาปราณีผ่านทางแววตาเพียงเล็กน้อย แม้บางลักษณะจะดูกลืนกันไประหว่างเพศหญิงและเพศชายก็ตามที แต่กระนั้นกวนอิมก็ยังคงรูปแบบของอณูแห่งความเป็นชายมากกว่า จนเมื่อคริสตศตวรรษที่ 8 ภาพลักษณ์ของผู้หญิงเพิ่งจะปรากฏออกมาให้เห็น ในระยะ 200 ปีนี้ โดยเฉพาะในประเทศจีน ต้องยอมรับในความพยายามของศาสนาพุทธฝ่ายมหายานที่ต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อมิให้กลืนหายไปกับลัทธเต๋า (อย่างประเทศไทย ที่มีความเชื่อเดิมในการนับถือผี เทวดา หรือพราหมณ์ ก็ต้องมีกุศโลบายไปอีกอย่างหนึ่ง) ข้างฝ่ายลัทธิเต๋านั้น ก็มีเทพฝ่ายหญิงเหมือนกัน และที่ได้รับความนิยมและศรัทธามากคือ พระมารดาราชินีแห่งทิศตะวันตก สี หวาง มู เหตุที่บัญญัติทิศตะวันตกเช่นเดียวกับพระอมิตภพุทธเจ้าและกวนอิมโพธิสัตต์ เพราะชาวจีนเชื่อว่า เป็นทิศแห่งสรวงสวรรค์ (สุขาวดี) ที่คนตายจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า การเกิดกวนอิมในสถานภาพของเพศหญิงขึ้นมาเพื่อรองรับความจำเป็นทางวัฒนธรรมของชุมชน และต้องการลดกระแสของเพศชายซึ่งมีอำนาจสูงสุดมาแต่เดิม ทุกศาสนาล้วนแต่มีเทวนารีด้วยกันทั้งสิ้น ศาสนาคริสต์มีการบูชาพระนางมาเรีย มารดาของพระเยซูคริสต์ ศาสนาพุทธฝ่ายมหายานสร้างพระแม่กวนอิม ศาสนายิวมีพระนางโซเฟีย หรือแม้แต่ฮินดูเองก็เกิดลัทธิบูชาศักติชายาของมหาเทพขึ้น แม้จะไม่สามารถเปลี่ยนศูนย์กลางอำนาจของฝ่ายชายได้เต็มร้อย แต่ก็ทำให้เกิดมุมมองและวัฒนธรรมทางศาสนาอย่างใหม่ และขยายตัวอย่างกว้างขวาง หากพิจารณาอย่างลึกซึ้ง ภาพลักษณ์ภายนอกระหว่างพระนางมาเรียกับกวนอิมในเพศหญิง (ปางกวนอิมชุดขาวอุ้มบุตร) เทพธิดาไอซีสกับเทพบุตร พระนางอุมาอุ้มพระคเณศ เหล่านี้ต่างกันแต่ผู้แสดงนำเท่านั้น แต่โดยเนื้อแท้แล้ว ย่อมไม่แตกต่างกัน เพราะนั่นคือการถ่ายเททางวัฒนธรรมระหว่างศาสนาซึ่งมีมาแต่โบราณ รูปแบบการสร้างรูปเคารพของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์มหาสัตต์ในระยะแรกจนถึงราชวงศ์ถัง ได้สร้างขึ้นด้วยแนวคิดเยี่ยงบุรุษเพศ หลังจากนั้นจึงเริ่มสร้างแนวคิดใหม่ กลายเพศจากชายเป็นหญิง ให้สะท้อนถึงความรู้สึกและความเชื่อของประชาชนพื้นบ้าน ให้ห่างไกลแม่แบบซึ่งมาจากอินเดีย จนอาจจะเรียกได้ว่า กวนอิมในรูปลักษณ์ของสตรีนั้น เป็นเอกลักษณ์ที่ได้รับการต้อนรับอย่างกว้างขวางที่เมืองจีน และขยายเข้าสู่ประเทศอื่นๆในแถบเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฯลฯ (ที่มีคนเชื้อสายจีน อพยพไป) ทั้งนี้เพราะรูปลักษณ์ของฝ่ายหญิงแทนค่าในเรื่องเมตตากรุณาได้มากกว่า ในขณะที่รูปลักษณ์อย่างชายนั้น สะท้อนในเรื่องคุณธรรมมากกว่าความเมตตา ที่ธิเบต แม้ว่าทางด้านภูมิศาสตร์แล้ว จะใกล้เคียงอินเดียและจีน แต่พระโพธิสัตต์ก็นิยมสร้างอย่างเพศมหาบุรุษ และบางรูปลักษณ์นั้นมีรูปลักษณ์น่าสะพรึงกลัว ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพของประเทศธิเบตที่เคยมีความเชื่อเรื่องธรรมชาติ ความเชื่อในเรื่องยักษ์ มาร ภูติ ผี ปีศาจ และอำนาจเร้นลับต่างๆ ซึ่งเป็นอิทธิพลของศาสนาบอนปะที่ธิเบตนับถือกันมาแต่เดิม ก่อนที่พุทธศาสนาจะเข้าไปเผยแพร่ โดยท่านมหาโยคี คุรุปัทมะสัมภวะ (ศาสนาพุทธ แม้จะเกิดขึ้นมานานแล้วก็ตาม แต่ก็ยังถือว่าเกิดภายหลังลัทธิ ความเชื่ออื่นๆ ที่มีอยู่เดิมในแต่ละท้องถิ่น) พระโพธิสัตต์ในศาสนาพุทธถูกระบุเพศมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ฉะนั้นกฏอันเข้มงวดนี้จึงต้องแทนค่าด้วยความเมตตาและช่วยเหลือให้ประชาชนพ้นทุกข์ จากนั้นจึงวางกุศโลบายอันแยบยลอีกชั้นหนึ่งเพื่อแปลงโฉมกวนอิมโพธิสัตต์ในคราบบุรุษเพศให้เป็นอิสตรี กฏอันเข้มงวดยังคงอยู่ แต่สร้างวัฒนธรรมใหม่ หรือใช้กฏที่เลี่ยงได้ กล่าวคือ ในโลกมนุษย์ กวนอิมคือเพศหญิง ในโลกสวรรค์ กวนอิมคือเพศชาย โดยใช้ตำนานและความเชื่อท้องถิ่นเข้ามาอธิบายความเปลี่ยนแปลงนั้นๆ เทพเจ้าฝ่ายหญิงจะได้รับความนิยมเพียงพระองค์เดียวหาได้ไม่ ดังนั้นจึงเริ่มรวมเอาเทพีท้องถิ่น เข้ามาอยู่ร่วมวงศ์เทวัญ ด้วยการมอบตำแหน่งตามลำดับชั้นลงไป อวโลกิเตศวร มีความหมายอย่างไร เนื่องจากพระโพธิสัตต์พระองค์นี้มีชื่อเสียงสูงสุดในประเทศอินเดียมาแต่เดิม และขยายความเชื่อไปยังนานาประเทศในแถบเอเชีย ดังนั้นเรื่องราวของพระองค์จึงได้รับความสนใจจากนักปราชญ์ทางศาสนา โบราณคดี หลายชาติ หลายภาษา ซึ่งแต่ละท่านให้ความหมายของคำว่า อวโลกิเตศวร แตกต่างกันไป มหาปณิธานของพระโพธิสัตต์พระองค์นี้ คือ หากยังมีสัตว์โลก ตกทุกข์ได้ยาก แม้เพียงคนเดียว จะไม่ขอบรรลุพุทธภูมิ นั่นย่อมแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติในด้าน พระมหากรุณา ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน โพธิสัตต์ หมายถึง ท่านผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า อวโลกิเตศวร ประกอบขึ้นด้วยคำ 2 คำ คือ อวโลกิตะ หมายถึง ผู้มองมายังเบื้องล่าง และ อิศวร แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ หรืออวโลกิเตศวร แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ที่มองเห็น พระผู้เป็นเจ้าซึ่งมองดู, พระผู้เป็นเจ้าซึ่งมองลงมาจากเบื้องบน พระผู้เป็นเจ้าผู้มองดูด้วยความเมตตา ผู้ซึ่งได้รับการกล่าวอำลาแล้ว ผู้ที่สามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ คือ อาจจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อใดก็ได้ แต่ทรงปฏิเสธ เนื่องจากความกรุณาสงสารต่อสรรพสัตว์ ในภาษาสันสกฤต พระโพธิสัตต์พระองค์นี้ยังเรียกอีกพระนามหนึ่งว่า อวโลกิตโลเกศวร ทางจีนนั้น พระภิกษุเหี้ยนจัง (พระถังซัมจั๋ง) เรียกเป็นภาษาจีนว่า กวนเซยินเซอไซ , กวนเซอไซ นักปราชญ์ทางพุทธศาสนาบางท่านให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า คำว่า อิศวร นั้น เป็นตำแหน่งที่ติดมากับพระนามอวโลกิตะ เรียกได้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตต์พระองค์เดียวเท่านั้นที่มีตำแหน่งระบุไว้ท้ายพระนาม ในขณะที่พระโพธิสัตต์พระองค์อื่นหามีไม่ นั่นแสดงให้เห็นถึง ความยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตต์พระองค์นี้ TraveLArounD เรียบเรียงจาก พระอวโลกิเตศวรกวนอิมโพธิสัตต์ พระพุทธศาสนามหายาน คณะสงฆ์จีนนิกาย (ทีมงาน โอม มะโม กวนซืออิม ผู่สัก ) และ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Create Date : 30 กรกฎาคม 2551
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 18:05:48 น.
Counter : 13534 Pageviews.
โทรจิตของหนุ่มนอร์เวย์
โทรจิตของวีโก้ (ชาวนอรเวย์) โดย พระครูภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน) เรื่องโทรจิตทางใจ มี นายวีโก้ ที่มาต่อปริญญาโทที่จุฬาฯ เป็นชาวนอรเวย์ อาตมาคิดว่าคงจะเป็นฝรั่งชาติฮอลันดามาบวชที่นี่ เขาเป็นชาวคริสต์ บิดาเป็นวิศวกรไฟฟ้าแห่งนอรเวย์ ปู่เขาเป็นศาสตราจารย์ภาคคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยออสโล มารดาเป็นเลขานุการมหาวิทยาลัยออสโล มีลูกชายคนเดียวชื่อ วีโก้ มีลูกสาว ๒ คน วีโก้เรียนอักษรศาสตร์ภาษาไทยเรียนหลายภาษามาต่อปริญญาโทที่ประเทศไทยที่จุฬา ปู่เขาเป็นศจ.บอกกับหลานว่า เจ้าไปประเทศไทยจงเอาของดีมาฝากปู่ เพราะปู่อ่านพระไตรปิฎกเป็นภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยของเรา ทุกศาสนามีให้เรียน อ่านแล้วซึ้งใจในภาคปฏิบัติธรรมเหลือเกิน ไปแล้วจงเอามาฝากปู่ให้จงได้ เขาก็โน้ตแล้วให้ปู่เซ็นชื่อไว้ ฝรั่งนี่ทำอะไรละเอียด ก็มาเรียนที่จุฬาฯ เขามาสิงห์บุรี อยากจะมาดูชาวบ้านแป้ง คนเวียงจันทน์ย้ายมาตั้งแต่สมัยเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก บ้านนี้มีอาชีพทางปั้นหม้อ ทำเครื่องช่างต่างๆ ทำทอง ที่บ้านแป้ง มีเจ้าคุณองค์หนึ่งชื่อ เจ้าคุณพรหมโมฬี ก็ไปกราบนมัสการพระคุณเจ้านี้ มีปัญหาถาม ๑๐ ข้อ แต่เจ้าคุณไม่สามารถตอบได้ ก็เลยพาฝรั่งมาหาอาตมาที่วัดนี้ แต่อาตมาก็ไม่ทราบว่าตอบถูกหรือผิด ตอบไปแล้วเขาก็ลากลับ กลับไปได้ ๑๐ กว่าวันเศษ แบกหีบมาที่วัดบอกกระผมขอบวชที่วัดนี้ ขอเจริญวิปัสสนากรรมฐานตามที่ปู่มีความประสงค์ อาตมาบอกไม่ได้ คุณเป็นชาวต่างประเทศต้องได้รับอนุญาตจากบิดา มารดาเสียก่อน จึงจะบวชได้ ไม่งั้นบวชให้ไม่ได้ เขามีใบแสดง ฝรั่งเขามีว่าพออายุเท่านี้ก็หมดหน้าที่ แล้วปู่เขาก็มีในฐานะของพ่อแม่ ก็ได้อนุญาตให้เขาเอาของดีมาฝากให้ได้โดยการบวช อาตมาก็อนุญาต ฝรั่งคนนี้เก่งมาก ท่องขานนาคได้ใน ๓ ชั่วโมง แล้วก็วินัยของพระรู้มาก่อน เพราะเขาเรียนหนังสือไทยเขียนได้ดีมาก บวชแล้วเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ทำได้เคร่งครัด ๔๕ วัน สามารถโทรจิตได้ เขาถามว่าผมอยากจะกราบเรียนถามว่า คนไทยชาวพุทธเวลาเขาตายกัน กรวดน้ำได้ไม่ได้ไม่รู้ ผมอยากจะถามว่า อุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาให้กับพ่อแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้รับไหมครับ อาตมาเห็นว่าจิตเขาสูงแล้วพอสมควร สามารถจะโทรจิตได้ พอดีแม่เขากำลังป่วยหนัก พักฟื้นอยู่ที่บ้าน เขาอยากจะอุทิศส่วนกุศลไปด้วยบุญกุศลอย่างนี้ จะได้รับไหม ก็บอกเขาว่าได้ เขาก็เดินจงกรมแล้วนั่ง เสร็จแล้วก็อธิษฐาน เวลาอธิษฐานจะแผ่เมตตา อย่าทำกำลังนั่ง เวลาส่งผลก็เช่นกัน ต้องทำให้เสร็จกิจก่อน ทำให้งานเสร็จก่อน เราจะเดินจงกรม ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง เสร็จกิจในการภาวนาก่อน แล้วค่อยสวดมนต์แผ่เมตตาโดยอโหสิกรรม ทำให้จิตใจสบายเบิกบาน แล้วแผ่ได้เลยอุทิศได้ตอนหลัง ไม่ใช่นั่งด้วยแผ่ไปด้วย จะไม่ได้รับ พอทำเสร็จแล้ว เขาก็อธิษฐานจิตหลังจากนั่งภาวนาหมดกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว อโหสิกรรมต่อกันให้จิตใจเบิกบานบริสุทธิ์ เขาอธิษฐานว่า ในวันนี้เป็นวันชาติของข้าพเจ้า แม่ของข้าพเจ้ากำลังป่วยหนัก ด้วยบุญกุศลของลูกที่ได้บำเพ็ญกุศลได้บวชในพระศาสนาและได้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าเป็นความจริงดังกล่าวแล้ว ขอให้แม่ของข้าพเจ้าหายจากโรคภัยไข้เจ็บทันที ประการที่ ๒ ปู่ของข้าพเจ้าที่ต้องการจะให้หลานเอาของดีไปฝากบัดนี้หลานได้ของดีแล้ว ประการที่ ๓ ขอให้เพื่อนของข้าพเจ้าอีก ๓ คนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันที่เรียนหนังสือมาด้วยกัน จงมีความสุข ความเจริญโดยทั่วหน้ากัน ในเมื่อทั้ง ๓ นี้ได้รับแล้ว ขอให้ตอบทางจดหมายทันที อธิษฐาน ถึงเดี๋ยวนั้นไม่ต้องรอเวลาเหมือนไปรษณีย์ วันนั้นพอดีเป็นวันชาติของนอรเวย์ เขาก็มาพักคุยกันที่บ้านของวีโก้ อยู่ที่ออสโล คุยกัน แม่เขานอนอยู่ในห้องพักฟื้น กำลังป่วยแต่กลับจากโรงพยาบาลแล้ว ยังอ่อนเปลี้ยอยู่ในห้อง เวลาส่งโทรจิตที่นี่เป็นเวลากลางคืน ๔ ทุ่ม ที่โน่นเป็นเวลาเช้า เวลาไม่เท่ากัน รู้ได้จากการตอบรับหนังสือ ขณะนั้นปู่เห็นผ้าเหลืองแวบผ่านหน้าไป ทุกคนก็สังหรณ์พร้อมใจกัน คิดถึงวีโก้ทันที ก็คุยเรื่องวีโก้ ปู่เขาก็เข้าใจว่าหลานคงจะได้บวชในพระพุทธศาสนา เพราะผ้าเหลืองผ่านหน้าแล้วก็หายไป พ่อเขาก็พูดถึงวีโก้เรียนอักษรศาสตร์ที่จุฬา แม่กำลังคิดถึงลูกชายก็ได้ยินพูดถึงวีโก้ลูกชาย ปู่พูดว่าเห็นผ้าเหลืองแวบ แม่ก็คลานออกมาอารามดีใจคิดถึงลูกเลยหาย ออกมานั่งโต๊ะคุยกันเป็นชั่วโมง พอคุยกันแล้ว แม่ก็เริ่มเขียนหนังสือ เขาเขียน วัน เดือน ปี ลงเวลาด้วย ก็เขียนถึงวีโก้ลูกรัก เหตุการณ์เกิดขึ้นที่บ้านของเราวันนั้นเป็นวันชาติ เพื่อนของเจ้าด้วยก็มาอยู่ที่นี่ พ่อและปู่ ปู่ของเจ้าเห็นผ้าเหลือง ถามว่าเจ้าบวชจริงไหม แล้วปฏิบัติกรรมฐานจริงเท็จประการใด แม่ตอนนี้กำลังพักฟื้น เขาเห็นผ้าเหลืองแล้วก็พูดถึงลูก แม่ก็หายทันที เขียน ๔-๕ หน้ากระดาษ กว่าจะมาถึงวัดหลายวัน ผ่านที่จุฬาฯ ก็ส่งมาให้ที่วัด พอพระวีโก้อ่านแล้วน้ำตาร่วงทันที เขาก็แปลให้ฟัง ตอนนั้นเขาขอเวลาอาตมาวันละชั่วโมงตอน ๓ ทุ่ม อาตมาจะไปไหนไม่ได้ เขาว่าผมข้ามน้ำข้ามทะเลมาท่านต้องไปไหนไม่ได้ ๑ ชั่วโมง ดังที่กล่าวมานี้ยังมีหลักฐานอยู่ ในเวลากาลต่อมา วีโก้จะจบหลักสูตร ก็ต้องกลับประเทศนอรเวย์ หลักการเขามีอยู่ว่า ถ้าไปเรียนมหาวิทยาลัยไหนก็ตาม ถ้าจบแล้วต้องไปเป็นทหาร ๑ ปีไม่ต้องจับใบดำ ใบแดง ประเทศเขามีหลักอย่างนี้ ทุกคนเป็นทหารหมด ๑ ปี แต่เขาไม่นิยมรบกับใคร วีโก้ก็มาบอกกับอาตมาว่าผมจบหลักสูตรปริญญาโทแล้ว อยากจะอยู่ประเทศไทยต่ออีก ๑ ปี จะทำอย่างไร อาตมาก็แนะนำให้ คือ ทำเหมือนเดิม อธิษฐานจิตเดินจงกรม ๒ ชั่วโมง นั่ง ๒ ชั่วโมง แล้วขอแผ่ถวายเป็นกุศลถึง ๑.องค์พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยาม ๒.อธิการบดีและอาจารย์ภาควิชาของเขา ๓.ถึงประเทศนอรเวย์ มีบิดา มารดา ครูอาจารย์ ๔.แล้วก็แผ่ถึงกระทรวงกลาโหมให้ยับยั้งเวลาการเป็นทหารอีก ๑ ปีต่อไป วีโก้ทำติดๆกัน ๒ คืน แล้วขอลาเข้ามหาวิทยาลัย สิกขาลาเพศ พอลาไปแล้วก็บอกอาตมาว่า ถ้าผมไม่ได้อยู่ต่อไป ก็อาจจะเขียนจดหมายแจ้งช้าหน่อย ถ้าได้อยู่ต่อไปก็จะรีบส่งโทรเลขมาให้ทราบ เขายังถามว่า แม่ราตรีที่เป็นคนไทย ผมจะขอแต่งงานกับเขา เพราะรักกันมาหลายปี ตั้งแต่อยู่เมืองนอก หลวงพ่อเห็นสมควรหรือไม่ อาตมาบอกไม่ทราบไปนั่งกำหนดสติเอาเอง ว่าจะแต่งงานได้หรือไม่ได้มีประโยชน์เหมือนกัน ก็ไปนั่งเดี๋ยวมาบอกก็แล้วกัน หลังจากนั้นเขาก็มาบอกว่าหลวงพ่อถ้าจะไม่ได้แต่งงานเสียแล้ว รู้ได้ยังไง สติบอก บุพเพสันนิวาสไม่ได้แต่งงานกับคนนี้ ผมจะต้องได้ไปแต่งงานกับคนง่อยกำพร้าพ่อแม่ สติบอกได้ ในที่สุดเขาก็กลับไป เขาดีกว่าคนไทย ขอเทียนแพใส่พานดอกไม้ กรวย เขาก็ไปไหว้อธิการขอศีลขอพร ไหว้บ้านเหนือ บ้านใต้ก่อนไป เที่ยวลาคนโน้นคนนี้ คนไทยไม่เอาไหน ขอพรใครที่ไหน สึกแล้วยังไม่ทันไร หนีไปแล้ว ยังไม่ลาพระอาจารย์เสียด้วย จึงไม่ได้รับพร จึงได้มีอายุไม่ยืน อาตมาก็ให้เขาทำกรวยผ้าไหมให้เขา ก็ไปกราบขอพรอธิการของเขา ยังไม่ทันวางพาน พอเข้าไปอาจารย์บอกว่า วีโก้คุณได้อยู่ต่ออีก ๑ ปี เท่านั้น น้ำตาร่วงเลย เขามีหนังสือยืนยันจากนอรเวย์ กระทรวงกลาโหมให้คุณอยู่ต่อในประเทศไทยได้อีก ๑ ปี อยู่ได้คืนเดียวกลับมาแล้วรายงานให้อาตมาทราบ นี่ด้วยอำนาจบุญกุศล ขอได้ฟังได้พิจารณาด้วยตนเอง เพราะมันเกิดขึ้นแล้วที่นี่ นี่เรื่องของแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล ก็ได้อยู่ต่อ ๑ ปี พอกลับไปก็ไปเป็นทหารแล้วส่งข่าวให้อาตมาเรื่อยมา อาตมาดีใจอย่างหนึ่ง ทางราชการเคยส่งพวกโรงไฟฟ้าไปดูงานที่นอรเวย์ อาตมาก็จดหมายบอกไป เขาให้พักที่บ้านเลย เปิดโรงไฟฟ้านอรเวย์ให้ดูวันอาทิตย์เลย เขาเป็นหัวหน้าใหญ่ เขาบอกเขารักลูกเขาอย่างไร รักคนไทยอย่างนั้น สามารถจะสงเคราะห์ให้ลูกเขาได้บวชในพระศาสนา เอกอัครราชทูตนอรเวย์มาดูตัวอาตมาที่วัด อยากดูตัว หัวหน้าศาสนาหน่อยไปเอาลูกเขามาบวชได้ยังไง วีโก้ออกไปจากประเทศไทยไปเป็นทหาร ๑ ปี แล้วไปบรรจุเป็นอาจารย์ที่เดนมาร์ก สอนมหาวิทยาลัยเดนมาร์ก ตอนหลังได้มีโอกาสมาทำวิทยานิพนธ์เรื่องผี เขาให้โอกาส ๓ ปี เลยในที่สุดก็ไปเจอแฟนง่อย แต่งงานกันที่เดนมาร์กเป็นง่อยจริงๆ กำพร้าพ่อแม่ เป็นอาจารย์สอนภาคภาษาจีนกลางเป็นโรคโปลีโอที่ขา เดินไม่ได้ เป็นตั้งแต่รุ่นๆ เป็นชาวฟิลิปปินส์ ญาติพี่น้องส่งเรียน มาบรรจุเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเดนมาร์ก เลยรักกันแต่งงานกัน อันนี้ไม่ต้องหาหมอดู พอมีลูก ๒ คน ก็ได้มาเขียนวิทยานิพนธ์เรื่องผีที่จังหวัดเชียงใหม่ เขียนปีครึ่งจบ พอไปสอนที่เดนมาร์กว่าผีมีจริงมั้ย ที่พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงทางเชียงใหม่ถือผีกันที่ซางดอย มันเป็นประวัติมาอย่างไร เอาไปสอนมหาวิทยาลัยของเขา เขากลับมาก็พาภรรยามาด้วย เอามาอวดอาตมาว่าเขาได้คนง่อยจริงๆ ที่กล่าวมาแล้วก็เลยนับถือพุทธศาสนาตามสามีมาจนบัดนี้ แต่เดิมเป็นชาวคริสต์เอาลูกมาด้วย มาค้างที่วัดนี่หลายวัน เดินทางไปเขียนวิทยานิพนธ์เรื่องผีมาจากไหน เป็นอย่างไรเรียกว่าผี แล้วทำไมถึงถือผีอย่างไร ก็เอาไปสอนเดี๋ยวนี้เป็นศาสตราจารย์แล้ว ที่บ้านเขามีโต๊ะหมู่บูชา พระบูชาซึ่งอาตมาส่งไป พอสมควรแล้ว สำหรับเรื่องของวีโก้ ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ที่วัดอัมพวันจนสามารถส่งโทรจิตไปยังญาติพี่น้อง ณ ประเทศนอรเวย์ได้......... //www.palungjit.com/
Create Date : 20 มิถุนายน 2551
Last Update : 20 มิถุนายน 2551 1:21:22 น.
Counter : 1896 Pageviews.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [? ]
ยินดีต้อนรับทุกท่านที่แวะเข้ามาชม blog มีข้อคิดเห็น เชิญ comment มาได้นะครับ ถ้าตอบได้ จะตอบให้ทันทีครับ แต่ถ้าไม่ทราบ ต้องขอเวลา จะค้นคว้ามาให้อ่านกัน ท่านที่จะถามคำถาม หรือติดต่อเรื่องบทความ ได้ทาง Email :- d_sign_place@yahoo.com ครับ เรื่องต่างๆที่ผมได้เขียนหรือรวบรวม เรียบเรียงมานี้ ยินดีให้ทุกท่านได้อ่านเป็นวิทยาทานและเพื่อการศึกษา ถ้าจะนำไปโพสต่อใน website สาธารณะ หรือ website อื่นใดที่ไม่ใช่ทางพาณิชย์ กรุณาระบุที่มา คือ https://www.travelaround.bloggang.com และนามปากกาผู้เขียนคือ TraveLArounD ด้วย แต่ขอสงวนสิทธิ์สำหรับการนำไปใช้ ในเชิงพาณิชย์ หรือโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง จะถูกดำเนินคดี ตามกฏหมายลิขสิทธิ์ ส่วนบทความหรือภาพถ่ายใดๆ ที่ได้นำมาจาก website อื่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเรื่องนั้นๆ เป็นการถ่ายทอดจากวิจารณญาณแล้วว่า มีความถูกต้องเป็นจริง มากที่สุด และได้นำมาจาก website ที่เป็นสาธารณะ ถ้าเรื่องราวหรือภาพของท่านที่ได้นำมาถ่ายทอดนี้ ไปละเมิดลิขสิทธิ์ของท่าน กรุณาแจ้งมาทาง email : nana_sara1000@ymail.com ผมจะทำการลบข้อมูลหรือภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ออกทันที Acknowledges that I try to write or report accurately but postings may contain fact , speculation or rumor. I find images from the Web that are believed to belong in the public domain. If any stories or images that appear on the site are in violation of copyright law, please email to :- nana_sara1000@ymail.com and I will remove the offending information as soon as possible.