Thewinner
 

บันทึกจากอินเดีย ตอนที่ 1 พุทธคยา

  ห่างหายไปจาก Blog นานแสนนาน วันนี้จะพาเพื่อน ๆ ไปแสวงบุญกันนะคะ

ทริปนี้เกิดขึ้นเนื่องจากคุณนายแม่ อยากไปแสวงบุญที่อินเดีย เนื่องจากเมื่อสองปีก่อน เคยซื้อทัวร์ให้แม่ไปแล้ว แต่ว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เนื่องจากก่อนเดินทางประมาณสองอาทิตย์ แม่เกิดพลัดตกบันได
ทำให้หัวฟาดพื้น และมีเลือดคั่งในสมอง คุณหมอจึงไม่อนุญาติให้เดินทาง ทำให้ในครั้งนั้นอดไปค่ะ ที่สำคัญเสียเงินค่าทัวร์ไปฟรี ๆ ค่า Y_Y

รอบนี้เลยขอแก้มือไปใหม่อีกรอบ
เริ่มกันจากที่สุวรรณภูมิกันเลยนะคะ 
คุณนายแม่พร้อมลุยแล้วค่า

ทริปนี้สบายหน่อย บินไปกับสายการบินแห่งชาติ ไปถึงเมือง Kolkata ประมาณตีสอง หลังจากรับกระเป๋าแล้วก็เดินสะลึมสะลือไปขึ้นรถ เพื่อไปยังพุทธคยา โดยใช้เวลาในการนั่งรถประมาณ 11 ชั่วโมงกว่าจะถึง (ระยะทางประมาณสี่ร้อยกว่ากิโลเมตร แต่ใช้เวลานานมาก Y_Y)

เช้าแล้วแวะพักทานชาที่ร้านสักหน่อย 
ป้ายชื่อของกินและราคา มีใครอ่านออกบ้างคร๊า ช่วยแปลให้ด้วยจ้า
ร้านชา ระหว่าง Kolkata กับ Budgaya

บรรยากาศภายในร้าน จะเห็นรูด้านล่าง นั่นคือเตาเอาไว้ใส่ถ่าน โดยถ่านของคนที่นี่เค้าจะใช้ขี้วัวผสมกับฟางแล้วปั้นให้เป็นก้อน หลังจากนั้นจึงตากให้แห้งแล้วค่อยนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการทำอาหาร
ที่ร้านนี้แวะชิม การำจาย (เครื่องดื่มยอดฮิตของคนอินเดีย เป็นชาใส่นมแพะ รสชาดจะออกหวาน ๆ หน่อย แต่ไม่เหมาะกับคนธาตุอ่อน เพราะเราชิมไปนิดนึง ตอนกลางคืนท้องเสียเลยจ้า)



ไปถึงพุทธคยาแล้ว แลกเงินรูปีไว้ใช้สักหน่อย เรทที่เราแลกกับหัวหน้าทัวร์จะได้เป็น 100 บาท = 185 รูปี แต่เพื่อน ๆ ที่จะไปแลกกับแขกที่นั่น ต้องระวังดี ๆ นะคะ เพราะอาจจะมีทั้งแบงค์ปลอม หรือ อาจจะได้รับเงินไม่ครบ (ระหว่างนับเงินอยู่ แขกอาจจะหายไปแล้วก็ได้ เรื่องนี้หัวหน้าทัวร์เตือนมาค่ะ)


หลังจากเก็บของไว้ในที่พักเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางไปยังพุทธคยากันต่อเลยจ้า (ห่างจากที่พักประมาณ 2 กิโล) เข้ามาในเขตชุมชนแล้วรถก็เริ่มเยอะขึ้น ถนนก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่เมื่อเทียบกับบ้านเราแล้ว แต่สำหรับคนที่เคยไปแสวงบุญเมื่อหลายปีก่อนอาจจะเห็นว่าดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ


ตรงหน้าทางเข้าพุทธคยาก็จะมีของขายเรียงกันเป็นแผง จับจ่ายให้สอยกันตามสะดวก คล้าย ๆ บ้านเราเลยค่ะ


ถึงแล้วค่ะ พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจดีย์ดูยิ่งใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้มากเลยค่ะ เพราะจากที่ได้ยินมา เห็นว่าพระพุทธศาสนาได้ล่มสลายในอินเดียตั้งแต่เมื่อ 1500 ปีก่อน เลยไม่คิดว่าเจดีย์พุทธคยาจะอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ และยิ่งใหญ่เช่นนี้

ถ้าใครนำกล้องเพื่อเข้าไปถ่ายภาพจะต้องซื้อบัตรเข้าไปด้วยนะคะ ราคา 100 รูปี สำหรับกล้องถ่ายภาพ แต่ถ้าเป็นกล้องวีดีโอราคาก็จะเป็น 500 รูปี แต่ที่นี่ห้ามนำโทรศัพท์มือถือเข้าไปนะคะ ต้องฝากไว้ด้านนอก ซึ่งจะมีที่รับฝาก ตรงทางเข้าจะมีเจ้าหน้าที่แสกนและตรวจกระเป๋าและค้นตัว โดยแยกทางเข้าเป็นแถวของผู้ชาย และแถวของผู้หญิงค่ะ
สาเหตุที่ห้ามนำโทรศัพท์เข้าไปเนื่องจากก่อนหน้านี้เคยมีการวางระเบิดและจุดชนวนโดยโทรศัพท์ค่ะ ทางการเค้าเลยสั่งห้ามนำมือถือเข้าไปในพื้นที่ค่ะ


ภายในสถูปจะพบกับพระพุทธเมตตา คนจะต่อแถวเข้าไปกราบเยอะมากค่ะ


กราบพระพุทธเมตตาเรียบร้อยแล้วเราก็จะเดินไปที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ประทับและตรัสรู้สัมโพธิญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 


ต้นพระศรีมหาโพธิ์ มีคนมากมายที่มานั่งสมาธิ ณ จุดนี้ (ยิ่งมืดคนก็ยิ่งเยอะขึ้น เดินแทบจะไม่ได้เลยค่ะ ยิ่งคนไทยด้วยแล้วเยอะมาก ๆๆๆ) โดยต้นพระศรีมหาโพธิ์นี้ถือเป็นต้นไม้แทนพระพุทธองค์ หากใครได้มากราบไหว้สักการะก็เท่ากับว่าได้ไหว้สักการะพระพุทธเจ้า


ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นปัจจุบันเป็นต้นที่ 4 ซึ่งนับแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ซึ่งแตกหน่อออกมาจากต้นที่ 3 ที่ตายไป มีอายุประมาณ 134 ปี (นับถึงปีพ.ศ. 2558) 


ดอกไม้ที่นำมาบูชา ส่วนมากจะเป็นดอกดาวเรือง 


ปิดท้ายตอนนี้ด้วยเจดีย์พุทธคยา ยามค่ำคืน แสงสีทองเหลืองอร่ามบนยอดเจดีย์ สวยงามมาก ๆ เห็นแล้วก็อยากจะกลับไปอีก สำหรับชาวพุทธถ้ามีโอกาส ครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องไปให้ได้ เพราะไปแล้วรู้สึกซาบซึ้งมาก ๆ ค่ะ  ห้ามพลาดนะคะ






 

Create Date : 15 มีนาคม 2558    
Last Update : 15 มีนาคม 2558 9:24:23 น.
Counter : 2924 Pageviews.  

จากย่างกุ้ง มุ่งสู่ หงสาวดี

หลังจากที่เมื่อวาน ไปถึงย่างกุ้งแล้ว ตระเวนเที่ยวในย่างกุ้งกันจนมืด

วันนี้พวกเราจะเดินทางไปทางเหนือของกรุงย่างกุ้ง เพื่อท่องเที่ยว เมืองพะโค (Bago) หรือที่คนไทยเรารู้จักกันดีในนามเมืองหงสาวดี นั่นเอง สำหรับที่เที่ยวเด่นๆของเมืองพะโค ที่วางแผนไว้ 5 แห่ง คือ
1.เจดีย์สี่ทิศ ไจ๊ปุ่น (Kyaikpun Pagoda)
2.วัดพระนอนชเวตาเลียง (Shwethalyaung Pagoda)
3.วัดมหากัลยาณีสีมา
4.เจดีย์ชเวมอดอร์ หรือพระธาตุมุเตา (Shwemawdaw Pagoda)
5.พระราชวังบุเรงนอง (Kanbawzathadi Palace)

แต่ระหว่างทางที่มุ่งสู่หงสาวดีนั้น ผ่านสุสานทหารอังกฤษ พี่คนขับรถเลยจอดแวะให้ถ่ายรูปกันพักหนึ่ง




ดู ๆ ไปก็คล้าย ๆ สุสานที่เมืองกาญฯ บ้านเราเลยค่ะ



หลุมศพใครไม่รู้



วันนั้นมีคนเอาพวงมาลับมาให้ เลยขอถ่ายไว้ซะเลย



ีเหมือนไม่ได้อยู่ที่พม่าเลยแฮะ



ถ้าไม่เห็นด้านบนแบบนี้






ด้านใน




นางแบบจำเป็น




จากนั้นก็เดินทางต่อไปยัง เจดีย์สี่ทิศ ไจ๊ปุ่น ซึ่งจะอยู่ก่อนถึงหงสาวดีประมาณ 4 กิโลเมตร





บริเวณทางเข้าเจอหนุ่มน้อยหน้ามนคนนี้



ระหว่างจ่ายค่าเข้าชม เตรียมพร้อมลุยกัน สู้ตายค่า



มีพระพุทธรูปปางประทับนั่ง โดยรอบทั้งสี่ทิศ










 

Create Date : 03 เมษายน 2551    
Last Update : 3 เมษายน 2551 10:42:53 น.
Counter : 1115 Pageviews.  

ตลุยย่างกุ้ง ตอน 3

และแล้วก็มาถึงมหาเจดีย์ชเวดากอง
พระเจดีย์ชเวดากองหรือส่วยดาโกง
(ส่วย=ทอง, ดาโกง=ตะกอง ชื่อเก่าของย่างกุ้งหรือหย่างโก่ง เฉพาะหย่างโก่งนี่ก็หมายถึง อริพ่าย หรือสงคราม สิ้นสุดแล้ว)




ตามตำนานกว่า 2,500 ปี ของเจดีย์แห่งนี้กล่าวไว้ว่าเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุทั้งแปดเส้นของพระพุทธเจ้า และพระบริโภคเจดีย์ของพระอดีตพระพุทธเจ้าทั้งสามองค์ องค์สถูปหุ้มด้วยทองคำทั้งหมด 8,688 แท่ง แต่ละแท่งมีค่ามากกว่า 400 ยูเอสดอลลาร์ ปลายยอดสถูปประดับด้วยเพชร 5,448 เม็ด ทับทิม นิล และบุษราคัมอีก 2,317 เม็ด มีมรกตเม็ดเขื่องอยู่ตรงกลาง เพื่อรับลำแสงแรกและลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ ทั้งหมดนี้ประดับอยู่ด้านบนเหนือฉัตรขนาด 10 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นบนไม้หุ้มทองเจ็ดเส้น ประดับด้วยกระดิ่งทองคำ 1,065 ลูก และกระดิ่งเงิน 420 ลูก รอบองค์สถูปรายล้อมไปด้วยสิ่งปลูกสร้างกว่า 100 หลัง มีทั้งสถูปบริวาร วิหารทิศ วิหารราย และศาลาอำนวยการ



เจดีย์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยพวก บะกัน เรื่องอำนาจ พระเจ้าอโนรธา เคยเสด็จประพาสชเวดากองระหว่างการรบพุ่งทางใต้ในศตวรรษที่ 11 พระเจ้าบญาอู แห่งพะโค ก็ทรงบูรณะเจดีย์แห่งนี้ในปี พ.ศ.1925 และ 50 ปีต่อมา พระเจ้าเบียนยาเกียนก็โปรดให้ยกองค์สถูปให้สูงขึ้นไปถึง 90 เมตร



ผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจาก พระเจ้าเบียนยาเกียน คือ พระนางฉิ่นซอปู้ หรือ นางพญาตะละเจ้าท้าว ได้ทรงสร้างลานและกำแพงล้อมรอบองค์สถูป และพระราชทานทองคำเท่าน้ำหนักพระองค์เอง 40 กิโลกรัม ให้นำไปตีเป็นแผ่นทองหุ้มสถูป เป็นแบบอย่างให้กษัตริย์รุ่นหลัง ๆ ทรงประพฤติปฏิบัติตาม ทั้งนี้เพราะพายุลมฝนในช่วงมรสุมนั้นโหมแรง จนทำให้แผ่นทองคำชำรุดหลุดร่วงลงมาอยู่บ่อย ๆ พระเจ้าธรรมเซดี ผู้สืบราชสมบัติต่อจากพระนางก็ได้ทรงบริจาคทองคำหนักเป็นสี่เท่าของน้ำหนักพระองค์เอง เพื่อบูรณะซ่อมแซมพระเจดีย์



ในปี พ.ศ.2028 พระเจ้าธรรมเซดีทรงสร้างศิลาจารึกสามหลังเอาไว้บนบันไดด้านตะวันออกของเจดีย์ชเวดากอง บอกเล่าประวัติของเจดีย์เป็นภาษามอญ พม่า และบาลี จารึกนั้นยังคงมีให้เห็นอยู่จนทุกวันนี้



เจดีย์ชเวดากองตกอยู่ภายใต้การยึดครองของอังกฤษนานถึง 77 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2395-2472 แต่ชาวพม่าก็ยังสามารถเข้ามาสักการะเจดีย์ได้



การสรงน้ำพระประจำวันเกิดของตัวเอง ที่ตั้งอยู่รอบ ๆ เจดีย์ จะสรงน้ำพระตามจำนวนอายุของตัวเอง เช่น อายุ 24 ย่างเข้า 25 ก็จะ สรงน้ำองค์พระประธานที่อยู่ตรงกลางเป็นจำนวน 23 ขัน แล้วก็เสาสีแดงด้านหลังอีก 1 ขัน และ สัตว์ประจำวันเกิดที่อยู่ด้านหน้าองค์พระอีก 1 ขัน




ในปี พ.ศ.2414 พระเจ้ามินดง แห่งมัณฑะเลย์ ทรงส่งฉัตรฝังเพชรอันใหม่มาถวายเป็นพุทธบูชา มีการจัดงานฉลองและมีชาวพม่ากว่าแสนคนมาเที่ยวชมงาน พระองค์จึงทรงถือโอกาสนี้ปรารถนาเรื่องเอกราชของพม่า สร้างความไม่พอใจให้กับอังกฤษเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้



ช่วงศตวรรษที่ 20 มีภิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นกับพม่าหลายครั้ง โดยเริ่มจากปี พ.ศ.2473 เกิดแผ่นดินไหวขึ้น แต่ก็สร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในปี พ.ศ.2474 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่จากฐานบันไดทางทิศตะวันตก ลุกลามต่อไปยังปีกด้านเหนือ ดชคดีที่ดับไฟได้เสียก่อน แต่ก็ได้เผาผลาญศาสนสถานสำคัญไปไม่น้อย ในปีพ.ศ.2513 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง นับเป็นภัยแผ่นดินไหวครั้งที่ 9 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ส่งผลให้ทางภาครัฐต้องจัดทำโครงพิเศษเพื่อเสริมยอดเจดีย์ให้แข็งแรงขึ้น



เมื่อใดก็ตามที่เจดีย์แห่งนี้ชำรุดเสียหายก็จะได้รับการบูรณะให้งดงามรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าเดิม
เจดีย์ชเวดากองสัญลักษณ์ของประเทศพม่าตั้งแยู่บนเนินเขาเชียงกุตตระ สามารถมองเห็นได้จากทุกมุมเมือง เพราะสูงเด่นเป็นสง่า ข้อสำคัญไม่มีตึกหรืออาคารสูงมาตั้งบดบังได้



นอกจากสถูปทองที่ส่องอร่ามไปทั่วแล้ว ยังมีองค์ประกอบโดยรวมอีก ตั้งแต่ประตูทางขึ้นสู่บันไดทั้ง 4 ทิศที่ใหญ่โตมโหฬาร ตัวหลังคาระเบียงวัดที่ทอดขึ้นสู่ฐานขององค์เจดีย์ก็มีลวดลายสลักเสลาเหมือนปราสาทลดหลั่นกันเป็นชั้น ๆ



เจดีย์ชเวดากองเปิดให้ชมทุกวันตั้งแต่เวลา 04.00-21.00 น. การเปิดให้เข้าชมเป็นช้าวงเวลายาวขนาดนี้ ก็เพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาสามารถเข้าไปก่อนอรุณรุ่งและกลับออกมาหลังตะวันยอแสง จะได้มีเวลาชมเต็มที่



บริเวณโดยรอบของทางเข้าทางทิศใต้ ซึ่งเป็นทางขึ้นสู่เจดีย์ชเวดากองที่ผู้คนนิยมใช้กัน มีบันไดทั้งหมด 104 ขั้น ทอดขึ้นสู่บริเวณลานของเจดีย์



ตามสองข้างทางบันได เต็มไปด้วยร้านค้าที่ได้รับอนุญาตจากทางวัดให้เข้ามาตั้งแผงขายของให้กับผู้คนที่มาสักการะบูชาด้วยความเลื่อมใส สินค้าส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการทำบุญและก็มีสินค้าที่ระลึกวางขายด้วย



รายรอบด้วยเจดีย์องค์เล็กองค์น้อย ผู้คนจำนวนมากยังเดินทางมาที่นี่เพื่อกราบไหว้ สักการะ สรงน้ำองค์ปฏิมา และทำทักษิณาวัตร ไม่ใช่เฉพาะคนแก่คนเฒ่า แต่ทั้งเด็กเล็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ทั้งชายและหญิง พากันมาน้อมใจสู่พระรัตนตรัยที่นี่



ภาพบรรยากาศในยามค่ำคืน



แสงไฟส่องทำให้เจดีย์ดูเป็นสีทองอร่าม



ดูแล้วช่างงดงามยิ่งนัก



ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลที่เอื้อเฟื้อข้อมูล

//www.thaigoodview.com




 

Create Date : 31 มีนาคม 2551    
Last Update : 31 มีนาคม 2551 13:52:30 น.
Counter : 2019 Pageviews.  

ตลุยย่างกุ้ง ตอน 2

วันแรกที่ไปถึงช่วงเช้าหลังจากที่ check in เข้าพักที่โรงแรม Beauty Land Hotel และไปกินอาหารเช้าแล้วก็พากันเดินต่อที่ตลาดสก๊อต

รถเมล์ที่พม่า



มีหลายแบบมาก ๆ



นี่ก็อีกแบบหนึ่ง



ที่พม่านี่น้ำแข็งจะหายาก ไม่ค่อยมีน้ำแข็งขาย จะมีแต่น้ำเย็นขายค่ะ
เวลาจะกิน คนขายจะเอาน้ำแข็งก้อนมาตั้งไว้ แล้วก็ตักน้ำมาราดผ่านน้ำแข็งก้อนนั้น แล้วเอาแก้วรองไว้ด้านล่าง เห็นแล้วไม่กล้ากินอ่า



ร้านขายขนม แต่ไม่ได้ชิม เลยไม่รู้ว่ารสชาติเป็นไงบ้างค่ะ



ร้านขายผลไม้ดอง สีสันน่ากินมั๊ยคะ แต่ไม่ได้ซื้อมาชิมหรอกค่ะ กลัวท้องเสีย เพราะเป็นคนธาตุอ่อนท้องเสียง่ายอยู่แล้ว เดี๋ยวจะอดเที่ยว อิอิอิ



แม่ค้าขายมะละกอ



ที่พม่านี่จะมีร้านน้ำชาเยอะมาก ๆ นะคะ สงสัยเค้าชอบกินน้ำชากัน แต่ที่นั่งจะเป็นโต๊ะเตี้ย ๆ ค่ะ



ที่นี่จะไม่มีห้างสรรพสินค้าเหมือนเมืองไทย แต่เค้าใช้รถเป็นร้านขายของกันค่ะ




สนใจจะซื้อทองสักเส้นมั๊ยคะ อยากได้ยาวแค่ไหนสั่งเค้าได้เลยค่ะ เดี๋ยวเค้าตัดให้ ไม่รู้ว่าเป็นทองจริงรึเปล่านะคะ แต่ไม่เห็นร้านขายทองแบบเมืองไทยเลยค่ะ มีแต่แบบนี้ อิอิอิ




ร้านขายหมากค่ะ คนพม่ายังคงนิยมกินหมากกันอยู่มาก ทำให้หาร้านขายหมากได้ง่ายมากค่ะ เดินไปที่ไหนก็เจอ




ยอดเจดีย์สุเล เป็นศูนย์กลางของเมืองย่างกุ้งค่ะ



สถานที่ราชการของพม่าค่ะ ไม่รู้เรียกว่าอะไร ตอนแรกนึกว่าหอนาฬิกาซะอีก



ตกบ่ายนัดให้รถมารับเราไปเที่ยวกัน สถานที่แรกที่ไปก็คือเจดีย์กาบาอี




วัดที่พม่านี่เวลาจะเข้าจะต้องถอดรองเท้าก่อนเดินเข้านะคะ พระหรือเณรก็ไม่มีข้อยกเว้นค่ะ ถ้าไม่วางไว้ด้านนอกก็ต้องถือเข้าไปแบบนี้ล่ะค่ะ




รูปจำลองพระมหามุนีจากเมืองมัณฑะเลย์




มงกุฏ เครื่องทรงของพระมหามุนีจำลอง



พระอะไรไม่รู้เหมือนกันค่ะ อ่านภาษาพม่าไม่ออก



หลังจากนั้นเราก็ไปต่อกันที่วัดพระนอนกันค่ะ องค์พระหน้ายิ้มปากแดงสวยงามมากค่ะ



ดูกันชัด ๆ นะคะ ผิวจะขาว ปากแดง ยิ้มสวยเชียวค่ะ



ส่วนพระบาทจะต่างจากพระนอนของไทย เท้าจะวางทับกัน



ภายในวัดก็จะมี เทพทันใจ (นัตโบโบยี) ให้ไหว้ขอพรกัน (ไม่รู้จะได้รึเปล่า ขอไปหลายข้อเลย อิอิอิ)

วิธีการสักการะรูปปั้นเทพทันใจ เพื่อขอสิ่งใดแล้วสมตามความปราถนาก็ ให้เอาดอกไม้ ผลไม้ โดยเฉพาะมะพร้าวอ่อน กล้วย หรือผลไม้อื่นๆมาสักการะ นัตโบโบยี จะชอบมาก จากนั้นก็ให้เอาเงินจะเป็นดอลล่า บาท หรือจ๊าด ก็ได้ (แต่แนะนำให้เอาเงินบาทดีกว่าเพราะเราเป็นคนไทย) แล้วเอาไปใส่มือของนัตโบโบยีสัก 2 ใบ ไหว้ขอพรแล้วดึกกลับมา 1 ใบ เอามาเก็บรักษาไว้ จากนั้นก็เอาหน้าผากไปแตะกับนิ้วชี้ของนัตโบโบยี แค่นี้ท่านก็จะสมตามความปราถนาที่ขอไว้



เณรน้อยท่องตำรา



นั่งอยู่กันคนละมุมเลยค่ะ



เพื่อที่จะได้รูปออกมาดี ๆ ก็ต้องหามุมกันหน่อยค่ะ อิอิอิ



ต่อจากนั้นเราก็ไปที่วัดพระเขี้ยวแก้วกันต่อนะคะ (ในรูปเขียนชื่อวัดสลับกัน แบบว่าขี้เกียจแก้แล้วอ่า)



วัดที่พม่าสร้างได้สวยงามมาก ๆ เลยค่ะ



ถ้าเทียบกับที่อยู่อาศัยของชาวพม่าแล้ว เหมือนเค้าจะเน้นสร้างวัดให้สวยงามมากกว่าสร้างบ้านให้สวย ๆ



ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วที่อัญเชิญมาจากจีน



จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่วัดพระหินอ่อนกันค่ะ



วัดที่พม่านี่จะนิยมสร้างสิงห์ไว้ที่ปากทางเข้าวัดกันค่ะ ตัวใหญ่มาก ๆ เลยค่ะ



ด้านในจะเป็นพระพุทธรูปทำจากหินอ่อนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หนัก 60 ตัน สูง 37 ฟุค หินอ่อนนำมาจากเมืองมัณฑะเลย์และแกะสลักโดยช่างชาวมัณฑะเลย์




องค์ใหญ่มาก ๆ ค่ะ



ขออีกสักมุมก็แล้วกันนะคะ



ทางเดินเข้ามาจากหน้าประตูวัด เค้าทำได้สวยจริง ๆ ค่ะ เห็นแล้วประทับใจ



บาตรใหญ่ ทำด้วยหินอ่อนเหมือนกันค่ะ



เทพเจ้าสี่ทิศ






มองเข้าไปด้านใน อลังการมาก ๆ ค่ะ



ด้านในรู้สึกว่าจะเป็นฉัตรนะคะ (ถ้าเข้าใจไม่ผิด แบบว่าฟังไกด์พูดไม่ค่อยออกน่ะค่ะ)



องค์นี้เรียกว่าพระอะไรก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ



ทางเดินลงค่ะ เค้าสร้างหลังคาไว้ทำให้ไม่ร้อนเท้าดีค่ะ เพราะเค้าห้ามใส่รองเท้า + ถุงเท้าขึ้นไปในวัด



เดินลงมาเจอเด็กน้อยชาวพม่า ยิ้มสู้กล้องเชียวค่ะ



เดินมาเหนื่อย ๆ ร้อน ๆ เห็นอ้อยสด ๆ เลยให้แม่ค้าน้ำ ปั่นอ้อยให้กินซะเลย



เสร็จแล้วหน้าตาเป็นแบบนี้น่ะค่ะ สนนราคาก็อยู่ที่ 300 จ๊าต คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 9 บาทค่ะ



เดี๋ยวค่อยไปต่อกันที่มหาเจดีย์ชเวดากองกันนะคะ





 

Create Date : 27 มีนาคม 2551    
Last Update : 27 มีนาคม 2551 16:02:05 น.
Counter : 2935 Pageviews.  

ตลุยย่างกุ้ง

กลับมาอีกแล้วววว หลังจากห่างหายจากการ up blog ไปนานเลยทีเดียว
เนื่องจากช่วงนี้ยุ่ง ๆ ตามมาดูกันเลย

ทริปนี้วางแผนกันไว้เป็นปี ๆ เริ่มจากได้โปร 8 บาทจาก air asia เลยทำการจองไว้ซ้า แต่พอใกล้ ๆ วัน เพื่อนซาหนิท ดันยกเลิกแผนการเนื่องจากติดเรียน และอีกคนก็ติดงานด่วน เลยทำให้ไม่ได้ไปด้วย

แต่ด้วยความที่ตั้งใจไว้แล้ว เลยตลุยไปกับอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่เคยไปเที่ยวด้วยกันมาก่อน เหอ เหอ เหอ (เรื่องเที่ยวนี่กล้าตลอด)

เริ่มกันด้วย โฉมหน้าผู้ร่วมเดินทาง




ถึงย่างกุ้งแล้ว โฉมหน้ารถที่มารับพวกเราจากเครื่องบิน เพื่อไปยังอาคารขาเข้า




อาคารสนามบินย่างกุ้ง สวยดีเนอะ



ลงจากเครื่องก็ตรงดิ่งไปห้องน้ำเลย ห้องน้ำที่นี่ดีนะคะ มีระบบทำลายตัวเองด้วย แหละ กดน้ำลงเองเลย ไทยน่าเอามาใช้บ้างแบบนี้ ห้องน้ำจะได้สะอาด ๆๆ 555++



เดินมาต่อกันที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง เช้านี้คนน้อยมาก ๆ



เค้าบอกว่าคนนี้คล้ายดาราพม่า (เจรงหรอ ช่วยดูหน่อยจิ)



ผู้ร่วมเดินทางอีกคน



เตรียมพร้อมลุยกันได้เลย



ทริปนี้ไปตายเอาดาบหน้าค่ะ เนื่องจาก รถที่จองไว้ให้มารับที่สนามบินเพื่อไป โรงแรม เกิดความผิดพลาด เลยทำให้เราต้องหาเอาเองค่ะ นี่คือโฉมหน้าผู้ช่วยให้เรามีรถใช้ และเป็นไกด์ให้เราอีกครึ่งวัน แต่เราจำชื่อไม่ได้แฮะ แบบว่าภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง เลยฟังไม่รู้เรื่อง อุอุอุ.



หลังจากเอาของเข้าไปเก็บที่พักแล้ว กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เลยไปหาของกินกัน ไปเจอร้านนี้ อ่านในรีวิวห้องบลู เค้าบอกว่าอร่อยดี เลยต้องลองซะหน่อย



ป้ายหน้าร้าน



ที่พม่าไม่มีแป๊บซี่ มีแต่ สตาร์โคล่า เลยสั่งมาลองหน่อย แต่รสชาติ ไม่ผ่านอย่างแรง คล้าย ๆ รูทเบียร์ แต่ก็ไม่อร่อย



เราจำชื่ออาหารพม่าไม่ได้นะคะ ถ้าจะถามว่ามันชื่ออะไร ตอบไม่ได้เลยค่ะ เวลาสั่งอาศัยจิ้มเอาจากรูปอย่างเดียว ถ้าร้านไหน เมนูไม่มีชื่อนี่ เศร้าเลยค่ะ สั่งไม่ถูก
ชามนี้ก็อร่อยดีนะคะ



ส่วนจานนี้เราให้ชื่อว่า ยำหมูแดง เป็นอาหารที่เราว่าอร่อยที่สุดในพม่าแล้ว อาจจะเพราะมันคล้าย ๆ กับที่บ้านเราก็เป็นได้



ส่วนชามนี้รสชาติไม่ได้เรื่องอย่างแรงค่ะ มันข้น ๆ หนืด ๆ ไม่อร่อยเลย



จานนี้เหมือนหมูทอดเลยค่ะ อร่อยดี



สภาพหลังจากนั้นไม่นาน อุอุอุ



กินของคาวแล้วเราก็ไปเดินตลาดกันต่อค่ะ เจอแม่ค้าไอติม เลยลองซะหน่อย ถ้วยละสามร้อยจ๊าดค่ะ



แย่งกันลองไอติมพม่ากันใหญ่เลย จะมีกลิ่นนมค่อนข้างเยอะ หวานปะแหล่ม ๆ



มาเดินตลาดนี่เจอพระพม่าอยู่เรื่อย ๆ จะมีให้เห็นเยอะมาก ๆ เลยค่ะ ไม่เหมือนที่เมืองไทย



สาวคนนี้ตั้งโต๊ะโทรศัพท์ พวกเราเข้าไปถามทาง ถึงแม้เธอจะพูดอังกฤษไม่ค่อยได้แต่ก็พยายามช่วยอย่างดี ซาบซึ้งใจจริง ๆ ค่ะ



จำชื่อไม่ค่อยได้อ่าค่ะ ขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ แต่ฟ้าที่นั่นสวยมาก ๆ เลย






 

Create Date : 20 มีนาคม 2551    
Last Update : 20 มีนาคม 2551 17:44:50 น.
Counter : 2172 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  
 
 

Thewinner
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เห็นคนอื่นมี blog แล้วอยากมีบ้าง
[Add Thewinner's blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com