"ความสามัคคีปรองดอง เป็นกำลังอย่างสูงสุดของชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ความสามัคคีของคนในชาติ จะทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นอุปสรรค และทำให้สังคมไทย ร่มเย็นเป็นสุข" พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
สนใจลงโฆษณา ในพื้นที่ข้างบน ติดต่อ email : nana_sara1000@ymail.com
Home Lover’s Corner นานา สาระ๑๐๐๐ นานา สารพัด พระพุทธประวัติ ภาคพิเศษ
Travel Around the World Real Estate Buyer's Guide สุขภาพกาย สุขภาพใจ Pets & Animals
ปางพระพุทธรูปตามพุทธประวัติ Horoscope 12 ราศี พระพุทธศาสนา World of Beautiful Musics
พระพุทธเจ้าเคยกำเนิดเป็นพญานาค

พระพุทธเจ้าเคยกำเนิดเป็นพญานาค


พระพุทธเจ้าทรงแสดงอดีตนิทานว่า พระองค์เคยเกิดเป็นพญานาค
ดังที่ปรากฏใน อรรถกถา จัมเปยยชาดก ขุททกนิกาย ชาดก
เล่ม ๓ ภาค ๗ หน้า ๑๘๕


พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุโบสถกรรม ความว่า “ดูก่อนอุบาสกบาสิกาทั้งหลาย การที่ท่านทั้งหลายอยู่รักษาอุโบสถกรรมเป็นความดี โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ละนาคสมบัติแล้ว อยู่รักษาอุโบสถกรรมเหมือนกัน” อุบาสกอุบาสิกาเหล่านั้นทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่า พระเจ้าอังคติราช เสวยราชสมบัติอยู่ในอังครัฐราชธานี ในระหว่างแคว้นอังคะและมคธะต่อกันมีแม่น้ำชื่อจัมปานที ได้มีนาคพิภพอยู่ใต้แม่น้ำจัมปานทีนั้น พระยานาคราชชื่อว่า จัมเปยยะ ครองราชสมบัติในนาคพิภพนั้น (โดยปกติ พระราชาแห่งแคว้นทั้งสอง เป็นศัตรูกระทำยุทธชิงชัยแก่กันและกันเนืองๆ ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ) บางครั้งพระเจ้ามคธราช ยึดแคว้นอังคะได้ บางครั้งพระเจ้าอังคราชยึดแคว้นมคธได้








อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ามคธราช กระทำยุทธนาการกับพระเจ้าอังคราชทรงปราชัยต่อยุทธสงคราม เสด็จขึ้นม้าพระที่นั่งหลบหนีไป ถึงฝั่งจัมปานทีพวกทหารพระเจ้าอังคราช ติดตามไปทันเข้า จึงทรงพระดำริว่าเราโดดน้ำตายเสีย ดีกว่าตายในเงื้อมมือของข้าศึก ดังนี้แล้วจึงโจนลงสู่แม่น้ำพร้อมทั้งม้าพระที่นั่ง

ครั้งนั้น จัมเปยยนาคราช เนรมิตมณฑปแก้วไว้ภายในห้วงน้ำ แวดล้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก ดื่มมหาปานะอยู่ ม้าพระที่นั่งกับพระเจ้ามคธราช จมน้ำดิ่งลงไป เฉพาะพระพักตร์แห่งพระยานาคราช พระยานาคราชเห็นพระราชาทรงเครื่องประดับตกแต่ง ก็บังเกิดความสิเนหา จึงลุกจากอาสนะทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงหวาดกลัวเลย” แล้วอัญเชิญให้พระราชาประทับนั่งบนบัลลังก์ของตน ทูลถามถึงเหตุที่ดำน้ำลงมา พระเจ้ามคธราชตรัสเล่าความตามเป็นจริง

ลำดับนั้น จัมเปยยนาคราช ปลอบโยนพระเจ้ามคธราชให้เบาพระทัยว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงหวาดกลัวเลย ข้าพระพุทธเจ้าจักช่วยจัดการให้พระองค์เป็นเจ้าของทั้งสองรัฐ ดังนี้แล้วเสวยยศอันยิ่งใหญ่อยู่ ๗ วัน ในวันที่ ๘ จึงออกจากนาคพิภพพร้อมด้วยพระเจ้ามคธราช

พระเจ้ามคธราชทรงจับพระเจ้าอังคราชได้ ด้วยอานุภาพของพระยานาคราช
แล้วตรัสสั่งให้สำเร็จโทษเสีย เสวยราชสมบัติในสองรัฐสีมามณฑล นับแต่นั้นมาความวิสาสะคุ้นเคยระหว่างพระเจ้ามคธราช กับพระยานาคราชก็ได้กระชับมั่นคงยิ่งขึ้น พระเจ้ามคธราชให้สร้างรัตนมณฑปขึ้นที่ฝั่งจัมปานที แล้วเสด็จออกกระทำพลีกรรมแก่พระยานาคราช ด้วยมหาบริจาคทุก ๆ ปี แม้พระยานาคราชก็ออกจากนาคพิภพมารับพลีกรรม พร้อมด้วยมหาบริวาร มหาชนพากันมาเฝ้าดูสมบัติของพระยานาคราช










ในกาลนั้นพระบรมโพธิสัตว์เกิดในตระกูลเข็ญใจ ไปที่ฝั่งน้ำพร้อมด้วยราชบริษัท เห็นสมบัติของพระยานาคราชนั้นแล้ว ก็เกิดโลภเจตนาปรารถนาจะได้สมบัตินั้น จึงทำบุญให้ทานรักษาศีล พอ จัมเปยยนาคราช ทำกาลกิริยาไปได้ ๗ วัน ก็จุติไปบังเกิดเหนือสิริไสยาสน์ ณ ห้องอันมีสิริในปราสาทที่อยู่ของจัมเปยยนาคราชนั้น

สรีระร่างกายของพระบรมโพธิสัตว์ได้ปรากฏใหญ่โต มีวรรณะขาวราวกะพวงดอกมะลิสด พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น ก็เกิดวิปฏิสาร คิดไปว่า อิสริยยศในฉกามาวจรสวรรค์ เป็นเสมือนข้าวเปลือกที่เขาโกยกองเก็บไว้ในฉาง ได้มีแก่เรา ด้วยผลแห่งกุศลที่เราทำไว้ เราสิกลับมาถือปฏิสนธิในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนี้ ประโยชน์อะไรที่เราจะมีชีวิตอยู่ดังนี้แล้วเกิดความคิดที่จะตาย

ลำดับนั้นนางนาคมาณวิกา ชื่อว่า สุมนา เห็นพระมหาสัตว์นั้นแล้วดำริว่า ชะรอยจักเป็นสัตว์ผู้มีอานุภาพมากมาเกิดแน่ ดังนี้แล้วจึงให้สัญญาแก่นางนาคมาณวิกาทั้งหลาย นางนาคมาณวิกาเหล่านั้นทั้งหมดต่างถือนานาดุริยสังคีต มากระทำการบำเรอขับกล่อมพระมหาสัตว์ นาคพิภพที่สถิตของพระมหาสัตว์นั้น ได้ปรากฏเสมือนพิภพแห่งท้าวสักกเทวราช มรณจิต (คือจิตที่คิดอยากตาย) ของพระมหาสัตว์ก็ดับหายไป

พระมหาสัตว์เจ้าละเสียซึ่งสรีระของงู ทรงประดับเครื่องสรรพาลังการประทับเหนือพระแท่นบรรทม นับจำเดิมแต่นั้นมา พระอิสริยยศก็ปรากฏแก่พระมหาสัตว์เจ้ามาก








เมื่อนาคอยากเป็นมนุษย์จึงรักษาอุโบสถศีล

เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าเสวยนาคราชสมบัติอยู่ในนาคพิภพนั้น ในเวลาต่อมาก็เกิดวิปฏิสาร คิดว่า ประโยชน์อะไรด้วยกำเนิดดิรัจฉานนี้แก่เรา เราจักอยู่รักษาอุโบสถกรรม พ้นจากอัตภาพนี้ ไปสู่ดินแดนมนุษย์ จักได้แทงตลอดสัจธรรม กระทำที่สุดแห่งทุกข์ดังนี้ นับแต่นั้น ก็ทรงรักษาอุโบสถกรรม อยู่ในปราสาทนั้น แต่พวกนางมาณวิกาตกแต่งกายงดงาม ยังพากันไปยังสำนักของพระมหาสัตว์นั้น ศีลของพระมหาสัตว์ก็วิบัติทำลายอยู่เนืองๆ แม้นพระมหาสัตว์เจ้า จะออกจากปราสาทไปสู่พระอุทยาน นางนาคมาณวิกาเหล่านั้นก็ติดตามไปแม้ในพระอุทยาน อุโบสถศีลของพระมหาสัตว์ก็แตกทำลายอยู่ร่ำไป

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าทรงจินตนาการว่า ควรที่เราจะออกจากนาคพิภพนี้ ไปยังมนุษยโลกอยู่รักษาอุโบสถ นับแต่นั้น เมื่อถึงวันอุโบสถ พระองค์ก็ออกจากนาคพิภพไปยังมนุษยโลก ทรงประกาศสละร่างกายในทานว่า “ใครจะมีความต้องการอวัยวะของเรา มีหนังเป็นต้น จงถือเอาเถิด ใครต้องการจะทำให้เราเล่นกีฬางู ก็จงกระทำเถิด” แล้วคู้ขดขนดกาย นอนรักษาอุโบสถอยู่ที่ยอดจอมปลวก ใกล้มรรคาแถบปัจจันตชนบทแห่งหนึ่ง ชนทั้งหลายเดินผ่านไปมา ในหนทางใหญ่เห็นพระโพธิสัตว์เจ้า แล้วพากันบูชาด้วยเครื่องสักการะมีของหอมเป็นต้นแล้วหลีกไป

ชาวปัจจันตชนบท เมื่อไปพบแล้วคิดว่า คงจักเป็นนาคราชผู้มีมหิทธานุภาพ
จึงจัดทำมณฑปขึ้นเบื้องบน ช่วยกันเกลี่ยทรายรอบบริเวณ แล้วบูชาด้วยสักการะมีของหอมเป็นต้น แต่นั้นมา มนุษย์ทั้งหลายก็เลื่อมใสในพระมหาสัตว์เจ้า ทำการบูชาปรารถนาบุตรบ้าง ปรารถนาธิดาบ้าง แม้พระมหาสัตว์เจ้า ทรงรักษาอุโบสถกรรม ถึงวันจาตุททสและปัณณรสี ดิถี ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ก็มานอนอยู่เหนือจอมปลวก ต่อในวันปาฏิบท แรมค่ำหนึ่ง จึงกลับไปสู่นาคพิภพ พระมหาสัตว์เจ้า ได้รักษาอุโบสถอยู่อย่างนี้ ด้วยเวลาเนิ่นนาน

อยู่มาวันหนึ่ง นางสุมนาอัครมเหสี ทูลถามพระมหาสัตว์ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พระองค์เสด็จไปยังมนุษยโลกเข้าอยู่รักษาอุโบสถศีลนั้น ความจริง มนุษยโลกน่ารังเกียจ มีภัยรอบด้าน หากว่าภัยจะพึงบังเกิดแก่พระองค์ เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกหม่อมฉันจะพึงรู้ได้ด้วยนิมิตอย่างไร ขอพระองค์จงตรัสบอกนิมิตอย่างนั้นแก่พวกหม่อมฉันด้วยเถิด” พระมหาสัตว์จึงนำ นางสุมนาเทวี ไปยังขอบสระมงคลโบกขรณีแล้วตรัสว่า "ดูก่อนพระนางผู้เจริญ ถ้าหากใครๆ จักประหาร ทำให้เราลำบากไซร้ น้ำในสระโบกขรณีนี้จักขุ่นมัว ถ้าพญาครุฑจับเอาไป น้ำจักเดือดพลุ่งขึ้นมา ถ้าหมองูจับเอาไป น้ำจักมีสีแดงเหมือนโลหิต"

พระโพธิสัตว์ ตรัสบอกนิมิต ๓ ประการ แก่นางสุมนาเทวีอย่างนี้แล้ว ทรงอธิษฐานจาตุททสีอุโบสถ เสด็จออกจากนาคพิภพไปมนุษยโลก นอนเหนือจอมปลวก ยังจอมปลวกให้งดงามด้วยรัศมีแห่งสรีรกาย แม้สรีรกายของพระมหาสัตว์นั้น ก็ปรากฏขาวสะอาดผุดผาดดังพวงเงิน ท่อนพระเศียรเบื้องบน คล้ายคลุมไว้ด้วยผ้ากัมพลแดง

(อนึ่งในชาดกนี้ สรีรกายของพระโพธิสัตว์มีขนาดเท่าศีรษะคันไถ ในภูริทัตตชาดก มีขนาดเท่าลำขา ในสังขปาลชาดก มีขนาดเท่าเรือโกลนลำหนึ่ง)

ในกาลครั้งนั้น มีมาณพชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง ไปเมืองตักกศิลา เรียนอาลัมภายนมนต์ ในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เดินทางกลับบ้านของตนโดยผ่านมรรคานั้น เห็นพระมหาสัตว์เจ้าแล้วคิดว่า เราจักจับงูนี้ บังคับให้เล่นกีฬาในคามนิคมราชธานีทั้งหลาย ยังทรัพย์ให้เกิดขึ้น จึงหยิบทิพโอสถ ร่ายทิพมนต์ ไปยังพระมหาสัตว์เจ้า

เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าสดับทิพมนต์ เกิดอาการเหมือนซี่เหล็กร้อน ยอนเข้าไปในพระกรรณทั้งสอง เบื้องพระเศียรปวดร้าว ราวกะถูกเหล็กสว่านไช พระมหาสัตว์เจ้าทรงรำพึงว่า นี่อย่างไรกันหนอ จึงยกพระเศียรขึ้นจากวงภายในขนด แลไปเห็นหมองู แล้วดำริว่าพิษของเรามากมาย ถ้าเราโกรธแล้วพ่นลมจมูกออกไป สรีระของหมองูนี้ จักย่อยแหลกไปเหมือนกองเถ้า แต่เมื่อทำเช่นนั้น ศีลของเราก็จักด่างพร้อย เราจักไม่แลดูหมองูนั้น ท้าวเธอจึงหลับพระเนตรทั้งสอง ทอดพระเศียรไว้ภายในขนด

พราหมณ์หมองูเคี้ยวโอสถแล้วร่ายมนต์พ่นน้ำลาย ลงที่สรีรกายของพระมหาสัตว์ ด้วยอานุภาพแห่งโอสถและมนต์ เรือนร่างของพระมหาสัตว์ ในที่ซึ่งถูกน้ำลายรดแล้ว ปรากฏเป็นเสมือนพองบวมขึ้น จากนั้นพราหมณ์หมองู จึงฉุดหางพระมหาสัตว์ลากลงมาให้นอนเหยียดยาว บีบตัวด้วยไม้กีบแพะทำให้ทุพพลภาพ จับศีรษะให้มั่นแล้วบีบเค้น พระมหาสัตว์จึงอ้าปากออก ทีนั้นพราหมณ์หมองู จึงพ่นน้ำลายเข้าไปในปากของพระมหาสัตว์ แล้วจัดการพ่นโอสถและมนต์ ทำลายพระทนต์จนหลุดถอน ปากของพระมหาสัตว์ เต็มไปด้วยโลหิต พระมหาสัตว์สู้อดกลั้นทุกขเวทนาเห็นปานนี้ เพราะกลัวศีลของตัวจะแตกทำลาย ทรงหลับพระเนตรนิ่ง มิได้ทำการเหลียวมองดู

พราหมณ์หมองูคิดว่า เราจักทํานาคราชให้ทุพพลภาพ จึงขึ้นเหยียบย่ำร่างกายของพระมหาสัตว์ตั้งแต่หางขึ้นไป คล้ายกับจะทำให้กระดูกแหลกละเอียดไป แล้วม้วนพับอย่างผืนผ้า ขยี้กระดูกให้ขยาย เช่นอย่างกลายเส้นด้ายให้กระจาย จับหางทบทุบเช่นอย่างทุบผ้า สกลสรีรกายของพระมหาสัตว์แปดเปื้อนไปด้วยโลหิต

พระมหาสัตว์นั้นสู้อดกลั้นมหาทุกขเวทนาไว้ ครั้นพราหมณ์หมองูรู้ว่า พระมหาสัตว์อ่อนกำลังลงแล้ว จึงเอาเถาวัลย์มาถักทำเป็นกระโปรง ใส่พระมหาสัตว์ลงไปในกระโปรงนั้น แล้วนำไปสู่ปัจจันตคามให้เล่นท่ามกลางมหาชน

เมื่อพราหมณ์หมองู ปรารถนาจะให้แสดงท่วงทีอย่างใดๆ พระมหาสัตว์เจ้าก็กระทำท่วงทีนั้นๆ ทุกอย่าง ฟ้อนรำทำพังพานได้ ตั้งร้อยอย่าง พันอย่าง มหาชนดูแล้วชอบใจ ให้ทรัพย์แก่พราหมณ์เป็นอันมาก เพียงวันเดียวเท่านั้นได้ทรัพย์ตั้งพัน และเครื่องบริขารราคานับเป็นพัน

แต่ในชั้นแรก พราหมณ์หมองูคิดไว้ว่า เราได้ทรัพย์สักพันหนึ่งแล้วก็จักปล่อยไป แต่ครั้นได้ทรัพย์จำนวนเท่านั้นแล้วคิดเสียว่า ในปัจจันตคามแห่งเดียวเรายังได้ทรัพย์ถึงขนาดนี้ ในสำนักพระราชาและมหาอำมาตย์ คงจักได้ทรัพย์มากมาย จึงซื้อเกวียนเล่มหนึ่งกับยานสำหรับนั่งสบายเล่มหนึ่ง บรรทุกของลงในเกวียนแล้วนั่งบนยานน้อย พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก บังคับพาพระมหาสัตว์ให้เล่นในบ้าน และนิคมเป็นต้น โดยลำดับไป แล้วคิดว่าเราจักให้นาคราชเล่นถวาย ในสำนักของพระเจ้าอุคคเสน แล้วก็จักปล่อยดังนี้ แล้วก็เดินทางต่อไป

พราหมณ์หมองู ฆ่ากบนำมาให้นาคราชกินเป็นอาหาร นาคราชรำพึงว่าพราหมณ์หมองูนี้ฆ่ากบอยู่บ่อยๆ เพราะอาศัยเราเป็นเหตุ เราจักไม่บริโภคกบนั้น แล้วไม่ยอมบริโภค เมื่อพราหมณ์หมอดูเห็นดังนั้น ได้ให้ข้าวตอกเคล้าน้ำผึ้งแก่พระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์คิดว่าถ้าหากเราจักถือเอาอาหารนี้ไซร้ เราคงจักตายภายในกระโปรงเป็นมั่นคง จึงมิได้บริโภคอาหารเหล่านั้น

พราหมณ์หมองู เมื่อไปถึงพระนครพาราณสีแล้ว ให้พระมหาสัตว์เล่นให้คนดู ที่ใกล้ประตูเมือง ได้ทรัพย์สินอีกเป็นจำนวนมาก แม้พระราชาก็ตรัสสั่งให้พราหมณ์หมองูเข้าเฝ้า แล้วตรัสว่า เจ้าจงให้งูเล่นให้เราดูบ้าง เขาทูลสนองพระราชโองการว่า ได้พะย่ะค่ะ ข้าพระพุทธเจ้าจักให้เล่นถวายพระองค์ ในวันปัณณรสี พรุ่งนี้

พระราชาตรัสสั่งให้พนักงานเภรีตีกลองประกาศว่า “พรุ่งนี้นาคราชจักฟ้อนรำที่หน้าชานชาลาหลวง มหาชนจงมาประชุมกันดูเถิด” แล้วในวันรุ่งขึ้น ตรัสสั่งให้ประดับตกแต่งชานชาลาหลวง และตรัสสั่งให้พราหมณ์หมองูมาเฝ้า พราหมณ์หมองู นำพระมหาสัตว์มาด้วยกระโปรงแก้ว ตั้งกระโปรงไว้ที่พื้นลาดอันวิจิตรนั่งคอยอยู่ ฝ่ายพระราชาเสด็จลงจากปราสาทแวดล้อมด้วยหมู่มหาชน ประทับนั่งเหนือพระราชอาสน์ พราหมณ์หมองูนำพระมหาสัตว์ออกมาแล้วให้ฟ้อนรำถวาย มหาชนพากันดีใจ พากันปรบมือ โบกธงโบกผ้า แสดงความรื่นเริงนับด้วยหมื่นแสน

ฝนรัตนะเจ็ดประการก็ตกลงมาตรงเบื้องบนพระโพธิสัตว์ เมื่อพระมหาสัตว์ถูกจับมา เป็นเพลาครบหนึ่งเดือนเต็มบริบูรณ์ ตลอดเวลาเหล่านี้ พระมหาสัตว์สู้ทนมิได้บริโภคอาหารเลย









นาคเทวีตามหาพระสวามี

ฝ่าย นางสุมนา เทวี ระลึกถึงว่า สามีที่รักของเราเสด็จไปนานนักหนา จนป่านนี้ยังไม่เสด็จมาที่นี่เลย ครบหนึ่งเดือนพอดี จักมีเหตุเภทภัยอะไรหนอ คิดดังนี้แล้ว จึงไปตรวจดูสระโบกขรณี เห็นมีน้ำสีแดงดังโลหิตก็ทราบว่า ชะรอยสามีของตนจักถูกหมองูจับเอาไป จึงออกจากนาคพิภพไปตรวจดูใกล้จอมปลวก เห็นร่องรอยที่พระมหาสัตว์ถูกหมองูจับ และทำให้ลำบาก แล้วทรงกันแสงร่ำไห้คร่ำครวญ ดำเนินไปยังปัจจันตคามสอบถามดู สดับข่าวความเป็นไปนั้น แล้วติดตามไปจนถึงเมืองพาราณสี ยืนกันแสงอยู่ที่กลางอากาศ ในท่ามกลางบริษัท ณ ประตูพระราชวัง

พระมหาสัตว์กำลังฟ้อนรำถวายพระราชา เหลือบแลดูบนนภากาศ เห็นนางสุมนาเทวี แล้วละอายพระทัย จึงเลื้อยเข้าไปนอนขดในกระโปรงเสีย เมื่อพระมหาสัตว์เลื้อยเข้าไปสู่กระโปรงแล้ว พระราชาทรงพระดำริว่า นี่เหตุอะไรกันเล่าหนอ จึงทอดพระเนตรแลดูทางโน้นทางนี้ เห็นนางสุมนาเทวียืนอยู่บนอากาศจึงตรัสว่า “ท่านเป็นใคร งามผ่องใสดุจสายฟ้า และอุปมาเหมือนดาวประจำรุ่ง เราไม่รู้จักท่าน ว่าเป็นเทวดาหรือคนธรรพ์หรือเป็นหญิงมนุษย์” นางสุมนา ทูลว่า “ข้าแต่พระมหาราชา หม่อมฉันหาใช่เทพธิดาหรือคนธรรพ์ หรือหญิงมนุษย์ไม่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเป็นนางนาคกัญญา อาศัยเหตุอย่างหนึ่ง จึงได้มาในพระนครนี้ ”

“ดูก่อนนางนาคกัญญา ท่านมีอาการเหมือนคนมีจิตฟั่นเฟือน มีอินทรีย์อันเศร้าหมองดวงเนตรของท่าน ไหลนองไปด้วยหยาดน้ำตา อะไรของท่านหาย หรือว่าท่านปรารถนาอะไรจึงได้มาในเมืองนี้ เชิญท่านบอกมาเถิด”

“ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน มหาชนชาวโลกเรียกร้องสัตว์ใดว่าอุรคชาติ ผู้มีเดชอันสูงในมนุษยโลก เขาเรียกสัตว์นั้นว่านาค บุรุษคนนี้จับนาคนั้นมา เพื่อต้องการเลี้ยงชีพ นาคนั้นแหละเป็นสามีของหม่อมฉัน ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณา โปรดปล่อยนาคนั้นเสียจากที่คุมขังเถิดเพคะ”

พระราชาสงสัยจึงตรัสถามว่า “ดูก่อนนางนาคกัญญา นาคราชนี้ประกอบด้วยกำลังอันแรงกล้า ไฉนจึงมาถึงเงื้อมมือของชายวณิพกได้เล่า เราจะใคร่รู้ ถึงการที่นาคราชถูกกระทำจนถูกจับมาได้ ขอท่านจงบอกความข้อนั้นแก่เราเถิด” นางสุมนา ทูลตอบว่า “นาคราชนั้นประกอบด้วยกำลังอันแรงกล้า พึงทำแม้นครให้เป็นภัสมธุลีไปได้ แต่เพราะนาคราชนั้น เคารพนบนอบธรรม จึงได้บากบั่นบำเพ็ญตบะ”

พระราชาตรัสถามต่อไปอีกว่า “ไฉนนาคราชจึงยอมให้บุรุษนี้จับมาได้เล่า” นางสุมนาเทวี เมื่อจะกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ จึงกล่าวว่า “ข้าแต่องค์ราชันย์ นาคราชนี้มีปกติรักษาจาตุททสีอุโบสถและปัณณรสีอุโบสถ นอนอยู่ใกล้ทางสี่แพร่ง บุรุษหมองูจับนาคราชนั้นมาด้วยต้องการหาเลี้ยงชีพ นาคราชนี้เป็นสามีของหม่อมฉัน ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณา โปรดปล่อยนาคราชนั้นจากที่คุมขังเถิด”

ครั้น นางนาคกัญญาสุมนาเทวี ทูลอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทูลอ้อนวอนพระราชาซ้ำอีก ได้กล่าวคาถาว่า “สนมนารีถึงหมื่นหกพันนาง ล้วนสวมใส่กุณฑล แก้วมณี บันดาลห้วงวารีทำเป็นห้องไสยาสน์ แม้สนมนารีเหล่านั้น ก็ยึดถือนาคราชนั้นเป็นที่พึ่ง ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณา โปรดปล่อยนาคราชนั้นโดยธรรม ปราศจากกรรมอันสาหัส ด้วยบ้านส่วยร้อยบ้าน ทองร้อยแท่ง และโคร้อยตัว ขอนาคราชผู้แสวงบุญ จงเหยียดกายได้ตรง เที่ยวไปจงพ้นจากที่คุมขังเถิด”

พระราชาได้สดับคาถาของนางนาคกัญญา จึงให้ปล่อยนาคราชไป นาคราชออกมาแล้วเลื้อยเข้าไประหว่างกองดอกไม้ ละอัตภาพนั้นเสีย แล้วกลายเพศเป็นมาณพน้อย ตบแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับอันงดงาม คล้ายกับชำแรกดินออกมายืนอยู่ฉะนั้น นางสุมนาเทวี ลอยลงมาจากอากาศ ยืนเคียงข้างพระภัสดาของตน นาคราชได้ยืนประคองอัญชลีนอบน้อมพระราชาอยู่








พญานาคเชิญพระเจ้ากาสิกราชชมเมือง

จัมเปยยนาคราชเมื่อหลุดพ้นจากที่คุมขังแล้ว จึงกราบทูลพระราชาว่า "ข้าแต่พระเจ้ากาสิกราช ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคมพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงผดุงกาสิกรัฐให้รุ่งเรือง ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคมพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าขอประคองอัญชลี แด่พระองค์ ขอเชิญเสด็จทอดพระเนตรนิเวศน์ ของข้าพระพุทธเจ้าเถิดพระเจ้าข้า"

“เราก็อยากจะไปดูนิเวศน์ของท่าน” พระราชาตรัสตอบว่า "ดูก่อนนาคราช
แท้จริง คนทั้งหลายเขากล่าวถึงเหตุที่มนุษย์จะพึงคุ้นเคยกับอมนุษย์ว่า พึงคุ้นเคยกันได้ยาก ถ้าท่านขอร้องเราถึงเรื่องนั้น" พระมหาสัตว์เมื่อจะทำสัตย์สาบาน เพื่อให้พระราชาทรงเชื่อถือ ได้ตรัสว่า “ข้าแต่พระราชา แม้ถึงว่าลมจะพึงพัดภูเขาไปได้ก็ดี พระจันทร์และพระอาทิตย์ จะพึงเผาผลาญแผ่นดินก็ดี แม่น้ำทุกสายพึงไหลทวนกระแสก็ดี ถึงกระนั้น ข้าพระพุทธเจ้าก็จะไม่กล่าวคำเท็จเลย ข้าแต่พระราชา ท้องฟ้าจะทำลายไป ทะเลจะเหือดแห้งไป มหาปฐพีมีนามว่าภูตธราและพสุนธรา จะพึงม้วนได้ เมรุบรรพตอันหนาแน่นด้วยศิลา จะพึงถอนไปทั้งราก ข้าพระพุทธเจ้าก็จะไม่กล่าวคำเท็จเลย”

เมื่อพระมหาสัตว์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระราชาก็มิได้ทรงเชื่อ จึงตรัสอีกว่า “เธอเป็นผู้มีพิษร้ายแรงยิ่ง มีเดชมาก ทั้งโกรธง่าย เธอหลุดพ้นจากที่คุมขังไปได้ ก็เพราะเหตุที่เราช่วยเหลือ เธอควรจะรู้บุญคุณที่เราทำไว้แก่เธอ" พระมหาสัตว์เมื่อจะทำสัตย์สาบาน เพื่อให้พระราชาทรงเชื่อต่อไป จึงกล่าวว่า "ข้าพระพุทธเจ้าถูกคุมขังอยู่ในกระโปรงเกือบจะถึงความตาย จักไม่รู้จักอุปการคุณที่พระองค์ทรงกระทำแล้วเช่นนั้น ก็ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าจงหมกไหม้อยู่ในนรกอันแสนร้ายกาจ อย่าได้รับความสำราญกายสักหน่อยหนึ่งเลย"

พระราชาทรงเชื่อถ้อยคำของพระมหาสัตว์ เมื่อจะทรงชมเชยจึงตรัสพระคาถาว่า “คำปฏิญาณของเธอนั้น จงเป็นคำสัตย์จริง เธออย่าได้มีความโกรธ อย่าผูกโกรธไว้ ขอสุบรรณทั้งหลายจงละเว้นนาคสกุลของท่านทั้งมวล เหมือนผู้เว้นไฟในฤดูร้อนฉะนั้น" แม้พระมหาสัตว์เจ้า เมื่อจะชมเชยพระราชาจึงกล่าวอีกว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน พระองค์ทรงเอ็นดูนาคสกุล เหมือนมารดาผู้เอ็นดูบุตรคนเดียวผู้เป็นสุดที่รักฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้ากับ นาคสกุล จะขอกระทำเวยยาวฏิกกรรม อย่างโอฬารแด่พระองค์"









พระราชาเสด็จนาคพิภพ

พระราชาได้เสด็จไปยังภพพญานาค ด้วยขบวนเสด็จใหญ่ พนักงานเภรี ตะโพน บัณเฑาะว์ และแตรสังข์ ของพระเจ้าอุคคเสนราช มาพร้อมหน้ากัน พระราชาทรงแวดล้อมด้วยสนมนารี เสด็จไปในท่ามกลางหมู่สนมนารีงามสง่ายิ่งนัก ในกาลเมื่อพระเจ้าพาราณสี เสด็จออกจากพระนครไป พระมหาสัตว์เจ้าทรงบันดาลนาคพิภพ ให้ปรากฏมีกำแพงแก้ว ๗ ประการ และประตูป้อมคูหอรบ แล้วนิรมิตบรรดาที่จะเสด็จไปยังนาคพิภพ ให้ประดับตกแต่งด้วยเครื่องประดับงดงาม ด้วยอานุภาพของตน

พระราชาพร้อมด้วยราชบริพาร เสด็จเข้าไปยังนาคพิภพโดยมรรคานั้น ได้ทอดพระเนตรเห็นภูมิภาค และปราสาทราชวัง น่ารื่นเริง บันเทิงพระทัย พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า พระเจ้ากรุงกาสีวัฒนราช ได้ทอดพระเนตรเห็นภูมิภาคอันงาม วิจิตรลาดแล้วด้วยทรายทอง ทั้งสุวรรณปราสาทก็ปูลาดไปด้วยแผ่นกระดานแก้วไพฑูรย์ พระองค์เสด็จเข้าไปสู่นิเวศน์ ของจัมเปยยนาคราชมีรัศมี อภาสดังแสงอาทิตย์แรกอุทัย รุ่งเรืองไปด้วยรัศมีประหนึ่งสายฟ้าในกลุ่มเมฆ

พระเจ้ากาสิกราชทรงทอดพระเนตร จนทั่วนิเวศน์ของจัมเปยยนาคราช อันดารดาษไปด้วยพฤกษชาตินานาชนิด หอมฟุ้งขจรไปด้วยทิพยสุคนธ์อบอวลล้วนวิเศษ เมื่อพระเจ้ากาสิกราช เสด็จเข้าไปในนิเวศน์ของท้าวจัมเปยยนาคราช เหล่าทิพยดนตรี ก็ประโคมขับบรรเลง ทั้งนางนาคกัญญาทั้งหลายก็ฟ้อนรำ ขับร้อง พระเจ้ากาสิกราชเสด็จขึ้นนิเวศน์ ซึ่งมีหมู่นางนาคกัญญาตามเสด็จ ทรงพอพระทัย ประทับนั่ง ณ พระสุวรรณแท่นทอง อันมีพนักไล้ทาด้วยแก่นจันทน์ทิพย์









มนุษยโลกประเสริฐกว่านาคพิภพ

พระราชาได้เห็นบ้านเมืองอันสวยงามของพญานาค จึงสอบถามและได้คำตอบจาก จัมเปยยนาคราช ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญตบะธรรม เพราะเหตุแห่งบุตรทรัพย์ หรือแม้เพราะเหตุแห่งอายุก็หาไม่ แต่เพราะข้าพระพุทธเจ้า ปรารถนากำเนิดมนุษย์ ฉะนั้น จึงได้บากบั่นมุ่งมั่นบำเพ็ญสมณธรรม"

เมื่อพระมหาสัตว์ กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระราชาเมื่อจะทรงทำการชมเชย จึงตรัสว่า “ท่านมีดวงเนตรแดง มีรัศมีส่องแสงสว่าง ประดับตกแต่งแล้ว ปลงเกศาและมัสสุแล้ว ประพรมด้วยจุรณจันทน์แดง ฉายแสงไปทั่วทิศ ดังคนธรรพราชฉะนั้น ท่านเป็นผู้ประกอบด้วยเทวฤทธิ์ มีอานุภาพมากเพรียบพร้อมไปด้วยสรรพกามารมณ์ ดูก่อนท่านนาคราช เราขอถามเนื้อความนี้กะท่าน มนุษยโลกประเสริฐกว่านาคพิภพด้วยเหตุไร”

ลำดับนั้น พระยานาคราช เมื่อจะกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ จึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน เว้นมนุษยโลกเสียแล้ว ความบริสุทธิ์ หรือความสำรวมย่อมไม่มีเลย ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญตบะธรรม ด้วยตั้งใจว่า เราได้กำเนิดมนุษย์ แล้วจักทำที่สุดแห่งชาติและมรณะได้”

พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้วตรัสว่า "ชนเหล่าใดมีปัญญาเป็นพหูสูต ตรึกตรองเหตุการณ์ถี่ถ้วนมาก ชนเหล่านั้นควรคบหาแท้ทีเดียว ดูก่อนพระยานาคราช เราได้เห็นนางนาคกัญญาทั้งหลายของท่านและตัวท่านแล้ว จักทำบุญให้มาก"

พญานาคราชกราบทูลพระราชาว่า "ชนเหล่าใดมีปัญญาเป็นพหูสูต ตรึกตรองเหตุการณ์ถี่ถ้วนมาก ชนเหล่านั้นควรคบหาแท้ทีเดียว ข้าแต่พระมหาราชาพระองค์ ได้ทอดพระเนตรเห็นนางนาคกัญญา และตัวข้าพระพุทธเจ้าแล้ว ขอจงบำเพ็ญบุญให้มากเถิด"

ครั้นพระมหาสัตว์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระเจ้าอุคคเสนะ ทรงมีพระประสงค์จะเสด็จกลับไปยังมนุษยโลก จึงตรัสอำลาว่า “ดูก่อนท่านนาคราช เรามาอยู่ก็เป็นเวลานาน จำจักต้องลากลับไปยังมนุษยโลก” พระมหาสัตว์เจ้าจึงทูลท้าวเธอว่า “ขอเดชะพระมหาราชเจ้าถ้าเช่นนั้น พระองค์โปรดเลือกถือเอาทรัพย์สมบัติไปตามพระประสงค์เถิด” เมื่อจะทรงแสดงทรัพย์สมบัติ จึงกราบทูลว่า “กองเงินและกองทองของข้าพระพุทธเจ้านี้มากมาย สูงประมาณเท่าต้นตาล พระองค์จงตรัสสั่งให้พวกราชบุรุษนี้ไปจากนาคพิภพนี้ แล้วจงตรัสสั่งให้สร้างพระราชวังด้วยทองคำ ให้สร้างกำแพงด้วยเงินเถิด นี่กองแก้วมุกดา อันเจือปนด้วยแก้วไพฑูรย์ ห้าพันเล่มเกวียน พระองค์จงตรัสสั่งให้ราชบุรุษขนไปจากนาคพิภพนี้ แล้วให้ลาดลง ณ ภูมิภาคภายในพระราชฐาน ภูมิภาคภายในพระราชฐาน ก็จักสะอาดปราศจากเปลือกตมและละอองธุลี ขอเดชะพระองค์ผู้เป็นราชาอันประเสริฐ ผู้ทรงพระปรีชาอันล้ำเลิศ ขอพระองค์โปรดเสวยราชสมบัติครอบครองพระนครพาราณสี อันมั่งคั่งสมบูรณ์ สง่างามล้ำเลิศ ดุจทิพยวิมานเห็นปานฉะนี้เถิด พระเจ้าข้า”

พระราชาทรงสดับถ้อยคำของพระมหาสัตว์แล้วก็ทรงรับไว้ พระมหาสัตว์จึงให้พนักงานเภรี เที่ยวตีกลองประกาศว่า “ราชบุรุษทั้งปวงจงพากันขนเอาทรัพย์สมบัติ มีเงินทองเป็นต้นไปตามปรารถนาเถิด แล้วเอาเกวียนหลายร้อยเล่มบรรทุกทรัพย์สมบัติส่งถวายพระราชา” พระราชาเสด็จออกจากนาคพิภพ กลับไปสู่พระนครพาราณสี ด้วยยศบริวารเป็นอันมาก เล่ากันว่านับแต่นั้นมา พื้นชมพูทวีปจึงเกิดมีเงินมีทองขึ้น









พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วจึงตรัสว่า

“โปราณกบัณฑิตทั้งหลายละนาคสมบัติแล้ว อยู่รักษาอุโบสถศีลด้วยอาการอย่างนี้” จากนั้นทรงประชุมชาดกว่า “หมองูในครั้งนั้นได้มาเป็นพระเทวทัตในบัดนี้ นางนาคกัญญาสุมนาเทวี ได้มาเป็นราหุลมารดา พระเจ้าอุคคเสนราชได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนจัมเปยยนาคราชได้มาเป็นเราผู้ตถาคตฉะนี้แล”







เรื่อง พญานาค ที่เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ก็มีอยู่มาก เช่น มีในราศีเกิด เช่นของคนนักษัตรปีมะโรง ที่มีความหมายถึง ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจ ที่มี พญานาค เป็นสัญลักษณ์

คนไทยเรามักจะเห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคได้เสมอ ในงาน จิตรกรรม ประติมากรรม และหัตถกรรม นาคจะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะตามอาคารวัดต่างๆ หลังคาอาคารที่สร้างขึ้นสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถาบันศาสนสถาน ตามคตินิยมที่ว่า นาคยิ่งใหญ่คู่ควรกับสถาบันอันสูงส่ง เช่น นาคสะดุ้ง ที่ทอดลำตัวยาวตามบันได นาคลำยอง ที่ทำเป็นป้านลมหลังคาโบสถ์ ที่ต่อเชื่อมกับ นาคสะดุ้ง นาคเบือน นาคจำลอง และ นาคทันต์คันทวยรูปพญานาค












พญานาคกับพระพุทธศาสนาจึงมีความเกี่ยวพันกันตลอด แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังเคยเกิดเป็นพญานาค เพื่อบำเพ็ญบารมีในการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โลกนี้ มนุษย์จึงมิได้อยู่เพียงลำพัง ยังมีหมู่สัตว์อื่นๆอีกมาก แต่เรามองไม่เห็นเพราะยังไม่มีญาณแก่กล้า หากเชื่อตามพระไตรปิฎก พญานาคมีอยู่จริง และมีปรากฎหลายแห่ง

แต่พญานาคจะมาทำบั้งไฟถวายพระพุทธเจ้า ในวันออกพรรษาจริงหรือไม่
ยังคงเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบอยู่เหมือนเดิม เพียงมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งบอกไว้น่าคิดว่า “จงเชื่อในสิ่งที่ทำ และทำในสิ่งที่เชื่อ” ถ้าหากความเชื่อนั้นไม่เป็นการเบียดเบียนตนและผู้อื่น



ที่มา : พญานาคกับพระพุทธศาสนา รวบรวมและเรียบเรียง โดย พระมหามหาบุญไทย ปุญญมโน
//www.mbu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=๒๑๑&Itemid=๑๔๘&limit=๑&limitstart=๒



Create Date : 15 พฤษภาคม 2552
Last Update : 15 พฤษภาคม 2552 17:58:10 น. 3 comments
Counter : 15951 Pageviews.

 
ผมเคยไปกราบหลวงปู่ทิมที่วัดบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นพระที่เมตตามากท่านให้คนเข้าพบอย่างใกล้ชิดและได้พุดคุยสอบถาม


โดย: ปรีชา รัตนประสิทธิ์ IP: 125.24.225.48 วันที่: 24 กรกฎาคม 2553 เวลา:22:39:27 น.  

 
ผมเคยไปกราบหลวงปู่ทิมที่วัดบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นพระที่เมตตามากท่านให้คนเข้าพบอย่างใกล้ชิดและได้พุดคุยสอบถาม


โดย: ปรีชา รัตนประสิทธิ์ IP: 125.24.225.48 วันที่: 24 กรกฎาคม 2553 เวลา:22:39:27 น.  

 
ขออนุญาตประชาสัมพันธ์
ขอเชิญชวนรวมศรัทธาพุทธบริษัทร่วมสร้างพระมหาเจดีย์บูรพาฐิตวิริยา ประชาสามัคคี พระสุทธิญาณเถระ(หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย) วัดเขาสุกิม จ.จันทบุรี
สามารถโอนเงินเข้าบัญชีดังนี้ชื่อบัญชีวัดเขาสุกิม
ธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนศรีรองเมือง
เลขที่บัญชี 148-269684-4
ธนาคารทหารไทย สาขาหนองคล้า
เลขที่บัญชี 398-3-31019-2
ติดต่อพระอาจารย์ประสิทธิ์ 081-5201464 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 084-9418384


โดย: ปรีชา รัตนประสิทธิ์ IP: 113.53.43.15 วันที่: 23 มกราคม 2554 เวลา:21:29:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

travelaround
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [?]





ยินดีต้อนรับทุกท่านที่แวะเข้ามาชม blog มีข้อคิดเห็น เชิญ comment มาได้นะครับ ถ้าตอบได้ จะตอบให้ทันทีครับ แต่ถ้าไม่ทราบ ต้องขอเวลา จะค้นคว้ามาให้อ่านกัน ท่านที่จะถามคำถาม หรือติดต่อเรื่องบทความ ได้ทาง Email :- d_sign_place@yahoo.com ครับ


เรื่องต่างๆที่ผมได้เขียนหรือรวบรวม เรียบเรียงมานี้ ยินดีให้ทุกท่านได้อ่านเป็นวิทยาทานและเพื่อการศึกษา ถ้าจะนำไปโพสต่อใน website สาธารณะ หรือ website อื่นใดที่ไม่ใช่ทางพาณิชย์ กรุณาระบุที่มา คือ https://www.travelaround.bloggang.com และนามปากกาผู้เขียนคือ TraveLArounD ด้วย

แต่ขอสงวนสิทธิ์สำหรับการนำไปใช้ ในเชิงพาณิชย์ หรือโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง จะถูกดำเนินคดี ตามกฏหมายลิขสิทธิ์

ส่วนบทความหรือภาพถ่ายใดๆ ที่ได้นำมาจาก website อื่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเรื่องนั้นๆ เป็นการถ่ายทอดจากวิจารณญาณแล้วว่า มีความถูกต้องเป็นจริง มากที่สุด และได้นำมาจาก website ที่เป็นสาธารณะ ถ้าเรื่องราวหรือภาพของท่านที่ได้นำมาถ่ายทอดนี้ ไปละเมิดลิขสิทธิ์ของท่าน กรุณาแจ้งมาทาง email :– nana_sara1000@ymail.com ผมจะทำการลบข้อมูลหรือภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ออกทันที

Acknowledges that I try to write or report accurately but postings may contain fact , speculation or rumor. I find images from the Web that are believed to belong in the public domain. If any stories or images that appear on the site are in violation of copyright law, please email to :- nana_sara1000@ymail.com and I will remove the offending information as soon as possible.


Website counter
: Users Online









ที่ดินเชียงใหม่ ทางไปแม่ริม ใกล้ศาลากลาง และสนามกีฬา 700 ปี ติดน้ำปิง ในหมู่บ้านเพชรริมปิง พื้นที่ 667 ตารางวา @ 14,000.- บาท สภาพแวดล้อมดี สนใจติดต่อ โทร. 0859559950



DESIGN PLACE CO.,LTD. รับออกแบบ และตกแต่งภายใน บ้านพักอาศัย ในแบบไทย และไทยร่วมสมัย



มรดก ฉบับที่ 1

มรดก ฉบับที่ 2

มรดก ฉบับที่ 3

มรดก ฉบับที่ 4

มรดก ฉบับที่ 5

มรดก ฉบับที่ 6

มรดก ฉบับที่ 7

ช่วยสนับสนุนการจัดทำ BLOG ด้วยการซื้อหนังสือ "มรดก" 1ชุด 7เล่ม (หนังสือเก่า) ในราคาชุดละ 700 บาท (รวมค่าส่งทางไปรษณีย์)

สนใจสั่งซื้อทาง E-mail :- nana_sara1000@ymail.com



New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add travelaround's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.