ตำนานเพลง Jazz : ฮาร์ด บ็อบ (Hard Bop)
ฮาร์ด บ็อบ (Hard Bop) ฮาร์ด-บ็อบ เกิดขึ้นมา เมื่อดนตรีในแบบบีบ็อปมาถึงทางตัน (นอกจากความขี้เบื่อของคนฟังแล้ว คนเล่นนี่ก็ขี้เบื่อ ไม่แพ้กัน) ฮาร์ด-บ็อบ เป็นดนตรีที่นำเอาบีบ็อบ มาพัฒนาโดยวางโครงสร้างให้ซับซ้อนแยบยลยิ่งขึ้น มีวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของคนดำ ชัดเจนมากขึ้น และจะนำดนตรีในแบบกอสเพล , บลูส์ และ ริธึม แอนด์ บลูส์ มาสอดประสานเข้ากับความดั้งเดิมแท้ๆของบีบ็อบ ฮาร์ด บ็อบ มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบีบ็อบ เพราะถูกจัดให้เป็นเมนสตรีมแจ๊สใหม่ ที่ต่อเนื่องมาจากแจ๊สแบบสวิง ซึ่งเป็นเมนสตรีมแจ๊สแรกสุด ที่ยืนอยู่ระหว่างเทรดิชั่น (นิวออร์ลีน และ ดิ๊กซี่แลนด์) กับบีบ็อป นักดนตรีแจ๊สในสายฮาร์ด บ็อบ มีอยู่มากมาย แต่ที่มีเทคนิคการเล่นที่ยอดเยี่ยม รวมทั้งใส่จิตวิญญาณความเป็นตัวตนของตัวเอง ลงไปในชิ้นดนตรีที่ตัวเองเล่นอยู่ด้วยความงดงามและคมคาย ก็มีอยู่หนึ่งเดียวคนนี้ ซันนี่ โรลลินส์ (Sonny Rollins) นักเป่าเทอเนอร์แซ็กโซโฟน หนึ่งใน “ตำนาน” ฮาร์ด บ็อบ ผู้อหังการ Sonny Rollins และ Don Cherry Sonny Rollins - My One and Only Love Sonny Rollins Trio - St. Thomas 1959 ในช่วงปี 1945 – 1955 ภายหลังสงคราม อเมริกาก้าวเข้าสู่ทศวรรษแห่งความเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝันมาก่อน แต่ภาวะสงครามเย็น ก็ก่อให้เกิดความกังวลต่อการทำลายล้างด้วยอาวุธนิวเคลียร์เช่นเดียวกัน สำหรับแจ๊สแล้ว ความตึงเครียดนี้ได้สะท้อนออกมาในรูปแบบของจังหวะที่สะดุดๆ และเมโลดี้ที่ขัดๆ ฟังแปร่งหูของบีบ๊อบ และผ่านชีวิตรันทดของ Charlie Parker หรือ “Bird” ผู้ซึ่งแนวความคิด และเทคนิคในการเล่นดนตรีของเขา มีอิทธิพลต่อนักดนตรีในรุ่นเดียวกันอย่างมาก เช่นเดียวกันกับที่ Louis Armstrong ได้เคยมีมาก่อนหน้านี้ เทคนิค Improvisation ของเขาถูกลอกเลียนแบบ เช่นเดียวกับการแสดงบนเวทีที่โลดโผน และการใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อหายนะ เพื่อให้ได้มาซึ่งแรงบันดาลใจ Parker ตายเมื่ออายุเพียง 34 ปี เนื่องจากเสพเฮโรอีนเกินขนาด เรื่องราวของเขากลายเป็นตำนาน ทั้งในฐานะของทาสยาเสพติด และนักดนตรีอัจฉริยะ Parker ไม่ได้เป็นนักบุกเบิกบีบ๊อบเพียงผู้เดียว เพื่อนเก่าของเขา Dizzy Gillespie พยายามทำให้สำเนียงใหม่นี้เป็นที่นิยม โดยใช้การแสดงทักษะในการเล่น และจังหวะลาติน การแสดงสดของ CHARLIE PARKER และ DIZZY GILLESPIE เรื่องเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ Charlie Parker ในขณะที่นักเปียโน Thelonius Monk อาศัยบุคลิกภาพอันแปลกประหลาดของเขา เพื่อสร้างเสียงดนตรีในแบบฉบับเฉพาะตัว อย่างไรก็ดี นอกจากคอแจ๊สตัวจริงแล้ว ก็มีคนเพียงจำนวนไม่มากนัก ที่ฟังกัน วัยรุ่นต่างพากันหันไปนิยมนักร้องเพลงป๊อป และริทึ่มแอนด์บลูส์แทน สำหรับนักดนตรีชาวแคลิฟอร์เนีย ได้สร้างสำเนียงนุ่มนวลที่เรียกว่า คูลแจ๊ส และ Dave Brubeck ได้นำแจ๊ส มาผสมกับดนตรีคลาสสิค ในผลงานเพลงที่มียอดขายร่วมล้านแผ่น ทั้งยังมีชายคนหนึ่งที่ยังคงมุ่งมั่นทำให้แจ๊สเป็นที่นิยมในแบบฉบับของเขา นักทรัมเป็ท Miles Davis ผู้ซึ่งเคยร่วมวงของ Parker และได้ตัดขาดจากยาเสพติดแล้ว กำลังก้าวผ่านสำเนียงนุ่มนวลที่เขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับวงการ และยืนหยัดเพื่อนำแจ๊สไปสู่ทิศทางใหม่ในอนาคต DJ-DON-JD ข้อมูลจาก //www.caraudioonline.net/Content/View.asp?MenuID=8&ContentID=27&PageTo=3 //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=jazzandchess&month=08-2006&date=14&group=3&gblog=1
Create Date : 15 เมษายน 2552
Last Update : 18 เมษายน 2552 22:57:26 น.
Counter : 2685 Pageviews.
ตำนานเพลง Jazz : บีบ็อบ (Bebop)
บีบ็อบ (Bebop) บีบ็อบ เป็นดนตรีที่ทำให้เพลงแจ๊สได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอีกยุคหนึ่ง และยังเป็นคำเรียกรวมๆดนตรีแจ๊สในสไตล์อื่นๆที่พัฒนาต่อเนื่องจากบีบ็อป บีบ็อปเป็นแนวเพลงที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1940 หรือช่วงที่สวิง แจ๊ส เริ่มเป็นดนตรีที่น่าเบื่อต่อการบรรเลง นักดนตรีแจ๊สหัวก้าวหน้ากลุ่มหนึ่ง ที่เบื่อหน่ายต่อการเล่นดนตรีแบบสวิงกับวงใหญ่ๆ ที่ยังมีกฎเกณฑ์บังคับอยู่ และไม่สามารถแสดงความต้องการของตัวเองออกมา จึงคิดวิธีเล่นขึ้นมาใหม่ให้แตกต่างไปจากสวิง ซึ่งก็คือการเล่นในแบบที่เรียกว่า “อิมโพรไวเซชั่น” แทนที่จะเล่นแบบแนวทำนองนั่นเอง และอีกภาพหนึ่งที่ค่อนข้างชัดเจนที่สุดของบีบ็อปก็คือ การได้แสดงออกและปลดปล่อยความรู้สึกที่ถูกมองว่าเป็นนักดนตรีผิวสีที่ต่ำต้อย (ตรงนี้ชัดเจนที่สุด!) แจ๊สในแนวทางใหม่ ตามแนว Bebop หรือ Bop ที่มีสุ้มเสียง จังหวะ การสอดประสานที่ต่างไปจาก Swing เช่นจังหวะไม่ได้บังคับเป็น 4/4 เหมือนสวิง เน้นใช้คอร์ดแทน Alternate chords ในขณะที่โซโลและการแสดงด้นสดยังอยู่บนคอร์ดเดิม ลีลาของแนว Bebop จะเน้นเป็นดนตรีตามคลับแจ๊สมากกว่าดนตรีเต้นรำ จุดเด่นคือการแสดงความเป็นตัวของตัวเองอย่างสูง ไม่นานนัก Bebop ก็เป็นที่นิยม Charlie Parker , Dizzy Gillespie , และ Thelonious Monk กลายเป็นดาวผู้เปิดแนวทางใหม่ในวงการแจ๊ส เมื่ออเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ดนตรีแจ๊สก็ร่วมในสมรภูมิรบด้วยเช่นกัน ในยุโรป นักกีตาร์ยิปซี Django Reinhart ยังคงเล่นเพลงแจ๊สแห่งความหวัง แม้ว่าจะถูกแบนจากนาซี ส่วนอเมริกาแจ๊สได้กลายเป็นเครื่องหมายของประชาธิปไตย เมื่อวงของ Glenn Miller และ Artie Shaw ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเล่นดนตรีให้ทหารฟังในสนามรบ แต่สำหรับคนผิวดำชาวอเมริกันแล้ว เสียงเพลงนั้นมีแต่เพียงความว่างเปล่า พวกเขายังคงต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อเสรีภาพของตนเองจากการถูกเหยียดผิว จนกระทั่งเมื่อ Savoy Ballroom ถูกปิดลงโดยทางการ พร้อมกับมีตำรวจทหารเดินลาดตระเวนบนถนนแห่งสวิง เหตุการณ์จึงนำไปสู่ความขัดแย้งและจลาจลขึ้น อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความขัดแย้งนั้น แจ๊สยังคงทำสามารถทำหน้าที่ของมันได้อยู่ เมื่อ Duke Ellington นำเสนอผลงานเพลงที่ยิ่งใหญ่ Black, Brown and Beige โดยรายได้จากการขายเป็นพันธบัตรสมทบทุนกองทุนช่วยเหลือสงคราม ความนิยมในวงของเขาจึงขึ้นสู่จุดสูงสุด Ellington ยังได้นักประพันธ์หนุ่มผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ Billy Strayhorn มาร่วมงาน และเขายังคงสามารถควบคุมพรสวรรค์ของนักดนตรีในวง และเปลี่ยนทั้งวงเป็นเสมือนเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งที่เขาใช้สร้างผลงานเพลงได้อย่างน่าทึ่งสมบูรณ์แบบ กระนั้นก็ตามแจ๊สกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงในร้านเหล้าใต้ดินเวลาหลังเลิกงาน ที่ Minston’s Playhouse ซึ่งเป็นคลับในฮาเร็ม มีกลุ่มนักดนตรีหนุ่มมากความสามารถ นำโดยนักทรัมเป็ท Dizzy Gillespie และนักแซกโซโฟน Charlie Parker ได้ค้นพบการเล่นดนตรีในรูปแบบใหม่ซึ่ง เร็ว ซับซ้อน และน่าตื่นเต้นจนบางครั้งอลหม่าน การงดบันทึกผลงานเพลงในช่วงสงคราม ทำให้ดนตรีของเขาไม่ได้ถูกนำออกอากาศทางวิทยุ และเมื่อสงครามยุติลง Parker และ Gillespie ได้เข้าห้องบันทึก เสียงเพื่อสร้างผลงานเพลงในแนวทางของเขา สำเนียงของเพลง Ko Ko ในไม่ช้าได้ถูกเรียกว่า “Bebop” และเมื่ออเมริกันชนได้ยินเพลงนี้ แจ๊สก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ดนตรีแนว Bebop ให้กำเนิดสองกระแสใหม่ กระแสแรกคือ Cool Jazz ซึ่งเป็นการผสมแจ๊สเข้ากับเพลงคลาสสิค อีกกระแสคือ Hard Bop ซึ่งผสมเอา Bebop, R&B และเพลงในโบสถ์ (Gospel) เข้าด้วยกัน Charlie Parker: Celerity (Celebrity) Charlie Parker & Dizzy Gillespie (Hot House) Thelonious Monk Glenn Miller กับเพลง In The Mood ที่ค่อนข้างจะคุ้นหู artie shaw DJ-DON-JD ข้อมูลจาก //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=jazzandchess&month=08-2006&date=14&group=3&gblog=1 //www.dek-d.com/board/view.php?id=1232028
Create Date : 15 เมษายน 2552
Last Update : 18 เมษายน 2552 22:56:55 น.
Counter : 5328 Pageviews.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [? ]
ยินดีต้อนรับทุกท่านที่แวะเข้ามาชม blog มีข้อคิดเห็น เชิญ comment มาได้นะครับ ถ้าตอบได้ จะตอบให้ทันทีครับ แต่ถ้าไม่ทราบ ต้องขอเวลา จะค้นคว้ามาให้อ่านกัน ท่านที่จะถามคำถาม หรือติดต่อเรื่องบทความ ได้ทาง Email :- d_sign_place@yahoo.com ครับ เรื่องต่างๆที่ผมได้เขียนหรือรวบรวม เรียบเรียงมานี้ ยินดีให้ทุกท่านได้อ่านเป็นวิทยาทานและเพื่อการศึกษา ถ้าจะนำไปโพสต่อใน website สาธารณะ หรือ website อื่นใดที่ไม่ใช่ทางพาณิชย์ กรุณาระบุที่มา คือ https://www.travelaround.bloggang.com และนามปากกาผู้เขียนคือ TraveLArounD ด้วย แต่ขอสงวนสิทธิ์สำหรับการนำไปใช้ ในเชิงพาณิชย์ หรือโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง จะถูกดำเนินคดี ตามกฏหมายลิขสิทธิ์ ส่วนบทความหรือภาพถ่ายใดๆ ที่ได้นำมาจาก website อื่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเรื่องนั้นๆ เป็นการถ่ายทอดจากวิจารณญาณแล้วว่า มีความถูกต้องเป็นจริง มากที่สุด และได้นำมาจาก website ที่เป็นสาธารณะ ถ้าเรื่องราวหรือภาพของท่านที่ได้นำมาถ่ายทอดนี้ ไปละเมิดลิขสิทธิ์ของท่าน กรุณาแจ้งมาทาง email : nana_sara1000@ymail.com ผมจะทำการลบข้อมูลหรือภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ออกทันที Acknowledges that I try to write or report accurately but postings may contain fact , speculation or rumor. I find images from the Web that are believed to belong in the public domain. If any stories or images that appear on the site are in violation of copyright law, please email to :- nana_sara1000@ymail.com and I will remove the offending information as soon as possible.