ปรัชญาความรักประทับใจ











ปรัชญาความรักประทับใจ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว........
มีครูกับลูกศิษย์นั่ง
อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งใกล้กับสนามหญ้าอันกว้างใหญ่
ทันใดนั้น
ลูกศิษย์คนหนึ่งก้อถามขึ้นมาว่า

ลูกศิษย์ : อาจารย์คับ
ผมสงสัยจังเลยว่า
เราจะหาคู่แท้ของเราเจอได้ไงคับอาจารย์
บอกผม
หน่อยได้ไหมคับ ?

อาจารย์ : ( เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะตอบ)
อืม
มันเป็นคำถามที่ยากนะ
แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นคำถามที่ง่ายเหมือนกัน
นะ

ลูกศิษย์ :( นั่งคิดอย่างหนัก)
อืม ?.... งงอะไม่เข้าใจ

อาจารย์
: โอเค งั้น
เธอลองมองไปทางนั้นนะ ตรงนั้นน่ะ
มีหญ้าเยอะแยะเลยใช่
ไหม
เธอลองเดินไปหาหญ้าต้นที่สวยที่สุด
แล้วเด็ดมาให้ครูสิ
ต้นเดียวเท่านั้นนะ
แต่ว่าเวลาเธอเดินเนี่ยเธอต้องเดินไปข้างหน้าอย่าง
เดียวนะ
ห้ามเดินถอยหลัง เข้าใจไหม

ลูกศิษย์ :ได้เลยครับ จาน
รอสักครูน่ะครับ
( ว่าแล้วก้อวิ่งตรงไปยังสนามหญ้า)
หลังจากนั้นไม่
นาน....

ลูกศิษย์ : ผมกลับมาแล้วครับจาน

อาจารย์
:อืม...แต่ทำไมครูไม่เห็นต้นหญ้าสวย ๆ
ในมือเธอเลยหละ

ลูกศิษย์
: อ๋อ คืองี้ครับจาน
ตอนที่ผมเดินไปแล้วผมเจอต้นหญ้าสวยๆเนี่ย
ผม
ก้อก้อคิดว่า เออ เดี๋ยวก้อคงเจอต้นที่สวยกว่านี้
ดังนั้นผมก็เลยไม่
เด็ดมัน แล้วผมก็เดินไปเรื่อย
รู้ตัวอีกที
มันก็สุดสนามหญ้าแล้ว
ครับจะเดินกลับก้อไม่ได้
เพราะจานสั่งห้ามไว้

อาจารย์ :
นั่นแหละ
คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงหละ
เรื่องนี้ต้องการที่
จะสื่ออะไรกับเรา

ต้นหญ้า ก็คือ คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณ

ต้น
หญ้าที่สวยงาม ก็คือคนที่คุณชอบ
หรือคนที่ดึงดูดคุณนั่นแหละ

ทุ่ง
หญ้าก็คือ เวลา เวลาที่คุณจะหาคู่แท้ของคุณ

อย่ามัวแต่เปรียบเทียบ
แล้ว
คิดว่าคงจะมีที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าคุณ มัวแต่เปรียบเทียบ
คุณจะเสียเวลา
ไปโดยเปล่าประโยชน์

อย่าลืมว่า ' เวลาไม่เคยย้อนกลับ '

ไม่
ใช่แค่ความรักเท่านั้น
เรื่องนี้
ยังสามารถใช้ได้กับการหาคนที่จะมาทำงานร่วมกับคุณในชีวิต
หรือแม้
กระทั่งงานที่เหมาะสมกับคุณ

ดังนั้น
มันจึงเป็นสัจธรรมที่ว่า
จงรัก และไขว่คว้าโอกาสที่คุณมีในขณะนี้
อย่า
มัวแต่เสียเวลา
บางครั้งคนเราก็มีโอกาสเลือกแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
'






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 19:21:52 น.
Counter : 271 Pageviews.  

โกรธ เกลียด และรัก






































โกรธ เกลียด และรัก
...ในชีวิตเรา
มันคงต้องมีสักครั้งที่ถูกคนที่เรา "คิดว่ารัก" ทำให้เราเสียใจ

ไม่ว่าเรื่องจะเล็กจะใหญ่ก็ตาม
การที่ผิดหวังในความรักแล้วสำหรับคนที่ผิดหวังย่อมรู้สึกว่ามันใหญ่หลวงเสมอ

เมื่อรักมากก็แค้นมากไปเป็นของคู่กัน บางคนโกรธแค้นกันเป็นปีๆ
เสียใจเป็นปีๆ เสียเวลาไปกับความโกรธ

ความแค้นและความโมโห






















... ถ้าเราหันมามองและวิเคราะห์ดูแล้ว
จะเห็นว่าสิ่งที่เราโมโหนั้น
อันที่จริงมันเป็นกลไกป้องกันตัวอย่างนึงของเรานั่นเอง
เพราะ
ว่าเราไม่อยากที่จะยอมรับว่าเรามองคนผิดไป เรารักคนผิดคน
รักเค้าแต่ว่าเค้าก็ไม่ได้รักเราตอบ เท่ากับที่เราให้ความรักกับเค้าไป
ไม่มีใครหรอกที่อยากจะยอมรับว่าตัวเองนั้นพลาดไปเสียแล้ว


คำว่าพลาดในที่นี้ คือพลาดมองคนไม่ออก (ไม่ใช่ให้แปลว่าพลาดท่าเสียทีนะจ้ะ)
ใครละจะอยากยอมรับข้อบกพร่องของตน
สิ่งที่เราแสดงออกเพื่อเป็นการป้องกันตัวเราเอง
ก็คือการที่เราโกรธอีกฝ่ายนึง แค้นอีกฝ่ายนึง ซึ่งนั่นก็คือ
กลไกที่จิตใจของเราใช้เพื่อกันตัวเราไม่ให้เสียใจมากไปแค่นั้น
แทนที่เราจะว่าตัวเองให้มันเจ็บใจมากขึ้นไป defense mechanism
ของเราก็สั่งการให้เราพุ่งความสนใจไปที่อีกฝ่ายนึงก็แค่นั้นเอง
























...บางคน บอกกับตัวเองว่าเราไม่รักเขาแล้ว
เพราะว่าเขาทำให้เราเจ็บปวด
เราไม่สนใจเค้าแล้ว
ไม่รักเค้าแล้ว เราเหลือแต่ความโกรธ ความเกลียด
ไม่อยากเจอหน้ากันอีกต่อไป... ถ้าอยากจะบอกว่าคุณกำลังหลอกตัวเอง
เพราะว่าอันที่จริงแล้วคุณก็ยังคิดถึงเขาอยู่... คุณจะเชื่อไหม?
คุณอาจจะไม่เชื่อ และเผลอๆ ก็บอกว่าเอาอะไรมาพูด
เกลียดเค้าจะแย่แล้วไม่ได้รักสักหน่อย...

เอ้า!!! เชื่อไม่เชื่อลองอ่านดู


ความเกลียดกับความรัก
ทุกคนก็คงบอกว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกันเหมือนขั้วบวกและขั้วลบ
หรือเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกันได้ แต่ถ้ามองให้ดีๆ แล้ว

"ถ้าไม่มีความเกลียด ก็ย่อมไม่มีความรัก"

ถ้ามีความรักแล้ว...โอกาสที่จะเกลียดมันก็มี
ถ้าคุณอยากจะบอกว่าคุณไม่รักแล้ว ไม่ได้รู้สึกรักแล้วเหลือแค่ความเกลียด

ขอถามว่า... ถ้าคุณไม่รักและเค้าก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับคุณ
คุณจะไปเกลียดเค้าทำไมกัน คุณเกลียดเค้าไป เค้าก็ไม่ได้รับรู้อะไรด้วย
สิ่งที่คุณรับรู้ มันก็มีอยู่แค่ในใจคุณนั่นแหละ ยิ่งเกลียดมากเท่าไหร่
ก็แสดงว่าคุณยังรักเค้าอยู่มากเท่านั้น
























จำเอาไว้...
ว่าถ้าเมื่อใดที่คุณ
ไม่รู้สึกโกรธ หรือเกลียดอะไรกับคนที่เคยทำให้คุณเจ็บใจนั่นแหละ

ถึงจะบอกได้ว่าคนๆ นั้นไม่มีความสำคัญกับคุณแล้วจริงๆ







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 19:20:21 น.
Counter : 417 Pageviews.  

ถ้าไม่อยากเป็นคนน่าเบื่อ ฟังทางนี้...



























































...คนเราทุกคน
อาจรวมถึงตัวคุณเอง
ด้วยก็ได้นะคะ ชอบโวยวาย ว้ายกรี๊ดในทำนองว่า “ก็ผม
ก็ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา แล้วทำไมทั้งเพื่อน
ทั้งแฟนถึงได้ซิ่งหนีกันไปหมด?” “เอ๊ะ! เราก็ดีกับเขาสารพัดอย่าง
แต่ไหงมองเราเป็นนัยตัวแสบ ยัยตัวแสบ ก็ไม่รู้ซินะ?”


เอาเป็นว่า ถ้าเพื่อนๆ ของคุณนัดกันไปช้อปปิ้ง ดูหนัง ไปปิคนิค
หรือว่าไปเชียร์กีฬา ฯลฯ แล้วไม่บอก ไม่ชวนคุณไปด้วย
หรือว่าเขาคุยกันอยู่กิ๊วก๊าวระรื่นเชียว
พอคุณเข้าไปร่วมด้วยสักพักเดียวเลยกร่อยกันหมด หรือผู้ชายคนที่คุณรัก
ผู้หญิงคนที่คุณรัก เข้ามารักได้ไม่นานเท่าไร
พอรู้ว่าคุณเป็นยังไงเขาก็หายหัวไป


อย่างนี้ล่ะก็คุณต้องพิจารณาตัวเองแล้วละคะว่า ตัวคุณน่ะมี “โทษสมบัติ”
เหล่านี้บ้างหรือเปล่า









เคร่งเครียดซีเรียสจัด
ขอให้เชื่อ
เถอะว่าคนที่มีอารมณ์ขันสามารถทำให้คนอื่นหัวเราะไปได้น่ะ ใครๆ
ก็อยากเข้าวง แล้วคุณล่ะเคยเล่าเรื่องสนุกๆ
กุ๊กกิ๊กให้เพื่อนคิกคักบ้างหรือเปล่า
ก็ไม่ต้องถึงกับขำก๊ากเป็นตลกคาเฟ่หรอก
แค่ให้ยิ้มหัวกันได้ก็เป็นเสน่ห์แล้ว แต่ถ้าอยู่ในที่ทำงาน
คุณก็หน้าเครียดวางท่าเอางานเอาการซะเต็มประดา
พอเลิกงานคุณก็ยังวางหน้าอย่างนั้นอีก เฉยชามึนตึง
ไม่รู้ที่เล่นทีจริงใครทักก็พูดด้วยอย่างแกนๆ ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ ฯลฯ
ลองเป็นแบบนี้ก็ไม่นานหรอกใครๆ จะตีกรรเชียงออกห่างจากคุณ
เพราะหาความรื่นรมย์ไม่เจอเลยสักกระติ๊ด...เซ็งค่ะ









ขบกัดสะบัดเขี้ยว
มีนิสัยชอบจับผิด
คนอื่น แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ออกมาตรงๆ หรือเก็บเอาไปนินทาลับหลัง
ถึงแม้ว่าคุณจะรู้จริงแล้วอดวิจารณ์ออกมามาได้
หรือว่าวิจารณ์เพราะคุณขี้อิจฉามีปมด้อยให้ใครดีใครเด่นไม่ได้
ต้องหาเหตุมาตำหนิติเตียนจนได้ แน่ล่ะ!
คนที่ฟังคุณอยู่ก็ย่อมเอิ๊กอ๊ากสะอกสะใจไปด้วย
แต่แล้วพวกที่ฟังนั้นแหละจะค่อยๆ ขยาดปากคุณ ไม่อยากจะคบด้วย
เพราะเกรงว่าจะถูกคุณเก็บไปเป็นเหยื่อลับหลังไงคะ








ชอบจุ้นจ้านสั่งสอน (พบมากในเพศหญิง)
พวก
นี้น่าจะไปเป็นอาจารย์แนะแนว หรือคุมห้องปฎิบัติการซะให้รู้แล้วรู้รอด
เพราะไปที่ไหนก็อดไม่ได้ที่จะแนะนำสั่งสอนเช่น
ไปบ้านเพื่อนก็เล็งแลไปทั่วห้องรับแขก
แล้วก็แนะเชียวว่าม่านหน้าต่างไม่เหมาะยังไง โต๊ะรับแขกตั้งมุมนี้ไม่เหมาะ
ตู้โชว์ใบนั้นก็ไม่เข้ากับเครื่องลายครามที่อยู่ในตู้ ฯลฯ
ต้องยังงั้นยังงี้ถึงจะถูกต้อง บางทีแนะไปถึงเรื่องอาชีพของสามี ภรรยา
เพื่อน และการเรียนของลูกเพื่อนด้วยกันอีกแน่ะ
ว่าควรทำไอ้โน่นจะรวยเร็วกว่า หรือว่าเรียนไอ้นี่จะหางานทำง่ายกว่า
ชะดีชะร้ายกับสั่งสอนเพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า
เธอต้องอ้วนกว่านี้อีกนิดหรือผอมกว่านี้อีกสักหน่อย
ไม่งั้นฝาละมีเธอไปมีเมียน้อยแน่ๆ
เฮ้อ...อีแบบนี้ใครอยากจะเปิดประตูต้อนรับในคราวต่อไปอีกละคะ...ถามตรงๆ
เถอะ










ช่างติแถมขี้บ่น
นี่ก็เป็นคนอีก
ประเภทหนึ่ง ที่ทำลายเสน่ห์ของตัวเองให้เหือดหายไปได้อย่างชะงัดดีนัก
ซึ่งโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เพราะไม่มีใครเขาจ้างวานใช้เลยสักนิกเดียว
แต่เกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง “จิตไม่ว่าง” แถม “ผีเจาะปาก” มาให้พูด
คนประเภทนี้เห็นอะไรนิดหน่อยก็สามารถติได้เป็นคุ้งเป็นแคว
เรียกว่าอะไรผ่านเข้ามาในสายเป็นจับมาเป็นข้อติฉินได้หมด
จะมีมูลความจริงหรือเปล่า สมเหตุสมผลหรือไม่ ไม่สนใจ
ขอให้ได้ติได้ประเมินค่าในขั้นต่ำหรือในแง่ลบไว้ก่อนเป็นพอใจ


อีกพวกหนึ่งเป็นพวกที่ไม่ติอะไรตรงๆ หรือรุนแรง แต่ชอบบ่น
บ่นได้สารพัดเรื่อง ขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง ฝนตกก็บ่นหยุดก็บ่นอีก เช่น
เดินเข้าไปในกลุ่มเพื่อนๆ ที่เขากำลังคุยกันเพลินๆ
เรื่องอะไรอยู่ก็ไม่สนใจแล้วเปิดปากบ่นเรื่องรถติดทำให้มาช้าเป็นวรรคเป็น
เวร แล้วก็บ่นต่อเรื่องแอร์ในห้องทำไมไม่ค่อยเย็น... โอ๊ย!
สารพัดจะหยิบยกขึ้นมาบ่น แล้วเพื่อนหน้าไหนล่ะคะจะทนฟัง
คนอย่างนี้แหละที่เพื่อนจะหายหน้าไปทีละคนสองคนจนหมดเพื่อน








ไม่เห็นความสำคัญของใคร
คติเก่าๆ
ที่ยังขลังอยู่เสมอคือ ถ้าอยากให้เขารักคุณ คุณก็ต้องรักเขาก่อน
เป็นจิตวิทยาขั้นพื้นฐานเลยทีเดียว...หากคุณต้องการเป็นที่รักของใคร
คุณก็ต้องรู้จักเป็นผู้ฟังที่ดีในขณะที่เขาพูด
แสดงความสนใจในสิ่งที่เขาพูดเล่า ถ้าเสริมคำถามที่เหมาะเจาะได้ด้วยยิ่งดี
แต่ถ้าขณะที่เขาพูดอยู่นั่นคุณทำเป็นเมินเฉย
ไม่ใส่ใจที่จะฟังหรือเมินมองไปทางอื่น
ทำเหมือนกับว่าที่เขาพูดอยู่นั้นเป็นเสียงนกแก้วนกขุนทองไม่เห็นจะน่าสนใจ
เลย ถ้าคุณยังทำอย่างนี้กับหลายๆ คน
อีกหน่อยคุณก็จะกลายเป็นคนที่ถูกเมินเหมือนกัน
ในเมื่อคุณไม่เห็นความสำคัญของคนอื่นได้
คนอื่นเขาก็คิดและทำอย่างคุณเป็นเหมือนกัน...เกลือจิ้มเกลือว่างั้นเถอะ











อะไรๆ ก็รู้ไปหมด
ความรอบรู้ของคน
เราน่ะพอจะแบ่งออกเป็นได้ 2 ประการ

คือ “รู้เรื่องชาวบ้าน” (พบมากในเพศหญิง) ใครทำอะไร ที่ไหน
เมื่อไหร่โดยเฉพาะเรื่องไม่ดีไม่งาม คุณทำเป็นรู้หมด
แถมยังทำตัวเป็นหอกระจายข่าวเอาไปนินทาโพนทะนาให้คนอื่นๆ รู้ต่ออีกด้วย
ซึ่งใครๆ ก็อยากฟังเพราะเรื่องพรรค์นี้อร่อยรูหู แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว
พวกที่ฟังคุณอยู่นั้นก็ชักไม่ไว้วางใจคุณ ไม่อยากจะคบด้วย
ถ้าต้องคบก็คบอย่างผิวเผินเพราะเกรงว่าถ้าสนิทมากๆ
แล้วคุณจะเอาความไม่ดีของเขาไปแฉโพยในวงอื่น


ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ “รู้เรื่องเนื้อหาสาระทั่วไป” (พบมากในเพศชาย) เช่น
ข่าวสารบ้านเมือง เรื่องศิลปะบังเทิง กีฬา แฟชั่น ดูโหงวเฮ้งก็ได้
ดูลายมือก็เป็น ฯลฯ ครอบจักรวาลไปหมดจนกลายเป็นสารานุกรมเคลื่อนที่
ถามอะไรตอบได้หมด ซึ่งก็น่าภาคภูมิใจไม่น้อยที่มีภูมิรู้
แต่บางทีการแกล้งไม่รู้ซะบ้างจะทำให้คุณมีเสน่ห์มากขึ้น ไม่ใช่พอใครๆ
พูดอะไรขึ้นมาคุณก็แจงเพิ่มแบบว่ารู้จริงรู้สึกมากกว่า
หรือใครพูดอะไรคลาดเคลื่อนนิดๆ หน่อยๆ
คุณก็ไม่ยอมปล่อยไปแต่กลับหักล้างแก้ไขทันควันโดยไม่เห็นแก่หน้าใครเลย
...ระวังเถอะสักวันหนึ่ง

จะไม่เหลือใครนั่งฟังความรู้ของคุณเลยสักคน แล้วจะเหงาปาก
เว้นเสียแต่คุณจะเปลี่ยนอาชีพไปเป็นครูบาอาจารย์ก็แล้วไป










ถือตัวเองเป็นใหญ่ (พบมากในเพศชาย)
ถ้า
คุณคาดหวังจะให้ทุกคนเออออห่อหมกไปกับคุณทุกอย่าง
เห็นพ้องด้วยกับคุณทุกประเด็นที่คุณเสนอ
หรือชี้แนะหรือนิยมชมชอบในสิ่งเดียวกับคุณ ฯลฯ
นั้นถือได้ว่าคุณคาดหวังมากเกินไปแล้ว เพราะแต่ละคนก็มีสติปัญญา
มีความคิดความเชื่อ และรสนิยมเป็นของตัวเอง พอไม่ได้ดังใจคุณก็โกรธเขา
โดยไม่ยอมเปิดใจให้กว้างฟังเหตุผลของคนอื่นๆ
ถ้าคุณยังถืออัตตาธิปไตยเหนือประชาธิปไตยอย่างนี้ละก็ต่อไปคุณก็ได้อยู่คน
เดียวสมใจ เพราะไม่มีใครยอมให้คุณจูงจมูกหรอก
หากว่าเขาไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรบางอย่างจากคุณ
ที่มันคุ้มกับการแกล้งโง่!










มองโลกในแง่ร้าย
อันที่จริงคนที่
มองโลกหรือมองคนอื่นในแง่ร้ายไว้ก่อนนั้น
พอจะกล้อมแกล้มอ้างได้ว่าเป็นคนถี่ถ้วนรอบคอบไม่ประมาณ
เป็นการกันไว้ดีกว่าแก้ นั้นก็ไม่ว่ากัน
แต่ถ้าคุณเห็นอะไรเลวร้ายน่าหวาดระแวง ขวางหูขวางตาหรือไม่น่าไว้วางใจไปหมด
เช่น เพื่อนจริงใจด้วยคุณก็หาว่าเขาเสแสร้งแกล้งทำ
เพื่อนเก่าแวะมาเยี่ยมก็วิตกร้อนรุ่มว่าเขาจะมายืมเงินหรือเปล่า
อะไรทำนองนี้ จะทำให้คุณขาดเพื่อนลงไปเรื่อยๆ
เพราะคุณเห็นใครก็ระแวงไปหมดจนไม่อยากคบใคร ถ้าเป็นอย่างนี้ล่ะก็
ตัวคุณเองนั้นแหละจะเสียทั้งเพื่อนและเสียทั้งสุขภาพจิต
ลองหัดมองโลกและคนอื่นในแง่ดีบ้าง
ถึงแม้พวกเขาจะมีส่วนไม่ดีอยู่บ้างก็ควรอภัยซะ โดยถือคติที่ว่า
ไม่มีใครดีพร้อม
แม้แต่ตัวเราเองถ้าทำได้อย่างนี้คุณก็จะเป็นคนน่าคบในหมู่เพื่อน
และคุณเองก็จะคบคนได้ง่ายมากขึ้นด้วย










โอเว่อร์เกินไป
จะว่าไปก็เหมือน
พวกที่ไม่รู้จักทางสายกลาง หรือไม่รู้จักกาลเทศะนั้นแหละ
คือชอบทำอะไรที่มันเกินพอดี...แต่ตัวหรูเริ่ดไปซะทุกงาน อวดเก่ง
อวดรู้จนน่าหมั่นไส้ พูดมาก หัวเราะมาก ร้องไห้มากจนน่ารำคาญ
เพราะไม่สมเหตุผล เสแสร้งประจบสอพลอจนจับได้ ชวนให้เอียน
บ้างก็บ้าอำนาจหลงตัวเอง ยกตนข่มท่าน
หรือชอบแนะชอบสอนจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ฯลฯ
แล้วจะโทษใครถ้าต้องถูกปล่อยเกาะ










เพียงเท่านี้ั ก็คงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
เพียงพอแล้วนะคะ ว่าทำไมบางคนจึงมีเพื่อนน้อยลงเรื่อยๆ
ลอง
สำรวจตัวเองนะคะ ถ้ามีข้อหนึ่งข้อใดหรือหลายข้ออยู่ในพฤติกรรมของคุณละก็
เปลี่ยนเสียเถอะค่ะ
แล้วคุณจะกลายเป็นที่รักของใครต่อใครเพิ่มมากขึ้นอย่างนึกไม่ถึงทีเดียว...






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 18:56:31 น.
Counter : 268 Pageviews.  

โชคชะตากับความรัก











































ทำไมคนเราต้องมีความรัก...
....ก็เพราะว่าเราทุกคนล้วน
มีหัวใจ

ทำไมคนเราจึงต้องโหยหาความรักอยู่ตลอดเวลา...
....ก็
เพราะเราต้องการใครสักคนมาช่วยเราดูแลหัวใจของเรา

ทำไมคนเราถึงไม่
เคยพอกับความรัก...
....ก็เพราะว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อรักใครคนเดียว

ทำไม
คนบางคนถึงไม่เคยพบกับความรักสักที...
....ก็เพราะว่าเขาไม่เคยเปิดใจ
ตัวเองให้ใคร

ทำไมคนบางคนไม่เคยเปิดใจตัวเองให้ใคร...
....ก็
เพราะว่าเขาอาจจะกำลังรอใครสักคนอยู่

ทำไมคนบางคนถึงต้องอกหักอยู่
บ่อย...
....ก็เพราะว่าเขาปล่อยใจตัวเองตกหลุมรักอยู่ตลอดเวลา

ไม่
ต้องเสียใจที่เขาไม่รักเรา...
....เพราะเราและเขาอาจจะไม่ได้เกิดมา
เพื่อรักกัน

ทำไมคนบางคนไม่เคยสมหวังกับความรัก...
....ก็เพราะ
ว่าเขาอาจจะยังไม่เจอคู่แท้ของเขา

ทำไมคนบางคนยังไม่พบคู่แท้ของ
เขา...
....ก็เพราะว่าเขาอาจจะไม่เคยตามหาเลยก็ได้

ทำไมเราควร
จะทำตัวเราให้ดูดีอยู่ตลอดเวลา...
....ก็เพราะว่าเราไม่รู้ว่าจะได้เจอ
คนที่ถูกใจเมื่อไร

ไม่ต้องเสียใจที่เรายังไม่เจอคนที่เรารัก...
....เพราะ
ว่าเมื่อเราเจอเขาคนนั้นเมื่อไร
เราจะรู้ว่ามันคุ้มค่ามากแค่ไหนกับเวลา
ที่เรารอคอย

จงทะนุถนอมหัวใจของเราไว้ให้ดี...
....เพราะว่า
เมื่อเราเจอคนที่ใช่ จะได้มอบมันให้เขาด้วยความภูมิใจ

อย่าปล่อยให้
โชคชะตาลิขิตชีวิตเราทั้งหมด...
....แต่จงใช้มันเป็นเครื่องนำทางในการ
ดำเนินชีวิต

โชคชะตาสามารถทำให้เราพบคนที่ถูกใจ...
....แต่
ตัวเราเองเท่านั้นที่สามารถทำให้เขาคนนั้นรักเราได้







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 18:49:58 น.
Counter : 313 Pageviews.  

คู่รัก คู่ชีวิต















































พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักแบบคู่รัก คู่ชีวิต
จะเกิดขึ้นไม่ได้
ถ้าหากปราศจากเหตุปัจจัยทั้งอดีตและ
ปัจจุบันประกอบกัน ดังนี้















1. มีศรัทธาไปในแนวทางเดียวกัน
เช่น
ถือศาสดาองค์เดียวกัน

เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบากด้วยกัน

เชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบนเหมือนๆ กัน

เชื่อแนวทางในการดำรงชีวิตรูปแบบเดียวกัน เป็นต้น

เมื่อศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน
เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน
เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็เบื่อกันเร็ว
อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม

ไม่จำเพาะเฉพาะคู่รักเท่านั้น
ขนาดเพื่อนกันแต่เชื่อไม่เหมือนกันยังยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทเลย
ศรัทธาที่ร่วมกันปลูกฝังให้มั่นคง
ย่อมทำหน้าที่สร้างสายตาที่มองไปในทิศเดียวกัน
ไม่ก่อความรู้สึกเป็นอื่นจากกัน








2. มีศีลอันเป็นเครื่องหอมทางใจเสมอกัน
คือ
มีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน
เป็นเหตุให้ไม่รังเกียจหรือหมั่นไส้กัน
พรานหนุ่มกับพรานสาวทนกลิ่นอายฆ่าฟันของกันและกันได้
แต่ให้หมอศัลย์ที่มีรังสีช่วยชีวิตมาเป็นคู่ผัวตัวเมียกับมือปืนร้อยศพที
ทะมึนด้วยรังสีเอาชีวิต
อย่างไรก็คงทนกลิ่นอายที่เป็นตรงข้ามของกันและกันไม่ไหว

และนั่นก็เช่นเดียวกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งเจ้าชู้ ร้อยลิ้นกะลาวน
สำส่อนไปเรื่อยโดยไม่สนใจความสกปรกหมกมุ่น
ย่อมน่ารังเกียจยิ่งสำหรับคนใจซื่อถือความสะอาดผัวเดียวเมียเดียว
ศีลที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้วย่อมทำหน้าที่สร้างความอบอุ่นเชื่อมั่น
ในกันและกัน สนิทใจ ไว้วางใจกันเป็นมั่นเหมาะ









3. มีจาคะอันเป็นวิธีคิดแบ่งปันเสมอกัน
อย่าง
น้อยต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง
ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่งคิดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด เช่น
อีกฝ่ายสละเงินให้ใช้ อีกฝ่ายสละแรงปรนนิบัติ เป็นต้น
การเอารัดเอาเปรียบเกิดจากจาคะที่ไม่เสมอกันเป็นมูล
ยิ่งหากต่างฝ่ายต่างคิดเจือจานคนอื่น
เห็นข้าวของอะไรไม่ใช้แล้วก็คิดตรงกันว่าน่าบริจาคแก่คนที่เขาไม่มี
อย่างนี้ยิ่งไปกันได้ มีโอกาสร่วมบุญกันบ่อยๆ
ยิ่งให้คนอื่นมากก็ยิ่งได้ความสุขในการสละมาเสริมใยแก้วร้อยสัมพันธ์ให้กัน
แน่นแฟ้นขึ้น
จาคะที่ร่วมกันยินดีโดยพร้อมเพรียงย่อมก่อความรู้สึกซึ้งใจอย่างใหญ่
เหมือนอยู่ด้วยกันจะเป็นที่พึ่งให้กัน ปลอดภัยร่วมกัน ประคับประคองกัน
ไม่มีวันล้มพร้อมกัน









4. มีปัญญาเสมอกัน
กล่าวทางโลก
คือ คุยกันรู้เรื่อง

กล่าวทางธรรม คือ
มีระดับการเห็นตามจริงใกล้เคียงกันหรืออย่างน้อยเป็นไปในทางเดียวกัน
ไม่ใช่พูดคนละภาษา ฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ

หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา

หรือฝ่ายหนึ่งเห็นชัดว่าอะไรๆ ไม่เที่ยง ความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย
แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อยก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต
ก็คงนึกระอาหรือหมั่นไส้ในกันเป็นอย่างยิ่ง
ปัญญาที่ร่วมเสริมส่งกันและกันย่อมทำหน้าที่สร้างความร่าเริงในการสนทนา
และความไม่พรั่นที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน


ขอบคุณที่มา:ธรรมะกับความรัก







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 18:48:47 น.
Counter : 253 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.