The Science of Love ความลับของความรัก


 
นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยจำนวนไม่น้อยต่างพยายามค้นคว้าหาคำอธิบายปราก
ฎการณ์สามัญที่เรียกว่า “ความรัก” โดยเฉพาะความรักแบบหนุ่มสาว
และผลงานคิดค้นซึ่งเป็นที่ยอมรับมากที่สุดเห็นจะเป็นของ
ศาสตร์ตราจารย์เฮเลน ฟิชเชอร์ นักมนุษยวิทยาชีวภาพ แห่งมหาวิทยาลัยรัทเกอร์
รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา
    จากการค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง
ศาสตราจารย์ฟิชเชอร์ ได้สรุปว่า ความรู้สึกที่เรียกว่า “ความรัก”
แบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ คือ หลง รัก และผูกพัน แต่ก่อนที่จะทำความรู้จักกับ
3 ลำดับขั้นของความรัก
คุณควรจะรู้จักกับสารเคมีตัวหนึ่งที่ดึงดูดมนุษย์ทุกผู้ทุกคนให้เข้าสู่
วังวนแห่งรัก และสารเคมีที่ว่านั้นก็คือ ฟีโรโมน (pheromones)
   
ฟีโรโมนมีอิทธิพลต่อเราอย่างไรนั้น ลองนึกง่ายๆ
ว่าในแต่ละวันเราต้องเจอกับผู้คนมากมาย
ทำไมเราไม่ตกหลุมรักชายหนุ่มสุดเซอร์ที่เจอเมื่อวานนี้
หรือทำไมเราถึงไม่เดินเข้าไปจีบสาวเจ้าสเน่ห์ที่สวนทางกันในลิฟท์ ฯลฯ
คำตอบง่ายๆ ก็เพราะฟีโรโมนไม่ตรงกันจึงไม่เกิดอาการปิ๊งนั่นเอง 
   
ฟีโรโมน หรือกลิ่นเรียกรัก เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล เหมือนกับลายมือ
แต่ฟีโรโมนเป็นกลิ่นที่ไม่มีกลิ่น
คือไม่สามารถสัมผัสได้โดยการสูดดมทางจมูก
ผู้ที่มีฟีโรโมนตรงกับเราเท่านั้นที่จะรับกลิ่นนี้ได้
ผ่านทางอวัยวะรับสัมผัสในสมองที่เรียกว่า olfactory
   
นอกจากมนุษย์แล้วสิ่งมีชีวิตที่มีฟีโรโมน คือ สัตว์บก
โดยฟีโรโมนของสัตว์เหล่านี้จะค่อยๆ ระเหยมาจากต่อมอะโปไครน์ (apocrine
gland) ที่อยู่บริเวณรักแร้และอวัยวะเพศ
ช่วงไข่ตกจะเป็นเวลาที่สัตว์เพศเมียมีปริมาณฟีโรโมนมากที่สุด
หากสังเกตจะพบว่าสัตว์เหล่านี้มักไปยืนเหนือลม
เพื่อล่อให้ตัวผู้ตามกลิ่นมาจนเกิดการผสมพันธุ์ ส่วนในมนุษย์นั้น
บางประเทศจะมีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ ที่ผู้หญิงไม่นิยมโกนขนรักแร้
โดยมีจุดประสงค์เพื่อเก็บกลิ่นฟีโรโมนไว้นานๆนั่นเอง


บันได 3 ขั้นของความรัก
หลง (Lust) ปฐมบทแห่งรักที่ถูกขับเคลื่อนโดยฮอร์โมนเพศ
คือเอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน
โดยทั่วไปมนุษย์ทั้งเพศหญิงและเพศชายล้วนมีฮอร์โมนทั้ง 2
ชนิดนี้อยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ
ผู้หญิงจะมีปริมาณอีสโตรเจนมากกว่าเทสโทสเตอโรน
ส่วนผู้ชายจะมีปริมาณเทสโทสเตอโรนมากกว่าเอสโตรเจน
เมื่อผู้หญิงได้รับความรัก ความเอาใจใส่จากผู้ชายที่เธอถูกใจ
ปริมาณเอสโตรเจนในร่างกายของผู้หญิงจะค่อยๆ ลดระดับลง
เหลือเพียงเทสโทสเตอโรน ส่วน ผู้ชายที่มีความสุขกับคนที่เขารัก
ปริมาณเทสโทสเตอโรนจะค่อยๆ ลดลงจนเหลือแต่เอสโตรเจน
และปริมาณฮอร์โมนที่ไม่สัมพันธ์กันนี้เองที่ทำให้เกิดความรักขั้นแรก
ที่เรียกว่า “ความหลง”  ความรักระดับนี้ทำให้รู้สึกใจเต้นตึกตัก มือไม้สั่น
เขินอายเมื่อเจอคนรัก


รัก (Attraction) ขั้นที่ 2 ของความรัก
เป็นช่วงที่โลกทั้งใบกลายเป็นสีชมพู ดังคำกล่าวว่าความรักทำให้คนตาบอด
ความรักในขั้นนี้เกิดจากการทำงานของสารสื่อประสาท 3 ตัว ได้แก่ อะดรีนาลีน
โดปามีนและเซโรโทนิน
    อะดรีนาลีน ทำให้คุณตื่นเต้น หัวใจเต้นแรง
แม้เพียงนึกถึงคนรัก
    โดปามีนและเซโรโทนิน
สารแห่งความสุขที่ถูกผลิตจากต่อมพิทูอิตารีและต่อมไพเนียลที่อยู่ในสมอง
เมื่อมีความรัก สารทั้งสองตัวนี้จะผสานพลังกระตุ้นความปรารถนา
ทำให้คุณนอนไม่หลับ ไม่อยากอาหาร รู้สึกกระชุ่มกระชวยตลอดเวลา
ราวกับได้รับสารเสพติด ซึ่งเป็นผลมาจากสารประกอบที่เรียกว่า PEA
(phenylethylamine) ที่พบในสารแห่งความสุขทั้งสองชนิดนั้นเอง
นอกจากนี้เรายังพบ PEA ได้ในช็อกโกแลตและสตรอเบอร์รี่อีกด้วย


ผูกพัน (Attachment) ขั้นสูงสุดของความรัก
ความผูกพันคือสายใยเชื่อมคนสองคนไว้ด้วยกัน
เป็นความรู้สึกรักที่ถูกพัฒนาโดยวันเวลา
สารเคมีสำคัญในสมองที่ออกฤทธิ์ในขั้นนี้ ได้แก่ ออกซิโทซิน (oxytosin)
และวาโซเพรสซิน (vasopressin)
    ออกซิโทซิน หรือสารแห่งความผูกพัน
(cuddling chemical)
จะถูกหลั่งออกมาจากต่อมใต้สมองส่วนหลังเพื่อโยงใยความรักให้แน่นแฟ้น
ตามปกติ
ออกซิโทซินจะหลั่งออกมาอัติโนมัติเมื่อถึงจุดสุดยอดและภายหลังการคลอดบุตร
เพื่อกระตุ้นให้เต้านมคัดและพร้อมให้น้ำนมไหลออกมาเป็นอาหารมื้อแรกแก่ทารก
น้อย และในขณะที่ออกซิโทซินหลั่ง ผู้เป็นแม่จะบังเกิดความรัก
ตื้นตันและผูกพันกับทารกอันเป็นกลไกตามธรรมชาติ  
   
นักวิทยาศาสตร์เคยทดลองฉีดออกซิโทซินสังเคราะห์ให้แก่สตรีที่หมดความต้องการ
ทางเพศ  และพบว่าภายหลังที่สารตัวนี้ออกฤทธิ์
ผู้หญิงในกลุ่มทดลองดังกล่าวกลับมามีความรักกับผู้ชายได้อีกครั้ง
และพร้อมที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งอีกด้วย
    ส่วนวาโซเพรสซิน
ซึ่งตามปกติแล้วจะทำหน้าที่ควบคุมความกระหาย
ก็เป็นอีกหนึ่งสารสำคัญที่ช่วยยึดโยงความผูกพันให้มั่นคง
ในกระบวนการของความรัก สารนี้จะถูกหลั่งออกมาภายหลังมีเพศสัมพันธ์
   
และนี่คือ “ความรัก” ในแง่มุมของวิทยาศาสตร์
ที่อธิบายผ่านทางกลไกการทำงานของสมอง แต่เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม
ความรักของมนุษย์จึงซับซ้อนและเกินขอบคำจำกัดความทางด้านกายภาพ
การจะเข้าใจความรักอย่างลึกซึ้งได้จึงต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์เข้ามา
เป็นตัวช่วย


ศาสตร์และศิลป์ของความรัก
   
คุณผู้หญิงทั้งหลายเคยสงสัยไหมคะว่าทำไมผู้ชายถึงต้องเจ้าชู้  คำตอบ คือ
ธรรมชาติ เพราะในเกมความรักแล้ว ธรรมชาติสร้างสิ่งมีชีวิตออกมา 2 รูปแบบ
คือ แบบมีคู่ครองคนเดียว (monogamy) และแบบมีคู่ครองหลายคน (polygamy) กว่า
90 เปอร์เซ็นต์ของสัตว์ปีกดำรงชีพแบบมีคู่ครองเดียว เช่น นกเงือก
ส่วนในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั้นมีเพียง 3-5
เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ดำรงชีพแบบผัวเดียวเมียเดียว เช่น หนูนา
หรือตัวบีเวอร์
และโชคไม่ดีนักที่ธรรมชาติกำหนดให้มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงชีพแบบมีคู่
ครองได้หลายคน โดยเฉพาะมนุษย์เพศชาย
   
แต่ทุกสิ่งย่อมมีเหตุผลในตัวของมัน
สาเหตุที่ผู้ชายมีคู่ครองได้หลายคนก็เพราะผู้ชายมีอายุสั้น
แม้จะมีพละกำลังมากแต่ก็ไม่อดทน ต่างกับผู้หญิงที่อายุยืน
แม้จะอ่อนแอแต่ก็มีความอดทนสูง
เพราะเหตุนี้หน้าที่ของผู้ชายตามธรรมชาติจึงเป็นการสืบพันธุ์
ตรรกะนี้เห็นได้ชัดเจนในสัตว์โลกชนิดอื่นๆ นอกเหนือจากมนุษย์ 
ที่ตัวผู้มักจะมีรูปร่างหน้าตาสวยงามดึงดูดใจ
เพื่อล่อให้เพศเมียเข้ามาผสมพันธุ์
เรียกได้ว่าตัวผู้เพียงหนึ่งตัวแต่รายล้อมด้วยตัวเมียเป็นฝูง
ไม่ว่าจะเป็นเสือ สิงโต นกยูงหรือกวาง เป็นต้น
นอกจากนี้ธรรมชาติยังให้บทเรียนแก่ผู้ชายว่าหากหลั่งสเปิร์มแล้วจะมีความสุข
การได้ปลดปล่อยเทสโทสเตอโรนจะก่อให้เกิดความรัก
ผู้ชายจึงไม่มีทางหยุดสัญชาตญาณนี้ได้แม้จะมีอายุมากแล้วก็ตาม








Free TextEditor







































































































Create Date : 17 พฤษภาคม 2553
Last Update : 17 พฤษภาคม 2553 12:21:29 น. 1 comments
Counter : 455 Pageviews.

 


โดย: thanitsita วันที่: 19 พฤษภาคม 2553 เวลา:18:35:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.