แผลเป็นก็หายได้


ถ้าพูดถึง "แผลเป็น" หลายคนคงส่ายหน้าแล้วร้องยี้ เพราะไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับส่วนใดของร่างกาย สิ่งนี้ก็จะสร้าง ความด่างพร้อยให้ทั้งกายและใจ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า เจ้ารอยแผลเป็นก็สามารถหายหรือจางลงได้ ถ้าเรารู้จักกับวิธีรับมือ

แผลเป็นคืออะไร

         แผลเป็นคือ ร่องรอยที่เหลืออยู่จากการหายของแผล ซึ่งเป็นขบวนการซ่อมแซมที่สำคัญอย่างหนึ่งของร่างกายตามธรรมชาติ แผลเป็นเหล่านี้อาจเกิดจากอุบัติเหตุ โรคบางชนิด เช่น สิว อีสุกอีใส หรือแผลจากการผ่าตัด โดยธรรมชาติแล้วแผลที่มีขนาดใหญ่และใช้เวลานานในการหาย โอกาสที่จะเป็นแผลก็มีมากขึ้น โดยทั่วไปแล้วแผลเป็นจะเห็นชัดในระยะแรกและค่อย ๆ จางลง โดยใช้ระยะเวลานานเป็นเดือนหรือปี ซึ่งการที่แผลเป็นจะเห็นได้ชัดหรือไม่ก็อาจขึ้นอยู่กับสีผิว ความเรียบ ความลึก ความยาว และความกว้างของแผลเป็นนั้น ๆ ในคนที่อายุน้อยการซ่อมแซมมักจะดีกว่า ทำให้แผลเป็นที่เกิดขึ้นชัดเจนกว่าแผลเป็นในคนอายุมาก

สาเหตุของแผลเป็นที่พบบ่อย

           1. หลังผ่าตัดต่าง ๆ
           2. หลังการปลูกฝี ฉีดวัคซีน
           3. หลังการเกิดสิวอักเสบ เช่น อก ไหล่ หลัง
           4. หลังการเจาะรูหู
           5. หลังจากการเกิดอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม มีดบาด
           6. แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
           7. แผลจากรอยสัก

วิธีรักษา

 การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าที่แผลเป็น เพื่อให้แผลเป็นยุบลง โดยจะต้องฉีดหลายครั้ง ครั้งละประมาณ 0.5 – 1 cc ห่างกันประมาณเดือนละ 1 ครั้ง จนกว่าแผลจะแบนราบ ซึ่งใช้เวลาไม่เท่ากันในแต่ละแผลเป็น ถ้าแผลเป็นมีขนาดใหญ่ก็ต้องใช้เวลา เพื่อกำจัดริ้วรอยแผลเป็น ดังนั้นต้องอดทน

การผ่าตัด และการฉายแสง ซึ่งวิธีนี้จะเหมาะกับแผลที่มีความกว้างไม่มากนักพอเย็บได้

การขัดหน้า เทคนิคนี้ใช้ได้ผลดีกับแผลเป็นจากสิว แผลเป็นจากอีสุกอีใส แผลเป็นจากรอยผ่าตัด กระชนิดลึก และรอยเหี่ยวย่น แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงจากการ ขัดหน้าคือ บริเวณที่ทำอาจดำและแดงได้เล็กน้อย ส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 3 เดือน ผู้ได้รับการรักษาต้องพยายามเลี่ยงแสงแดดเป็นเวลา 3-6 เดือน

การฉีดคอลลาเจน เหมาะสำหรับแผลเป็นที่มานานและรักษาโดยวิธีอื่นแล้วไม่ค่อยได้ผลข้างเคียง คือผู้ป่วยอาจแพ้ได้ และผู้ป่วยต้องมาฉีดทุก 6-12 เดือน เนื่องจากคอลลาเจนที่ฉีดเข้าไปจะสลายได้

การปิดด้วยแผ่นซิลิโคนเจลแผ่น (Silicone gel sheet) สำหรับปิดที่แผลเป็นแบบปูดนูนมีข้อดี คือ ไม่ต้องการการดูแลอะไรมากมายและไม่เจ็บอะไร แต่ผลยังไม่แน่นอนนัก แต่ข้อเสีย คือ ราคาแพง และในบางตำแหน่งก็ใช้ค่อนข้างยาก เช่น ที่ใบหน้า เป็นต้น

เจลลดรอยแผลเป็น ซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญจากสมุนไพรธรรมชาติ มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการสร้างคอลลาเจนที่มากผิดปกติจนทำให้เกิดรอยแผลเป็นนูน รวมทั้งยังลดการอักเสบการบวมแดงของเนื้อเยื่อแผลเป็นช่วยให้แผลเป็นนุ่มแล้วเรียบขึ้น

สำหรับวิธีแบบบ้าน ๆ ด้วยการใช้สมุนไพรก็สามารถใช้ใบบัวบก ซึ่งประกอบด้วยสารเอเซียติโคไซด์ กรดเอเซียติก และกรดแมดิแคสซิค หรือสารแมดิแคสซอลที่มีฤทธิ์ในการช่วยสมานแผล เร่งการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายเร็ว โดยให้นำใบสดมาต้มกับน้ำดื่มแก้ช้ำในและกระหายน้ำ ส่วนการใช้ยาภายนอก ให้ใช้ใบสด 1 กำมือ มาล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดแล้วคั้นเอาแต่น้ำทาบริเวณแผล ก็จะทำให้แผลหายสนิทและลดการเป็นแผลเป็นชนิดรอยนูน


ที่มา ... E-magazine , thaiza




Free TextEditor



Create Date : 12 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2554 8:13:22 น.
Counter : 555 Pageviews.

0 comment
สะดวก ผ่อนแรง ใช้โซเชียลมีเดียกับงานแต่ง






เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

เดี๋ยวนี้อะไร ๆ ก็ถูกทำให้ง่ายขึ้น ด้วยเครือข่ายออนไลน์และโปรแกรมอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้การทำงานหลาย ๆ อย่างราบรื่น ประหยัดเวลา และทุ่นแรงไปได้เยอะ ไม่เว้นแม้แต่การจัดการงานแต่งงาน ซึ่งโซเชียลมีเดียจะเป็นตัวช่วยใกล้มือสำหรับคู่รักสมัยใหม่ ในการจัดการงานแต่งงานของได้อย่างไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ

 ส่งคำเชิญออนไลน์

          ใครที่มั่นใจว่าแขกรายนี้เป็นไซเบอร์แมนหรือไซเบอร์เลดี้ ที่ต้องเข้ากล่องจดหมายอิเล็กทรอนิกซ์ทุก ๆ วันแน่แล้วล่ะก็ การส่งคำเชิญเป็นอีเมลไปนับว่าเป็นความคิดที่ดีเชียวล่ะ คุณสามารถระบุลงในอีเมลได้ด้วยว่า ต้องการให้ปลายทางตอบกลับหากได้รับจดหมาย เพื่อให้แน่ใจว่าปลายทางได้รับจดหมายเชิญออนไลน์แน่แล้ว ซึ่งกระบวนการตอบกลับก็แสนสะดวกสบาย เพียงแค่พิมพ์แล้วคลิกส่งเท่านั้นเอง แถมวิธีนี้ยังไม่เปลืองกระดาษอีกด้วยล่ะ

สเปรดชีท (Spreadsheet) ช่วยจัดการรายชื่อแขก

          นี่โปรแกรมพื้นฐานเบสิกสุด ๆ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกและความเป็นระเบียบเรียบร้อยให้กับคุณได้ นั่นคือการใช้โปรแกรมจำพวกสเปรดชีท จำพวกอย่างพวกไมโครซอฟท์เอ็กซ์เซลหรืออื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้คุณทั้งเรียงลำดับตามตัวอักษร แบ่งหมวดหมู่รายชื่อได้ถูกต้อง ว่ากลุ่มนี้คือรายชื่อสำหรับเชิญแขกที่เป็นเพื่อนที่ทำงาน เพื่อนที่มหาวิทยาลัย เพื่อนสมัยมัธยม ผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายคุณพ่อคุณแม่ ฯลฯ และถ้าจะให้ดีลองใช้สเปรดชีทแบบที่สามารถแชร์และดึงข้อมูลออนไลน์ได้ อย่างสเปรดชีทของกูเกิลด็อกคิวเมนต์ ที่ทำเสร็จแล้วก็ยังแชร์ให้คู่รัก รวมถึงผู้ช่วยดูแลงานตรวจสอบความถูกต้องได้ง่าย ๆ อีกด้วย

ทวิตเตอร์ (Twitter)

          แม้เจ้าทวิตเตอร์ที่ให้คุณทวีตข้อได้เพียงคราวละ 140 ตัวอักษร ก็นั่นเพียงพอที่จะทำให้บรรดาแขกเหรื่อที่คุณจะเชิญมา รู้สึกมีส่วนร่วมกับงานแต่งงานของคุณได้มากกว่างานแต่งงานไหน ๆ ลองให้บรรดาแขก ๆ สมัครแอคเคาท์ของทวิตเตอร์ และตามฟอลโลวแอคเคาท์ของคุณ ที่ทวีตข่าวคราวความคืบหน้าของงานแต่งงานในวาระต่าง ๆ อย่าง "วันนี้ลองชุดแต่งงาน", "กำลังเลือกแหวนหมั้น" หรือข้อความขำ ๆ น่ารัก ๆ อย่าง "ใส่ชุดไม่ได้แล้ว ต้องลดน้ำหนักด่วน!" ข้อความสั้น ๆ เหล่านี้ที่ให้แขกผู้มีเกียรติที่น่ารักของคุณสามารถติดตามงานแต่งงานที่พวกเขาถูกเชิญมา ซึ่งจะทำให้เขารู้สึกมีส่วนร่วมและรู้สึกยินดีไปกับงานแต่งงานของคุณได้แน่นอนเลยล่ะ

เฟสบุ๊ค (Facebook)

          โซเชียลเเน็ตเวิร์กตัวฮิตอย่างเฟซบุ๊คจะช่วยให้การเชิญแขกของคุณเป็นไปอย่างง่ายดาย แถมส่งคำเชิญแบบออนไลน์ไปทางเฟซบุ๊คยังมีตัวเลือกเพื่อให้ตอบรับกลับ ว่าจะมาร่วมงานหรือไม่ด้วย อย่างน้อยก็เป็นการสำรวจจำนวนแขกไปแบบคร่าว ๆ ได้ขั้นหนึ่ง แต่หากกลัวว่าคำเชิญของคุณอาจจะไม่สะกิดตาแขกที่เชิญไป การส่งอีเมลไปหรือการเชิญทางโทรศัพท์อีกครั้งก็สมควรนำมาใช้เพื่อความมั่นใจค่ะ

บล็อก (Blog) หน้ากระดาษออนไลน์

          หากคุณเป็นบล็อกเกอร์หรือนักเขียนบล็อกตัวยง เมื่อบล็อกเกอร์จะแต่งงานทั้งที จะไม่ลงเรื่องราวเกี่ยวกับวันแต่งงานของตัวเองเห็นทีคงไม่ได้แล้วล่ะ ลงแนบโฮมแอดเดรสของบล็อกคุณไปกับการ์ดเชิญ ทวิตเตอร์ หรือเฟสบุ๊ค ให้ผู้ที่ถูกเชิญได้ลองคลิกเข้าไปอ่านดู ด้วยวิธีการนี้บรรดาแขกเหรื่อสามารถติดตามความคืบหน้า เกี่ยวกับการแต่งงานของคุณได้แบบเจาะลึกมากขึ้น เพราะด้วยนิสัยคนช่างเขียน รับรองว่าเรื่องราวและรูปประกอบคงมาแบบจัดเต็ม ให้ผู้ติดตามอ่านกันสนุกไปเลยล่ะ และพอถึงวันงานจริงนี่ก็อาจกลายเป็นหัวข้อสนทนาเล็ก ๆ แสนสนุกระหว่างคู่บ่าว-สาวกับแขกที่เชิญมาร่วมงานได้ด้วยนะ

แหม...เทคโนโลยีนี่ก็ช่วยทุ่นแรงได้ไม่น้อยเหมือนกันเนอะ ยังไงลองนำไปปรับใช้กันดูนะคะ ^^





Free TextEditor



Create Date : 17 ตุลาคม 2554
Last Update : 17 ตุลาคม 2554 17:07:58 น.
Counter : 692 Pageviews.

2 comment
ทายนิสัยจากการใส่รองเท้า
วันนี้พาคุณผู้หญิงมาทายนิสัยจากการใส่รองเท้ากันค่ะ มาดูกันซิว่าการ ทายนิสัยจากการใส่รองเท้า จะสามารถบอกความเป็นตัวตนในตัวคุณได้มากขนาดไหนกัน ใครพร้อมกันแล้วก็มาเริ่ม ทายนิสัยจากการใส่รองเท้า กันได้เลยค่ะ





แต่ทว่าคุณผู้หญิงทั้งหลายนั้นมีรสนิยมชอบรองเท้ากันแบบไหนบ้างเอ่ย...คำทำนายทายนิสัยจากการใส่รองเท้าของเราในวันนี้ที่มีให้คุณเลือกนั้นก็จะมี รองเท้าแตะ รองเท้าหนัง รองเท้ากีฬา รองเท้าบู้ท คุณผู้หญิงชอบสไตล์ไหนเลือกไปฟังคำทำนายทายนิสัยจากการใส่รองเท้ากันได้เลยค่ะ



ทายนิสัยจากการใส่รองเท้า คู่โปรด


1. รองเท้าแตะ คนที่ชอบใส่รองเท้าแตะ ชีวิตดูจะเป็นคนเรียบง่าย สบายๆ ไม่ชอบความหรูหราฟุ่มเฟือย ชอบการท่องเที่ยวแบบตั้งแคมป์ลุยๆ

2. รองเท้าหนัง คนที่ชอบใส่รองเท้าหนังเป็นคนที่ชอบความเลิศหรู ชอบความทันสมัย แต่เป็นคนที่ช่างเอาอกเอาใจ ใส่ใจทุกรายละเอียด

3. รองเท้ากีฬา คนที่ชอบใส่รองเท้ากีฬาเป็นคนที่ชอบเทคแคร์คนอื่นและชอบให้ความช่วยเหลือ ชอบเล่นกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ

4. รองเท้าบู้ท คนที่ชอบใส่รองเท้าบู้ทเป็นคนที่รักความก้าวหน้า มีความมุ่งมั่นมาก เมื่อตั้งใจทำสิ่งใดแล้วจะใจจดใจจ่ออยู่กับสิ่งนั้น จนสำเร็จลุล่วงดังใจ ชอบเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเป็นคนที่ดูสุขุมใจเย็น



ขอบคุณข้อมูลจาก : FW, teenee.com







Free TextEditor



Create Date : 08 กรกฎาคม 2554
Last Update : 8 กรกฎาคม 2554 9:46:26 น.
Counter : 902 Pageviews.

0 comment
เพราะ "ส้นสูง" ทำให้เธออารมณ์แปรปรวน

เป็นเรื่องที่แปลกใจไม่น้อย เมื่อรู้ว่า "รองเท้าส้นสูง" ที่ผู้หญิงใส่อยู่ทุกวันนี้ นอกจากจะช่วยเสริมความมั่นใจ แถมใส่กับชุดอะไรก็ดูสวยนั้น จะมีผลกระทบต่อ "อารมณ์" ของผู้หญิง

ยิ่งใส่ส้นสูงมากเท่าไร ยิ่งทำให้อารมณ์ผู้หญิง "แปรปรวน" มากยิ่งขึ้น เป็นการยืนยันจาก นายวัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยา และที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

นายวัลลภบอกว่า ฝ่าเท้าเป็นอวัยวะที่สำคัญ ที่มีเส้นใยประสาทต่างๆ รวมอยู่ ทั้ง สมอง ตับ ไต ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ซึ่งเท้าเป็นศูนย์รวมปลายประสาทเหล่านี้ เวลาผู้หญิงสวมรองเท้าส้นสูง ปลายเท้าไม่สามารถสัมผัสพื้นได้หมด เหมือนไม่ได้บริหารอวัยวะได้ครบถ้วน จึงส่งผลให้สุขภาพไม่ดี นำไปสู่อารมณ์แปรปรวน ซึ่งส่วนใหญ่เวลาเดินจะมีเพียงส้นเท้า หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของเท้าสัมผัสกับพื้นเท่านั้น จึงทำให้เส้นใยประสาทที่อยู่ฝ่าเท้านั้นทำงานไม่เต็มที่ และยังทำให้อารมณ์เสีย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย และขี้หงุดหงิด

"อย่างนิ้วหัวแม่โป้งกับนิ้วชี้ นิ้วกลางของฝ่าเท้า หากส่วนนี้สัมผัสพื้นบ่อยๆ โดยฝ่าเท้าอื่นๆ ไม่ได้เดินลงพื้นเต็มๆ จะส่งผลถึงเรื่องตา หู จมูก จะทำให้ผู้หญิงรับรู้ไวขึ้น เช่น เมื่อเสียงดัง จะตกใจ และกลายเป็นคนขี้ตกใจ อ่อนไหวง่าย อารมณ์ไม่หนักแน่น ซึ่งต่างจากผู้ชายที่เดินเต็มฝ่าเท้า พวกเขาจึงแข็งแกร่ง ไม่อ่อนไหวง่ายเหมือนผู้หญิง"

เพราะรองเท้าส้นสูงเป็นเครื่องแต่งกายส่วนหนึ่งที่ผู้หญิงขาดไม่ได้ แต่ถ้าใส่ทุกวัน โดยที่ไม่เปลี่ยนเป็นรองเท้าส้นเตี้ยเลย อาจส่งผลเสียได้ในระยะยาว

จิตแพทย์วัลลภบอกว่า เท้าเป็นเส้นรวมประสาท พอผู้หญิงใส่รองเท้าส้นสูงมาก หน้าเท้า ส้นเท้า ปลายเท้าจึงเดินไม่เสมอกัน ศาสตร์ของภูมิปัญญาไทย บอกไว้ว่า หัวแม่โป้งคือสมอง ตา หู จมูก หากเดินเน้นเพียงส้นเท้า หรือปลายเท้าอย่างเดียว จะทำให้สมองไวเกินไป อ่อนไหวง่าย เรียกว่า over sensitive หากเดินเน้นเอาส้นเท้าลงเท่านั้นจะทำให้ปวดท้อง ส่วนตรงฝ่าเท้า คือปอด หัวใจ กระเพาะ ตับอยู่ ลำไส้ ส่วนอารมณ์ ความรู้สึกอยู่ใกล้ๆ กับส้นเท้า เพราะทุกวันที่ใส่ส้นสูงทำให้ไม่ได้เดินเต็มเท้า การทำงานในระบบร่างกายจึงไม่สมบูรณ์ และนอกจากจะส่งผลเรื่องอารมณ์แล้ว ยังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ สามารถทำให้เป็นพังผืดได้ ช่วงน่องขา จะเสีย ทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับโครงสร้างของกระดูก ที่สำคัญอาจเกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน ทั้งสะดุดล้ม ขาพลิก

ส่วนความสูงของรองเท้าที่มีผลกับผู้หญิงนั้น คือ ต้องสูง 3 นิ้วขึ้นไป และสวมใส่เป็นระยะเวลานาน บ่อย และถี่ จึงจะส่งผลกับอารมณ์ สุขภาพ

นายวัลลภบอกด้วยว่า อยากใส่รองเท้าส้นสูงสามารถใส่ได้ เวลาอยากไปงาน หรืออยากแต่งตัวสวยๆ แต่เวลาทำงานให้ใส่รองเท้าส้นเตี้ยประมาณ 1 นิ้ว หรือใส่สลับกับรองเท้าส้นสูงบ้าง และเวลาเดินไม่ควรเอาส้นเท้าลง หรือปลายเท้าลงอย่างเดียว ควรเดินลงพร้อมกัน ให้เต็มฝ่าเท้าดีที่สุด

"นอกจากนี้ ให้ออกกำลังกายด้วยการเดินถอยหลังโดยเอามือดันข้างหลังทั้งสองข้างแล้วเดิน และการนวดฝ่าเท้าจะช่วยกระตุ้นปลายประสาท แต่ไม่มีใครสามารถนวดฝ่าเท้าได้ตลอดชีวิต รวมทั้งถ้ามีโอกาสให้นำเท้าแช่น้ำอุ่นบ้างเพื่อคลายเส้น แต่การรักษาโรคทุกอย่าง ที่ดีที่สุด คือป้องกันอย่าให้โรคมันเกิด?

ของสวยๆ งามๆ สามารถส่งผลร้ายได้เช่นกัน ทางที่ดี สวยแล้วอย่าลืมดูแลตัวเองด้วย


ที่มา : หน้า 25 มติชนรายวัน ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 28 เม.ย. 2554





Free TextEditor



Create Date : 08 พฤษภาคม 2554
Last Update : 8 พฤษภาคม 2554 19:58:09 น.
Counter : 413 Pageviews.

2 comment
ใครเป็น หนุ่มสาวขี้อาย ยกมือขึ้น ?


รู้น่ะว่าความขี้อายนั้นเป็นสถานการณ์ที่ไม่ค่อย น่าอภิรมย์เท่าไหร่ สำหรับคนสุภาพเรียบร้อยใช่มะ แถมความขี้อาย ยังทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้าสังคม ไม่กล้าพูดในสิ่งที่คิดอยู่ และที่น่าเศร้าที่สุดก็คือ มันทำให้พวกเขา ไม่กล้าเหล่ใครสักคน มาเป็นแฟนด้วยนี่สิ เจ็บไหมล่ะ ผู้เชี่ยวชาญด้านหว่านเสน่ห์ บอกไว้ว่า

ความจริงคนขี้อายนั้น เป็นที่ต้องการของใครต่อใครมากมาย (แต่อาจไม่รู้ตัวก็ได้) แต่ความที่บางคนขี้อายมากไป จึงทำให้พวกเขาชวดโอกาส ที่จะเข้าไปตีสนิท หรือทำความรู้จักมักจี่กับ "คนที่เขามีใจให้" อย่างน่าเสียดาย เพราะฉะนั้น ถ้า "ความขี้อาย" ทำให้คุณพลาดโอกาสจากคนพิเศษที่คุณนั้นใฝ่ฝันล่ะก็ ลองอ่านคำแนะนำต่อไปนี้ดูสิ แล้วคุณจะสามารถ เอาชนะความขี้อายได้นะเออ

ใน 10 วิธีเอาชนะความขี้อาย (Top 10 Ways To Overcome Your Shyness) แนะให้คุณผู้อ่านเป็นคนกล้า (ในสิ่งที่ถูก ที่ควรนะยะ ไม่ใช่กล้าบ้าบิ่นจนไม่ลืมหูลืมตา) โดยค่อย ๆ ฝึกปรือความกล้า ดังนี้

1. ฝึกจากการเป็นแม่สื่อให้เพื่อน
ว่ากันว่าปัจจัยหลักที่ทำให้กลายเป็นคนขี้อายก็คือ ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ดังนั้นจงเอาชนะปัจจัยข้อนี้ ด้วยการลองจีบ ใครบางคนให้เพื่อนดูสิ คุณจะได้ไม่ต้องเอาตัวเอง เข้าไปเสี่ยงกับการถูกบอกปัดไง การเข้าไปลองเลียบ ๆ เคียง ๆ จีบสาว หรือจีบหนุ่มให้เพื่อนเนี่ย เชื่อหรอกน่า ว่าเป็นงานถนัดแหงซะ เพราะการเป็นแม่สื่อแม่ชักน่ะ ได้บุญนะ แถมยังมีโอกาส ได้ฝึกลับฝีปากไว้จีบนาง (หรือนาย) ในฝันให้ตัวเองด้วย ทำงี้ได้ประโยชน์ทั้งกับเพื่อน และกับตัวท่านเองงั้นอย่ารีรอ

2. ค่อย ๆ ก้าวสั้น ๆ แต่ระมัดระวัง
ค่อย ๆ ขจัดความอายให้เหมือนกับ การฝึกหัดเดินของเด็กดูสิ เอาง่าย ๆ เริ่มต้นจากรอยยิ้มก่อนก็ได้ คุณควรยิ้ม ให้ทุกคน เพราะจะช่วยแสดงให้เห็นว่า คุณเป็นมิตร และสามารถที่จะเข้า ไปพูดคุยด้วยได้ไม่ยาก ถ้าเผอิญพบ กับคนแปลกหน้า และอยากฝึกความกล้า ก็นี่เลย เดินเข้าไปทักทายสะวีดัด สวัสดีเค้าหน่อย ทำแบบนี้ 2-3 ครั้ง แล้วค่อยชวนคนแปลกหน้าคุย ถึงสิ่งละอันพันละน้อยชนิดค่อย ๆ เปิดตัวเอง แล้วจะรู้ว่าไม่เห็นยากตรงไหน

และถ้าเผื่อคุณกลัวว่าจะทำอะไรผิดพลาดต่อหน้าคนอื่นเข้าล่ะก็ จงลืมมันซะ เนื่องจากคนดี ๆ โดยทั่วไปมักให้อภัย กับความมะงุมมะงาหรา หรือความเคอะเขินของเพื่อนใหม่ ที่ดูแล้วไม่น่าจะมีพิษมีภัยเสมอแหละ แล้วจะวิตกจริต ไปทำไมกันละท่าน

3. อย่าทำราวกับว่า คนที่คุณเล็ง หรือกับจะเข้าไปจีบนั้นเป็นสัญลักษณ์ ทางเพศมากเกินไป
ในกรณีของฝ่ายชาย หากสนใจสาวสักคนขึ้นมา จงอย่ามีทรรศนะว่าเธอเป็นถ้วยรางวัลที่ยาก จะชนะใจเธอได้ แต่ ให้มองหล่อนเป็นคนธรรมดาคนนึงไม่ดีกว่ารึ จะได้ไม่เกิดอาการเก้อเขินไงตัว แล้วอีกอย่าง ขืนหนุ่มเจอสาวที่ชอบ แล้วคิดถึงแต่เรื่อง อยากมีเพศสัมพันธ์กับเธอมากไปล่ะก็ ฝ่ายหญิงเค้าก็มีสัญชาตญาณ ที่ไม่อยากถูกใคร ลวนลามทางสายตา เหมือนกันนะ เพราะฉะนั้น ถ้าเมื่อไหร่ที่เธอคิดว่า กำลังถูกรุกหนักเกินไป โอกาสที่เธอจะปฏิเสธ ก็มีมากเท่านั้นก็ใครเค้าอยากถูกหิ้วไปเป็นนางบำเรอ ตั้งแต่เมื่อแรกพบกันล่ะ โอ้ยถูกสายตาหื่นปานนั้น ใครจะอยากเข้าใกล้ ไอ้บ้านั่น

4. อย่าทำเหมือนกับว่าเค้าคนนั้นเป็นของบูชาที่อยู่บนหิ้ง
แบบว่าอย่าทำอย่างกับคนที่คุณอยากรู้จัก เป็นเทวรูป หรือสิ่งที่ควรคู่กับ การบูชามากกว่า จะรักก็แล้วกัน ไม่งั้นจะกล้าเดินเข้าไปทัก หรือพูดคุยกับเค้าด้วยไหมล่ะมีแต่จะกระบิดกระบวย ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะเกรงบารมีสิไม่ว่า งั้นเอางี้ก่อนจะสนอกสนใจใคร จนถึงกับอยากเข้าไปพูดจาจีบเจิบเมื่อไหร่ ให้มองอย่างงี้นะ น้องคนนั้นเค้าไม่ได้เป็นนางฟ้า หรือเทวดามาจากไหน แต่เป็นคนที่คุณอยากแบ่งปันสิ่งดี ๆ ในชีวิตด้วยกันแบบนี้ น่าจะช่วย ลดความประหม่าลงได้หน่อย

5. อย่าคาดหวังอะไรให้สูงเกิน
เมื่อสามารถทำความรู้จักมักจี่ กับคนที่คุณสนใจได้แล้ว ควรปล่อยให้อะไรต่อมิอะไร ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เป็นไปตามธรรมชาติ แล้วกัน อย่ากระตือรือร้น หรือรีบรู้จักเค้ามากจนกลายเป็นความเครียด

6. อย่าคิดมาก
ถ้าอยากเอาชนะใจคนที่คุณเหล่ไว้ล่ะก็อย่าฟุ้งซ่าน ถ้าเผื่อคนที่คุณปักใจเกิดมีอาการ ไม่ใส่ใจคุณขึ้นมา ก็แหมคนเรา อาจมีการเล่นตัวกันมั่งใช่ป่าว หรือถ้าเผื่อใครคนนั้นเกิดไม่ชอบขี้หน้าเราขึ้นมาจริง ๆ ก็อย่าถือเป็นอารมณ์ คิดซะว่า ไม่มีใครถูกใจใครไปซะทุกคน ถ้าเค้าไม่ชอบเราเป็นแฟน อาจชอบเป็นเพื่อนก็ได้ (ฝันกลางวันไปเรื่อย...มีไรป่าว)

7.เรียนรู้ที่จะฟัง
บางคนขี้อายก็จริง แต่พูดเป็นต่อยหอยก็มีนะ เพราะงี้จงอย่าเอาแต่พูด พูด พูดเพื่อกลบเกลื่อน ความหน้าไม่อาย ของตัวเองนักเลย หัดฟังคนอื่นเพื่อเปิดประเด็นใหม่ ๆ ในการคุยจ้อกันดีกว่า

8.ฝึกลดความขี้อาย
ด้วยการอย่าคุยกับคนที่เราอยากรู้จักเท่านั้น แต่จงผูกมิตรกับทุกคน

9.อย่ากลัวถูกปฏิเสธ
ถ้านักมวยขึ้นเวทีพร้อมกับรู้ว่า พวกเขามีโอกาสที่จะชนะ และก็แพ้ได้เท่ากัน ในเกมของความรัก คุณก็ไม่ควร คาดหวังว่า ต้องวิน วินหรือชนะทุกครั้งไม่ใช่หรือ ? ดังนั้นจงมองการที่คุณเข้าไปจีบใครสักคน ให้เหมือนกับ การสร้างประสบการณ์ที่ดี

แม้ความขี้อาย และลังเล อาจทำคุณมือสั่น หรือใจเต้น แต่หลังผ่าน เหตุระทึกครั้งแรก ที่ได้ทักทายคนที่คุณหลงรัก เป็นนักหนาแล้ว อีกหน่อยอาการสั่นสะท้านก็จะหายไปเอง ทำใจดี ๆไว้

10. สรุปว่าจงออกไปข้างนอก และเข้าสังคมแล้วจะกล้าขึ้น
เข้าร่วมกิจกรรมที่จะทำให้คุณมีโอกาสปฏิสังสรรค์กับผู้อื่นบ้าง เช่น ไปเข้าคอร์ส เต้นแอโรบิก ไปวัด หรือทำงาน ช่วยสังคม อาทิ นำสิ่งของไปบริจาคให้ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม การได้สมาคมสโมสรกับคนอื่นบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ช่วยทำให้คุณ หายเขินไปเอง โอ้ย... คิดจะจีบใครก็รีบเข้านะ เดี๋ยว ม.ค.ป.ด. หมาคาบไปแดก แล้วจะเจ็บกระดองใจเด้อ.



Create Date : 15 สิงหาคม 2553
Last Update : 15 สิงหาคม 2553 12:57:08 น.
Counter : 504 Pageviews.

2 comment
1  2  3  4  

tar na
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]









เพชรแท้ย่อมส่องแสงเจิดจรัส แม้อยู่ในที่มืด


เปรียบเสมือนคนดี ย่อมเปล่งประกายความดี แม้ตกอยู่ในดงโจร


 


Facebook :  https://www.facebook.com/theonejewelry


หน้าร้าน : เซ็นทรัลรามอินทรา ชั้น 1 จันทร์ – เสาร์ เวลา 11.00 – 20.00 น. (หยุดทุกวันอาทิตย์)


เว็บไซต์ : http://www.theonejewelry.net



tar tar สวัสดีค่ะ
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend