"ความสามัคคีปรองดอง เป็นกำลังอย่างสูงสุดของชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ความสามัคคีของคนในชาติ จะทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นอุปสรรค และทำให้สังคมไทย ร่มเย็นเป็นสุข" พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
สนใจลงโฆษณา ในพื้นที่ข้างบน ติดต่อ email : nana_sara1000@ymail.com
Home Lover’s Corner นานา สาระ๑๐๐๐ นานา สารพัด พระพุทธประวัติ ภาคพิเศษ
Travel Around the World Real Estate Buyer's Guide สุขภาพกาย สุขภาพใจ Pets & Animals
ปางพระพุทธรูปตามพุทธประวัติ Horoscope 12 ราศี พระพุทธศาสนา World of Beautiful Musics
กินอะไร ให้อายุยืน

อาหารที่ทานแล้วไม่แก่ (ชะลอแก่)

ความแก่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนา ไม่ว่าจะด้วยประการใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าหญิงหรือชาย และคงไม่มีผู้หญิงคนไหนปรารถนาที่จะมีตีนกาอยู่บนใบหน้าเป็นแน่ แต่เพราะตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เรื่องของริ้วรอยเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้! ถ้าอยากให้ริ้วรอยลดเลือนลงไป เพียงแค่เลือกรับประทานอาหารที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เพียงอย่างน้อย 1 อย่าง เป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยให้เส้นผมดำขลับ เงางาม ผิวพรรณผุดผ่องและดวงตาเป็นประกายแถมมีกระดูกที่แข็งแรง และมีพลัง


เรื่องของการ “ชะลอวัย” เป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝัน ทำอะไรก็ได้ให้อ่อนเยาว์ได้ตลอด..โดยเฉพาะ หน้าตา ถ้าดูสวยซะอย่าง อายุก็เป็นเพียงตัวเลข อาหารต่างๆที่แนะนำนี้ ล้วนเป็นประโยชน์ และมีอยู่ในอาหารที่เรา รับประทานกันเป็นประจำอยู่แล้ว (ยกเว้นพวกวิตามินที่เป็นอาหารเสริม) เพียงแต่บางคนอาจไม่ชอบไอ้นั่น ไม่กินไอ้นี่ ก็เลยขาดสารอาหารประเภทนั้นไป ร่างกายมันก็เลยฟ้องออกมา เมื่อขาดสารอาหารที่จำเป็นนั้นๆไป ลองพิจารณาดูอาหารต่อไปนี้ แล้วดูคุณประโยชน์ควบคู่ไปก็จะพบว่า ที่เรามีอาการอย่างโน้น อย่างนี้นั้น ก็เพราะเราทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ครบหมู่นั่นเอง มัวแต่ไปทานอาหารอร่อย อาหารแปลก หรืออาหารแพงๆ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นอาหารที่ดี หรือเหมาะกับเราเสมอไป


พวกเราจึงควรเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเสียใหม่ ทั้งวิธีการ และอาหารที่จับใส่เข้าปาก (เช่นประเภทที่ - อร่อยปากลำบากตูด นี่ก็ควรหลีกเลี่ยง) ลองมาดูเรื่องอาหารกันก่อน






อาหารประเภทพืชผักต่างๆ

เป็นอาหารที่เหมาะกับคนมากที่สุด เพราะลักษณะของฟันมนุษย์นี่ นักวิทยาศาสตร์เขาจัดให้อยู่ในประเภท สัตว์กินพืชและกระเพาะอาหารของคนเราก็สอดคล้องกับลักษณะของฟัน คือมีกรดที่ช่วยในการย่อยสลายพืชได้ดี ย่อยสลายเนื้อสัตว์ได้ช้า ลำไส้ก็อีก ยังยาวเฟื้อย ทีนี้ถ้าพวกเนื้อสัตว์ที่ย่อยสลายไม่ดีต้องเดินทางตามลำไส้มานาน กว่าเราจะยอมถ่าย ก็เกิดอาการเน่าบูดขึ้นในลำไส้อีกร่างกายก็ยังดูดซึมเอาสารพิษกลับเข้าไป เกิดอาการผิดปกติ จะเห็นได้ว่าปากทางที่อาหารเข้า จนถ่ายออกมานั้น ทั้งระบบจะทำงานได้ดีเหมาะกับอาหารที่เป็นพืชทั้งสิ้น แต่คนเริ่มพัฒนามากินเนื้อสัตว์เพราะความอร่อยมานานแล้ว จะไปโทษบรรพบุรุษก็ไม่ได้ เขายังไม่ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่ตอนนี้เราก้าวหน้ามากแล้ว รู้เรื่องหมดแล้ว ยังจะปล่อยให้ความอร่อยครอบงำจิตใจเรา โดยไม่เห็นแก่สุขภาพบ้างเชียวหรือ (ขอโทษที เขียนเรื่องสุขภาพ ดันออกมาในแนวธรรมะซะงั้น) ลองมาดูประโยชน์ของพืชผักกัน

พริกหยวก : ทั้งพริกแดง พริกเขียว และพริกเหลืองต่างมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศ กระเทียม พริกแดง แตงกวา น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์มหาศาลจากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก

กะหล่ำปลี : เห็นเขียวๆ ม่วงๆ อย่างนี้รู้มั้ยว่ากะหล่ำปลีนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ, ซี และเบตาแคโรทีน ที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณ เพียงหั่นกะหล่ำปลีบางๆ แล้วนำลงไปผัดกับขิงและกระเทียม เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อค่ำสำหรับตัวคุณเองแล้ว กะหล่ำปลี ใบมีสารไดไทโอลไทออนส์ และ สารกลูโคซิโนเลท เมื่อแตกตัวจะเป็นสารต้านมะเร็ง ออกฤทธิ์โดยเฉพาะต่อต้านกับมะเร็งลำไส้ (แต่หากกินมากไปจะทำให้เกิดคอหอยพอกได้ เพราะมีสารไปกั้นการดูดซึมไอโอดีนที่ต่อมไทรอยด์ ผู้เป็นโรคไทรอยด์ไม่ควรบริโภคมากเพราะไปลดระดับไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดหากกินติดต่อกันนานๆ) กะหล่ำปลียังมีอีกหลายสี เช่นสีม่วงแดง แต่อย่ารับประทานกะหล่ำสีแดงสดๆมากไปเพราะมีเหล็กสูงมาก จะทำให้ท้องผูก

กระเทียม : สมุนไพรกลิ่นแรงอย่างกระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรีย ล้างพิษ และป้องกันไวรัสจากโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่ไข้หวัดไปจนถึงมะเร็ง แต่อาหารไทยส่วนใหญ่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบอยู่แล้วและคนไทยก็ชอบทานกระเทียมด้วย กระเทียมช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร บางงานวิจัยระบุว่าสามารถลดได้ถึง40% เมื่อกินมากพอ สาร S-allylmercaptocysteine ช่วยลดการเกิดมะเร็งในต่อมลูกหมาก(50%) และกระเทียมยังช่วยเพิ่ม ระดับเอนไซม์ที่จะทำหน้าที่ล้างพิษของสารก่อมะเร็ง สารนี้จะมีขึ้นเมื่อทุบกระเทียมให้แตกก่อนแล้ววางทิ้งไว้10 นาทีก่อนจะนำไปใช้ แต่ไม่ควรกินกระเทียมขณะท้องว่างอาจจะเกิดระคายเคือง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องได้

มะเขือม่วง : เปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปกป้องสมองของคุณจากการถูกทำลาย เพื่อคงความฉลาดหลักแหลมของคุณไว้ ลองนำมะเขือม่วงไปทำแกง หรือรับประทานกับข้าวกล้องก็อร่อยไม่เบาแข็งแรงได้ใจ

คะน้า : ช่วยให้ตับของคุณผลิตเอ็นไซม์ในการต่อต้านมะเร็ง เมื่อคุณเคี้ยวคะน้า จากการวิจัยพบว่าสามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ ลองเลือกผัดคะน้าปลาเค็ม มาเป็นเมนูมื้อเย็นดูบ้าง

ผักโขม : คุณจะได้รับแคลเซียมจากผักโขม ในขณะเดียวกันก็มีแมกนีเซียมที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี การรับประทานใบอ่อนของผักโขมในสลัด จะช่วยให้ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่ายเนื่องจากขาดแคลเซียม คนแก่ควรกินมากๆ

ถั่วงอก : สารประกอบ ที่พบในถั่วงอก สามารถช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด นอกจากนี้ถั่วงอกยังประกอบด้วยสารอาหารในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยเรื่องโรคเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีในวัยหมดประจำเดือนถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่เบา

บล็อคโคลี่ : การรับประทานบล็อคโคลี่เป็นประจำ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ถึง20% และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย ลวกใส่ในสลัด หรือผัดกับกุ้งสดก็ไม่เลวทีเดียว

บีทรูท : เนื้อของบีทรูทอุดมไปด้วยเบต้าไซยานิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็งรับประทานโดยการนำไปตุ๋นหรือย่าง

มะเขือเทศ : สารไลโคพีน (lycopene) ในมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่สำคัญช่วยให้ผิวสวยอย่าบอกใครเลยเชียวล่ะ เลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะใส่มะเขือเทศลงในอาหารอะไรบ้าง มะเขือเทศได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับ1ของ บรรดาอาหารเพื่อสุขภาพ ในมะเขือเทศมีกรดพี คูมาริก(p – Coumaric acid) และกรดคลอโรจีริก (Chlorogenic Acid) อยู่เป็นจำนวนมาก กรดเหล่านี้จะแย่งจับกับไนไตรท์แล้วขจัดออกจากร่างกาย ก่อนที่ไนไตรท์จะไปจับกับเอมีนส์กลายเป็นสารที่ก่อมะเร็งชื่อไนโตรซามีนส์ การทานมะเขือเทศสดอย่างน้อย 7ครั้งต่อสัปดาห์ จะลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ปอด และกระเพาะลงได้ครึ่งหนึ่ง

หัวหอม : หัวหอมที่มีกลิ่นไม่หอมเหมือนชื่อนี้จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดทั้งยังช่วยในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน เพิ่มปริมาณการรับประทานโดยซอยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆใส่ในไข่เจียว หรือซอยใส่อาหารประเภทยำช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีทีเดียว

ซาเลอรี่ : ซาเลอรี่ หรือขึ้นฉ่ายฝรั่ง มีสารพฤกษาเคมีชื่อ อะพิจีนีน (apigenin) ช่วยลดสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบในเลือด ลดภาระของระบบภูมิคุ้มกันในหนูทดลอง ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้อายุยืนและสุขภาพดี

พริก : สารแคปไซซิน ในพริกช่วยลดพิษของสารก่อมะเร็งได้ช่วยไม่ให้มีการจับตัวระหว่างไนไตรท์กับเอมีนส์ ซึ่งจะกลายเป็นสารอันตราย พริกยิ่งเผ็ดเท่าไรก็ยิ่งมีแคปไซซินมากเท่านั้น แต่อย่ากินมากจนแสบเข้าไปถึงลำไส้แล้วออกฤทธิ์ไปจนถึงปลายอุโมงค์โน่นล่ะ

มะนาว : ในมะนาวมีสารลิโมนีน (Limonene) อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีส่วนในการกระตุ้นเอนไซม์ในร่างกายให้เพิ่มขึ้นเพื่อสลายสารก่อมะเร็ง และกระตุ้นให้เซลล์ภูมิคุ้มกันที่มีหน้าที่ฆ่าเซลล์มะเร็งมีความกระปรี้กระเปร่าขึ้น

กะหล่ำดอก : เป็นผักตระกูลมัสตาร์ด มีสารที่สามารถดึงสารก่อมะเร็งออกจากเซลล์ โดยมี สารซัลโพราเฟน ซึ่งไปลดการผลิตเอนไซม์ที่จะไปทำอันตรายสารพันธุกรรม DNAในเซล พืชวงศ์นี้ได้แก่ บล็อคโคลี คะน้า และกะหล่ำต่างๆ กะหล่ำดิบมีวิตามินซีสูง มีธาตุโพแตสเซี่ยม กำมะถัน และเส้นใยมาก

ขึ้นฉ่ายหรือคื่นไฉ่ : มีสารต้านมะเร็ง เช่น ทาไลด์และโพลีอเซทิลีน ทำให้สารก่อมะเร็งหมดฤทธิ์ โดยเฉพาะที่เกิดจากบุหรี่ มีฤทธิ์ลดการสร้าง อสุจิ ช่วยคุมกำเนิด ลดอัตราการตั้งครรภ์ (คนอยากมีลูก ก็อย่าหักโหมกินเข้าไปล่ะ) บางคนอาจแพ้ได้หากกินก่อนหรือหลังการออกกำลังกายอย่างหนัก

คะน้า : อยู่ในวงศ์เดียวกันกับ ผักกวางตุ้ง กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักกาดขาว บล็อคโคลี และผักกาดหัว คะน้ามีสารอินโดลส์ ยับยั้งการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งที่เต้านม โดยการไปจับกับฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนซึ่งกระตุ้นการเกิดเนื้องอก และมะเร็งลำไส้ มีสารต้านอนุมูลอิสระ เบต้าแคโรทีนและวิตามินซีสูงมาก ทำให้มีคุณสมบัติในการต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพดี

แตงกวา : ทานได้เยอะๆ ป้องกันมะเร็งในคนอายุไม่ถึง 40 แต่ถ้า 40 up ห้ามกิน เพราะจะทำให้เกิดโรคเก๊าท์


นอกจากนี้ยังมีพืชผักอีกหลายชนิดที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็ง เช่น ขมิ้น ข่า เมล็ดข้าวโพด ขิง แครอท ชะพลู ดีปลี ตะไคร้ แตงกวา ใบบัวบก ผักชี ผักชีฝรั่ง ฟักทอง ใบมะกรูด มะเขือยาวหรือมะเขือม่วง มะระจีน มะระขี้นก มันเทศ ต้นหอมและหอมใหญ่ โหระพา เป็นต้น
ผักผลไม้ประเภทสีเหลืองหรือแดง ลดอัตราเสี่ยงมะเร็ง โรคหัวใจ
ผักพวก บล็อกโคลี่ กล่ำปลี ลดอัตราเสี่ยงมะเร็ง เสริมภูมิต้านทาน
หัวหอม หัวกระเทียม ลดไขมันในเส้นเลือด เสริมภูมิต้านทาน








พวกสมุนไพรต่างๆ

ส่วนใหญ่ก็สามารถนำมาประกอบอาหาร หรือเป็นเครื่องปรุงรสได้ดี นอกจากใช้กินเป็นอาหาร ยังเป็นชาชงผสมน้ำผึ้ง ช่วยให้แข็งแรงชะลอแก่ได้ เช่น

ดอกกระเจี๊ยบ มะขาม สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม : มีรสเปรี้ยว ช่วยเสริมวิตามินซี ต้านอนุมูลอิสระ ระบายท้อง ล้างพิษ ขับปัสสาวะบำรุงผิวพรรณ
บอระเพ็ด สะเดา มะระ : มีรสขม แก้ไข้ เจริญอาหาร บำรุงตับ น้ำดี
ใบยอ ลูกยอ ช้าพลู ยอดแค : มีแคลเซียมสูงบำรุงกระดูก
โสม กระชาย กล้วย พริกไทย มะตูม : บำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย
ทิ้งถ่อน ตะโกนา บอระเพ็ด เม็ดข่อย แห้วหมู พริกไทย : เป็นยาอายุวัฒนะสูตรพื้นบ้าน
ม้ากระทืบโรง กำลังช้างเผือก โด่ไม่รู้ล้ม กำลังเสือโคร่ง : บำรุงกำลังและเพิ่มสมรรถภาพ
รากชะเอม : พืชชนิดนี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาล50เท่า มีสารสำคัญที่ชื่อ กลีไซร์ไรซิน(glycyrrhisin) ที่จะช่วยปกป้องจากสารก่อมะเร็ง







ผลไม้ต่างๆ

มีคุณประโยชน์ไม้แพ้พวกพืชผักเลย ผลไม้ไทยหาทานได้ทุกฤดูกาล แถมราคาถูกยังกะให้เปล่า (เวลาล้นตลาด แต่เวลาขาดตลาด หรือนอกฤดูกาล ก็ว่าซะแพงกว่าผลไม้นอกเสียอีก) สามารถเลือกทานกันได้ตามอัธยาศัยนะครับ ส่วนพวกผลไม้นอก ก็ว่ากันตามกำลังทรัพย์ก็แล้วกัน

กล้วย : เป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม นอกจากกล้วยจะช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารแล้วยังช่วยลดอาการท้องผูก แค่ผสมเข้ากับนม น้ำผึ้ง และอัลมอนด์ ก็จะได้อาหารเช้าที่แสนอร่อย กล้วยอุดมไปด้วยวิตามินบี ช่วยหยุดผมร่วง การรับประทานกล้วยในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยรักษาเส้นผมให้เคียงคู่กับศีรษะได้นานวัน

กล้วยหอม : กล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตส และ กลูโคส รวมทั้ง เส้นใยอาหาร ที่ให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันที สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่ายและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย เช่นปวดท้อง ปวดหัว ฯลฯ กินกล้วยหอมจะลืมยาแก้ปวดลืมไปได้เลย ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิตฮีโมโกลบินในกระแสโลหิต ช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้ กล้วยหอมยังมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ เป็นตัวช่วยความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug Administration รับรองให้กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดันได้จริง

นอกจากนี้ ในกลุ่มของกล้วยต่างๆ 24 สายพันธุ์ มีทั้งเนื้อสีขาว สีเหลือง สีเหลืองอมแสด จากการศึกษา พบว่า กล้วยไข่พม่ามีสารเบตาแคโรทีนสูงสุด รองลงมาคือกล้วยงาช้าง กล้วยไข่โนนสูง กล้วยนางพญา กล้วยไข่ และกล้วยหักมุกนวล

ส้ม : การรับประทานส้มทั้งผล แทนการดื่มน้ำส้มจะช่วยให้ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำวิตามินซีในส้มยังช่วยป้องกันและเยียวยาโรคหวัด นอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายด้วย ส้มต่างๆ และมะนาว ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งบำรุงผิวพรรณ

องุ่นแดง : จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อน และดักจับไขมันในเลือดที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดงของคุณ ใส่องุ่นแดงลงในสลัดหรือดื่มไวน์แดงสักแก้วระหว่างมื้อค่ำ

มะม่วง : มีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี โดยช่วยกระตุ้นการสร้างผิวหนัง รวมทั้งหนังศีรษะเพื่อทดแทนของเดิมที่หยาบแห้งและขรุขระ ให้กลับมีความชุ่มชื้นและเนียนนุ่มขึ้น ทำให้ผิวเนียนใสเหมือนเด็ก

ฝรั่ง : รับประทานฝรั่งหรือดื่มน้ำฝรั่ง ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั้น จะทำให้เราดูหนุ่มสาวขึ้นค่ะ เพราะฝรั่งจะช่วยเก็บรักษาคอลลาเจนที่เป็นบ่อเกิดแห่งโปรตีนใต้ผิวหนัง หรือคุณอาจจะรับประทานมะละกอ ส้ม ร่วมกับผลไม้ประจำวัน จะเพิ่มวิตามินซีได้เช่นกัน

มะเขือเทศ : บำรุงสมองบำรุง สายตา

มะพร้าวอ่อน : น้ำมะพร้าวอ่อนมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง เป็นยาสมอง ชะลอการเกิดพยาธิสภาพ ช่วยชะลอโรคอัลไซเมอร์ และยังช่วยสมานแผลให้หายเร็ว อีกทั้งยังไม่มีแผลเป็นด้วย เป็นประโยชน์ผู้ป่วยที่แผลหายช้ากว่าปกติ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน

บลูเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) สารเม็ดสีในบลูเบอร์รี่ ช่วยในการมองเห็น ขอแนะนำให้คุณลอง ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับนมหรือโยเกิร์ตดู

แอปริคอท : สารเบตาแคโรทีนในแอปริคอทช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยในการมองเห็นได้ดี ใส่แอปริคอทลงไปในสตูว์ไก่ ผสมกับขิงและอบเชยให้ได้กลิ่นอายแบบโมร็อคโค

อะโวคาโด : การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และปกป้องผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี บดอะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดูก็ได้

สตรอเบอร์รี่ : วิตามินซีและ สารบางอย่างในสตรอเบอร์รี่ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือด ผลไม้สีแดงสดทรงเสน่ห์แบบนี้ เพียงแช่เย็นไว้จิ้มกินกับเกลือตอนนั่งดูทีวีก็เพลินดีไม่น้อย

แครนเบอร์รี่ : ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จากงานวิจัยล่าสุดพบว่ายังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ชะงัดอีกด้วย อาจจะทำเป็นแยมไว้รับประทานกับขนมปังหรือทำเป็นซอสแครนเบอร์รี่ไว้ทาไก่หรือเนื้อย่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน

กีวี : วิตามินซีและสารอาหารบางอย่างในกีวีช่วยในการไหลเวียนของออกซิเจน ลดปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น โรคหืด หอบ หั่นกีวีเป็นลูกเต๋าเสียบไม้กับมะม่วงหรือกล้วย ทาด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไปย่าง อาจจะได้รสชาติแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง

ลูกพลัม : อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของไขมันซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์สมอง นำลูกพลัมไปเคี่ยวกับน้ำส้ม และโรยลงไปบนมูสลี่ หรือจะกินเล่น เป็นขนมขบเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า

ลูกพรุน : โพแทสเซียมในลูกพรุนช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับความดันเลือด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ เสิร์ฟคู่กับโยเกิร์ตหรือกินเล่นเป็นของว่างก็ดี

ราสเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่าสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในราสเบอร์รี่สามารถยับยั้งการเกิดเนื้อร้ายได้ ลองนำราสเบอร์รี่ไปราดด้วยช็อกโกแลตเหลวแล้วไปแช่เย็นดูสิ

อะโวคาโด : วิตามินบีในอะโวคาโด จะช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ค่ะ และทำให้ร่างกายเกิดความต้านทานจากการทำลายในรูปแบบต่างๆ รวมไปถึงแรงต้านทานจากมลภาวะเป็นพิษด้วย


โดยเฉพาะทางกระทรวงสาธารณสุขยังสนับสนุนให้คนไทยหันมารับประทานผัก-ผลไม้สดให้มากขึ้น เพราะมีประโยชน์เพียบ โดยผลวิจัยล่าสุดพบว่ามีผลไม้ 30 ชนิด ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินอี และเบตาแคโรทีน ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ทำลายอนุมูลอิสสระ ที่เป็นตัวปัญหา โดยอนุมูลอิสระนั้นสามารถทำปฏิกิริยาโยงใยในร่างกายได้มากมาย ก่อให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะโรคมะเร็ง และโรคหัวใจนี้กำลังเป็นปัญหาใหญ่ไปทั่วโลก โดยเจ้าอนุมูลอิสระนี้ มาจากทั้งภายนอกและภายในร่างกาย ได้แก่มลพิษในอากาศ จากควันบุหรี่ แสงแดด รังสีแกมมา คลื่นความร้อน ส่วนที่มาจากภายในร่างกายเกิดจากกระบวนการเผาผลาญของอ็อกซิเจนภายในเซลล์ หรือเกิดจากย่อยทำลายเชื้อแบคทีเรียของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ก็ทำให้เกิดอนุมูลอิสระได้


อย่างไรก็ตาม จากการวิจัยดังกล่าวพบว่ามีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่วิตามินอี วิตามินซีและเบต้าแคโรทีน สารทั้ง 3 ตัวนี้ สามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยวิตามินซี ซึ่งละลายน้ำได้จะทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ส่วนวิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ วิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันที่อยู่ในรูปของเบตาแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์ ซึ่งมีในอาหารธรรมชาติประมาณ 600 กว่าชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก และมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพด้านอื่นๆ ได้แก่ ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการเสื่อมของตาเนื่องจากสูงอายุ และต้อกระจก รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิด และโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างดีทั้งนี้สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ มีมากในผักผลไม้หลายชนิด โดยเฉพาะที่มีสีเขียว แดง แสด และเหลือง เช่น ผักใบสีเขียวเข้ม ได้แก่ ผักขม ผักคะน้า ผักตำลึง ผักบุ้ง ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท มะเขือเทศ มะม่วงสุก มะละกอสุก เป็นต้น


ด้านกรมอนามัยก็ได้ทำการศึกษาแหล่งอาหารไทยที่มีสารต้านอนุมูลอิสระทั้ง 3 ตัวนี้ด้วยเฃ่นกัน เพื่อใช้เป็นข้อมูลส่งเสริมให้ประชาชนทั่วประเทศได้บริโภคอย่างต่อเนื่องทุกวัน โดยศึกษาผลไม้ที่มีบริโภคในประเทศไทย 83 ชนิด ในปริมาณส่วนที่รับประทาน 100 กรัม ผลพบว่า
ผลไม้ที่พบสารเบตาแคโรทีนมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะเขือเทศราชินี มะละกอสุก แคนตาลูปเหลือง มะปรางหวาน มะยงชิด สัปปะรดภูเก็ต แตงโม ส้มสายน้ำผึ้งและลูกพลับ
ผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ ขนุนหนัง มะขามเทศ มะม่วงเขียวเสวยดิบ มะเขือเทศราชินี มะม่วงเขียวเสวยสุก มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะม่วงยายกล่ำสุก กล้วยไข่ แก้วมังกรเนื้อสีชมพู และสตรอเบอรี

ผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ ฝรั่งกลมสาลี่ ฝรั่งไร้เมล็ด มะขามป้อม มะขามเทศ เงาะโรงเรียน ลูกพลับ สตรอเบอรี มะละกอแขกดำสุก พุทราแอปเปิล และส้มโอขาวแตงกวา

โดยปกติเราจะได้รับสารอาหารทั้ง 3 ชนิดจากการรับประทานอาหารโดยทั่วไปน้อย เพราะถูกทำลายได้ง่ายจากความร้อน จึงต้องเพิ่มการรับประทานผลไม้และผักสดด้วย โดยแนะนำให้รับประทานอาหารให้หลากหลายชนิดและให้ได้สัดส่วนตามธงโภชนาการ โดยใน 1 วันคนเราควรบริโภคผลไม้ให้ได้ วันละ 4 ส่วน โดย 1 ส่วนของผลไม้ หากเป็นผลไม้ขนาดเล็ก เช่น องุ่น ลิ้นจี่ ลำไย เท่ากับ 6-8 ผล, ผลไม้ขนาดกลาง เช่น ส้ม ชมพู่ กล้วยน้อยหน่า เท่ากับ 1-2 ผล ส่วนผลไม้ขนาดใหญ่เช่น แตงโม สับปะรด มะละกอ จะเท่ากับ 6-8 ชิ้นพอคำ อย่างไรก็ดี ในกลุ่มที่ต้องคุมปริมาณน้ำตาล โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวานอาจต้องเลือกผลไม้ที่รสไม่หวาน และแนะนำให้บริโภค วิตามินอีวันละ 6-15 มิลลิกรัม และวิตามินซีวันละ 40-90 มิลลิกรัม








เนื้อสัตว์ต่างๆ

ที่จริงแล้วไม่มีรายการเนื้อสัตว์ใดๆที่จะแนะนำให้เป็นอาหารชะลอความแก่เลย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ใหญ่ สัตว์เล็ก สัตว์บก สัตว์ปีก ยกเว้นสัตว์น้ำ หรืออาหารทะเลประเภทต่างๆ โดยเฉพาะปลาทั้งปลาทะเลและปลาน้ำจืด เพราะอาหารประเภทเนื้อสัตว์นั้นไม่เหมาะกับเราจริงๆ ควรทำใจและค่อยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ลดเนื้อสัตว์ลงเรื่อยๆ เพิ่มพืชผักขึ้นเรื่อยๆ คิดเสียว่า จะทำให้คุณได้อยู่ใกล้กับคนที่คุณรักไปอีกนานๆ ก็แล้วกัน ที่พอจะทานได้ ก็จะเป็นพวกอาหารทะเล เช่น

ปลาที่มีไขมัน : ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน หรือเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ที่มีไขมันปนอยู่บ้างนั้น สามารถช่วยปกป้องคุณจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของสมอง ว่ากันว่าให้เด็กๆ กินปลาแล้วจะฉลาด ปลานึ่ง ปลาย่างราดซอสอร่อยๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี อาหารทะเล ป้องกันโรคหัวใจมะเร็ง ไขข้อ เบาหวาน

ปลาทู และปลากะพง : ในเมืองไทยขอแนะนำปลาประจำชาติ ยอดนิยมคือปลาทู และปลากระพง เพราะในปลาทูจะมีสารโอเมก้า3 ค่อนข้างมาก ในเนื้อปลาทู 100 กรัมมีสารโอเมก้า3 ราว 2-3 กรัม โดยปกติในหนึ่งวันร่างกายต้องการโอเมก้า3 ประมาณวันละ 3 กรัมต่อวัน เท่านั้น

ปลาแซลมอน : รับประทานปลาแซลมอน อาหารทะเล จะช่วยหยุดการลอกของผิวหนังทำให้สุขภาพแข็งแรง

ปลาซาร์ดีน : ส่งผลต่อการทำงานของระบบภูมิต้านทาน ทำให้อายุยืนและสุขภาพดี








อาหารเหลวและเครื่องดื่ม

ไขมัน : ให้ประโยชน์หรือโทษเพียงไรกับระบบภูมิคุ้มกันนั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณของกรดไขมันชนิดต่างๆ ในน้ำมัน นักวิจัยแนะนำว่ากรดโอเมก้า 6 ซึ่งพบในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันข้าวโพด ดอกคำฝอย ถั่วเหลือง เมล็ดดอกทานตะวัน เป็นต้น ถ้าใช้มากเกิน อาจจะเพิ่มการอักเสบและยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโพไซต์ (lymphocytes) ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ในทางกลับกัน กรดโอเมก้า 3 หรือน้ำมันปลา ซึ่งพบมากในปลาแซลมอนและปลาทูน่า ส่วนในพืชพบมากในเมล็ดแฟลกซีดและวอลนัท อาจเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและยับยั้งการอักเสบได้ งานวิจัยพบว่าโอเมก้า 3 สามารถเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดแมคโครฟาจ (macrophages) ซึ่งช่วยในการดักจับและทำลายเซลล์แปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย

น้ำมันมะพร้าว : รสหวานเค็ม รับประทานเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ ใช้ทาบำรุงผม หรือทาเป็นยาแก้กลากเกลื้อน ทาผิวหนังแตกแห้ง แก้โรคผิวหนังต่างๆ ทาแผลน้ำร้อนลวก โดยการเอาน้ำมันมะพร้าวมา 1 ส่วน ใส่ในภาชนะคนพร้อมๆกับเติมน้ำปูนใส 1 ส่วน โดยเติมทีละส่วนพร้อมกับคนไปด้วยจนเข้ากันดีใช้ทาบริเวณแผลบ่อย ๆ
น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย มีวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน และมีมากในน้ำมันพืชทั่วไป

ชาเขียว ใบชาเขียว : ที่ได้มาจากการนำยอดใบชาสดผ่านกระบวนการอบเพื่อลดความชื้นโดยไม่ผ่านการหมัก จึงมีสารกลุ่ม Polyphenol เหลืออยู่จำนวนมาก สารนี้ต่อต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่าวิตามินอี 20 เท่า และมากกว่าวิตามินซีถึง 500เท่า ใบชาเขียวมีสารพอลิฟินอล ซึ่งเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ที่มีบทบาทในการป้องกันโรคมะเร็ง งานวิจัยจากสถาบันวิจัยแห่งชาติญี่ปุ่นแสดงให้เห็นว่า สารเคทีซิน(catechin) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในแทนนินของชาเขียวสามารถลดอุบัติการของโรคมะเร็งได้ ดื่มชาเขียววันละ 4 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง แต่ควรระวัง ชาแก่ทำให้ท้องผูก ดื่มก่อนนอนอาจทำให้ไม่หลับ ชงชาไว้นานจะมีแทนนินออกมามากทำให้มีรสฝาดไม่น่าดื่ม ปริมาณเหมาะสมจะช่วยย่อยอาหาร ควรใช้น้ำเดือดใส่ในใบชา 1 ช้อนชา ตั้งทิ้งไว้ 3-5 นาทีก่อนดื่ม
มีชาอยู่ 6 ชนิดที่ดื่มได้แล้วดี คือ ชาจีน, ชาฝรั่ง, ชาแขก, ชาเขียว,ชาใบหม่อน, ชาดอกคำฝอย (นอกนั้นอย่าไปดื่ม)
นอกจากนี้น้ำชายังมีสารฟลาโวนอยด์ ที่เชื่อกันว่าเป็นสารประกอบสำคัญที่บำรุงสุขภาพ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
ประโยชน์แถมท้าย ยังช่วยป้องกันแผ่นคราบจุลินทรีย์จับฟัน ป้องกันฟันผุ และยังช่วยเสริมกระดูกให้แข็งแรง ช่วยลดไขมัน และคลอเรสเตอรอล ล้างพิษนิโคติน และน้ำมันทาร์ในบุหรี่

น้ำถั่วเหลือง : หรือน้ำเต้าหู้ เครื่องดื่มประจำของชาวจีน ดื่มดีกว่าดื่มนมวัวเสียอีก แต่มีข้อระวังคือ อย่านำไปอุ่นในความร้อนเป็นรอบที่ 2 เพราะทำให้เสียคุณค่า

น้ำผึ้ง : สุดยอดอาหารเสริมของไทย แต่โบราณ นักวิทยาศาสตร์นิวซีแลนด์วิจัยพบว่า สามารถต่อสู้กับความชราได้ ทั้งช่วยเรื่องความจำเสื่อมและลดความวิตกกังวล โดยสารแอนตี้ออกซิเดนท์ จะเข้าไปกระตุ้นความทรงจำ และป้องกันเซลล์ในร่างกายถูกทำลาย

น้ำมะพร้าว : น้ำสารพัดประโยชน์ ดื่มแล้วดีมากๆเพราะแก้ได้สารพัดโรค รับประทานเป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย แก้โรคบิด ปวดท้อง ปวดไส้ ล้างพิษที่เกิดขึ้นได้ดี แก้คลื่นไส้อาเจียน แก้วิงเวียน เมา รักษาคางทูม รักษาดีซ่าน ขับปัสสาวะ แก้พิษ แก้กระหายน้ำ แก้นิ่ว แก้อาเจียนเป็นโลหิตและบวมน้ำ ลดไข้ แก้ร้อนใน แก้ไอ ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ แก้เม็ดผดผื่นคัน บำรุงร่างกายให้สดชื่น
แก้ลดไข้ วุ้นเนื้อมะพร้าวอ่อนกับน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นยาเย็น ช่วยให้อาการไข้ตัวร้อนทุเลาลง แก้ร้อนใน ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนในตอนเช้าให้หมด และในตอนบ่ายดื่มอีกลูกหนึ่งจนหมด กินเนื้อด้วยก็ได้ รักษาคางทูม เอาน้ำมันมะพร้าวทาบริเวณคางทูมบ่อยๆ วันละ 2 - 3 ครั้ง ทาบางๆ 2 - 3 วัน อาการคางทูมจะดีขึ้น รักษาดีซ่าน ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน ครั้งละ 1 ผล เช้า กลางวัน เย็น ทุกวัน เพียง 2 วันก็หาย แก้คลื่นไส้อาเจียน เอามะนาว 1 ซีก บีบผสมน้ำมะพร้าวอ่อน ดื่มแก้อาเจียนได้ดี แก้โรคบิด ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนครั้งละ 1 ผล เช้า กลางวัน เย็น แก้โรคบิดได้ดีมาก บำรุงผิวพรรณ ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนสัปดาห์ละ 4 - 5 ผล แก้ปัสสาวะขัด ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน ครั้งละ 1 ผล เช้า กลางวัน เย็น แก้พิษเบื่อเมาได้ดี ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน 1 ลูก ไม่กินเนื้อ อีก 2 - 3 ชั่วโมง ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเย็นๆ เข้าไปอีก แก้เมาเหล้า เอาน้ำมะพร้าวอ่อนไม่ต้องแช่เย็น ดื่มแก้เมา แก้อาเจียนจากเหล้าได้ดี แก้ไอ เอาน้ำมะพร้าวห้าวมาดื่มจะมีสรรพคุณรักษาอาการไอได้ดีมาก ดื่มเฉพาะน้ำเท่านั้น
น้ำว่านหางจระเข้ : ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายดีขึ้น และช่วยบรรเทาอาการอักเสบ หรือแผลเรื้อรังต่างๆ ช่วยป้องกัน และยับยั้งการกระจาย DNA ของเซลล์มะเร็ง และเนื้องอก

น้ำลูกยอ : ช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหาร เพิ่มการดูดซึมสารอาหารระดับเซลล์

น้ำมังคุด : เป็นผลไม้ที่มีสารอาหารที่เรียกว่า Xanthones สูงสุดซึ่งมีคุณค่าในการป้องกันอนุมูลอิสระ ทำให้เกิดสมดุลระหว่างกาย และจิตใจ ช่วยทำให้อารมณ์ดี ลดอาการปวดเมื่อย ป้องกันโรคไขข้ออักเสบ

น้ำบลูเบอร์รี่ : ช่วยบำรุงผิวพรรณ มีฤทธิ์ช่วยการเกาะตัวของเกร็ดเลือด และผนังหลอดเลือด ฆ่าเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

น้ำองุ่น : ช่วยลดอาการแพ้อากาศ ลดการเกาะตัว-อุดตันของหลอดเลือด

โสม : ช่วยสร้างความสมดุลย์ให้แก่อวัยวะ ปอด ตับ ม้ามโต หัวใจ สมอง

โยเกิร์ต : ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้อายุยืนและสุขภาพดี








ถั่ว และธัญพืชต่างๆ

วอลนัท : ทองแดงในวอลนัทช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร ลองโรยวอลนัทลงบนสลัดหรือโยเกิร์ตก็ไม่เลวนะ

เต้าหู้ : หยุดยั้งผิวที่ซีดและแห้งโดยการรับประทานอาหารอย่าง เต้าหู้ เพราะในเต้าหู้มีสารที่จะช่วยคืนสภาพผิวและป้องกันรอยเหี่ยวย่น ลองผัดรวมกับผักกรอบๆ หรือทำเป็นต้มจืดเอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นนอกจากจะช่วยคืนสภาพผิวแล้ว ยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี

ข้าวโอ๊ต : เต็มไปด้วยเส้นใยที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยลดอาการตึงเครียด จึงทำให้รอยเหี่ยวย่นน้อยลง เพียง โรยข้าวโอ๊ตลงบนมูสลี่ หรือนมอุ่นๆ ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ทานได้แล้ว

ข้าวกล้อง : เป็นธัญพืชฮอตฮิตอินเทรนด์กันอยู่พักใหญ่ เพราะอุดมไปด้วยแร่แมงกานีสที่จะช่วยให้พลังงานกับร่างกายโดยการให้โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย ใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้านของข้าวกล้องก็สามารถหุงข้าวกล้องรวมกับข้าวสวยได้ ในข้าวกล้องมีสาร อินนูลิน เป็นใยอาหารธรรมชาติพบในเมล็ดพืชไม่ขัดสี ทำงานเป็นสารพรีไบโอติกส์ในลำไส้ เสริมสร้างแบคทีเรียที่ดี และอาจช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันในหลายๆส่วน

ถั่วลิสง : รับประทานถั่วลิสงอบเนยร่วมกับเกล็ดขนมปังที่อบมาร้อนๆ ก่อนมื้ออาหารจะช่วยชะลอผมหงอกได้ เพราะถั่วลิสงมีวิตามินที่สามารถหยุดการเปลี่ยนสีผมให้เป็นสีดอกเลาได้ และยังทำให้ผิวหนังดูดีขึ้นอีกด้วย

ถั่วเหลือง : ถั่วเหลือง มีสารต้านมะเร็งในปริมาณค่อนข้างสูง ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งที่เนื่องมาจากฮอร์โมนเช่น มะเร็งเต้านม นอกจากนี้ ถั่วเหลืองมีสารคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงไปแข่งกับฮอร์โมนในร่างกาย เข้าสู่เซลล์โดยจับกับหน่วยรับบนเซลล์ที่เดียวกัน แต่สารนี้เมื่อส่งสัญญาณให้เซลล์เจริญเติบโตนั้นมีเพียง 1 ใน 1,000 เท่านั้น ทำให้เซลล์เจริญเติบโตน้อยลง ลดการเจริญเติบโตของเนื้องอก และป้องกันการเกิดมะเร็งสำหรับผู้ชาย ช่วยลดการเกิดมะเร็งที่ระบบสืบพันธุ์ อีกทั้งยังเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยม เต้าหู้ ลดไขมันในเลือด ป้องกันมะเร็ง คนญึ่ปุ่นที่กินเต้าหู้เป็นอาหารหลักจึงมีผู้ที่อายุยืนมากที่สุด

ถั่วต่างๆ : ป้องกันโรคหัวใจ ลดไขมันในเลือด
ธัญพืช และข้าวต่างๆที่ยังไม่ขัดเม็ดขาว เพิ่มภูมิต้านทานโรค ป้องกันโรคหัวใจ และมะเร็ง ลดผิวมัน รับประทานธัญญาหารทุกเช้า ซึ่งอุดมด้วยวิตามินบี 2 ที่ช่วยหยุดยั้งการผลิตน้ำมันส่วนเกินของต่อมผลิตภายในร่างกายที่เป็นสาเหตุหนึ่งของเส้นผมบางและมัน

ข้าวสาลีและบักวีท : สารพฤกษเคมีประเภทสารโพลีฟีนอล ที่พบในจมูกข้าวสาลีและบักวีท (เมล็ดพืชชนิดหนึ่งมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม) ช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันที่อืดลงให้ทำงานดีขึ้น ทั้งยังเชื่ออีกว่าอาหารที่ให้สารอาหารหลักและพฤกษเคมี จะช่วยชะลอความเสื่อมของระบบภูมิคุ้มกันที่มากับวัย ช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นทั้งที่วัยมากขึ้น

ลินสีด : ช่วยลดอาการเจ็บตามข้อต่อ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า3 ที่ร่างกายใช้ในการสร้างฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติป้องกันอาการอักเสบ ลองเติมลงในน้ำปั่นหรือโรยหน้าสลัดดูก็ได้นะ








วิตามินต่างๆ

จากการค้นคว้าวิจัยในปัจจุบันพบว่า ร่างกายคนต้องการวิตามินเกลือแร่อาหารเสริมในขนาดสูงเพื่อการมีสุขภาพดีชะลอแก่ โดยเฉพาะเมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายจะสร้างสารที่จำเป็นได้น้อยลง กระเพาะดูดซึมได้น้อย
มีโรคภัยต่างๆ จากภาวะความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ร่างกายจึงต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้น วิตามินสำคัญที่ต้านอนุมูลอิสระและชะลอแก่คือวิตามินซี ,วิตามินอี , วิตามินเอ

วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ สังกะสี ซีลีเนียม ธาตุเหล็ก วิตามินเอ บี6 ซี อี และกรดโฟลิก จำเป็นต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน สารอาหารเหล่านี้เปรียบเสมือนคันบังคับลิ้นที่ควบคุมน้ำมันในเครื่องยนต์ ถ้าขาดสารอาหารเพียงตัวใดตัวหนึ่งไปแม้เพียงเล็กน้อยจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันรวนเรได้
สารอาหารหลักสำหรับระบบภูมิคุ้มกันมีดังนี้

วิตามินเอ : ช่วยผลิตเม็ดเลือดขาว สร้างเซลล์บุเนื้อเยื่อในระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบย่อย ซึ่งเซลล์เหล่านี้เป็นด่านแรกในการป้องกันการติดเชื้อ

วิตามินซี : เพิ่มการทำงานของเม็ดเลือดขาว วิตามินซีอาจช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของการเป็นหวัด แม้ไม่สามารถป้องกันหวัดได้แน่นอน แต่ก็ลดระดับสารอนุมูลอิสระและสารฮิสตามีน (histamine) ซึ่งทำให้เกิดอาการคัดแน่นจมูกได้

วิตามินอี : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันระบบภูมิคุ้มกันจากอนุมูลอิสระ และอาจช่วยสร้างเม็ดเลือดขาวในการป้องกันเชื้อแบคทีเรีย

ธาตุเหล็ก : เป็นองค์ประกอบสำคัญของเอ็นไซม์มากมายในร่างกาย ช่วยในการฆ่าเชื้อ หากขาดธาตุเหล็กจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อได้ง่าย

ซีลีเนียม : ช่วยสร้างแอนตี้บอดี และเอ็นไซม์ซึ่งป้องกันระบบภูมิคุ้มกัน แต่ถ้าเสริมมากเกินไป (4 เท่าของระดับที่แนะนำ) จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเสียได้

สังกะสี : จำเป็นต่อการทำงานที่ละเอียดอ่อนของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อต้านเชื้อไวรัส เชื้อรา พยาธิและเชื้อโรคอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ
วิตามินและแร่ธาตุรวม มีงานวิจัยรายงานว่าการเสริมเพียงวันละเม็ดโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการผ่าตัด จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และลดการเจ็บป่วย 17 วัน/ปี คำเตือนคือ ควรเสริมในระดับ 100% ของความต้องการประจำวัน

แคลเซี่ยม : จากการวิเคราะห์อาหารแห้งจากสัตว์น้ำของสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่ามีปริมาณแคลเซียมระหว่าง 130-1,200 มิลลิกรัมต่อ 1 ส่วน ของปริมาณอาหารที่บริโภค เช่น เช่นกุ้งแก้ว กุ้งฝอย กุ้งแห้ง ปลาซิว ปลาแห้ง ปลากรอบ ปลาป่นสำเร็จรูป การเติมแหล่งแคลเซี่ยมเหล่านี้ลงไปในตำรับอาหารไทย อย่างผัดพริกขิงหมู ยำวุ้นเส้น ยำถั่วพู น้ำพริกกุ้งสด น้ำพริกมะม่วง หลนเต้าเจี้ยว ผัดหมี่ชาวเหนือ และผัดเผ็ดหน่อเหรียงกับหมู ปริมาณแคลเซียมจะเพิ่มสูงขึ้น โดยไม่ทำลายความอร่อย ทั้งรสชาติและกลิ่นของอาหาร เมื่อเทียบกับตำรับอาหารดั้งเดิมก่อนการดัดแปลง


การเลือกหาวิตามินและอาหารเสริม ที่จะเหมาะสม ควรจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่น่าเชื่อถือในคุณภาพสินค้า และราคายุติธรรม และซื้อตามความจำเป็นของสภาวะของแต่ละคน และควรรับประทานเป็นประจำ



เรื่องของอาหารการกินที่ถูกต้อง เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่จะช่วยให้เรามีอายุยืนยาว นอกจากอาหารที่เลือกกินแล้ว วิธีการกินก็ต้อง กินอย่างถูกต้องอีกด้วย คอยติดตามอ่าน ตอนต่อไปนะครับ


TraveLArounD



ปล. ท่านที่เพิ่งเข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ค้นดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group : นานา สาระ๑๐๐๐ เพราะเรื่องต่างๆ เขียนไว้ กว่า 1430 เรื่องแล้ว

หมายเหตุ : ขณะได้มี website อื่นๆหลาย website ได้นำเอาเรื่องที่ผมเขียนไว้ ไปลงต่อในลักษณะของเนื้อหา โดยไม่ได้รับอนุญาตใดๆ ถ้าต้องการบทความใดไปใช้ ขอให้ติดต่อขออนุญาต ก่อนทาง Email : nana_sara1000@ymail.com มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายลิขสิทธิ์

ส่วนผู้ที่ต้องการนำเรื่องไปโพสต่อ เพื่อเผยแพร่ โดยมิใช่ทางการค้า ขอให้ติดต่อขออนุญาตให้ถูกต้องก่อนโพส

รวบรวมจาก
-เวปพลังจิต โดย : Ctrl xxx
//board.palungjit.com/showthread.php?t=104346
-ดาราเดลี่ , นสพ.ไทยรัฐ
-ผู้จัดการออนไลน์
//www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000007803


Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 18 มกราคม 2555 1:18:50 น. 2 comments
Counter : 4797 Pageviews.

 
ต้องปรับเปลี่ยนการทานแล้วละ อยากอยู่นานๆๆๆ
สวัสดีวันหยุดค่ะ


โดย: my_oom วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:18:11 น.  

 
น่าทานๆ ต้องไปหากินแล้ว งืมๆ


โดย: ครีมหวาน (PoPcream ) วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:47:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

travelaround
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [?]





ยินดีต้อนรับทุกท่านที่แวะเข้ามาชม blog มีข้อคิดเห็น เชิญ comment มาได้นะครับ ถ้าตอบได้ จะตอบให้ทันทีครับ แต่ถ้าไม่ทราบ ต้องขอเวลา จะค้นคว้ามาให้อ่านกัน ท่านที่จะถามคำถาม หรือติดต่อเรื่องบทความ ได้ทาง Email :- d_sign_place@yahoo.com ครับ


เรื่องต่างๆที่ผมได้เขียนหรือรวบรวม เรียบเรียงมานี้ ยินดีให้ทุกท่านได้อ่านเป็นวิทยาทานและเพื่อการศึกษา ถ้าจะนำไปโพสต่อใน website สาธารณะ หรือ website อื่นใดที่ไม่ใช่ทางพาณิชย์ กรุณาระบุที่มา คือ https://www.travelaround.bloggang.com และนามปากกาผู้เขียนคือ TraveLArounD ด้วย

แต่ขอสงวนสิทธิ์สำหรับการนำไปใช้ ในเชิงพาณิชย์ หรือโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง จะถูกดำเนินคดี ตามกฏหมายลิขสิทธิ์

ส่วนบทความหรือภาพถ่ายใดๆ ที่ได้นำมาจาก website อื่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเรื่องนั้นๆ เป็นการถ่ายทอดจากวิจารณญาณแล้วว่า มีความถูกต้องเป็นจริง มากที่สุด และได้นำมาจาก website ที่เป็นสาธารณะ ถ้าเรื่องราวหรือภาพของท่านที่ได้นำมาถ่ายทอดนี้ ไปละเมิดลิขสิทธิ์ของท่าน กรุณาแจ้งมาทาง email :– nana_sara1000@ymail.com ผมจะทำการลบข้อมูลหรือภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ออกทันที

Acknowledges that I try to write or report accurately but postings may contain fact , speculation or rumor. I find images from the Web that are believed to belong in the public domain. If any stories or images that appear on the site are in violation of copyright law, please email to :- nana_sara1000@ymail.com and I will remove the offending information as soon as possible.


Website counter
: Users Online









ที่ดินเชียงใหม่ ทางไปแม่ริม ใกล้ศาลากลาง และสนามกีฬา 700 ปี ติดน้ำปิง ในหมู่บ้านเพชรริมปิง พื้นที่ 667 ตารางวา @ 14,000.- บาท สภาพแวดล้อมดี สนใจติดต่อ โทร. 0859559950



DESIGN PLACE CO.,LTD. รับออกแบบ และตกแต่งภายใน บ้านพักอาศัย ในแบบไทย และไทยร่วมสมัย



มรดก ฉบับที่ 1

มรดก ฉบับที่ 2

มรดก ฉบับที่ 3

มรดก ฉบับที่ 4

มรดก ฉบับที่ 5

มรดก ฉบับที่ 6

มรดก ฉบับที่ 7

ช่วยสนับสนุนการจัดทำ BLOG ด้วยการซื้อหนังสือ "มรดก" 1ชุด 7เล่ม (หนังสือเก่า) ในราคาชุดละ 700 บาท (รวมค่าส่งทางไปรษณีย์)

สนใจสั่งซื้อทาง E-mail :- nana_sara1000@ymail.com



New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add travelaround's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.