อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ
6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์


นี่คือ 6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างเป็นเด็ดขาด! ซึ่งเรื่องราวทั้ง 6 นี้เป็นวิธีการหาเงินเพื่อประโยชน์ของตนเอง คนเราถ้าอยากได้เงินก็ต้องหาวิธีทางที่ดี สุจริตทำมากกว่าการที่ต้องฆ่าคน หรือปล้นเขามา แบบนี้สิถึงจะภูมิใจมากกว่า .. เพื่อนๆ อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง อย่าลืมแสดงความเห็นกันนะคะ ^^

6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

6. เบลล์ กันเนส (Belle Gunnes) ฆ่าเอาประกัน

“ยอดรวมของการหาเงินคะเนได้ว่า สาวคนนี้ได้รับเงินประกันจากสามีที่หายตัวไปรายละ $ 30,000  และในเหตุการณ์กรณีไฟไหม้บ้านอีกครั้งละ $ 250,000 “

เบลล์ กันเนส เป็นฆาตกรสาว ที่มีวิธีหาเงินโหดร้ายและสมควรได้รับการตราหน้าในประวัติศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งอาจสันนิษฐานได้ว่า เธอเองก็เป็นต้นกำเนิดของการหาเงินสุดเลวร้ายของคนในปัจจุบัน ด้วยการฆ่าเอาประกัน ในแบบที่เธอทำเป็นตัวอย่างไว้ในหน้าประวัติศาสตร์หรือไม่

ประวัติชีวติของเบลล์ กันเนส เป็นชาวอพยพที่มาจากประเทศนอร์เวย์ ก่อนจะเข้ามาอยู่ในสหรัฐอเมริกาในปี 1881    และแต่งงานกับสามีจากนั้นก็ซื้อบ้าน แต่อยู่ไม่ถึงหนึ่งปีบ้านก็ไฟไหม้ ซึ่งในตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ระแคะระคายว่าการที่ไฟไหม้บ้านครั้งนี้มีเงื่อนงำอะไรหรือไม่ แต่ผลสุดท้ายที่เกิดขึ้น คือ เธอได้รับเงินประกันจากการที่ไฟไหม้บ้านในครั้งนี้ ยังไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่าเป็นวิธีหนึ่งในการหาเงินของเธอ

หลังจากนั้นเธอนำเงินที่ได้จากกรณีที่บ้านของสามีและเธอถูกไฟไหม้มาซื้อบ้านใหม่ในปี 1898 แต่สุดท้ายก็เกิดไฟไหม้ขึ้นมาอีก เหตุการณ์ก็วนซ้ำอย่างที่เคยเป็นมา คือ เธอได้รับเงินก้อนใหม่ และไปซื้อบ้านใหม่ วนไปมาอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งในปี 1900 บ้านเธอก็ไฟไหม้ขึ้นอีกรอบเพียงแต่คราวนี้เธอได้เงินประกันเยอะขึ้นกว่าเดิม เมื่อสามีของเธอเสียชีวิตอยู่ในกองไฟด้วย

6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

การหาเงินได้จำนวนมากจากการที่ไฟไหม้บ้านพร้อมกับสามีที่เสียชีวิตทำให้ เบลล์ สามารถซื้อฟาร์มใน La Porte ในรัฐอินเดียนนาได้และได้แต่งงานใหม่อีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งในปี 1902 เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อสามีคนที่สองก็มาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเครื่องบดไส้กรอกหล่นใส่ศีรษะ ซึ่งถึงแม้จะเป็นการตายที่น่าสงสัยแต่บริษัทประกันก็ยินดีจ่ายค่าประกันจำนวน $3,000 ให้กับเธอ

จากนั้น เบลล์ก็ประกาศหาสามีในหนังสือพิมพ์ สองปีต่อมามีชายหลายคนที่มาสมัครและได้เป็นสามีของเธอ และทุกคนต่างก็หายตัวไป นอกจากนี้เธฮยังได้เงินประกัรนชีวิตของสามีทุกคนที่หายตัวไปด้วยเช่นกัน

เหตุการณ์ต่าง ๆ เริ่มดูผิดปกติมากขึ้น จนในที่สุดชาวบ้านจึงเกิดความสงสัยและรวมตัวกันพร้อมตำรวจบุกฟาร์มของเธอในวันที่ 28 เมษายน 1908 และสิ่งที่ตำรวจค้นพบก็คือ ศพคนตายจำนวนมากในสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ศพ ในห้องใต้ดิน 1 ศพ เป็นศพของผู้ใหญ่หรือสามีเธอคนใดคนหนึ่ง และอีก 3 ศพ ที่เป็นร่างของเด็กน้อย ซึ่งคาดว่าเป็นลูกของเธอเอง  จากนั้นก็ค้นพบอีก 12 ศพ ซึ่งระบุบุคคลไม่ได้ เพราะทุกศพถูกตัดหัว ส่วนเบลล์ชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อนโดยการเผาตนเองพร้อมบ้าน แต่ผลชันสูตรศพของเธอนั้นหลายฝ่ายไม่เชื่อว่าศพนี้เป็นของเธอ เพราะศพนั้นเตี้ยกว่าส่วนสูงของเบลล์ถึงหกฟุต ต่างกันกว่าสองนิ้ว…หรือจะเป็นอีกแผนหนึ่งในการหาเงินค่าประกันของเธอกันแน่

6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

แฮร์กับเบอร์ค (Hare & Burk William)

5.  แฮร์กับเบอร์ค (Hare & Burk William) ดักฆ่าคนกลางทางแล้วเอาศพไปขายให้นักศึกษาแพทย์

 “จาการตรวจสอบสมุดบันทึกประจำวันเกี่ยวกับการโจรกรรม และรายการศพที่ลูกค้าต้องการ พบว่า ศพที่ขายให้นักศึกษาแพทย์ในราคาแพงที่สุด คือ “ศพ วันที่ 1 กรกฎาคม ทำให้หาเงินได้ 10 ปอนด์ โดยที่ยังไม่รวมคนที่เขาฆ่าทั้งหมด 30 คน”

แฮร์กับเบอร์ค (Hare & Burke William)  คือ มนุษย์สองคนที่ทำอะไรก็ได้เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋า และเมื่อช่วงการพัฒนาการผ่าตัดเพื่อทำการรักษาเข้ามาเยือนประทเศอังกฤษในช่วงศตวรรษ 19ซึ่งต้องใช้ร่างกายจริงของมนุษย์มาชำแหละเพื่อทำการวิจัยและตรวจให้ถี่ถ้วน แต่การที่กฎหมายจำกัดให้ใช้เฉพาะศพที่เกิดจากคดีอาชญากรรมเท่านั้น จึงมีการขุดขโมยศพที่เพิ่งเสียชีวิตใหม่ ๆ แล้วนำมาขายให้กับแพทย์และนับเป็นการหาเงินที่ง่ายแต่ได้รายได้หนัก (ประมาณ 7 ปอนด์ ต่อน้ำหนัก) งานหนึ่งของเหล่ามิจฉาชีพที่แพร่ระบาดไปทั่วเลยทีเดยว

6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

แฮร์กับเบอร์ค (Hare & Burk William)

แต่การขโมยศพก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับแฮร์และเบอร์คที่ฆ่าเหยื่อแล้วสวมรอยเป็นศพที่แอบขุดดื้ ทั้งสองคนเริ่มกิจการที่ไม่น่ามีความเป็นมนุษย์โดยการลงมือฆ่าคนที่บ้านเช่าของพวกเขาก่อน แล้วจึงพัฒนามาเป็นการดักฆ่าเหยื่อตามท้องถนนยามค่ำคืนในปี 1827  ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่จะเป็นคนเร่ร่อน ที่ไม่มีญาติมิตร คนอ่อนแอ และแม้แต่คนแก่ ซึ่งนับว่าเป็นการมองชีวิตคนอย่างไร้คุณค่า นับเป็นการหาเงินที่ถูกตราหน้าตามที่ประวัติศาสตร์ได้ดูแคลนเอาไว้ จากนั้นก็มาสวมรอยว่าเป็นศพที่ขุดจากสุสาน หลอกขายให้แพทย์ที่รับซื้อ เสร็จแล้วก็ได้ตังค์เข้ากระเป๋าแบบสบายอุรา

แฮร์กับเบอร์ค หาเงินด้วยวิธีนี้มาเรื่อย ๆ กว่า 18 เดือน มีเหยื่อที่ตายด้วยฝีมือของพวกเขา 16 คน  (บางข้อมูลก็บอกว่า 30 คน) ก่อนที่เรื่องราวต่าง ๆ จะยุติลงเมื่อกรรมตามสนองทั้งคู่อย่างติดจรวด ย่อมไม่มีเพื่อนในหมู่โจร แฮร์ทรยศหักหลังเบอร์คด้วยการเอาเรื่องนี้ไปบอกตำรวจเพื่อแลกกลับการอภัยโทษตัวเอง ส่งผลให้เบอร์คถูกลงโทษประหารชีวิตเพียงคนเดียว การตายของเบอร์คเป็นสิ่งที่ชดใช้ในการกระทำของเขาได้เป็นอย่างดี เมื่อเบอร์คต้องค่อย ๆ เสียชีวิตจากการแขวนคออันเนื่องจากเชือที่สั้นเกินไป นับว่าเป็นการตายที่ทรมารยิ่งนัก จากนั้นร่างไร้วิญญาณของเขาถูกส่งให้นักเรียนแพทย์เพื่อใช้ชำแหละศึกษา ไม่ต่างจากทุกศพที่เขาฆ่าเพื่อใช้ในการหาเงินแม้แต่น้อย

มาร์คัส ลิซิ

มาร์คัส ลิซิ

4.  มาร์คัส ลิซิ

“แครซซัสสะสมเงินที่ได้จากการต่อรองเรื่องดับไฟเท่ากับรายได้ประจำปีของคลังโรมัน เป็นจำนวนการหาเงินที่มากกว่า 7,100 ทาเลนต์ หรือ 200 ล้านดอลลาร์ปัจจุบัน“

มาร์คัส ลิซินิอัส แครซซัส (Marcus  Licinius  Crassus) เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัย115-53 ก่อนคริสตกาล ดำรงตำแหน่งนักการเมืองที่มีไอเดียบรรเจิดในการสร้างหน่วยดับเพลิงแรกของโลกขึ้นมาจากกองทหารผสมของตนเอง และยังเป็นบุคคลที่หาเงินจกากความทุกข์ของผู้อื่นได้อยางไม่น่าให้อภัย ถึงแม้อาจจะไม่ได้ลงมือฆ่าใครเหมือนอย่างในสองอันดับแรก แต่ก็สามารถนั่งนิ่งดูดายดูความเดือดร้อนและความตายของผู้อื่นอย่างไม่รู้สึกรู้สา ถ้าไม่มีเงินมาแลก บ้านและชีวิตของคนเหล่านั้นก็ต้องย่อยยับดับไปกับกองไฟ

เรื่องทั้งหมดเริ่มขึ้นเมื่อ แครซซัสได้สังเกตว่าสิ่งก่อสร้างในกรุงโรมเมืองหลวงของอิตาลีส่วนใหญ่ทำจากวัสดุที่ติดไฟง่ายและอาคารก็สูงเกินไป จากการคำนวณดูแล้ว เขาเชื่อว่าถ้าหากมีเหตุการณ์ไฟไหม้เกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งไฟต้องลามไปทั่วกรุงโรมอย่างแน่นอน นับว่าเป็นกิจการที่ต่อไปจะมีความสำคัญและความจำเป็นต่อกรุงโรมเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น  แครซซัส จึงซื้อทาสมา 500 คน และรวมกับทหารเป็นหน่วยดับเพลิง

แต่พอถึงเวลาไฟไหม้กรุงโรมจริง แครซซัส กลับไม่ยอมให้ทหารมาดับไฟ  ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องจ่ายเงินค่าดับไฟมาก่อน ซึ่งเป็นการต่อรองหาเงินในขณะที่ไฟกำลังไหม้ทั่วกรุงโรม รายละเอียดในการเจรจาต่อรองมีดังนี้

“ดับไฟในตัวอาคารที่กำลังไหม้ต้องจ่าย 30 ทาร์เลนต์ (ค่าเงินของโรมัน)

“ดับไฟที่ดาดฟ้าต้องจ่าย 72 ทาร์เลนต์”

“ถ้าไฟไหม้ลามเพื่อนบ้าน คิด 20 ทร์เลนต์ (ซึ่งต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอนเพราะบ้านในกรุงโรมตั้งอยู่ติดกัน)”

“ถ้าจะให้วิ่งไปดับไฟต้องจ่ายเงินเพิ่ม10 ทาเลนต์

แน่นอนประชาชนจำเป็นต้องจ่ายเงินตามที่แครซซัสเสนอ และแครสซัสกับหน่วยดับเพลิงของเขายังหาเงินรวยทางลัดแบบหน้าด้าน ๆ เช่นนี้อยู่หลายปี จนกระทั่ง  ประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ไฟไหม่ที่กลายมาเป็นลูกหนี้ของเขาทนไม่ไหวและไปเจรจากับ  แครซซัส แต่สุดท้ายก็ตกลงกันไม่ได้ พวกลูกหนี้เลยจัดการแครซซัสด้วยวิธีที่ทรมารสุดจะบรรยายด้วยการมัดแล้วจับกรอกปากด้วยทองคำหลอมละลายจนเขาทนความทรมารไม่ไหวและถึงแก่ความตายในที่สุด และการหาเงินที่เขาดั้นด้นทำมาหลายปีก็ไม่ได้ใช้อีกต่อไป นอกจากจะเผาเป็นกระดาษเงินกระดาษทองตามไปให้แบบที่คนจีนเขาทำกันเสียกระมัง

6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

ประชาชนในแวนอล ฟลอริดา ทำให้ตนเองพิการแล้วเอาเงินประกัน

3. ประชาชนในแวนอล ฟลอริดา ทำให้ตนเองพิการแล้วเอาเงินประกัน

“ถึงจะมองออกได้ด้วยสายตาว่าน่าจะเป็นเรื่องที่สร้างขึ้น แต่ก็น่าแปลกที่ไม่มีใครในเมืองนี้เลยที่มีความผิดฐานฉ้อโกงเงินประกัน และบริษัทประกันจำนวน 38 ราย ก็ยินยอมจ่ายเงินให้คนเหล่านี้ โดยไม่สงสัยหรือคิดว่าเป็นเรื่องตลกที่น่าหัวเราะแต่อย่างใด ในเมื่อกล้าตัด ประกันก็กล้าจ่าย เพราะต่อให้มีการฟ้องร้องก็เป็นการยากที่จะทำให้ลูกขุนเชื่อว่า ยังมีมนุษย์บางจำพวกที่ยอมเสี่ยงกล้าตัดแขนขาตัวเองเพื่อเอาเงินประกัน แต่ถึงแม้จะมีการฟ้องร้องก็ยากจะให้ลูกขุนเชื่อว่าพวกเขายอมเสี่ยงยอมกล้า ที่จะตัดแขนขาเพื่อเอาเงินประกัน…เป็นการหาเงินที่ฉลาดจริง ๆ”

คดีของประชาชนใน เเวนอล ฟลอริดา กลายเป็นคดีที่สร้างความปวดหัวให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างมาก เมื่อประชาชนพร้อมใจกันตัดแขนตัดขาของตัวเองเพื่อได้รับเงินประกันภัยตามที่ตกลงกันว้กับปริษัทประกัน โดยคดีที่เกิดขึ้นในเมืองแวนอลในครั้งนี้ครั้งเดียวมีอัตราสูงมากกว่า 50 ราย   นับเป็นการหาเงินที่ไม่มีใครคาดคิดและยากที่จะเชื่อว่ามีคนหน้าด้านพอที่จะแลกแขนขาตัวเองเพื่อเงินประกันที่ถ้าเทียบแล้ว ให้ตัวเองแขนขาดี ๆ แล้วทำงานตามปกติทั้งชีวิตอาจจะได้เงินดีกว่าการเสียแขนขาที่เป็นอวัยวะสำคัญของมนุษย์ไปเพื่อแลกกับเงินประกันก้อนโต แต่อาจจะไม่มากเท่ารายได้ทั้งชีวิตของพวกเขาก็เป็นได้

ในช่วง ค.ศ. 1982  L.W Burdeshaw ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัทประกันภัยกล่าวว่า มีลูกค้าหลายรายยอมเสียแขนขาเพื่อเอาเงินประกัน บางคนยอมเอาเลื่อยเลื่อยแขนซ้ายของเขาโดยอ้างว่าได้รับอุบัติเหตุขณะทำงาน บางคนสูญเสียมือสองข้างโดยอ้างว่ายิงเหยี่ยวพลาด เรียกได้ว่าแต่ละคนต่างมีวิธีการตัดแขนตัดขาของตนเองกันอย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็น ปืนยาว หรือ เครื่องแทร็กเตอร์ ถือได้ว่าเป็นความพยายามจริง ๆ แต่จะคุ้มกันไหม แล้วจะรวยทางลัดได้จริง หรือควรจะหาเงินตามปกติที่เคยทำมาจะดีกว่ากันนะ …แต่ถ้าเอามาเปรียบเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาประเทศหนึ่งในตอนนี้ที่มีผู้คนจำนวนไม่น้อยตัดแขนตัดขาตัวเองเพื่อที่จะมีโอกาสได้มานั่งขอเงินคนอื่นได้โดยไม่ต้องทำงานแล้วมันก็คุ้น ๆ หรือวิธีการหาเงินนี้จะใช้ได้ผลพอ ๆ กับการฆ่าเอาประกัน ถึงยังได้สืบทอดต่อ ๆ กันมาจากประวัติศาสตร์จนมาถึงคนในปัจจุบันแบบนี้ได้…เป็นวิธีหาเงินที่ต้องถามกลับไปว่า..คิดกันได้ยังไง…จริง ๆ นะ

6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

เอซ. เอซ โฮล์ม (H.H Holmes)

2. เอซ. เอซ โฮล์ม (H.H Holmes)

“เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะเดาว่าหมอโฮล์มได้ เงินกี่บาทในการการฆ่าคน เพราะเหยื่อที่เสียชีวิตอยู่ในโรงแรมของเขามีมากจนนับไม่ถ้วน หมอโฮล์มเลือกที่จะเก็บความลับผลประโยชน์ทั้งหมดจนกระทั่งเรื่องทั้งหมดจบลงพร้อมกับการตายของเขา อย่างไรก็ตาม ในคดีฆ่าผู้ช่วยหมอโฮล์มสารภาพว่าเขาได้เงินจากการประกัน $10,000 แล้วคนอื่น ๆ ที่ตายอย่างนับไม่ถว้น จะหาเงินมหาศาลให้เขาได้มากแค่ไหน ต้องลองคำรวณกันเอง”

เอซ. เอซ โฮล์ม (H.H Holmes) คือ ส่วนผสมอันลงตัวของหมอและวิปริต เมื่อรวมกันกลายเป็นฆาตกรที่มีคาแร็กเตอร์ฆาตกรโรคจิตในหนังดังบางเรื่อง เช่น Silence of the Lamb ที่เราเคยได้ชมกันมา แต่

เอซ. เอซ โฮล์ม สำเร็จการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยในรัฐมิชิแกน โดยบุคลิกแล้วหมอโฮล์มเป็นคนที่น่ารัก หล่อ ดูเป็นมิตรและน่าหลงใหล (ไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกว่าโรคจิตพอที่จะฆ่าคนมากมายเพื่อหาเงินได้แม้แต่น้อย)  ในปี ค.ศ. 1884 หมอโฮล์มย้ายจากมิชิแกนมาอยู่ที่ชิคาโก และทำงานทางด้านเภสัชศาสตร์ ซึ่งก็ดูไม่ต่างจากวิถีชีวิตของแพทย์ทั่วไปในสมัยนั้น

6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1888 หมอโฮล์มทำการฆาตกรรมเจ้านายของเขา และฮุบร้านของเจ้านายเพื่อเป็นใบเบิกทางการหาเงิน เขากว้านซื้อพื้นที่รอบ ๆ บริเวณร้านที่ได้มาโหดเหี้ยมและทำเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ ที่สวยงาม น่าอยู่ แต่เข้าไปแล้วจะไม่มีวันกลับออกมาได้

หมอโฮล์มจะต้อนรับแขกของเขาอย่างคุ้มค่าด้วยความตาย วิธีการฆ่าของเขาก็แตกต่างกันไปต่าง ๆ นานา เช่น  ฆ่าโดยการทำให้หายใจไม่ออกอย่างช้า ๆ ในตัวโรงแรมของเขาเองก็เต็มไปด้วยกลไกต่าง ๆ เพื่อทำการฆ่าคนอย่างสนุก เช่น หอลับ ประตูลับ นังห้องที่เลื่อนได้ ห้องปฏิบัติ การวิทยาศาสตรที่ซ่อนเอาไว้ ห้องทรมานและในห้องใต้ดินหมอโฮล์มยังมีเครื่องยืดร่างมนุษย์เอาไว้เล่นสนุกอีกด้วย หลังจากที่ทารฆ่าอย่างเมามันแล้วหมอโฮล์มจะหาเงินด้วยการนำกระดูกเหยื่อไปขาย และนำข้าวของเครื่องใช้ของเหยื่อมาเป็นเป็นของตนเอง

จนกระทั่งหลังปี ค.ศ. 1893 โรงแรมก็เริ่มไม่มีแขกมาพัก หมอโฮล์มจึงทำการฆ่าผู้ช่วยของตนด้วยการเผาอำพรางเรียกเงินประกัน และฆ่าเด็กสามคนซึ่งเป็นลูกของผู้ช่วยตาย ก่อนที่จะโดนจับและได้รับโทษประหารในที่สุด สุดท้ายแล้วหมอโฮล์มก็ไม่ได้ใช้เงินมหาศาลที่ตนเองหาเงินมาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างน้อย ๆ ก็เงินก้อสุดท้ายก็คงหมดค่าไปพร้อมกับการตายของคนที่ไร้หัวใจและความเมตตาอย่างเขา

6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

ด็อกเตอร์มาร์เซล ปดิต (Dr Marcel Petiot) 1897 – คูหามรณะ

1. ด็อกเตอร์มาร์เซล ปดิต (Dr  Marcel  Petiot) 1897 –  คูหามรณะ

 “โดยที่ยังไม่ได้นับค่าธรรมเนียมที่เขาได้จากชาวยิวในจำนวนมากแล้ว หมอมาร์เซลสามารหาเงินได้อย่างมหาศาลรวมถึงยังได้ของมีค่าที่ติดตัวจากผู้ลี้ภัยชาวยิวมาอีกจนประมาณค่ามิได้ แต่สามารถประมาณค่าคร่าว ๆ ได้ว่า เงินที่หมอมาร์เซลได้จากการทำร้ายชาวยิวและฉกฉวยผลประโยชน์จากสงครามอยู่ที่ประมาณ 200 ล้าน ฟรังก์

นอกจากนี้ การฆาตรกรรมชาวยิวของหมอมาร์เซลยังได้รับการรายงานตรงไปยังฮิตเลอร์ จนเป็นที่ถูกอกถูกใจ ฮิตเลอร์จึงให้เหรียญกล้าหาญกับหมอผู้นี้อีกด้วย (ซึ่งถ้าหมอยังมีชีวิตอยู่ถึงในปัจจุบันและนำเหรียญนาซีนี้ไปประมูลขายคนบ้าสะสมในปัจจุบันนี้อีก ก็จะหาเงินจนรวยล้นฟ้าได้เช่นกัน)”

ในช่วงมกราคม ค.ศ. 1942 เมื่อนาซีครอบครองฝรั่งเศส ในสงครามโลกครั้งที่ 2 หมอมาร์เซล ปดิต (Marcel  Petiot) ย้ายมากรุงปารีสฝรั่งเศส ด้วยภาพลักษณ์ของหมอที่ดูโอบอ้อมอารีย์มีเจตนาดีในการที่จะมารักษาและพยาบาลชาวฝรั่งเศส แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นผู้ที่ฉวยโอกาสในการสูญเสียของผู้คนครั้งใหญ่ครั้งนี้ให้กลายเป็นวิธีการหาเงินที่หน้าด้านที่สุดของตนเอง

6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

6 วิธีหาเงินชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

หมอมาเซลล์เริ่มเผยตัวจริงออกมาหลังจากที่มีภาพลักษณ์การเป็นหมดที่ดีมาตลอดด้วยการขายยาเสพย์ติด และทำแท้งเถื่อนอย่างรุ่งเรืองจนมีลูกค้ามากมาย.

แต่หมอมาร์เซลไม่หยุดแค่นั้น เพราะเขาเห็นโอกาสที่จะหาเงินมากมายจากเหตุการณ์สงครรามครั้งนี้อันเนื่องมาจากการที่ชาวยิวต้องหนีตายจากพวกนาซี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อมีแต่นาซีอยู่เต็มประเทศ หมอมาเซลล์จึงถือโอกาสนี้เสนอว่าเขาสามารถช่วยชาวยิวลี้ภัยหลบหนีออกนอกประเทศได้ แต่ต้องมีค่าธรรมเนียมคนละ 25,000 ฟรังก์

ลูกค้าชาวยิวจำเป็นต้องจ่ายเพราะชีวิตสำคัญกว่าเงิน แล้วหมอมาร์เซลก็ทำทีเป็นบอกให้ชาวยิวที่จ่ายค่าธรรมเนียมและพร้อมหลบหนีนำเอาทรัพย์สินข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดมาที่บ้านหลังใหญ่ของเขาเพื่อจะเตรียมหนีไปต่างประเทศ และเมื่อมาถึงบ้านหมอจะอ้างว่าต้องทำการปลูกฝีด้วยการฉีดยาก่อน….อต่..เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะพอคาดเดากันได้ว่ายาที่ฉีดเข้าไปเป็นยาที่ใช้ในการปลูกฝีหรือยาอะไรกันแน่

6 มีนาคม ค.ศ. 1944 หลังจากที่นาซีถูกขับไล่ออกจากฝรั่งเศส ตำรวจฝรั่งเศสได้บุกบ้านของหมอมาร์เซลและพบว่ามีการเผาบ้านบางส่วนเพื่อจะอำพรางคดี แต่ก็ทำการดับได้ทัน ตำรวจจึงพบกับร่างกายของมนุษย์ที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ และศพต่าง ๆ ไม่สามารถประกอบร่างบุคคลได้ ตำรวจยังพบห้องใต้ดินขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่มากพอในการเก็บซ่อนศพ มีเตาสำหรับทำลายศพไร้หัวและอวัยวะอื่น ๆ ของศพอีกมากมายมากมาย ต่อมาไม่นานหมอมาร์เซลก็ถูกจับกุมได้และถูกประหารด้วยการตัดหัวและไม่ได้ใช้เงินที่ตัวเองหาเงินมาในที่สุด

ขอบคุณข้อมูล //parttimejobs1s.wordpress.com




Create Date : 12 มิถุนายน 2557
Last Update : 12 มิถุนายน 2557 5:38:21 น. 3 comments
Counter : 1817 Pageviews.

 

แวะมาอ่านเป็นคนที่ 1 ตามเคยค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 12 มิถุนายน 2557 เวลา:9:41:24 น.  

 
โอยยย แต่ลอย่าน่ากลัวมากค่ะ
บ้านเราเยอะสุดนี่สงสัยข้อ 6 รึเปล่า
เห็นบ่อยมากๆเลยค่ะ

ขอบคุณมากๆนะคะ



โดย: lovereason วันที่: 12 มิถุนายน 2557 เวลา:13:13:08 น.  

 
สวัสดีนะจ้ะ เราแวะมาเยี่ยมนะจ้ะ ^____^ สักคิ้ว 6 มิติ ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้วลายเส้น เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ


โดย: สมาชิกหมายเลข 3762148 วันที่: 24 มีนาคม 2560 เวลา:18:03:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.