ขบวนการเคลื่อนไหวของพวกเขาในปีนี้ นอกจากคอนเสิร์ตรียูเนียนเพื่อหาตังค์ เอ๊ย! เพื่อเป็นการตอกย้ำความปรองดองกันของ Damon และ Graham ไล่ตั้งแต่ Hyde Park, Glastonbury, Oxegen ปิดท้ายด้วย T in the Park ที่ Graham เกือบตายเพราะอาหารเป็นพิษ ก่อน Damon จะประกาศกร้าวว่าไม่มีอีกแล้ว รียูเนียนมันจบแค่นี้ รวมถึงการออกรวมฮิต Midlife: A Beginner's Guide to Blur (เพื่ออะไร?) ไลฟ์ซีดี All The People: Blur Live at Hyde Park และทำหนังสารคดี No Distance Left To Run ที่จะฉายในอังกฤษมกราคมปีหน้า เรียกว่าเรื่องเหล่านี้มันน่ายินดีและซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
คำพูดของ Damon ค่อนข้างแน่นอนไปแล้วว่าเขาจะไม่ทำอัลบั้มใหม่ แม้ช่วงนึง Graham จะบอกว่าเขาเองสนใจจะทำ แต่ท้ายที่สุดคือ เขายืนยันว่าแผนการเข้าสตูดิโออัดอัลบั้มหรือเล่นคอนเสิร์ตด้วยกันอีกคงไม่มีแล้ว (ไม่มีตลอดไปหรือถึงตอนไหนก็ไม่ทราบ)
ที่น่าสงสัยคงเป็นเพราะคำพูด Damon กับ Graham มันค้านกันเองในช่วงนึง เพราะหลังจาก T in the Park ซึ่ง Damon บอกว่าคือคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายแล้ว ฝ่าย Graham ให้สัมภาษณ์เองว่าสนใจอยากทำอัลบั้ม และวงก็พูดกันว่าจะทัวร์คอนเสิร์ตนอกเกาะอังกฤษกันด้วยดีไหม หลังจากนั้นไม่นาน Damon จึงออกมายืนยันอีกครั้งว่าการรียูเนียนจบไปแล้ว ข่าวจากนั้นคือ Graham เองกลับคำพูดว่าวงไม่มีแผนจะทำอะไรด้วยกันอีก เขาเองก็จะก้มตาก้มตาใส่แว่นทำงานเดี่ยวต่อไป ทัวร์คอนเสิร์ตตัวเอง ฯลฯ
ยิ่งเมื่อได้ดู trailer No Distance Left To Run แล้ว ยิ่งกว่าจะรู้สึกอกแตกตายให้ได้เสียอีก
หนังสารคดี No Distance Left To Run คือเรื่องเกี่ยวกับการรียูเนียนที่ผ่านมาของวง หนังกำกับโดย Dylan Southern และ Will Lovelace จะเข้าฉายที่อังกฤษแบบจำกัดโรงในวันที่ 19 ม.ค. 2010 โดยจะเปิดตัวครั้งแรกที่ โอเดียน เลสเตอร์ สแควร์ กรุงลอนดอน ซึ่งแน่นอนว่า Blur คงไปปรากฏตัวด้วย (ขอให้ทั้งวงเถอะ)
Trailer
ด้วยความสัตย์จริง ตอนช่วง The Universal ดูแล้วน้ำตาไหล
ความเป็นไปได้ที่ No Distance Left To Run จะได้ฉายในไทยมันเท่ากับการที่ลิเวอร์พูลจะได้แชมป์ลีก ถึงจะออกดีวีดีมา (ซึ่งไม่รู้ตอนไหน) ก็ต้องรอไปอีกพักนึง ซึ่งนั่นมันของที่โน่น แต่ของแผ่นไทยล่ะ? Warner Music ผู้รวดเร็วกว่าเต่าประมาณสองคืบจะทำหรือไม่? ตอนไหน? เมื่อไหร่?
จริงๆ ตอนแรกที่เห็นข่าวหนังนี้ ฉันกลับเกิดอาการอีกแล้วว่า “จะทำทำไม?” ประกอบกับอาทิตย์ก่อน ฉันไปฆาตกรรมเงินในกระเป๋า (ที่ไม่ค่อยมี) ของตัวเอง ณ ร้านโดเรมี อันทำให้ไปป๊ะกับไอ้แผ่น All The People: Blur Live at Hyde Park จนสุดท้ายก็ชั่งใจและจัดการมาเป็นกรรมสิทธิ์ในที่สุด
อย่างไรก็ดี การได้ฟัง All The People: Blur Live at Hyde Park ด้วยหูอย่างเดียว คือความบรรเจิดยิ่งแล้วในชีวิตของคนที่ไม่มีปัญญาไปอยู่ ณ ที่นั่น ตอนนั้นได้
Damon กับสองวันติดกัน ณ ไฮด์ พาร์ค กรุงลอนดอน เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่วงกลับมาเล่นด้วยกัน โดยเฉพาะกับการกลับมาของ Graham Coxon (ไม่รวม This Is A Low ในงาน NME Awards ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีที่ Damon และ Graham กลับมาเล่นบนเวทีด้วยกัน)
ก่อนร้องเพลง Out Of Time Damon บอกว่าไฮด์ พาร์ค เป็นสถานที่สำคัญพิเศษสำหรับเขา เพราะมีส่วนสำคัญในการเป็นที่เดินขบวนต่อต้านสงคราม(อิรัก) เมื่อปี 2003 และเขาเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
Setlist แผ่น 1 1. She's So High 2. Girls And Boys 3. Tracy Jacks 4. There's No Other Way 5. Jubilee 6. Bad Head 7. Beetlebum 8. Out Of Time 9. Trimm Trabb 10. Coffee And TV 11. Tender
แผ่น 2 1. Country House 2. Oily Water 3. Chemical World 4. Sunday Sunday 5. Parklife 6. End Of A Century 7. To The End 8. This Is A Low 9. Popscene 10. Advert 11. Song 2 12. Death Of A Party 13. For Tomorrow 14. The Universal
Blur จะมี re-reunion ไหม น่าสนใจยิ่ง
แต่เพราะ Damon ความคิดกระฉูด ทำงานโน่นนี่ไม่หยุดหย่อน เพราะ Graham ยังคงขยันทำงานเดี่ยวของตัวเอง เพราะ Alex ก็มีงานโปรเจ็คต์ตัวเองและรักการเขียนหนังสือ เพราะ Dave สนใจไปเล่นการเมือง
เรื่องสุดท้าย เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันชักดิ้นชักงอและเกือบหัวใจวายตายเมื่อรู้ข่าว British Sea Power live in BKK แล้ววันที่ 14 ก.พ. ปีหน้า จะเป็นวันที่ฉันมีความสุขมากที่สุดของปี!
The Killers Live from the Royal Albert Hall | The Bravery - Stir the Blood | Apparatjik
The Killers Live from the Royal Albert Hall
[***Spoiler Alert*** ]
เกาะอังกฤษและเหล่าบริติชชนเคยอ้าแขนรับ The Killers อย่างอบอุ่นเมื่อครั้งที่ Hot Fuss อัลบั้มแรกของพวกเขาออกมาสร้างซาวนด์อังกริ๊ด อังกฤษกระทืบหูคนฟังให้ฉงนว่าบิดามารดาวงนี้มันคืออังกฤษหรือไร แม้นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ The Killers จะได้ขยับสถานะตัวเองขึ้นมาเป็นหนึ่งในวงที่ประสบความสำเร็จระดับโลกและโด่งดังมากกว่าเดิม อ้อมกอดเดิมๆของชาวอังกฤษก็ยังคงอยู่ แถมยิ่งอ้าแขนกางกว้างๆยินดีต้อนรับพวกเขามากกว่าเดิมเสียอีก
เพียงแต่ว่าไม่ใช่แค่แฟนๆ ลอนดอนเนอร์เท่านั้นหรอกที่จะได้รับความอิ่มเอมจากการแสดงสดของวงดนตรีที่พวกเขาหลงใหลไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ณ Royal Albert Hall สุดยอดสถานที่แห่งความอลังการ อบอวลด้วยมนต์ขลังแห่งความเก่าแก่ และเสน่ห์ที่ยิ่งกว่าการเป็นฮอล์คอนเสิร์ตธรรมดา แฟนๆผู้ปวารณาตนเป็น “เหยื่อ” (victims) หรือสาวกของ The Killers เดินทางมาจากทั่วสารทิศ ทั้งสเปน ออสเตรีย มอนเตเนโกร เยอรมนี ฯลฯ บางคนกระทั่งโดดงาน ลางานมาเพื่อค่ำคืนแห่งความทรงจำนี้
น่าแปลกว่ากระทั่งคนบางคนแถวนี้ซึ่งไม่ได้เป็นหนึ่งในฝูงชนที่นั่นกลับทำตัวและมีความรู้สึกราวกับว่าได้ไป Royal Albert Hall มา หลังจากได้ทัศนาดีวีดี The Killers Live from the Royal Albert Hall จบลง
นั่นคือสิ่งดีซึ่งควรจะเป็นสำหรับครั้งแรกของดีวีดีไลฟ์ที่ The Killers ทำออกมาให้ผู้ชมผ่านหน้าจอรู้สึกได้ ด้วยการโปรดิวซ์โดย Jim Parsons การกำกับของ Dick Carruthers คนเดียวกับที่ทำดีวีดี The Who Live at the Royal Albert Hall เช่นเดียวกับฝากฝีมืองานดีวีดีไว้กับอีกหลายๆวง อาทิ Keane, Oasis, Kaiser Chiefs หรือ The White Stripes
มุมมองของ Royal Albert Hall ได้รับการนำเสนออย่างมีชั้นเชิงน่าดู เปิดเผยความงดงามของสถานที่และสร้างความรู้สึกตื่นเต้นได้ตั้งแต่เปิดตัว เสียงเพลง Enterlude ดังแว่วมา พร้อมกับการค่อยๆนำผู้ชมผ่านทางเดินยาวไปพบเจอกับเจ้าของเสียงร้อง ก่อนที่ความมันส์ของจริงจะปรากฏเมื่อภาพความพร้อมของวงซึ่งอยู่ข้างหลังเวทีและภาพการตั้งตาคอยของฝูงชนข้างนอกเวทีค่อยๆเริ่มกระหึ่มขึ้นมา
พื้นเวทีลายม้าลายกับต้นปาล์มคืออุปกรณ์ประกอบเวที ซึ่งจะเพื่อให้เข้ากับแจ็คเก็ตขนนกของ Brandon Flowers หรือไม่ก็ตาม แต่ Human ก็สร้างความเร้าใจและบรรยากาศดิสโก้ในเพลงแรกพร้อมเสียงแหกปากกรีดร้องและการเต้นกระหึ่มยิ่งกว่านักเต้นของผู้ชม ซึ่งน่าสงสัยเหลือเกินว่าตกลงมันเป็นมนุษย์หรือเป็นนักเต้นกันแน่? (ตรูก็ยังไม่รู้อยู่ดี!!)
แต่แน่นอนว่า This Is Your Life คือเพลงสำหรับบรรยากาศนอนเล่นโอบกอดต้นปาล์มเป็นที่สุด ด้วยซาวนด์อันน่ารักน่าชังและความคึกคักเปื้อนรอยยิ้มยังคงอยู่ในเพลงบรรยากาศสดใส ก่อนจะเปิดความมันส์ในเพลงฮิตเก่าๆ Somebody Told Me ทั้ง Brandon, Dave, Mark และ Ronnie ระเบิดความร้อนระอุให้เวทีเต็มที่ และคนดูต่างตอบรับกันอย่างเมามันส์ For Reasons Unknown ที่ Brandon เล่นเบสและ Mark ไปเล่นกีต้าร์ ก็ยิ่งเพิ่มความสนุกสนาน เมื่อ Brandon ถามไถ่คนดูว่าเคยรักใครบ้างไหม แล้วก็พูดคุยต่อไปเรื่องหวานเลี่ยนๆ แต่ก็เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาวๆได้ (“As easy as the way a beautiful English girl’s hair falls across her shoulder”) จากนั้นช่วงเวลาที่ประทับใจคือการเพิ่มท่อน “โอว้ โอววววว” ร่วมกันทั้งคนร้องและคนดู นับว่าเป็นอีกหนึ่งในเพลงที่คุ้มค่าการเล่นสด
ต่อมาคือสามเพลงจาก Day & Age The World We Live In, Joy Ride และ I Can’t Stay (เสียงแซกโซโฟนอันเย้ายวน) ต่อด้วย Bling (Confessions of a King) ที่ Brandon รีบทิ้งเวทีวิ่งหนีไปเข้าห้องน้ำ เอ๊ย! ไปที่ระเบียงเพื่อร้องและพบปะประชาชน ตามด้วยไปเอางานคัฟเวอร์ Joy Division สุดเลิศ Shadowplay มาร้องอีกครั้ง และ Smile Like You Mean It ก็ทำหน้าที่ของมันได้ไม่มีที่ติ
เพลงที่เหลือทั้งหมดคือเพลงฮิตแตกสมัยอัลบั้มเก่าก่อน เริ่มที่ Sam's Town ในเวอร์ชั่นใหม่ ต้องเรียกว่าคือเป็นแบบ Abbey Road Version ใน Sawdust ที่บวกกับเสียงแซกฯมาผสมโรง พ่วงด้วยไวโอลิน นี่คือเวอร์ชั่นอันบรรเจิดสุดของ Sam’s Town ในบรรดาทั้งหลายทั้งปวง และไม่ให้หายใจหายคอ Read My Mind, Mr. Brightside, All These Things That I've Done ขนขบวนกันมาต่อแถวกระชากอารมณ์ สามเพลงถูกใจจี๊ดติดกันเยี่ยงนี้ ลงไปนอนตายชักดิ้นชักงอตอนนั้นก็ยังได้
ก่อนร้อง Mr. Brightside Brandon ย้อนความหลังไปเมื่อเจอเพลงนี้ในคาสเซ็ตต์ที่ Dave ทำ ขณะเมื่อทั้งสี่ยังเป็นแค่ “lost souls” จากลาสเวกัส แต่นั่นก็ก่อนหน้าที่เพลงนี้จะมากระหึ่มเวทีในแบบนี้ได้ แบบที่ต่อกันมาทันที ในที่สุด ท่อน “I got soul, but I’m not a soldier” ก็ได้ร้องกันสนั่นลั่นฮอลล์ แล้ววงก็กลับไปและท้ายสุดกลับมาอังกอร์ด้วย Sweet Talk, The River Is Wild, Bones, Jenny Was A Friend Of Mine ท้ายสุดของโชว์ คือ When You Were Young กับผลุดอกไม้ไฟ
รายชื่อเพลงที่เล่นสดจากดีวีดี 1 Human 2 This Is Your Life 3 Somebody Told Me 4 For Reasons Unknown 5 The World We Live In 6 Joy Ride 7 I Can't Stay 8 Bling (Confession of a King) 9 Shadowplay 10 Smile Like You Mean It 11 Losing Touch 12 Spaceman 13 A Dustland Fairytale 14 Sam's Town 15 Read My Mind 16 Mr. Brightside 17 All These Things That I've Done 18 Sweet Talk 19 This River Is Wild 20 Bones 21 Jenny Was a Friend of Mine 22 When You Were Young บวก Interlude, Exitlude
Extras ของดีวีดีประกอบไปด้วย - Behind-the-Scene Documentary Including Interviews with Crew and Fans - Bonus Festival Performances ไลฟ์จากเทศกาลอื่นๆที่วงแสดง (จากลอนดอนทั้งนั้น) Tranquilize ที่ Oxegen Human ที่ Hyde Park Mr. Brightside ที่ Hyde Park Smile Like You Mean It ที่ V Festival When We Were Young ที่ V Festival - Fan’s Eye View
รายชื่อเพลงไลฟ์จากออดิโอซีดี Human This Is Your Life Somebody Told Me The World We Live In I Can't Stay Bling (Confessions Of A King) Shadowplay Smile Like You Mean It Losing Touch Spaceman A Dustland Fairytale Sam's Town (Acoustic) Read My Mind Mr. Brightside All These Things That I've Done Jenny Was A Friend Of Mine When You Were Young
*หมายเหตุ* ปีนี้ The Killers มีคริสต์มาสซิงเกิ้ลมาเหมือนเคย คือ Happy Birthday, Guadalupe ซึ่ง feat. Wild Light และ Mariachi El Bronx จะ release 1 ธ.ค. และเห็นว่าจะมี EP ที่มาพร้อมกับคัฟเวอร์ Hotel California (ซึ่งด้วยความเคารพว่าได้ยินแล้วค่อนข้างรับไม่ได้เท่าไหร่)
ตัวอย่างเพลง Happy Birthday, Guadalupe (ฟังแล้วต่อด้วย Hotel California ที่คัฟเวอร์นี่จะไปด้วยกันดีมาก)
ภาพรวมอัลบั้ม แม้จะยังลบภาพการเป็นวงวัดรอยเท้า Franz Ferdinand, The Killers, Editors หรือ Interpol ไม่ออก นั่นคือปัญหาที่วงยังเผชิญอยู่ กับการหยิบยืมโน่นนี้จากวงอื่นๆมา สไตล์การร้องแบบ The Cure หรือ New Order ของ Sam Endicott ถูกนำมาผสมด้วยซินธ์ที่มากขึ้นกว่าเดิมกับเพลงในบรรยากาศการาจ ซินธ์ร็อค ซาวนด์แบบ new wave ที่หลายแทร็กฟังยังไงก็ซ้ำซากแบบวงรุ่นเก๋าก่อนหน้าบวกกับวงเพื่อนร่วมรุ่นอื่นๆ แต่เพลงยังฟังได้บันเทิงอารมณ์ และพบมุมน่ารัก เก๋ๆได้บ้าง จังหวะเร่งเร้าแบบเต้นกระหึ่มฟลอร์แบบ I Have Seen the Future เพลงร้อนแรงอย่าง Hatefuck จังหวะจะโคนของกลองอันหนักแน่นของ The Spectator และ Jack-O-Lantern Man ที่มีซินธ์อันโดดเด่น แถมยังขยับแข้งขาโยกย้ายตามได้อีก การปรุงแต่งกลิ่นไซคีเดลลิคในเพลงอย่าง Sugar Pill และ She’s So Bendable ยังขาดความลงตัวและพยายามมากไป แต่ก็ไม่มีอะไรเลวร้ายหรือฟังแล้วโลกจะแตก
ฟังแล้วพวกเขาพัฒนาไปได้มากกว่าอะไรแบบ The Sun And The Moon แต่หากอยากสรรหาความแปลกใหม่วิเศษอลังการ เพราะหูเบื่อกับแนวดาดๆเทือกนี้แล้วล่ะก็ จงมองข้ามอัลบั้มนี้ไปได้เลย แต่อยากให้หูเบื่ออีกเพราะใจรักสดับจะฟังเพลงคึกคัก ติดหูง่ายก็คงไม่ผิดหวัง The Bravery พยายามหาเอกลักษณ์ของตัวเองมาถึงสามอัลบั้ม ดูเหมือนครั้งพวกเขาจะดิ้นรนจนหามันเจอในที่สุด Stir the Blood ไม่ใช่การสร้างความก้าวหน้าในวงการโพสต์พังค์ แต่ภายใต้ร่มเงาของตัวเอง The Bravery ยังมีที่ยืนให้พวกเขาเองอยู่พร้อมเพลงสนุกสนาน และการยืนยันความสามารถที่มีไม่ด้อยกว่าวงอื่นๆซึ่งดันโด่งดังโสภากว่าพวกเขาเองเท่านั้น
รายชื่อเพลง 1) Adored 2) Song For Jacob 3) Slow Poison 4) Hatefuck 5) I Am Your Skin 6) She’s So Bendable 7) The Spectator 8) T Have Seen The Future 9) Red Hands And White Knuckles 10) Jack-O’-Lantern Man 11) Sugarpill
เพลงแนะนำ: Slow Poison
Apparatjik
Apparatjik คือซูเปอร์กรุ๊ปที่รวบรวม Guy Berryman มือเบส Coldplay Magne Furuholmen มือคีย์บอร์ดและกีต้าร์ของ a-ha Jonas Bjerre แห่ง Mew กับ Martin Terefe ...ใครฟะ?!? เอ่อ เขาก็คือโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงชาวสวีดิชที่มาอยู่อังกฤษและเคยร่วมงานกับ KT Tunstall, Ron Sexsmith หรือ a-ha เองด้วย ก่อนหน้านี้ Apparatjik เคยทำเพลงธีมให้ซีรี่ส์ Amazon ของช่อง BBC2 มีเพลงอย่าง Ferreting ที่อยู่ในอัลบั้มการกุศล Songs for Survival มาแล้ว
ชื่อวงอ่านออกเสียงว่า ap•pa•ra•tchik เป็นภาษาสวีเดนของคำว่า apparatchik ซึ่งหมายถึงสมาชิกหรือสายลับขององค์กรคอมมิวนิสต์ ตอนนี้วงกำลังอยู่ในช่วงทำอัลบั้มแรกที่พวกเขาบันทึกเสียงที่สตูดิโอของ Magne ที่นอร์เวย์ ก่อนหน้านี้มีเพลงหลายเพลงปล่อยออกมาทางอินเตอร์เน็ต เช่น Snow Crystals, Frozen Fingers, Flum, Self Torturers หรือ 4Could Keep aSecret If3Of Them Were Dead รวมทั้ง Electric Eye ที่จะเป็นซิงเกิ้ลแรกในอัลบั้มใหม่ซึ่งสามารถโหลดฟรีที่ เว็บวง ได้ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. เป็นต้นไป
บางเพลงของวงคาดว่าเสียงร้องน่าจะมี Guy ด้วย เพราะฟังแล้วไม่ใช่เสียง Jonas หรือ Magne แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังยืนยันไม่ได้ว่าเพลงทั้งหลายนั่นเป็นเสียงของใคร รวมถึงsample ของ Electric Eye ที่ออกมานั่นด้วย จึงได้แต่คาดเดากันไปจนกว่าจะได้ฟังเต็มๆหรือได้รับการยืนยันจากวงเอง
เพลงที่ถูกใช้เป็นเพลงนำและ release เป็นซิงเกิ้ลอย่าง Meet Me On The Equinox ของ Death Cab For Cutie ซึ่งต้องขอบคุณที่ Ben Gibbard ยังคงทำเพลงให้เป็น Death Cab แบบเดิม ถึงเพลงจะตั้งใจเขียนเพื่อหนังโดยเฉพาะ แต่ Death Cab ก็คือ Death Cab ของพวกเขาเองและแฟนๆอยู่ ไม่ใช่ Death Cab เพื่อ New Moon หรือ Stephenie Meyer แต่ไฮไลท์สำคัญคงอยู่ที่ ฯพณฯ Thom Yorke กับ Hearing Damage เขากลับเอางานบรรยากาศอิเล็กโทรในห้วงอารมณ์หม่นเศร้า ลอยในอวกาศมาอีกครั้งและไม่ผิดหวัง Lykke Li กับแค่เปียโนและการคร่ำครวญใน Possibility ก็ให้อารมณ์ต่อเนื่องได้ดี
ขณะที่ Bon Iver กับ St. Vincent จับมือกันปล่อยของใน Roslyn เพลงกลิ่นโฟล์คอคูสติกขนลุก ลอยหลอน เพราะและซึ้ง เสียง St. Vincent เองยิ่งดูมีมิติมากขึ้นเมื่อเข้าคู่กันกับเสียงสูง เย็นของ Bon Iver กระทั่ง The Killers ยังทำเพลงมาแนวแปลกจากตัวจริง A White Demon Love Song คืองานชิ้นโบว์แดงกว่าบางเพลงในชุดล่าสุดด้วยซ้ำ จำ Goodnight, Travel Well จาก Day & Age ได้ใช่ไหม นี่คือภาคต่อในเวอร์ชั่นไม่เศร้าหมอง
Editors กับเพลง No Sound But the Wind ยังเพราะกว่าเพลงที่เป็นซิงเกิ้ลแรกในอัลบั้มล่าสุดนั่นด้วยซ้ำ ส่วน I Belong to You ของ Muse ทำใหม่แล้วก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา เวอร์ชั่นในอัลบั้มก็ดีอยู่แล้ว ไม่ฟังก็ไม่เสียหาย เข้าใจว่าไปมิกซ์ใหม่ให้เหมาะกับตัวหนัง เลยต้องทำให้มันแย่ลง(?) แต่ที่สุดยอดเพลงอีกหนึ่งต้องยกให้ Slow Life ของ Grizzly Bear ที่มี Victoria Lagrand ของ Beach House มาร่วมแจม ในเมื่อมันออกมาอลังการและสวยงามแบบนี้น่าจะย้ายมาอยู่วงด้วยกันซะเลย
รายชื่อเพลง
Death Cab for Cutie - Meet Me on the Equinox Band of Skulls - Friends Thom Yorke - Hearing Damage Lykke Li - Possibility The Killers - A White Demon Love Song Anya Marina - Satellite Heart Muse - I Belong to You (New Moon) Bon Iver & St. Vincent – Roslyn Black Rebel Motorcycle Club - Done All Wrong Hurricane Bells - Monsters Sea Wolf - The Violet Hour Ok Go - Shooting the Moon Grizzly Bear - Slow Life Editors - No Sound But the Wind Alexandre Desplat - New Moon (The Meadow)
I Belong To You (+Mon Cœur S'ouvre à ta Voix)แจ๊ซ+วอลซ์แฝงด้วยความป็อปปี้น่ารักน่าชัง จังหวะโจ๊ะน่าประหลาดของเปียโนถูกเสริมด้วยเสียงเครื่องเป่า การร้องภาษาฝรั่งเศสของ Matt ในตอนท้ายชวนน่าขัน แต่ก็ช่างปะไร เข้าใจอารมณ์คุณ Matt เขาหน่อยก็แล้วกัน
แล้วก็มาถึงซิมโฟนีอลังการงานสร้างสามส่วน Exogenesis: Symphony เปิดตัวที่ Part I Overture เหมือน Radiohead โดนจับใส่ยานเอาไปท่องนอกโลกกับวงซิมโฟนีจากดาวอังคารที่มี Matt Bellamy เป็นคอนดัคเตอร์ เครื่องสายงดงามตามแบบโทนคลาสสิก แต่ที่เข้ากันได้กลมกลืนคือเสียงกีต้าร์ครางเข้ากันได้เพราะพริ้ง Matt ได้โหยหวนแบบถึงใจเป็นครั้งแรกในครานี้แล้ว
Part II Cross Pollinationสรรพเสียงเปียโนพริ้มเพรานุ่มนวลกินใจไปก่อนในช่วงต้น จังหวะถูกเร่งเร้าขึ้นตรงกลางกับเสียงร้องจริงจัง ปิดท้ายด้วยเปียโนงดงามอีกครั้ง
Part III Redemptionไม่มีแทร็คไหนจะปิดท้ายความเป็นมหากาพย์ได้ดีกว่านี้อีกแล้ว การบีบอารมณ์ที่อาจทำให้น้ำตาซึมหรือหลับตาพริ้มอย่างสบายใจในช่วงแรกๆด้วยเมโลดี้งดงามเหนืออื่นใด ร่างกายถูกนำพาให้มุ่งสู่บรรยากาศผ่อนคลายดุจดังสายลมเบาบางกำลังโอบไล้ผิวกาย ใจสะท้านด้วยเสียงร้องโหยหวนที่กล่อมเกลาความคมชัดให้ห้วงโน้ตทุกตัวดนตรี
ฉันไม่ได้ฝันไป Muse กลับมาแล้วจริงๆ และขอบคุณสำหรับ The Resistance
มีข้อแนะนำสำหรับผู้ชอบความโจ๊ะ สะเด่าดิบทรวงดั่งอดีตกาลของวงนี้ว่า ควรเปิดใจให้กว้าง และทิ้งความรู้สึกนี้ไปสักหน่อยก่อนฟังทั้งอัลบั้มจะเป็นผลดีอย่างยิ่ง แต่อันที่จริง เชื่อว่าแฟนๆ Arctic Monkeys เมื่อทราบข่าวคราวการมาโปรดิวซ์ร่วมของ Josh Homme แห่ง Queens of the Stone Age หรือได้ฟัง Crying Lightning ไปแล้ว คงเตรียมตัวเตรียมใจไว้พอดู
การเปลี่ยนแปลงและเติบโตของพวกเขาหรืออิทธิพลและแนวทางของอัลบั้ม ก็มีข่าวมาอยู่เรื่อยๆ ฉะนั้น การที่จะช็อคตาตั้งอกแตกตายกับการฟังงานใน Humbug จึงไม่อยู่ในวิสัยที่ควรจะเป็น เว้นเสียแต่ว่า คุณจะเกลียด The Last Shadow Puppets แบบเข้ากระดูกดำเท่านั้น
ในแทร็กแรก My Propeller กลองกระหน่ำมาในช่วงอินโทรหลอกคนฟังว่ามันจะโจ๊ะได้แบบ Brianstorm แต่พอเพลงเปิดตัวเสียงแบบกำลังจะง่วงของ Alex Turner ก็ดุนดันคนฟังให้รีบถลาเข้าไปสู่อ้อมกอด Josh Homme ในทันใด
Dangerous Animals มีเสียงร้องที่แปลกไปของ Alex และท่วงทำนองในโทนเดียวนอนมาตอนแรก เพลงยังเป็นการเริ่มต้นเปิดฉากให้ความเร้าใจหลังจากสองแทร็กแรกผ่านไปแบบเนิบๆ โดยเฉพาะโหมดสะเด่าเร้าอารมณ์ช่วงท้าย ทั้งยังมีการสร้างความโดดเด่นให้ Nick กับการโชว์ลีลาเสียงเบส เพลงนี้ฟังแรกๆแล้วยังไม่สุด ไม่อิ่ม เผลออยากจะเร่งสปีดให้เพลงมันเร็วกว่านี้ คงจะมันส์ได้พิลึก แต่หากเป็นเช่นนั้นคงผิดคอนเซ็ปต์ Humbug ไป
Secret Door ไพเราะด้วยลิงขั้วโลกในกลิ่นเดิมที่ยังสัมผัสได้ หลังจากเริ่มต้นด้วยความนุ่มนวลชวนฝัน ช่วงที่กลองรัวตุบตับขึ้นมานั่นกินใจฉันเป็นอย่างดี เพลงมีการการร้องในโทนที่รัวเร็วขี้นมาบ้าง สลับไปมากับการเข้าไปสู่โหมดเชื่องช้า ช่วงนาทีสุดท้ายของเพลงเจ๋งมาก
Potion Approaching ยอมรับว่าตอนฟังครั้งแรก นี่เป็นแทร็กที่หงุดหงิดที่สุด และก็ยังคงเป็นเพลงโปรดน้อยสุดในอัลบั้มอยู่ ที่ฉันชอบคือกีต้าร์ริฟฟ์และช่วงจังหวะช้าๆก่อนจบลงที่โจ๊ะตรงท้ายเพลงซึ่งถือว่าฟังแล้วโอเค แต่พอ Alex มาร้องแล้วมันแปลกและรัวมั่วกันเกินไป
Fire and The Thud แม้เริ่มต้นดูน่าเบื่อ แต่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาตัดสินใจถูกที่ทำมันในเวอร์ชั่นใหม่ที่แปลกกว่าเดิมเข้าไปแทนที่แบบอคูสติกเวอร์ชั่นซึ่งเคยมีมา อันนี้อาจสร้างความแปลกใจให้สำหรับที่เคยได้ยินเวอร์ชั่นนั้นมา เสียงที่โผล่มาของ Alison Mosshart ในช่วงท้ายเพลงและจังหวะเร่งเร้าขึ้นลบความน่าเบื่อของเพลงไปได้ดี
Pretty Visitors ในอารมณ์ที่ก้ำกึ่งหรือหยวนๆได้ว่าให้ความรู้สึกพอๆกับเพลงในสไตล์โจ๊ะแดนซ์แบบที่ผ่านมาซึ่งคุ้นเคยกันดีของวง และนี่ก็คือสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดแล้วสำหรับคนที่ตั้งตาคอยอะไรแบบนั้น การสาดกลองของ Matt Helders อย่างเมามันส์ในท่อนคอรัสคือไฮไลท์สำคัญ
ท่อนนี้ “what came first, the chicken or the dickhead” ฮาาาาาา
The Jeweller's Hands โอววว The Last Shadow Puppets ชุดที่สองหรอกหรือเนี่ย ตรงอินโทร ตึ่ดๆๆๆๆๆ ฟังแล้วคิดไม่ออกว่ามันดูเหมือนอะไรสักอย่าง คิดว่าประมาณสกอร์สักอันหนึ่งในหนัง Ocean's ไม่ก็สกอร์ James Bond แทร็กนี้ฟังดูยาวเกินความจำเป็นไปนิด แต่โครงสร้างโดยรวมของเพลงไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย