การเดินทางนอกจากจะทำให้จิตใจแกร่งขึ้นแล้ว...ยังช่วยบ่มเพาะความคิดให้เติบโตตามไปด้วย...
Group Blog
 
All Blogs
 
อินเดีย...เดินเดี่ยวสู่สิกขิม /กังต๊อก ตอน 36. หมู่บ้านหมอกโอบ

หมู่บ้านหมอกโอบ

 

...........

 

            ตื่นเช้าเก็บของเรียบร้อยแล้วยังไม่เห็นมีใครกรายออกมาจากห้อง อากาศหนาวพอสบายไม่มีฝนจึงเป็นช่วงเวลาดีที่ฉันจะได้สำรวจพื้นที่ใกล้ๆที่พักก่อนอาหารเช้า ถนนหน้าที่พักลาดยาวขึ้นไปบนเนินเขาซึ่งสูงขึ้นไปอีกไกล สองข้างทางเป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวยาวขนานไปกับถนน ตัวอาคารที่พักแต่ละแห่งแข่งกันทาด้วยสีสันหลากหลายดูสดใส เหนือประตูหน้าต่าง และตัวระเบียงถูกตกแต่งด้วยไม้ฉลุลวดลายสวยงามดูเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น

 

              ที่พักเกือบทั้งหมดปิดเงียบคงเพราะมิใช่หน้าท่องเที่ยวนั่นเอง มองจากสภาพภายนอกโดยรวมของอาคารที่พักแล้วส่วนใหญ่ก็เหมือนๆกัน จะแตกต่างกันออกไปบ้างก็ตรงรูปทรงของตัวอาคารและการตั้งชื่อที่ให้ความสำคัญกับคำที่อยู่ท้ายชื่อเพื่อให้ดูหรูหราต่างกันออกไปในความรู้สึกของคนอ่านหรือคนฟัง เช่น ส่วนใหญ่จะใช้คำลงท้ายชื่อเป็น เกสต์เฮ้าส์ โฮเต็ล รีสอร์ท หรือ ลอดจ์ เป็นต้น

 

           ฉันเงยหน้าสูดอากาศเย็นเข้าเต็มปอด ที่พักเหล่านี้ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาสูงที่มีเมฆหมอกขาวคลอเคลียตลอดเวลา มีทั้งที่เกาะกันเป็นกลุ่มๆและกระจายออกไปทั่ว กระท่อมชาวบ้านหลังหนึ่งแทรกตัวอยู่ระหว่างที่พักนักท่องเที่ยวแต่ลึกเข้าไปเกือบติดเขาสูง ตอนนี้ถูกคลุมไปด้วยหมอกขาวที่เรี่ยลงมาถึงพื้น ธงมนต์หลากสีปักเป็นทิวแถวตรงหน้ากระท่อมลางเลือนในสายหมอก ภาพตรงหน้าดูนุ่มนวลและเย็นชื่นเข้าไปถึงหัวใจ.....อยากจะตะโกนถามใครสักคนว่า.....‘ฉันฝันไปหรือเปล่านะ?...

 

            หลังอาหารเช้าเราออกเดินทางกันต่อ ระหว่างรถผ่านไปบนถนนแห่งรีสอร์ทน้องคนหนึ่งหันมาบอกว่า

เห็นรีสอร์ทแถวนี้แล้ว อยากเป็นเจ้าของรีสอร์ทบ้างจัง…”

 

              เส้นทางวันนี้ยังคงขึ้นเขาสูงคดเคี้ยวผ่านน้ำตกเล็ก -ใหญ่มากมาย สายน้ำเบื้องล่างคดเคี้ยวไปตามซอกเขาลึก วิวสวยจนสุดจะพรรณนา บางช่วงเบื้องล่างพื้นที่เป็นที่ราบทำการเกษตรจะมีบ้านเรือนปลูกกระจายแทรกไปบนพื้นที่ดังกล่าว หรือบางทีบ้านเรือนก็จะเห็นเป็นเพียงจุดเล็กลิบลิ่วเกาะติดแนบกับไหล่เขาฟากไกลโพ้นแม้มันจะดูเล็กและห่างไกลจากหลังอื่นๆ แต่ดูแล้วก็ยังพออุ่นใจได้เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นที่พักพิงทั้งกายและใจของมนุษย์เล็กๆที่อยู่ท่ามกลางป่าเขาและธรรมชาติอันยิ่งใหญ่

                บนเส้นทางที่ห่างไกลแม้จะดั้นด้นเข้ามาในซอกหลืบของขุนเขา เราก็ยังคงได้เจอกับด่านตรวจของทหารเป็นระยะๆ เช้านี้เจอไม่ต่ำกว่า 4-5 ด่าน และเมื่อถึงด่านหนึ่งที่ดูจะเป็นเหมือนค่ายทหารด้วย เราเลยแอบขอเข้าห้องน้ำและหลังจากนั้นเราก็ได้รับคำเชิญชวนจากทหารใจดีให้ร่วมดื่มน้ำชากาแฟพร้อมขนมอร่อยๆด้วย จากนั้นจึงได้รับคำตอบว่าเส้นทางแถบนี้อยู่ไม่ไกลจากชายแดนของจีนเท่าใดนัก ดังนั้นด่านตรวจทหารจึงยังคงจำเป็นที่จะต้องมีเป็นระยะๆ

 

               ซูดาบอกจะพาขึ้นไปชมวิวบนเขาสูงซึ่งเป็นจุดชมวิวสวยอีกจุดหนึ่งถ้าหมอกไม่มากเราจะสามารถมองเห็นชายแดนจีนจากจุดนั้นได้ แต่พอไปถึงจริงๆก็เป็นไปตามที่ฉันคาดไว้ในใจ เพราะแม้ฝนไม่ตกที่นั่นก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้นอกจากหมอกขาวที่คลุมไปทั่วที่พอมองเห็นได้ก็คือธงมนต์หลากสีที่ปลิวไสวแทรกตัวอยู่ในม่านหมอกบนยอดเขาเท่านั้น พวกเราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้วก็กลับลงมา

 

                เราแวะร้านน้ำชาเล็กๆที่ตั้งเด่นเดี่ยวๆหลังเดียวอยู่ริมทาง ดูแล้วคลาสสิกน่ารักเหมือนไปยกเอาห้องเก่าเล็กๆที่มีระเบียงมาวางไว้บนกองไม้แล้วเอาบันไดพาดให้ลูกค้าเดินขึ้นไปใช้บริการ ช่างเข้ากันได้ดีกับบรรยากาศเย็นๆกลางหุบเขากว้างที่โรยไปด้วยหมอกบางในยามนี้

                เด็กชายตัวน้อยแหวกม่านสีฟ้าพิมพ์ลายสไตล์ทิเบตออกมามองพร้อมส่งยิ้มสดใสน่ารักเต็มไปด้วยเสน่ห์ต้อนรับแขกกลุ่มเราที่มาเยือน ความบริสุทธิ์ของหนูน้อยคนนี้เล่นเอาเราสามคนหลงเสน่ห์ได้ในพริบตาและอดไม่ได้ที่จะต้องขอกอดถ่ายรูปด้วยคนละหลายแชะก่อนลาจาก

 

                 และแล้วเราก็มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ราบเชิงเขาชื่อหมู่บ้านถางกู (Thangu village) รถจอดให้ขึ้นไปเที่ยววัดทิเบตที่ตั้งอยู่บนเขา แต่พวกเราทั้งไทยและเบงกาลีก็เกิดอาการขี้เกียจเดินขึ้นเขากัน เลยขอแค่เดินชมบริเวณหมู่บ้านและถ่ายทัศนียภาพที่สวยงามรอบๆไว้

 

                 หมู่บ้านนี้ถูกโอบล้อมด้วยเนินเขาสลับซับซ้อนสูงขึ้นไปถึงเขาสูงไกลโพ้น บนเนินเขาเหล่านั้นประดับประดาไปด้วยธงมนต์หลากสีปักเป็นทิวแถวปลิวไสวด้วยสายลมเย็นยาวไปตามสันเขา ตรงตีนเขาท้ายหมู่บ้านมีแม่น้ำไหลแรง ริมตลิ่งประดับไปด้วยป่าบัวตองกำลังออกดอกชูช่อบานเหลืองเต็มที่ นับเป็นหมู่บ้านที่มีทัศนียภาพสวยงามมากๆแห่งหนึ่ง จากนั้นเราก็มานั่งพักทานขนมขบเคี้ยวเพลินๆกันหน้าร้านขายของริมทาง หายเหนื่อยแล้วก็มุ่งสู่ หมู่บ้านลาชุงเป้าหมายสุดท้ายสำหรับวันนี้

 

                เราถึงหมู่บ้านลาชุงท่ามกลางฝนพรำในช่วงเย็น หมู่บ้านนี้บ้านเรือนส่วนใหญ่ เรียงรายอยู่บนริมถนนทั้งสองข้างเป็นแนวยาวบนพื้นที่ลาดค่อนข้างราบผืนเล็กที่ขนานไปกับแม่น้ำ ลาชุง ซึ่งไหลลงมาจากภูเขาสูง

 

                ที่พักของเราตั้งอยู่ริมถนนด้านหน้าหันไปทางแม่น้ำ ฉันโชคดีได้พักห้องไต้หลังคา (roof top) อยู่ถึงชั้นสี่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างและไกล เมื่อมองข้ามหลังคาบ้านเรือนและที่พักฝั่งตรงข้ามซึ่งต่ำกว่าจะเห็นแม่น้ำลาชุงอยู่ด้านหลัง ลำน้ำสายยาวไหลแรงจนคลื่นแตกเป็นฟองขาวเสียงดังแว่วมาถึงที่ห้อง

 

              เหนือฝั่งแม่น้ำฟากโน้นขึ้นไปเป็นเนินเขาสลับซับซ้อนสูงขึ้นเป็นชั้นๆ ตอนนี้เมฆหมอกขาวลอยเป็นกลุ่มกระจายไปทั่วท่ามกลางฝนพรำ มันเป็นภาพที่ประทับใจฉันจริงๆ

 

               ฉันรีบเก็บของให้เข้าที่แล้วลงมาชั้นล่างเพื่อรอน้องสองคน เราจะไปดูสะพานข้ามแม่น้ำลาชุงกันก่อนที่ความมืดจะเยี่ยมกรายมา เจอซูดาอยู่ชั้นล่างเขาบอกว่า

 

คุณเดินไปบนถนนหน้าที่พักนี่แหละไม่เกิน 200 เมตรก็ถึงแล้ว

 

            ระหว่างรอน้องสองคน ซูดาได้เอากิ่งไม้ชนิดหนึ่งที่มีใบสีเขียวมาให้ดูแล้วบอกว่า

 

คุณรู้ไหม....ใบไม้ชนิดนี้เขาเอาไปทำธูปกัน ราคาแพงมากใบหนึ่งมีราคาถึง 50 รูปีเขาเด็ดออกมาหนึ่งใบแล้วขยี้ส่งให้ฉันดม กลิ่นธูปแรงและชัดเจนมาก ฉันเลยอดถามไม่ได้ว่า

ทำไมเขาไม่เอาไปขายกันเยอะๆล่ะ

เป็นไม้ที่หายากมาก จะต้องขึ้นไปหาบนภูเขามันมีไม่มากนักหรอกฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าที่เมืองไทยเราเขาใช้อะไรทำธูปนะ?...ฉันไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลยจริงๆ แต่ที่แน่ๆ อาชีพปลูกต้นไม้ที่เอาไปทำธูปน่าจะเป็นอาชีพที่มีสิทธ์เป็นมหาเศรษฐีในอินเดียได้ไม่ยากหากใครมีความรู้และเชี่ยวชาญในการเพาะและปลูกต้นไม้ชนิดนี้ในเชิงพาณิชย์ได้

 

                รอน้องสองคนได้พักใหญ่ ไม่เห็นลงมาก็เลยตัดสินใจไม่รอเพราะมีเวลาไม่มากก่อนที่ความมืดจะมาเยือน อีกทั้งเราไม่ได้นัดกันจริงจังนัก

 

                 ฉันเดินฝ่าสายฝนปรอยผ่านบ้านเรือนและที่พักสองข้างทางที่ดูเงียบเชียบ ไม่นานก็ถึงสะพานเหล็กข้ามแม่น้ำลาชุง ใต้สะพานสายน้ำเชี่ยวกรากกระแทกหินก้อนใหญ่เสียงดังน่ากลัวจนไม่กล้าเดินไปบนสะพาน

                    ธงมนต์หลากสีโยงรยางค์ไปบนราวสะพาน ริ้วธงปลิวกระพือไปตามแรงลมเกิดเสียงดัง ผับ ผับ 

 

                  รอบๆบริเวณนั้นมองหาผู้คนไม่เจอมีเพียงขุนเขาสูงทมึนอยู่เบื้องหน้า ทุกอย่างดูเงียบเหงาวังเวงชอบกล ฉันออกจะรู้สึกหวั่นไหวกับบรรยากาศรอบๆตัวในยามนี้เลยรีบหันหลังกลับ แต่พลันก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจอเข้ากับเด็กน้อยสองคนหน้าตาเกรอะกรังด้วยนำมูกกำลังเดินเข้ามาประชิดดวงตากลมโตพุ่งเป้ามาที่ฉัน ทั้งคู่ยื่นมือออกมาเพื่อขอเงิน ความรู้สึกหวาดๆเกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล ฉันรีบเดินเลี่ยงจากมาด้วยความรู้สึกกลัวๆแกมหดหู่กับบรรยากาศรอบๆอย่างบอกไม่ถูก และก็เพิ่งเหลือบเห็นกระต๊อบพังๆหลังเล็กพิงอยู่ข้างหินก้อนโตตรงตีนสะพาน...เด็กสองคนคงออกมาจากที่นี่เป็นแน่...

 

                อาหารมื้อค่ำวันนี้ซูดานัดค่อนข้างดึก เราลงมารวมกันที่ห้องโถงชั้นล่างของอาคารซึ่งเป็นทั้งห้องครัวและห้องอาหาร รวมทั้งดูเป็นผับกลายๆได้ในยามค่ำคืน... ใช่แล้ว...วินาทีนี้ภายในห้องสลัวมีแต่เหล่าคนจรหัวใจเดียวกันที่ดั้นด้นจากทุกสารทิศมาอยู่รวมกันโดยมิได้นัดหมาย มีทั้งจากยุโรป อเมริกา หรือชาวเอเชีย เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น รวมทั้ง ชาวไทยหน้าตากะเหรี่ยงอย่างเราสามคน

 

               คนพวกนี้ส่วนใหญ่เขาจะแชร์ทัวร์กันมาเที่ยว แม้จะแปลกหน้าต่อกันนั่นไม่ใช่ประเด็นที่จะทำให้พวกเขาเฉยเมยให้กันและกัน แต่กลับกลายเป็นโอกาสที่จะได้เล่าขานสิ่งที่พานพบสู่กันฟังพร้อมแลกเปลี่ยนข้อมูลใหม่ๆให้กันและกัน บ้างก็เป็นโอกาสได้เชิญชวนกันร่วมทางไปบนเส้นทางเดียวกันในทริปต่อไปด้วยต้องอัธยาศัยและใจตรงกัน

 

               บางกลุ่มดูรื่นรมย์กับการจิบเบียร์เบาๆเคล้าการหยอกเย้ากันและกันด้วยคำพูดไปมา นี่คือช่วงเวลาที่ทุกคนรู้สึกอิสระจากสิ่งพันธนาการของชีวิตที่เคยมี นับเป็นโอกาสที่จะได้ปลดปล่อยออกไปตามอารมณ์ปรารถนา... เพลานี้ดูทุกคนจะเหลือแต่ความเพลิดเพลิน ปลอดโปร่ง โล่งสบายกับสหายร่วมการณ์เดียวกัน บรรยากาศโดยรวมดูช่างผ่อนคลาย...และเบาสบาย.....จนใครบางคนข้างๆกระซิบว่า

 

                  “ อยากจะหยุดเวลาไว้ตรงนี้ตลอดไป....

 

                 เราสามคนจำต้องขึ้นไปนอนทั้งๆที่ยังอาวรณ์กับบรรยากาศที่ชวนหลงใหล.... พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้าตรู่สู่หุบเขาแห่งดอกไม้ที่ฝันถึงมานาน...

 

                 ฉันซุกตัวเข้าถุงนอนที่นำติดไปด้วย มันนุ่มและอุ่นสบาย เสียงน้ำไหลแว่วมาแต่ไกลเหมือนจะกล่อมให้หลับไวไวแต่ใจกลับอยากจะฝืน บรรยากาศค่ำคืนนี้เป็นสุขจนบอกไม่ถูก ....

 

 

 

....................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 25 พฤษภาคม 2555
Last Update : 4 มิถุนายน 2564 15:14:27 น. 0 comments
Counter : 669 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

SmileIce
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"คนฉลาดที่อยู่แต่ที่เก่า...ไม่เท่าคนโง่ที่เดินทาง.."
จากหลวงปู่หล้าตาทิพย์ วัดป่าตึง


"การเปลี่ยนแปลง...ต้องนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า..."

New Comments
Friends' blogs
[Add SmileIce's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.