Group Blog
 
All blogs
 

สวนพฤกษศาสตร์ แห่งซิดนีย์

สำหรับคนที่ชอบต้นไม้ ดอกไม้ ถ้าไปถึงโอเปราเฮาส์ แล้วถ้าจะไม่เข้าไปใน สวนพฤกษศาสตร์แห่งซิดนีย์ หรือ Royal botanic Garden
ก็คงไม่อาจพูดได้ว่าเป็นคนรักต้นไม้ตัวจริง



แต่การที่จะเดินเที่ยวชมให้ครบรอบสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ จะต้องใช้เวลากันเป็นวันๆ เลยทีเดียวครับ เพราะมีสิ่งน่าสนใจหลากหลายมาก เพียงแค่เดินเข้าไปเพียงเล็กน้อย ก็มีต้นไม้ทั้งพันธุ์พื้นเมือง และพันธุ์ต่างประเทศอยู่เป็นจำนวนมหาศาล

ก่อนหน้าที่จะก่อตั้งเป็นสวนพฤกษศาสตร์ บริเวณหัวแหลมนี้เป็นที่ตั้งของฟาร์มเลี้ยงสัตว์มาก่อน จนในปี 1816 ที่ มีผู้ว่าการมลรัฐ นามแมคไควร์รี (Macquarie) ได้พยายามสร้างให้กลายเป็นสวนพฤกษชาติ เนื่องจากภรรยาของท่านชอบที่จะนั่งรถม้ามานั่งเล่นบริเวณนี้

และในปัจจุบันบริเวนสวนพฤกษศาสตร์ก็ตั้งอยู่ที่ ถนนมิสซิสแม็กไควร์รี่ (Mrs. Macquarie's road)
ส่วนปลายสุดของแหลมที่ได้ชื่อภายหลังว่า Mrs. Macquarie’s Point รวมถึงโขดหินบริเวณสุดปลายแหลม ก็ได้ชื่อว่า Mrs. Macquarie’s Chair ซึ่งผมก็ลองเดินหาเสียตั้งนาน จนมารู้ทีหลังเมื่อได้อ่านจากเวบไซต์ของสวนนี้เองว่า ไม่มีเก้าอี้ตั้งไว้หรอก

ถ้าจะเที่ยวสวนนี้กันจริงๆ คงต้องใช้เวลากันสัก สามวันเป็นอย่างน้อย เพราะที่นี่มีทั้งสวนปลูกพืชพื้นเมืองจากแถบต่างๆ ทั่วออสเตรเลีย สวนเมืองร้อน สวนปาล์ม สารพัด รวมถึงมีโดมเรือนกระจกเป็นรูปปิรามิดแก้ว อย่างหรู (เสียดายไม่ได้เดินเฉียดไปเลย ก็เพราะมันใหญ่มหาศาล ผมก็เลยทำใจว่า ไปเดินเล่นธรรมดาๆ ก็ได้)

แต่ที่โชคดีคือวันนั้นมีการจัดแสดงนิทรรศการภาพวาดเชิงพฤกษศาสตร์อยู่ด้วย โดยเขาจัดแสดงในอาคารเก่าแก่ ใกล้กับสุดปลายแหลมแถวๆ เก้าอี้ของมิสซิสแมคไควร์รี่ เลยทีเดียว เล่นเอาเดินกันขาลาก



แต่ก็มีโอกาสเดินผ่านฝูงค้างคาวขนาดใหญ่ จำนวนนับร้อยนับพันตัว ตอนแรกที่เดินเข้าไปในสวนก็ถือกล้องดูนกไปด้วยครับ มีทั้งเป็ด นกกระตั้ว นกช้อนหอยออสเตรเลีย นกที่นี่เชื่องมากขนาดเดินหากินใกล้ๆ คนเลย ดูโน่นดูนี่จนมองไปเจอค้างคาวนั่นแหละครับ ช๊อคไปเลย เพราะมีจำนวนมหาศาล เป็นค้างคาวกินผลไม้ที่อยู่มานานแล้ว ตกกลางวันก็มานอนพักผ่อนที่นี่ กลางคืนก็ไปหากินที่อื่น

ผมเดินเข้าไปชมสวนเฟิน เพราะชอบเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว มีเฟินต้น และก็เฟินเฉพาะถิ่นอยู่เยอะทีเดียว เสียอย่างเดียว ไม่มีเฟินชายผ้าสีดาที่อยากเห็น อย่าง เฟินชายผ้าสีดาซูเปอร์บัม แต่ว่าชายผ้าสีดาพื้นๆ อย่างไบเฟอร์คาตัม นี่มีให้เห็นพอควร

ถ้าใครไม่รู้จักต้นไม้เลยก็ไม่เป็นไรนะครับ ไม่จำเป็นต้องจำชื่อด้วย พวกที่ไปด้วยกันก็ไม่ใช่คนบ้าต้นไม้เหมือนผมเสียเท่าไร แต่ว่าการที่ได้เดินเล่นในยามทีท้องฟ้าปรอดโปร่ง อากาศบริสุทธิ์ มีเสียงนกร้อง แล้วก็มีโอเปราเฮาส์ กับสะพานฮาเบอร์เป็นฉากไกลๆ นี่ก็เป็นช่วงเวลาพิเศษแล้วละครับ

ยิ่งได้เข้าไปดูงานนิทรรศการภาพวาดเชิงพฤกศาตร์ นี่ก็ยิ่งทำให้ผมมีความสุขมากขึ้นไปอีกมากเลยทีเดียว เพราะผลงานที่นำมาจัดแสดงนั้นเป็นผลงานของมือสมัครเล่นที่จริงจัง เหมือนผลงานของมืออาชีพ หรือว่าจะเรียกว่ามืออาชีพดีครับ เพราะว่าขายได้ในราคาภาพละหลายร้อยเหรียญเลย



ผลงานเหล่านี้จัดแสดงอยู่ใน Lion Gate Lodge สร้างมาตั้งแต่ปี 1878 เดิมเป็นอาคารที่พักของผู้ว่าการ ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นทีทำการของกลุ่มเพื่อนสวน
เป็นอาคารสีขาวสองชั้น สวยงามมาก เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่า ไปเที่ยวครั้งนี้ ถ่ายรูปมาไม่ได้เรื่องเลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ที่เอามาให้ดูนี่ก็เป็นภาพที่ พอรับได้แค่นั้นเองครับ



อย่างไรก็ดี ผมใช้เวลาอยู่ในสวนนี้ประมาณ 2 ชั่วโมง เพราะว่าแค่เดินจากโอเปราเฮาส์ มาจนถึงประตูสิงห์นี่ก็ใช้เวลากว่าชั่วโมงแล้วครับ และเพราะว่าเป็นวันแรกๆ ที่ไปถึง ก็เลยคิดว่า เดี๋ยวจะกลับมาดู มาเที่ยวที่สวนนี้ใหม่อีกกี่ครั้งก็ได้ แต่ในที่สุดก็ไม่ได้เข้ามาที่สวนนี้อีกเลย เพราะตลอดเวลาสองสัปดาห์ที่ไปเที่ยวที่โน่น มีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจ และรู้สึกว่า "ซิดนีย์" ที่ใครๆ บอกว่าไม่มีอะไร มีอะไรที่น่าสนใจอยู่มาก

เดี๋ยวค่อยๆ มาค้นหาความทรงจำในซอกสมองไปเรื่อยๆ นะครับ




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2550 14:25:46 น.
Counter : 1238 Pageviews.  

ไปดูงานศิลป์ ที่ Art Gallery of New South wales

ใครเป็นคนรักงานศิลปะบ้างครับ

ไม่มีใครยกมือขึ้นเลยสักคน

เพราะว่าบ้านเมืองของเรา เมืองไทยของเรานี่และการศึกษาด้านศิลปะบ้านเรานี่แหละที่ทำให้หลายๆ คน ไม่คุ้นเคยกับการไปเที่ยวชมงานศิลปะ ไม่รู้ทำไม

แต่แปลกใจเสมอเมื่อเห็นคนส่วนใหญ่ที่รักการท่องเที่ยว เมื่อได้ไปเมืองไหน ก็มักจะขอมีเวลาสักนิดเพื่อเยี่ยมเยียน พิพิธภัณฑ์ หรือหอศิลป์ในต่างประเทศ อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรสนิยมส่วนตัว หรือการบ่มเพาะจากสิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนด



เช่นเดียวกันครับ หลังจากไปเดินเล่นรอบ โอเปราเฮาส์แล้ว ก็เลยเดินตัดทะลุ สวนพฤกษศาสตร์แห่งซิดนีย์ ออกไปอีกฟากอ่าว แล้วเดินอ้อมกลับมาทาง ไฮด์ปาร์ก และตรงซ้ายมือนั่นเองที่เราเห็นอาคารยาว สีน้ำตาล ด้านหน้ามีเสาแบบโรมันตั้งเรียงราย ป้ายด้านบนเขียนไว้ว่า

Art Galley of Nea South Wales

หอศิลป์แห่งนิวเซาท์เวลส์นี่ตั้งอยู่ริมอ่าว woolloomooloo ซึ่งแต่เดิมหอศิลป์นี้อยู่ในอาคารบนถนน Elizabeth และก่อตั้งขึ้นตั้งแต่เมื่อปี 1875 แต่กว่าจะได้มาอยู่ริมอ่าว และมีรูปร่างของอาคารอย่างปัจจุบันนี้ ก็ใช้เวลาเกือบ 100 ปีทีเดียว

จริงๆ แล้วอาคารก็ก่อสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนแรกมีอาคารด้านหน้า แล้วก็ก่อสร้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนรัฐนิวเซาท์เวลส์ตัดสินใจเปิดอาคารนี้อย่างสมบูรณ์ในปี 1970 เพื่อร่วมฉลองในงานครบรอบ 200 ปี แห่งการค้นพบออสเตรเลียของกัปตันคุก ใครอยากรู้เรื่องละเอียดๆ ไปตามอ่านได้ในเวบไซต์นี้ครับ

//www.artgallery.nsw.gov.au/aboutus/general

ตอนที่เดินเข้าไปภายในนั้น ตอนแรกก็กะว่าจะเอากล้องไปถ่ายภาพเสียหน่อย แต่ด้วยความเป็นกะเหรี่ยงแบกเป้ใบใหญ่ มีทั้งร่ม ขวดน้ำ แถมท่าทางกะเร้อกะรัง คุณยามก็เลยบอกว่า มาทางนี้ มาฝากของเสียดีๆ

แถมกล้องเราก็ตัวไม่เล็ก ก็เลยต้องฝากของไปตามระเบียบ (จริงๆ แล้ว ก็ถ่ายไม่ได้อยู่ดีแหละครับ เพราะภายในเขามีเจ้าหน้าที่คอยตรวจตรา ถึงจะพกกล้องตัวเล็กๆ ไปก็เถอะ)

ตอนที่จะตัดสินใจไปหอศิลป์นี่ ไม่ได้กะไปดูงานศิลปะหรอกครับ เพราะว่าจวนจะเย็นแล้ว แต่ก็เพราะเราอ่านเจอใบปลิวแถบๆ โอเปราเฮาส์ ว่าจะมีการแสดงเปียโน ไวโอลิน ของโมสาร์ท ก็เลยตาลีตาเหลือกเดินมา ไม่ทันดูว่าเขาจัดแสดงตอนกี่โมง พอมาถึงเขาแสดงไปตั้งแต่บ่ายแล้ว

มาทำไมตอนเย็นอย่างนี้เรา


ก็เลยไหนๆ ก็มาแล้ว เข้าไปดูงานศิลปะกันดีกว่า เดินเข้าไปด้านในนั้น เป็นห้องโถงใหญ่รูปไข่ ด้านขวามือเป็น ฮอลล์ ที่มีการจัดแสดงดนตรี กับอีกห้องที่มีงานศิลปะแสดงประวัติของเมือง มีทั้งภาพพิมพ์ ภาพสีน้ำมัน

อีกฝั่งหนึ่ง ก็จัดแสดงผลงานถาวร มีทั้งห้องยุโรป ซึ่งมีทั้งจิตรกรรม ผลงานของโมเนต์ ปิกัสโซ ฯลฯ เรียกว่ามีชิ้นงานระดับโลกให้ชมกันอย่างสบายใจ แต่เมื่อดูกันทั้งหมดแล้ว รู้สึกไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร อาจเพราะเคยเห็นภาพเหล่านี้มามากแล้วจากหนังสือศิลปะต่างๆ พอเห็นของจริงก็ เลยไม่ค่อยตื่นเต้น โดยเฉพาะเจ้าซุปกระป๋องแคมป์เบลล์ ของแอนดี้ วอร์ฮอลนี่ ดูแล้วเฉยมากกกกกก

กลับไปตื่นเต้นกับห้องเอเซียของเรานี่เอง เป็นงานแสดงงานแกะสลักไม้ของอินโดนีเซีย งานแกะสลักไม้ของอินเดีย แบบว่ายกแผ่นไม้ขนาดใหญ่เท่าบ้านมาจัดแสดงเลย มีผ้าปักเขมร พระพุทธรูปแบบจีน ญี่ปุ่น รวมถึงพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยของไทยเราด้วย ตื่นเต้นกว่ากันเยอะเลย


อีกห้องตรงปีกซ้าย เป็นห้องกระจกที่มองเห็นวิวของอ่าวได้อย่างสบาย มีเก้าอี้ให้นั่งพักด้วย เขาทำเป็นกรอบกระจกกว้าง ทำให้เห็นวิวด้านนอก แล้วแสงสีจะเปลี่ยนไปตามแสงของวัน สวยมากครับ

แต่ที่ชอบที่สุดคือร้านหนังสือครับ ร้านหนังสือเขามีหนังสือเกี่ยวกับงานศิลปะจำนวนมหาศาล เรียกว่าอยากได้หนังสือภาพ หนังสือเรียน จะถามถึงศิลปินคนไหน มีให้เลือกซื้อกันได้ตามสบายเลย รวมถึงของที่ระลึกหลากหลายรูปแบบ อิอิ คนที่มีงบประมาณมาสำหรับการเดินไป หาของฟรีไปเนี่ย ของที่ระลึกต้องไว้วันท้ายๆ วันนี้เข้ามาชมงานศิลปะให้เต็มอิ่ม เต็มใจอยากก่อน อย่างอื่นไว้ว่ากันทีหลัง




(ปกติหอศิลป์นี่จะเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 9 โมงเช้า ไปจนถึง 5 โมงเย็น และทุกวันพุธจะเปิดถึง 1 ทุ่ม ปีหนึ่งปิดแค่สองวันเท่านั้น คือ วันคริสต์มาส และวันศุกร์ก่อนอีสเตอร์ (Good Friday) หลังจากวันแรกนั้น วันพุธอีกวันหนึ่งเราก็ไปเที่ยวหอศิลป์นี้อีกครั้ง อยากจะบอกว่าร้านกาแฟที่นี่น่านั่งมากครับ ยิ่งตอนเย็นยามพระอาทิตย์ตกเนี่ย สวยที่สุดเลย)




 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 13 กรกฎาคม 2550 17:49:35 น.
Counter : 598 Pageviews.  

opera house ณ วันที่กลายเป็น มรดกโลก

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมานี้เอง องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ขึ้นทะเบียนให้สิ่งก่อสร้าง ที่เปรียบเสมือน สัญญลักษณ์ของเมืองซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลล์ ประเทศออสเตรเลีย " โอเปรา เฮาส์" เป็นมรดกโลก




จะว่าโชคดี ก็โชคดีละครับ ที่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมสถานที่ ที่เป็นมรดกโลก "รุ่นใหม่" แห่งนี้

ที่ว่าเป็นรุ่นใหม่ ก็เพราะ โอเปราเฮาส์ เพิ่งมีอายุเพียง 34 ปี โดยเมื่อเริ่มแรกนั้น มีความคิดกันว่าจะสร้าง "โรงอุปรากรแห่งซิดนีย์" บนพื้นที่ว่างบนแหลม ตรงข้ามสะพาน "ฮาร์เบอร์"

จึงทำการประกวดแบบกัน โดยผลงานที่มีรูปลักษณะคล้ายโบสถ์ ที่ออกแบบให้มีหลังคาโค้งคล้ายเปลือกหอยของ ยอร์น อุสซาน (Jorn Utzan) สถาปนิกชาวเดนมาร์ก เป็นผู้ชนะเลิศในปี 2500

แต่กว่าผลงานของเขาจะสร้างเสร็จ เวลาก็ล่วงเข้าไปถึงปี 2516 เนื่องด้วยปัจจัยทางการเงิน และการเมืองบางส่วน ซึ่งเรื่องนี้ไว้จะค้นคว้า แปลมาให้อ่านกันอีกครั้ง

ทางคณะกรรมการฯ มีมติให้สถานที่นี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ด้วยเหตุผลที่ว่า โอเปร่า เฮาส์ เป็นสถาปัตยกรรมยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 20 โดยมีการผสมผสานความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมไว้ได้อย่างกลมกลืน มีสภาพภูมิทัศน์ริมน้ำที่โดดเด่น หันหน้าไปสู่สะพานฮาร์เบอร์ และมีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมมายาวนาน

ใครที่ไปซิดนีย์ ก็คงอดไม่ได้ที่จะมุ่งไปยัง "โอเปรา เฮาส์" ไม่ได้ ค่าที่มันดึงดูดใจเสียยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ซึ่งเมื่อผมไปเที่ยวที่นั่นในช่วงเวลาสองสัปดาห์นั้น ไม่ว่าจะขึ้นเดินที่ ฮาร์เบอร์ บริดจ์ เดินเล่นที่ สวนพฤกษศาสตร์ นั่งเรือเฟอรี่ ข้ามไปสวนสัตว์ หรือไปที่ เดอะ แก๊ป ก็จะเห็นโรงอุปรากรแห่งนี้ ตั้งโดดเด่น น่าชม



วันที่เดินทางไปถึงนั้นเป็น วันอาทิตย์ พอดี ระหว่างทางจาก เซอร์คูลาร์ ควีย์ สถานีรถไฟฟ้านั้น ระหว่างทางมีกลุ่มนักดนตรีชาวอะบอริจิน แสดงผลงานของเขาอยู่ริมทางเดิน ผู้คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว เดินกันให้ขวักไขว่

อย่างไรก็ตาม ผมเดินมุ่งไปยังจุดมุ่งหมายของวันแรกนี้อย่างช้าๆ ในวันอาทิตย์ซึ่งอากาศแจ่มใสต้นเดือนเมษายนนี้ ซิดนีย์อยู่ในสายลมเย็นๆ อุณหภูมิราว 18-20 องศาเซลเซียส คนที่เพิ่งหนีความร้อนเกือบ 34 องศาจากเมืองไทยมา จึงรู้สึกแช่มชื่นเป็นพิเศษ ยิ่งเป็นครั้งแรกในการเดินทางมาต่างเมืองอย่างนี้ อะไรก็ล้วนแต่น่าตื่นตาตื่นใจ

ก่อนถึงบันไดขึ้น โอเปรา เฮาส์ มีซุ้มหลังคาสีขาวเรียงรายอยู่ เจ็ดแปดซุ้ม ภายในมีของกระจุ๊กกระจิ๊ก ภาพถ่าย โปสการ์ด ภาพวาด ของแต่งบ้าน ฯลฯ ดูน่าสนใจ นั่นเป็นตลาดนัดเล็กๆ ที่จะมีสินค้ามาขาย ซึ่งในซิดนีย์เองมีตลาดนัดหลายแห่ง ล้วนแล้วแต่น่าสนใจ

ผมเดินมาถึงบริเวณบันได ทางซ้ายมือคือประตูเพื่อเดินเข้าไปสวนพฤกษศาสตร์ เดินดูโอเปราเฮาส์จนรอบ มองหลังคาโค้ง ซึ่งเมื่อไปดูใกล้ๆ จะมีลวดลายเหมือนเกล็ดหอยจริงๆ (เวลาดูจากรูปถ่ายมักไม่ค่อยจะได้เห็น เพราะถ่ายมากลืนหายไปหมด) คนที่มาเยี่ยมชมนั้น มีทั้งคนมาดูข้างนอกอย่างเราๆ และคนที่เสียเงินซื้อตั๋วเข้าไปทัวร์ด้านใน ซึ่งเขาจะพาชมห้องต่างๆ ทั้งห้องแสดงโอเปรา ห้องแสดงดนตรี ฯลฯ หรือถ้าจะหรูหน่อยก็ซื้อตั๋วเข้าไปดูโอเปรากันเลยทีเดียว

ผมไม่ได้เข้าไปข้างในหรอกครับ แต่ก็ไม่ได้เสียดายอะไรมากนัก รู้สึกแต่เพียงว่า เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความสวยงาม ยิ่งใหญ่ และโดดเด่นจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อมองจากด้านนอก กลัวว่าเข้าไปด้านในแล้วจะเสียความรู้สึก ก็เลยไม่ได้เข้าไป (แต่ถ้ามีโอกาสไปคราวหน้า จะลองไปดูโอเปรา สักครั้งในชีวิต ท่าจะสนุกดีนะครับ)


ภาพนี้ ถ่ายจากมุมในสวนพฤกษศาสตร์ ครับ เป็นมุมมหาชนที่นิยมกันมาก แล้วจะมารำลึกถึงสวนพฤกษศาสตร์กันในโอกาสต่อไปนะครับ




 

Create Date : 04 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2550 15:18:15 น.
Counter : 764 Pageviews.  


เสือจุ่น
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add เสือจุ่น's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.