"ข้าพเจ้าไม่ขอพบเจอกับคนพาล เพราะคนพาลย่อมแนะนำในสิ่งที่ไม่ควรแนะนำ ย่อมชักชวนในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ การแนะนำคนพาลถึงจะแนะนำดีเขาก็โกรธ" (กฤษฏ์ ธรรมกฤตกรณ์)

นรกภูมิ



คือสถานที่จองจำผู้ที่กระทำบาปสถานหนัก ต้องชดใช้บาปจากเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ โดยอาศัยร่างที่เป็นกายหยาบรับโทษ เช่น ถูกเลื่อยกาย ถูกหั่นร่างเป็นชิ้น ๆ ถูกไฟครอก ถูกตำด้วยสาก ถูกโยนใส่กระทะน้ำเดือด ปีนต้นงิ้ว เป็นต้น

มนุษย์เมื่อตายไป มิใช่ว่าจะถูกยมทูตพาไปพบพระยายมราช เพื่อตัดสิน ไต่ถามก่อนการรับโทษในนรกทุกคนไป เป็นเฉพาะบางคนบางพวกเท่านั้น คือ

โดยปกติแล้วคนเราในโลกที่เห็นกันอยู่นี้ มีนิสัย จิตใจ และความประพฤติดีเลว แตกต่างกันออกไป พอจะแบ่งออกได้เป็น ๔ ประเภท คือ

พวกที่ ๑ ชอบใจในการบำเพ็ญกุศลมาก
พวกที่ ๒ ชอบทั้งกุศลและอกุศลปนกันไป ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
พวกที่ ๓ ชอบทางอกุศลมากกว่ากุศล
พวกที่ ๔ ชอบแต่ทางอกุศลฝ่ายเดียว

เมื่อจิตใจมนุษย์ต่างระดับกันดังนี้ เมื่อถึงเวลาตาย ความเป็นไปย่อมแตกต่างกัน

พวกที่ ๑ ขณะใกล้ตาย ย่อมระลึกนึกถึงเรื่องที่เป็นบุญ เป็นกุศล ที่ตนได้เคยประกอบเอาไว้ได้มาก บุคคลเหล่านี้ตายแล้วย่อมไปสู่สุคติภูมิ

พวกที่ ๒ บุคคลพวกนี้ยามใกล้ตาย ถ้าตนเองได้พยายามระลึกนึกถึงบุญกุศลให้มากเข้าไว้ หรือมีผู้อยู่ใกล้คอยช่วยเตือนสติให้ระลึกถึงกุศลกรรมนั้น บุคคลเหล่านี้ก็จะสามารถพ้นจากอบายภูมิได้เหมือนกัน เว้นแต่ตนเองไม่พยายามนึก อีกทั้งไม่มีผู้ใดคอยช่วยเตือนให้นึก จิตใจจึงมีแต่ความกลุ้มใจ เสียใจ ห่วงใยในทรัพย์สมบัติ ผู้คน หรือเรื่องกังวล อื่น ๆ ตายแล้วย่อมเข้าสู่อบายภูมิ

พวกที่ ๓ พวกนี้มีอกุศลอาจิณกรรม คือบาปที่กระทำสั่งสมอยู่เป็นนิจ มากกว่ากุศล เมื่อใกล้ตาย ลำพังตนเองแล้วไม่มีทางที่จะนึกถึงกุศลกรรมได้ และการที่จะให้คนธรรมดา เช่น ญาติพี่น้องผู้ใกล้ชิด ก็ไม่สามารถช่วยเตือนสติให้ระลึกได้โดยง่าย จะต้องช่วยเหลือกันอย่างแข็งกล้าเป็นพิเศษจริง ๆ จึงพอจะช่วยได้

พวกที่ ๔ พวกนี้ตายแล้วไม่พ้นจากการไปสู่อบายภูมิได้เลย ยกเว้นจะได้รับการช่วยเหลือจากท่านผู้มีบุญบารมีแก่กล้าแท้จริง เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวกเท่านั้น นอกจากนี้ตนเองยังจะต้องมีกุศลกรรมที่เคยสร้างสมไว้ในชาติก่อน ๆ ที่มีกำลังมากด้วย จึงจะพอพ้นจากอบายภูมิได้

ในบุคคลใกล้ตายทั้ง ๔ ประเภทนี้ พวกที่ ๑ ตายแล้วไปสู่สุคติภูมิ พวกที่ ๔ ไปสู่ทุคติภูมิ โดยทันที ไม่ต้องพบพระยายมราชแต่ประการใด

ส่วนพวกที่ ๒ และ ๓ นั้น ถ้าระลึกถึงกุศลกรรมไม่ได้ จะต้องไปสู่นรก แล้วจะมีโอกาสได้พบพระยายมราชเพื่อทำการไต่ถาม และช่วยตนเองให้พ้นจากนรกอีกครั้ง หากได้สติตอบคำถามของพระยายมราชได้ถูกต้อง

คำถามของพระยายมราช เป็นคำถามเกี่ยวกับเทวทูต ๕ อย่าง คือ

๑. ความเกิด เทวทูตที่เป็นตัวแทนให้เราพบเห็นคือ ทารกแรกเกิด
๒. ความแก่ ได้แก่ คนชรา
๓. ความเจ็บ ได้แก่ ผู้ป่วยไข้
๔. การถูกลงโทษตามกฎหมาย ได้แก่ คนต้องราชทัณฑ์
๕. ความตาย ได้แก่ คนตาย



พระยายมราชจะถามว่า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เคยเห็นเทวทูตเหล่านี้บ้างหรือไม่ เมื่อเห็นแล้วเคยนึกอย่างไรบ้างเกี่ยวกับตนเอง

ถ้าบุคคลนั้น ๆ ตอบว่าเคยเห็น และนำมาคิดพิจารณาเทียบเคียงว่าตนเองก็จะต้องมีสภาพเดียวกันนี้ จึงได้พยายามสร้างทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางพ้นไปจากความทุกข์เหล่านั้น

ในขณะที่ตอบคำถามพระยายมราชอยู่นี้ ถ้าผู้นั้นบังเอิญนึกถึงกุศลที่ตนเคยประกอบเอาไว้ได้ ก็จะพ้นจากการต้องไปตกนรกทันที แต่ถ้าระลึกไม่ได้ คงตอบไปแต่เรื่องยินดีพอใจ สนุกสนานไปตามวิสัยธรรมดาของโลก พระยายมราชจะถามเตือนด้วยเทวทูตอย่างที่ ๒ อย่างที่ ๓ เรื่อยไปตามลำดับ เพื่อช่วยให้พยายามนึกถึงบุญกุศลให้ได้ เมื่อผู้นั้นนึกไม่ได้จริง ๆ พระยายมราชจะช่วยเตือนสติให้อีกครั้งว่าเคยทำกุศลสิ่งใดไว้บ้าง ทั้งนี้ด้วยเหตุที่สมัยบุคคลเหล่านั้นประกอบการกุศลดังกล่าว มักจะแผ่ส่วนกุศลให้พระยายมราชด้วย (ถ้าหากไม่ได้แผ่ส่วนกุศลให้พระยายมราชไว้ พระยายมราชย่อมนึกถึงกุศลของผู้นั้นไม่ออกเช่นเดียวกัน)

เมื่อพระยายมราชเตือนสติ และผู้นั้นระลึกถึงกุศลกรรมของตนขึ้นมาได้ และกล่าวตอบพระยายมราชไป ผู้นั้นย่อมจะพ้นจากนรกได้ ส่วนผู้ที่นึกถึงกุศลกรรมใด ๆ ไม่ออกจริง ๆ แม้พระยายมราชจะถามเตือนด้วยเรื่องเทวทูตจนครบทั้งห้าแล้ว ประกอบทั้งตนไม่เคยอุทิศแผ่ส่วนกุศลใดให้พระยายมราชเลย เป็นเหตุให้พระยายมราชไม่สามารถนึกถึงกุศลกรรมนั้น ๆ นำมาเตือนสติได้ ผู้นั้นก็จำต้องตกลงสู่นรกโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง

สำหรับสัตว์ที่มิได้ประกอบกุศลกรรมไว้บ้างเลยในสมัยเป็นมนุษย์เหล่านี้ เมื่อพระยายมราชหมดหนทางช่วยเหลือ จึงกล่าวว่า

“ท่านไม่ได้กระทำความดี ทางกาย ทางวาจา ทางใจไว้เลย เพราะมัวประมาทมัวเมาเสีย ท่านจำต้องถูกนายนิรยบาลลงโทษ บาปกรรมอันนี้มิใช่ผู้ใดอื่นทำให้ท่านเลย เป็นเพราะท่านทำของท่านไว้เอง จึงต้องรับโทษของกรรม”

นรกมีทั้งหมด ๔๕๗ ขุม ได้แก่

มหานรก มี ๘ ขุม
๑. สัญชีวนรก (นรกที่ไม่มีวันตาย)
เหล่าสัตว์ที่มาอุบัติบังเกิดในนรกขุมนี้ ถึงแม้จะได้รับทุกข์โทษจนตายแล้ว ก็กลับเป็นขึ้นมาอีก

๒. กาฬสุตตนรก (นรกเส้นด้ายดำ)
เหล่าสัตว์ที่มาเกิดในขุมนรกนี้ จะถูกลงโทษโดยนายนิรยบาล เอาด้ายดำมาตีเป็นเส้นตามร่างกาย แล้วก็เอาเลื่อยมาเลื่อย บางทีก็เอาขวานมาผ่า หรือเอามีดมาเฉือนกรีดตามเส้นดำที่ตีไว้ไม่ให้ผิดรอยได้

๓. สังฆาฏนรก (นรกบดขยี้สัตว์)
เหล่าสัตว์ที่เกิดในนรกขุมนี้ จะถูกภูเขาเหล็กบดขยี้ร่างกายให้ได้รับทุกขเวทนาอยู่ตลอดเวลา

๔. โรรุวนรก (นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้)
เหล่าสัตว์ที่มาอุบัติในนรกขุมนี้ เป็นสัตว์ที่ได้รับทุกข์โทษแสนสาหัส ต้องร้องครวญครางอย่างน่าเวทนาอยู่ตลอดเวลา

๕. มหาโรรุวนรก (นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องครวญครางมากมาย)
เหล่าสัตว์ที่มาอุบัติในนรกขุมนี้ ได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัส ร้องไห้เสียงระงมไปทั่วทั้งนรก

๖. ตาปนรก (นรกที่ทำให้สัตว์เร่าร้อน)
เหล่าสัตว์ที่อุบัติในนรกขุมนี้ ต้องได้รับทุกข์โทษเร่าร้อนมีหลาวเหล็กใหญ่โตเท่าต้นตาล โชติช่วงแดงฉานไปด้วยเปลวไฟจำนวนประมาณหลายหมื่นแสนแน่นเต็มนรกไปหมด หลาวเหล็กแต่ละอันมีสัตว์นรกเสียบอยู่บนปลายหลาว มีเปลวไฟพุ่งขึ้นภายใต้หลาวเหล็ก ไหม้เผาผลาญสังหารสัตว์นรกทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา เนื้อหนังมังสาของสัตว์นรกทั้งหลายไหม้สุกพองอยู่เหนือปลายหลาวเหล็ก ต้องเสวยทุกข์เวทนาดิ้นพล่านไปมา จนกระทั่งเนื้อหนังสุกพองไปด้วยอำนาจไฟนรก แล้วก็ถูกหมานรกฉีกเนื้อกิน แล้วก็กลับเป็นขึ้นมาตามเดิม วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นกรรม

๗. มหาตาปนรก (นรกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนเหลือประมาณ)
เหล่าสัตว์ที่อุบัติในนรกขุมนี้ ต้องได้รับทุกข์โทษเร่าร้อนเป็นที่สุด ภายในกำแพงอันกว้างขวางใหญ่โตนั้น มีภูเขาเหล็กลุกเป็นไฟตั้งอยู่เป็นลูก ๆ ตามพื้นข้างภูเขามีขวากเหล็กแหลมคมลุกแดงด้วยไฟ ปักเรียงรายอยู่เหนือพื้น

นายนิรยบาลถืออาวุธหอกดาบแหลนหลาวลุกแดงด้วยไฟไล่ทิ่มแทงสัตว์นรกทั้งหลายให้ขึ้นไปบนภูเขาไฟแดงฉาน สัตว์นรกทั้งหลายตกใจกลัวนายนิรยบาล ก็พากันวิ่งไปบนยอดเขานรก ต่อจากนั้นก็มีลมกรดอันร้อนแรงคมกล้าพัดมาด้วยกำลังลมนรก ทำให้สัตว์พลัดตกลงมาจากยอดเขา ถูกขวากนรกร้อนแรงซึ่งอยู่เบื้องล่าง เสียบร่างกายทะลุเลือดแดงฉาน ทรมานทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดและความรุ่มร้อนแสนสาหัส

๘. อเวจีนรก (นรกที่ปราศจากความบางเบาแห่งทุกข์)
นรกขุมนี้ เป็นนรกขุมใหญ่กว่าบรรดานรกทั้งหลาย ล้อมรอบด้วยกำแพงเหล็กที่มีเปลวไฟโชติช่วง
สัตว์ที่ไปเกิดอยู่ในมหานรกอเวจีนี้มีมากกว่านรกขุมอื่น แออัดยัดเยียดเบียดเสียดกัน ได้รับทุกข์ทรมานด้วยการถูกเปลวไฟนรกอันร้อนระอุเผาไหม้อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรม

อุสสุทนรก
เป็นนรกบริวาร ๑๖ ขุม ล้อมรอบนรกขุมใหญ่ทั้ง ๘ ขุม อุทสุทนรกจึงมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๑๒๘ ขุม


ยมโลกนรก
เป็นนรกบริวาร ล้อมรอบนรกขุมใหญ่ทั้ง ๘ ขุม โดยอยู่ทิศหน้า ๑๐ ขุม ทิศหลัง ๑๐ ขุม ทิศซ้าย ๑๐ ขุม ทิศขวา ๑๐ ขุม รวม ๔ ทิศ เป็น ๔๐ ขุม ยมโลกนรกทั้งหมดรวมกันจึงมี ๓๒๐ ขุม

โลกันตนรก ๑ ขุม
เป็นนรกขุมใหญ่อยู่นอกจักรวาล มีสภาพมืดมนยิ่งนัก สัตว์ที่ไปเกิดในโลกันตนรกนี้ มีร่างกายใหญ่โต เล็บมือเล็บเท้ายาวยิ่งนัก ต้องใช้เล็บมือเท้าเกาะอยู่ตามชายเชิงจักรวาล ห้อยโหนเหมือนค้างคาวห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ ได้รับความทุกข์อันแสนสาหัส

สัตว์นรกในนี้เข้าใจว่าตนอยู่เพียงลำพัง เพราะมืดมนจนมองไม่เห็นเพื่อนสัตว์นรกด้วยกัน ตลอดเวลาห้อยโหนโยนตัวเปะปะไปด้วยความหิวโหย เมื่อใดไปโดนสัตว์นรกด้วยกัน ก็เข้าใจว่าเป็นอาหารรีบขวนขวายไขว่คว้าจับกุมกัน ต่างตนต่างก็จะตะครุบกันกินปล้ำฟัดกันจนกระทั่งเผลอปล่อยมือที่เกาะอยู่ เลยพลัดตกลงไปเบื้องล่าง

บริเวณเบื้องล่างในโลกันตนรกนั้นไม่ใช่พื้นธรรมดา แต่เต็มไปด้วยน้ำกรดอันเย็นยะเยือกอย่างร้ายกาจยิ่งนัก ทันทีที่สัตว์นรกตกลงมา ร่างกายก็จะเปื่อยแหลกลงเพราะฤทธิ์น้ำกรดเย็นนั้นกัดเอา ได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจนสิ้นใจตาย แล้วก็กลับเป็นตัวตนขึ้นมาเหมือนเก่า รู้สึกหนาวเย็นจับกระดูกจับขั้วหัวใจ รีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขาจักรวาลด้วยความลำบากยากเข็ญ แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวหาอาหารด้วยความหิวโหยต่อไปอีกตามเดิม

เมื่อไขว่คว้าไปเจอสัตว์นรกด้วยกัน ก็จะตะครุบกินกันเอง ต่อสู้จนตกลงบ่อน้ำกรดเบื้องล่าง ถึงแก่ความตาย แล้วก็กลับเป็นขึ้นมาตามเดิม วนเวียนไปมาเช่นนี้ จนกว่าจะสิ้นกรรม


สัตว์นรกทั้งหลายที่ทำกรรมชั่วไว้มาก พอเสวยกรรมในมหานรกแล้ว หากกรรมยังไม่สิ้น ก็ต้องมาเสวยผลกรรมในอุสสุทนรก หากกรรมยังไม่สิ้นอีก ก็ต้องมาเสวยผลกรรมในยมโลกทั้ง ๑๐ ที่แวดล้อมมหานรกนี้อยู่ ตามอำนาจของบาปกรรมที่ตนทำไว้

บางคนตกนรกขุมที่เป็นบริวารก่อน แล้วจึงมาตกมหานรกก็มี สุดแต่ว่ากรรมใดจะให้ผลก่อน บางคนทำบาปกรรมไว้มากต้องตกมหานรกทั้ง ๘ ขุมก็มี

เมื่อสิ้นกรรมในนรกเหล่านี้แล้ว เศษบาปยังให้ผลต้องไปเกิดในอบายภูมิอื่น คือ ต้องไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เสวยทุกขเวทนาในสถานที่นั้น ๆ แล้วจึงจะได้มีโอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ตามเดิม

ถ้าทำบาปกรรมไว้น้อย มาตกนรกได้ไม่นาน กุศลกรรมที่ทำไว้ก็จะบันดาลให้ระลึกถึงบุญกุศลนั้นขึ้นมา ก็จะเปลี่ยนสภาพจากสัตว์นรก ไปอุบัติเป็นภูมิอื่นต่อไป.

....................................................


ภาพตัวอย่างการลงโทษในนรกขุมต่าง ๆ



สะพานนรก
คนที่ก่อกรรมทำบาปหลังจากตายแล้วส่วนใหญ่จะต้องมาเดินผ่านสะพานแห่งนี้
นายนิรยบาลจะตีขับให้ตกลงไปเป็นเหยื่อของฝูงงูพิษที่อยู่ในเหวลึกใต้สะพาน



ขุมนรกควักลูกตา
นายนิรยบาลกำลังทรมานสัตว์นรกจำพวกที่ใช้สายตาดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น กับพวกที่ชอบดูภาพลามก



ขุมนรกห้อยหัวลง
นายนิรยบาลกำลังลงโทษทรมานสัตว์นรกที่ดูถูกให้ร้ายผู้เป็นครูอาจารย์
กับพวกอกตัญญูเนรคุณ และพวกที่ประพฤติผิดศีลธรรมประเพณีความสัมพันธ์ภายในครอบครัว



ขุมนรกน้ำร้อนรวกมือ
นายนิรยบาลกำลังทรมานสัตว์นรกจำพวกนักล้วงกระเป๋า ฉกชิงวิ่งราว ลักขโมย และพวกที่หลอกลวง



ขุมนรกผึ้งพิษ
ฝูงผึ้งพิษกำลังรุมต่อยร่างสัตว์นรกจำพวกที่แอบอ้างชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปหลอกลวง เอาทรัพย์สินเงินทองของผู้บริสุทธิ์
กับพวกที่เบียดบังเอาเงินของศาสนาไปใช้ส่วนตัว และพวกหมอดู ที่หลอกรับจ้างทำพิธีสะเดาะเคราะห์



ขุมนรกตัดเครื่องเพศ ให้หนูกัดแผล
นายนิรยบาลกำลังตัดเครื่องเพศสัตว์นรกจำพวกที่มักมากในกามารมณ์ เช่นพวกอลัชชี กับพวกที่ชอบเป็นชู้ด้วยสามี-ภรรยาผู้อื่น



ขุมนรกอมลูกกระสุนเหล็ก
คนจำพวกที่ใช้กลอุบายหลอกล่อให้ผู้อื่นตกหลุมพรางของตนแล้วบังคับขู่เข็ญเอาสิ่งที่ตนต้องการบ้าง ใช้เล่ห์ลิ้นพูดหว่านล้อมให้คนหลงเชื่อแล้วกระทำอนาจารบ้าง โกหกมดเท็จเพื่อหลอกลวงเอาทรัพย์สินผลประโยชน์บ้าง เมื่อตายไปจะต้องถูกลงโทษทรมานอยู่ในนรกขุมนี้



ขุมนรกสาวไส้
นายนิรยบาลกำลังใช้มีดผ่าอกสาวไส้ร่างสัตว์นรกที่ใช้อำนาจหน้าที่ในราชการกระทำทุจริต
กับพวกที่ปลูกพืชไร่ใส่ยาฆ่าแมลงยังไม่ทันหมดพิษยาก็นำออกจำหน่าย
กับพวกพ่อเล้าแม่เล้า และพวกล้มแชร์ ให้สุนัขกิน



ขุมนรกน้ำมันเดือด
นายนิรยบาลกำลังทรมานสัตว์นรกจำพวกที่เป็นโจรปล้น ตีชิงวิ่งราว ลักขโมย
กับพวกที่ฆ่าคนตายด้วยอาวุธ ยาพิษ
พวกฉ่อราษฎร์บังหลวง พวกประพฤติผิดกามผู้เป็นสายเลือด
พวกอกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้า



ขุมนรกตัดลิ้นร้อยกราม
นักบวชที่ประพฤติผิดธรรมวินัยทางปาก เช่นกล่าวหาให้ร้ายศาสนาอื่น และเทศนาที่มีความหมายทำนองสองแง่สามง่าม
กับพวกที่กล่าวหาให้ร้ายผู้อื่นโดยมิชอบ ตลอดจนใช้วาจาแช่งด่าหยาบคาย หลังจากตายไปแล้วจะต้องถูกลงโทษทรมานอยู่ในนรกขุมนี้



ขุมนรกบดร่างวิญญาณ
พวกที่อกตัญญู พวกฆ่าทำลายชีวิตคนและสัตว์ กับพวกมักมากในกามารมณ์ คนจำพวกนี้เมื่อจบชีวิตลงนอกจากต้องถูกลงโทษทรมานตามผลกรรมอย่างหนักแล้ว สุดท้ายยังต้องถูกนำตัวมาบดอัดจนร่างแหลกละเอียด



ขุมนรกตัดท่อนแขนขา
พวกที่ทำมาหาเลี้ยงชีพไม่สุจริตและฉวยโอกาสหวังรวยทางลัด
พวกลักขโมยฉกชิงวิ่งราวปล้นฆ่า
และพวกที่ใช้กำลังทุบตีพ่อแม่ผู้มีพระคุณ
คนจำพวกนี้หลังจากตายไปแล้วจะต้องถูกลงโทษทรมานอยู่ในนรกขุมนี้



ขุมนรกน้ำมันกระเดนใส่ร่าง
พวกเขียนหนังสือกับถ่ายภาพลามก และพวกที่ปรุงยาปลุกอารมณ์ทางเพศ พวกโรงพิมพ์ตลอดจนผู้ขาย คนพวกนี้เป็นภัยต่อสังคมเป็นอย่างยิ่ง ก่อความมัวหมองทางด้านจิตใจให้แก่ชาวโลกโดยมิชอบ หลังจากตายไปแล้วจะต้องถูกลงโทษทรมานอยู่ในนรกขุมนี้



ขุมนรกประหารใจ
เป็นขุมนรกประหารใจสัตว์นรกจำพวก ใจอิจฉาริษยา ใจอธรรมลำเอียง ใจโหด อำมหิต ใจที่มีแต่เคียดแค้นพยาบาท ใจที่เห็นแก่ตัว และจงเกลียดจงชังผู้อื่น ใจที่ไม่รู้จักกตัญญูรู้คุณ ใจที่วิปริตหมกมุ่นแต่กามารมณ์



ขุมนรกกรอกยาพิษ
พวกนักค้ายาปลอมและสิ่งเสพติด ในที่สุดก็จบลงดังภาพนี้



ขุมนรกตัดลอกถลกหนัง
สำหรับคนที่ไม่มีความละอายต่อการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของตน หลังจากตายไปแล้วจะถูกนายนิรยบาลลงโทษทรมานด้วยการตัดลอกถลกหนังหน้าออกดังภาพ



งูพิษเจาะร่างวิญญาณ
ชาวโลกที่ชอบเจาะหาช่องว่างของกฎหมายเพื่อกระทำความทุจริต กับพวกรับจ้างฆ่าคนอย่างเลือดเย็น พวกปากหวานใจเฉือดคอ คอยยุแหย่ให้คนหลงผิดฆ่าทำลายกัน และพวกรับเหมาที่เจตนาลดวัสดุ-แรงงานผิดแบบก่อสร้าง
คนจำพวกนี้จิตใจชั่วช้าเลวทรามยิ่งอสรพิษ คิดเอาเปรียบผู้อื่นโดยไม่นึกถึงอะไร ตายแล้วนอกจากต้องรับกรรมทรมานตามขุมนรกต่าง ๆ แล้ว ท้ายสุดยังต้องถูกลงโทษทรมานในนรกขุมนี้ โดยถูกงูพิษชนิดต่างๆ เจาะร่างวิญญาณ

....................................................


ภาพพระมาลัยเทวะเถระโปรดยมโลก



พระมาลัยเทวะเถระโปรดยมโลก



พระมาลัยโปรดนรกปาณาติบาต
สัตว์นรกในขุมนี้ ถ้าใครเคยฆ่าสัตว์ชนิดใดไว้ ก็จะมีหัวเป็นสัตว์ชนิดนั้น



พระมาลัยโปรดนรกอทินนาทาน



พระมาลัยโปรดนรกกาเมสุมิจฉาจาร



พระมาลัยโปรดนรกมุสาวาท



พระมาลัยโปรดนรกสุราเมรัย




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 12 สิงหาคม 2552 18:05:28 น.   
Counter : 4851 Pageviews.  

กามสุคติภูมิ ๗

กามสุคติภูมิ หมายถึง สุคติภูมิที่เกิดพร้อมด้วยกามตัณหา มีความปรารถนายินดีพอใจใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส

กามสุคติภูมิ ๗ มีดังนี้

มนุษย์ภูมิ ๑

เป็นที่อยู่ของมนุษย์ เป็นภูมิที่สามารถสร้างบุญกุศลเพื่อไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า หรือปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผลนิพพานได้ แต่ถ้าหากใครทำความชั่ว สร้างแต่บาปอกุศล ก็จะไปอบายภูมิได้เช่นเดียวกัน

เทวภูมิ ๖ (สวรรค์)



ผู้ใดมีความละอาย เกรงกลัวต่อบาป มีจิตใจที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ มีการทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล ๕ มีสัจจะ ช่วยเหลือผู้อื่นทั้งมนุษย์และสัตว์ เลี้ยงดูบิดามารดา มีความเคารพต่อผู้ใหญ่ มีความยินดีในสิ่งที่ตนมีอยู่ ไม่โลภ ไม่หลงติดอยู่ในอบายมุข ผู้นั้นจะได้ไปเกิดยังเทวภูมิ

ส่วนใครจะได้ไปอยู่ชั้นใดนั้น ขึ้นอยู่กับกำลังบุญของตนที่ได้สร้างเอาไว้ ถ้าทำบุญมามากย่อมได้อยู่ในชั้นสูง ๆ หรือสามารถที่จะเลือกได้ว่าจะอยู่ในชั้นใด มีวิมานเป็นของตนเอง พรั่งพร้อมไปด้วยบริวารคอยรับใช้ ส่วนผู้ที่ทำบุญมาน้อยก็จะอยู่ได้แค่ชั้นต่ำ ๆ หรือเป็นได้แค่บริวารของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ซึ่งก็ยังดีกว่าการมาตกระกำลำบากในโลกมนุษย์




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 31 กรกฎาคม 2552 11:43:11 น.   
Counter : 4223 Pageviews.  

สวรรค์ชั้นที่ ๑ จาตุมหาราชิกา



มีเทวาธิราชผู้ยิ่งใหญ่ ๔ พระองค์ทรงเป็นผู้ปกครอง คือ

ท้าวธตรัฏฐะ
อยู่ทิศตะวันออก ปกครอง คันธัพพเทวดา

ท้าววิรุฬหกะ
อยู่ทิศใต้ ปกครอง กุมภัณฑเทวดา

ท้าววิรูปักขะ
อยู่ทิศตะวันตก ปกครอง นาคเทวดา

ท้าวกุเวระ หรือ ท้าวเวสสุวัณ
อยู่ทิศเหนือ ปกครอง ยักขเทวดา

ท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์นี้ เป็นผู้รักษามนุษยโลกด้วย จึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่”

เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาแบ่งตามสถานที่อยู่อาศัยได้ ๓ ประเภท

๑. ภุมมัฏฐเทวดา
อยู่บนพื้นแผ่นดิน อาศัยอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น บ้าน วัด เจดีย์ ศาลา ซุ้มประตู ภูเขา แม่น้ำ มหาสมุทร เป็นต้น

เทวดาบางองค์ก็มีวิมานของตนอยู่ ณ ที่นั้น ๆ โดยเฉพาะ

องค์ใดไม่มีก็ถือเอาสถานที่นั้นเป็นที่อาศัย เช่น บ้าน วัด ศาลา ภูเขา แม่น้ำนั้นเป็นที่อยู่ของตน

๒. รุกขัฏฐเทวดา
อยู่บนต้นไม้ มี ๒ จำพวก พวกหนึ่งมีวิมานอยู่บนต้นไม้ อีกพวกหนึ่งอยู่บนต้นไม้แต่ไม่มีวิมาน

๓. อากาสัฏฐเทวดา
อยู่ในอากาศ เทวดาจำพวกนี้มีวิมานเป็นของตนเองลอยหมุนเวียนไปรอบ ๆ เขาสิเนรุ

แต่ละวิมานประกอบไปด้วยรัตนะ ๗ อย่าง คือ แก้วมรกต แก้วมุกดา แก้วประพาฬ แก้วมณี แก้ววิเชียร เงิน ทอง ไม่เท่ากัน บางวิมานมีเพียง ๑-๒ รัตนะ บางวิมานก็มีมาก สุดแต่บุญกุศลที่ตนได้เคยสร้างเอาไว้

เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกานี้ บางพวกมีหน้าที่ต้องคอยดูแลรักษามนุษย์

ภูตผี เทวดา และสัตว์ที่อยู่ในจาตุมหาราชิกานี้มีหลายชั้น หลายจำพวกมาก ทั้งพระภูมิเจ้าที่ ผีบ้านผีเรือน สัมภเวสี รุกขเทวดา นางไม้ ยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ รากษส นาค ครุฑ เหล่านี้ล้วนอยู่ในจาตุมหาราชิกาภูมิทั้งสิ้น

สัมภเวสี
คือผู้ที่เร่ร่อนแสวงหาที่เกิด บางพวกเป็นผู้ที่ตายโดยยังไม่หมดอายุขัย เช่น ตายด้วยอุบัติเหตุ หรือถูกฆาตกรรม บางตนต้องเป็นสัมภเวสีอยู่อย่างนั้นหลายปีจนกว่าจะสิ้นอายุขัย จึงจะไปเกิดในภพภูมิอื่นได้



คันธัพพเทวดา
ได้แก่เทวดาที่ถือกำเนิดอยู่ในต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม และจะอาศัยอยู่ในเนื้อไม้นั้นตลอดไป แม้จะถูกตัด ถูกโค่น เอาไปทำสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ส่วนใดที่มีความมั่นคงแข็งแกร่งจะติดตามอาศัยอยู่กับส่วนนั้น เรียกว่า นางไม้ ซึ่งต่างกับรุกขเทวดาตรงที่ หากมีผู้ทำลายต้นไม้ที่ตนอยู่หรือต้นไม้นั้นตายรุกขเทวดาก็จะย้ายวิมานไปอยู่ต้นไม้อื่น



คนธรรพ์ (อ่านว่า คน-ทัน)
คือ ชาวสวรรค์พวกหนึ่ง ซึ่งมีความสามารถเชิงศิลปะทางดนตรี การขับร้อง ฟ้อนรำ นาฏกรรม นาฏศิลป์ทั้งปวง แต่ต้องเป็นไปเพื่อเป็นพุทธบูชา ถ้าเป็นไปเพื่อความสนุกสนานเฮฮาจะต้องไปบังเกิดในนรกที่ชื่อว่า ปหาสะ

คนธรรพ์ที่มนุษย์ทั้งหลายรู้จักกันดีก็คือ ปัญจสิขร ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการดีดพิณ

เมื่อครั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จกลับจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากที่ทรงแสดงธรรมโปรดพระมารดาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระอินทร์จึงเนรมิตบันไดทองคำถวาย และมีปัญจสิขรผู้นี้เป็นผู้ดีดพิณขับร้องถวายพระพรนำเสด็จลงมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงและสำเนียงอันไพเราะหนักหนา เป็นที่โจทก์ขานกันมาตราบจนกระทั่งทุกวันนี้

ณ ผนังโบสถ์วิหารหลาย ๆ แห่งที่มีภาพเรื่องราวของพุทธประวัติก็มักจะมีภาพปรากฏของปัญจสิขรคนธรรพ์องค์นี้ ถือพิณบรรเลงอยู่ด้วยเสมอไป



กุมภัณฑ์
เป็นเทวดาจำพวกหนึ่งที่เรียกว่า รากษส เป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์มาก มีอาวุธคือกระบองอันใหญ่ มีลักษณะรูปร่างไม่สวยงาม พุงใหญ่ ตาพองโตสีแดง และมีลูกอัณฑะใหญ่ขนาดเท่าหม้อเลยทีเดียว

มีที่อยู่ ๒ แห่งคือ ในมนุษยโลก มีหน้าที่รักษาสถานที่สำคัญต่าง ๆ เช่น ป่า ภูเขา สระโบกขรณี แม่น้ำ พุทธเจดีย์ แก้วรัตนะ ต้นยาที่ประเสริฐ เป็นต้น สถานที่ต่าง ๆ ที่ท้าวจาตุมหาราชกำหนดให้ กุมภัณฑเทวดาดูแลรักษานั้น ถ้ามีผู้ล่วงล้ำ กุมภัณฑเทวดาสามารถจับกินได้โดยไม่มีโทษ

และกุมภัณฑเทวดาที่อยู่ในนิรยโลก เมื่อเวลาต้องการเบียดเบียนสัตว์นรก ก็จะเนรมิตกายเป็นนายนิรยบาลรากษส การากษส สุนัขรากษส แร้งรากษส มีหน้าที่คอยลงโทษสัตว์นรก และจับสัตว์นรกกิน

ยักษ์
มี ๒ จำพวก จำพวกหนึ่งเป็น เทวดายักษ์ มีรูปร่างสวยงามมีรัศมี อีกพวกหนึ่งเป็น ดิรัจฉานยักษ์ รูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวไม่มีรัศมี

พวกยักษ์นั้นบางทีมีความพอใจในการเบียดเบียนสัตว์นรกให้เดือดร้อน ก็จะเนรมิตตนเองเป็นนายนิรยบาลบ้าง แร้งยักษ์ กายักษ์ สุนัขยักษ์บ้าง เที่ยวลงโทษหรือไล่จับสัตว์นรกกิน



นาค
มีทั้งที่เกิดอยู่ในน้ำ และที่เกิดบนบก มีทั้งที่เสวยกามคุณ และไม่เสวยกามคุณ นาคบางชนิดมีฤทธิ์สามารถเนรมิตตนเองให้เป็นมนุษย์ได้

แต่อย่างไรก็ตามถ้าอยู่ในภาวะ ๕ อย่างนี้ จะไม่สามารถแปลงร่างเป็นอย่างอื่นได้ ต้องอยู่ในสภาพที่เป็นนาคเท่านั้น คือ
๑. ในขณะปฏิสนธิ
๒. ในขณะกำลังลอกคราบ
๓. ในขณะกำลังเสพเมถุนกับนาคด้วยกัน
๔. ในขณะหลับปราศจากสติ
๕. ในขณะตาย



ครุฑ
มีรูปร่างสัณฐานเหมือนนก เป็นนกที่ตัวใหญ่ที่สุด อยู่ที่ป่าไม้งิ้ว

เจ้าแห่งพญาครุฑมีร่างกายสูง ๑๕๐ โยชน์ ปีกกว้างข้างละ ๕๐ โยชน์ หางยาว ๖๐ โยชน์ คอยาว ๓๐ โยชน์ ปากกว้าง ๙ โยชน์ ขายาว ๑๒ โยชน์

ขณะกำลังบินอยู่ปีกทั้งสองกระพือออก บังเกิดเป็นลมพายุใหญ่พัดทั่วไปไกลถึง ๗๐๐ หรือ ๘๐๐ โยชน์ (๑โยชน์ เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร)

ธรรมดาครุฑจะกินพวกนาคเป็นอาหาร




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 31 กรกฎาคม 2552 21:35:16 น.   
Counter : 10235 Pageviews.  

สวรรค์ชั้นที่ ๒ ดาวดึงส์

มี พระอินทร์ หรือ ท้าวสักกะเทวราช เป็นผู้ปกครอง ซึ่งท้าวสักกะจะปกครองเทพยดาทั้งชั้นดาวดึงส์และชั้นจาตุมหาราชิกา

คุณธรรมของผู้ที่จะเป็นพระอินทร์ได้ ต้องสร้างกุศลกรรมดังนี้

๑. เลี้ยงบิดามารดา
๒. เคารพต่อผู้ใหญ่ในตระกูล
๓. กล่าววาจาอ่อนหวาน
๔. ไม่กล่าวคำส่อเสียด
๕. ไม่มีความตระหนี่
๖. มีความสัตย์
๗. ระงับความโกรธไว้ได้

คุณธรรม ๗ ประการนี้ปฏิบัติได้ตลอดชีวิต

ประวัติความเป็นมาโดยสังเขปมีดังนี้

ในอดีตกาลนานมาแล้ว ณ โลกมนุษย์นี้สมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรายังไม่อุบัติขึ้น มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อ มจลคาม มีคนอยู่คณะหนึ่งจำนวน ๓๓ คน เป็นชายล้วน ต่างเป็นมิตรสหายอันสนิทสนมกันมาก

ผู้เป็นหัวหน้าชื่อ มาฆะมานพ มีภรรยา ๔ คน บุคคลคณะนี้ชอบร่วมใจกันทำสาธารณกุศลอยู่เสมอ เช่น ทำความสะอาดถนนหนทาง ที่ใดชำรุดก็ช่วยกันซ่อมแซมจนเรียบร้อย เพื่อให้ผู้คนอาศัยสัญจรไปมาได้โดยสะดวก ตั้งโรงเก็บน้ำให้ผู้คนทั้งหลายได้ใช้ สร้างศาลาขึ้นที่หนทางสี่แพร่ง เพื่อให้คนที่ผ่านไปมาได้พักอาศัย และประกอบกุศลกรรมอื่น ๆ อีก เช่น มีความเคารพนอบน้อมในผู้ใหญ่ บำรุงเลี้ยงดูบิดามารดา กล่าววาจาอ่อนหวาน เป็นต้น

ครั้นเมื่อบุคคลเหล่านี้สิ้นชีวิตลง กุศลกรรมส่งผลให้ไปบังเกิดในเทวโลกชั้นที่ ๒

มาฆะมานพ บังเกิดเป็น พระอินทร์ อีก ๓๒ คน บังเกิดเป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกชื่อภูมินี้ว่า เตตะตึสะ (อ่านว่า เตตะติงสะ) แปลว่า ๓๓ แล้วแปลงเป็น ตาวตึงสา หรือ ดาวดึงส์



ส่วนภรรยา ๔ คนของมาฆะมานพ คือ นางสุธรรมา นางสุจิตรา นางสุนันทา และ นางสุชาดา ทั้งสามนางแรกนั้นชอบในการทำบุญทำทานเป็นที่สุด จะมีก็แต่ นางสุชาดา เพียงผู้เดียวที่ไม่ชอบการทำบุญ กลัวว่าจะหมดเปลืองทั้ง ๆ ที่ทั้งสามนางมาออกปากชักชวนให้ นางสุชาดา ไปทำบุญด้วยกัน แต่ก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่า นางสุชาดา ไม่เห็นด้วย

นางสุธรรมา ได้ร่วมสร้างช่อฟ้าศาลาสุธรรมา นางสุจิตรา ได้สร้างสวนดอกไม้เอาไว้รอบศาลาสุธรรมา นางสุนันทา ได้สร้างสระน้ำเอาไว้ให้ผู้ที่มาพักศาลานั้นได้อาบได้กิน และยังมี ช้าง อีกตัวหนึ่ง ออกแรงช่วยฉุดลากไม้เพื่อนำมาสร้างศาลาหลังนั้น จนกระทั่งสำเร็จเรียบร้อยไปด้วยดี

เมื่อคณะบุคคลเหล่านี้สิ้นชีวิตลง มาฆะมานพ และภรรยา ๓ คน พร้อมทั้งสหายทั้ง ๓๒ คน ตลอดกระทั่งช้าง พากันมาบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้พร้อม ๆ กัน และมีสิ่งต่าง ๆ ที่เคยสร้างมา อุบัติขึ้นเป็นการตอบสนองคือ

นางสุธรรมา มี ศาลาสุธรรมาเทวสถาน อุบัติขึ้นมา
นางสุจิตรา มี สวนดอกไม้ทิพย์จิตรลดา อุบัติขึ้นมา
นางสุนันทา มี สระโบกขรณี ที่สวยสดงดงาม อุบัติขึ้นมา

ส่วนสหายทั้ง ๓๒ คน ก็มีวิมานปราสาทแก้วอันงดงามอยู่กันทุกคน เรียงรายอยู่รอบปราสาทใหญ่ของพระอินทร์ที่มีชื่อว่า ไพชยนต์มหาปราสาท

แม้กระทั่งช้างตัวที่เคยช่วยลากไม้มาสร้างศาลา ก็บังเกิดเป็นเทพบุตรกับเขาด้วย มีชื่อว่า เอราวัณ มีวิมานปราสาทอันงดงามเป็นที่ประทับของตนเอง เมื่อใดก็ตามที่ พระอินทร์ จะเสด็จไปแห่งหนใดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ เอราวัณเทพบุตร ก็จะเนรมิตกายตนเองให้กลายเป็นช้างเผือกตัวใหญ่ ไว้สำหรับเป็นช้างพระที่นั่งให้ พระอินทร์ ได้เสด็จไปที่ต่าง ๆ



สำหรับ นางสุชาดา ภรรยาคนที่ ๔ ของ มาฆะมานพ ที่มิได้สนใจในเรื่องของบุญทานการกุศล ถึงแม้ว่าสามี และอีกสามนางจะเตือนหรือชักชวนให้ไปทำบุญทำทานด้วยกันก็ตาม นางสุชาดา ก็จะปฏิเสธทุกครั้ง ขออยู่อย่างสบาย ๆ สำรวลอยู่แต่ในการแต่งตัวให้สวยงาม

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อ นางสุชาดา ตายไปจากโลกมนุษย์แล้ว ก็ได้ไปเกิดเป็น นกกระยางขาว เที่ยวยืนคอยาวอยู่ตามหนองน้ำ เพื่อคอยจับปลากินเป็นอาหาร ประทังชีวิตให้อยู่รอดไปได้ในชาตินี้



ฝ่าย พระอินทร์ เมื่อสอดส่องทิพยเนตรเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกสงสาร จึงเหาะลงมาหานางนกกระยางนั้น และพานางนกขึ้นไปเที่ยวบนสวรรค์ ให้ชมปราสาทวิมานต่าง ๆ แล้วจึงพากลับลงมาส่ง พร้อมทั้งได้กล่าวตักเตือนว่า สุชาดา นั้นเป็นคนที่ดื้อรั้นในการบุญทาน จึงต้องมารับความทรมานอยู่อย่างนี้ ต่อจากนี้ไปขอให้รักษาศีล ๕ อยู่เป็นนิจ ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จงบำเพ็ญเพียรให้มั่นไว้ ในไม่ช้าก็จะได้บังเกิดในสวรรค์เหมือนอย่างกับทั้งสามนาง จะได้พบกับความผาสุกตลอดไป

นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นางนกสุชาดา ก็ได้รักษาศีลอย่างมุ่งมั่น ไม่ยอมจับปลาเป็น ๆ กินเป็นอาหารอีกเลย นอกจากปลาตายที่ลอยน้ำมาเท่านั้น พอประทังชีวิตให้อยู่รอด

ทางฝ่าย พระอินทร์ ยังไม่แน่ใจ จึงได้เนรมิตเป็นปลาตายลอยน้ำมาตรงหน้าของนาง เพื่อจะทดสอบดูว่า นางนกจะรักษาศีลได้มั่นคงสักเพียงไร เมื่อนางนกเห็นปลาตายก็ดีใจ ด้วยความหิวเต็มที่แทบจะเป็นลมอยู่แล้ว จึงได้จิกคาบเอาปลาตายตัวนั้น หวังว่าจะได้กินเป็นอาหาร แต่แล้วพระอินทร์ท่านก็บันดาลให้ปลาตัวนั้นกลับดิ้นขึ้นมา นางนกเห็นดังนั้นก็ตกใจ ค่อย ๆ คายปลาออกจากปาก ปล่อยลงน้ำไป ทำอยู่เช่นนั้นหลายครั้งหลายหน จนกระทั่งเป็นที่แน่ใจแล้วว่านางนกปฏิบัติได้อย่างเคร่งครัด เมื่อหาปลาตายเป็นอาหารไม่ได้ นางจึงต้องอดโซ ร่างกายผอมลงเพราะขาดอาหาร จึงถึงกับความตาย สิ้นเวรจากชาตินั้นไปได้

แล้วก็ไปเกิดเป็นลูกสาวของช่างปั้นหม้ออีกชาติหนึ่ง นางก็ยังรักษาศีล ๕ เอาไว้ได้อย่างมั่นคง

และในชาติสุดท้ายก็ไปเกิดเป็น ธิดาพระยาอสูร ในชาตินี้เองที่ พระอินทร์ ได้ไปพาเอา นางสุชาดา มาอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์กับเขาได้อีกนางหนึ่ง นั่นเป็นเพราะบารมีในการบำเพ็ญเพียรด้วยการรักษาศีล ๕ นี่เอง

ขอย้อนกลับมา ในสมัยต้นกัป สวรรค์ชั้นที่ ๒ นี้เดิมเป็นที่อยู่ของ เนวาสิกเทพบุตร กับเทพบริวาร

ครั้นเมื่อ มาฆะมานพ ได้บังเกิดเป็นพระอินทร์ ขึ้นในที่นั้น เห็นว่าพวก เนวาสิก ไม่ควรอยู่ร่วมกับพวกตน จึงจัดงานเลี้ยงสุราขึ้น แต่ทว่าได้กำชับพวกของตนมิให้ดื่ม น้ำทิพย์คันธบาน นั้น เพียงแค่ทำท่าว่ายกแก้วขึ้นจิบเป็นการพรางตา แต่มิยอมให้เข้าปาก พอได้โอกาสที่พวก เนวาสิก เผลอ ก็ลอบเททิ้งเสีย

ในขณะที่ เนวาสิกเทพบุตร และเทพบริวาร เมามายจนสลบไสลสิ้นสติลงไปนั้น บรรดาพวกของ พระอินทร์ จึงจับพวก เนวาสิก นี้โยนลงไปภายใต้ ภูเขาสิเนรุ ซึ่งที่นั่นมีนครหนึ่งคล้ายนครบนดาวดึงส์ แต่ต่างกันตรงที่มีต้นไม้ประจำพิภพคนละชนิดกัน ที่ดาวดึงส์เป็น ต้นปาริฉัตร ที่ใต้เขาสิเนรุเป็น ต้นปาตลี (แคฝอย)

เมื่อพวก เนวาสิก ถูกโยนลงมาอยู่ในนครใต้เขาสิเนรุนี้ ยังคงเข้าใจว่าพวกตนอยู่ในชั้นดาวดึงส์ดังเดิม เพราะสถานที่ต่าง ๆ ไม่ผิดแปลกกัน จนกระทั่งเมื่อต้นแคฝอยออกดอก จึงรู้ตัวว่าถูก พระอินทร์ กลั่นแกล้ง ต่างพากันโกรธแค้น ประชุมกันจะทำสงครามแย่งชิงดาวดึงส์คืนจากพวกฝ่ายพระอินทร์

เนวาสิกเทพบุตร ผู้เป็นหัวหน้า ได้นึกตำหนิตนเองว่าความพลั้งพลาดครั้งนี้ เป็นเพราะว่าดื่มน้ำเมาคันธบาน จนขาดสติ ถูกจับโยนลงมา เห็นทีพวกเราควรจะอธิษฐานสาบานตนเลิกดื่มน้ำมึนเมา ไม่แตะต้องน้ำทิพย์คันธบานอีกต่อไป

เมื่อเทพบริวารได้ฟังดังนั้น ต่างก็เห็นดีด้วยและได้ตั้งจิตอธิษฐานสาบานตนเลิกดื่มน้ำคันธบานอันเป็นน้ำมึนเมาอีกต่อไป เทพบุตรทั้งกลุ่มนั้นจึงได้ขนานนามว่า อสุรา หรือ อสูร ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ที่ไม่ดื่มน้ำเมา นั่นเอง

สงครามในเทวโลกไม่มีการบาดเจ็บ ไม่มีการตาย ฝ่ายใดสู้ไม่ไหวก็พากันหลบหนีเข้าไปในนครของตน แล้วพากันปิดประตูนครเสียทั้ง ๔ ทิศ อีกฝ่ายก็ต้องล่าถอยเพราะไม่สามารถทำลายประตูได้

สงครามระหว่าง พระอินทร์ กับ อสูร นี้ ต่างพลัดกันแพ้ผลัดกันชนะเรื่อยมาตั้งแต่ต้นกัป จนกระทั่งบัดนี้ เมื่อใดที่ดอกแคฝอยบานเหล่าอสูร ย่อมเกิดความแค้นยกกองทัพไปทำสงครามอยู่ทุกครั้งไป

ความจริง ท้าวสักกเทวราช ในสมัยเมื่อเป็น มาฆะมานพ อยู่ในเมืองมนุษย์ ไม่ได้ประกอบการกุศลในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นสมัยที่พระศาสนาของ พระสมณโคดม ยังไม่อุบัติขึ้น เมื่อตายแล้วมาเสวยทิพยสมบัติเป็น พระอินทร์ ยังมีความสวยงาม รัศมีของวิมานและอื่น ๆ ด้อยกว่าของเทวดาผู้ใหญ่หลายองค์ที่เคยสร้างกุศลในสมัยพระพุทธเจ้า ทำให้ พระอินทร์ พยายามแสวงหาโอกาส ที่จะสร้างกุศลในพระพุทธศาสนาให้จงได้

วันหนึ่งทรงเล็งทิพยเนตรเห็น พระมหากัสสปเถระเจ้า ออกจากนิโรธสมาบัติ กำลังจะไปโปรดคนยากจนที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง พระอินทร์ จึงชวน นางสุชาดา มเหสีองค์หนึ่ง เนรมิตตนเป็นคนชราสองคนผัวเมีย ทอผ้าอยู่ในกระท่อมต้นทางที่ พระเถระเจ้า จะผ่านมา

ในชั้นแรก พระมหาเถระเจ้า ไม่ได้พิจารณาจึงไม่ทราบว่าเป็นเทวดาแปลงกายลงมา ต่อเมื่อรับอาหารลงไปในบาตร กลิ่นอาหารทำให้รู้ว่าเป็นอาหารทิพย์ จึงต่อว่าที่ พระอินทร์ มาแย่งบุญของคนจน พระอินทร์ ทรงสารภาพว่าพระองค์ก็ทรงเป็นเทวดาที่จนมาก เพราะรัศมีก็ดี วิมานก็ดี ยังด้อยกว่าเทวดาที่เคยสร้างกุศลในพระพุทธศาสนา

ในการประกอบการกุศลครั้งนี้ เมื่อ พระอินทร์ กลับไปยังพิภพของตน ปรากฏว่ารัศมีกายและรัศมีวิมานปรากฏสว่างรุ่งโรจน์ สวยงามบริบูรณ์เต็มที่ไม่น้อยหน้าเทวดาองค์อื่นอีกต่อไป

ปัจจุบัน ท้าวสักกะเทวราช องค์นี้ ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว เมื่อครั้งได้ฟังพระธรรมเทศนาเรื่อง พรหมชาลสูตร จบลงไป และต่อไปภายหน้าเมื่อจุติจากชั้นนี้ จะมาบังเกิดเป็น พระเจ้าจักรพรรดิ ในโลกมนุษย์ ในครั้งนั้นจะบรรลุเป็น พระสกทาคามี และจะไปบังเกิดที่ ดาวดึงส์ อีกครั้ง จะบรรลุเป็น พระอนาคามี ในภพนั้น จึงไปบังเกิดในชั้น สุทธาวาส ตั้งแต่ชั้นอวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา และปรินิพพาน

เทวดาที่อยู่บนชั้นดาวดึงส์มีอยู่ ๒ พวก คือ

ภุมมัฏฐเทวดา ได้แก่ พวกที่มีวิมานตั้งอยู่บนพื้นดินของภพ เช่น พระอินทร์ และเทวดาผู้ใหญ่ ๓๒ องค์ และบริวาร รวมทั้งเทวอสุราที่อยู่ใต้เขาสิเนรุด้วย

และ อากาสัฏฐเทวดา ได้แก่ เทวดาที่มีวิมานลอยอยู่กลางอากาศ ตั้งแต่ยอดเขาสิเนรุตลอดไปจนจรดขอบเขาจักรวาล บางวิมานก็เป็นวิมานว่าง เทวดาที่เป็นเจ้าของยังไม่มาอยู่

เทพยดาทั้งหลายที่มาบังเกิดในสวรรค์ ตั้งแต่ชั้นดาวดึงส์นี้ขึ้นไป เทพบุตรจะมีอายุราว ๒๐ ปี เทพธิดาจะมีอายุราว ๑๖ ปี มีแต่หนุ่มสาวเหมือนกันหมด ไม่มีความแก่ชราปรากฏ

การเกิดขึ้นของเทวดาไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เป็นลักษณะของโอปปาติกะกำเนิด เมื่อเกิดขึ้นจะโตเป็นหนุ่มเป็นสาวทันที

เทพยดาแต่ละองค์ล้วนมีทิพยสมบัติ อันเป็นผลที่ได้รับมาจากกุศลกรรมในอดีตชาติ อารมณ์ต่าง ๆ ที่ได้รับล้วนแต่ดีงามทั้งสิ้น ต่างมีความสุข สนุกสนาน รื่นเริง มีการไปมาหาสู่ซึ่งกันและกัน มีความสมหวังและความผิดหวังในเรื่องความรักคล้ายเมืองมนุษย์

ความทุกข์ของเทวดาชั้นนี้คือผู้ที่ไม่มีคู่ จะเกิดความเบื่อหน่ายในความเป็นอยู่ของตน นั่นเป็นเพราะเมื่อตอนที่ตนเองมีคู่ ตนเองไม่ได้สร้างคุณความดีกับคู่ของตนเอาไว้ จึงทำให้ไร้คู่ครอง ส่วนผู้ที่มีคู่ครองต่างก็พากันไปหาความสุขสำราญตามสถานที่ต่าง ๆ ในดาวดึงส์นี้

เทวดาบางองค์อาจมีภรรยาเป็นร้อยเป็นพันหรือมากกว่านั้นได้ ขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ได้เคยสร้างร่วมกันมา แต่ถ้าหากเทวดาองค์ใดหมกมุ่นอยู่กับการเสพกามมากเกินไปก็จะทำให้หมดบุญเร็ว

การเสวยกามคุณของเทวดาทั้ง ๖ ชั้น เสวยเมถุนธรรมเช่นเดียวกับมนุษย์ทั้งหลาย แต่ไม่มีการหลั่งน้ำกามออกมา

ในสวรรค์เทพบุตรมีภรรยาหลายองค์ได้ เขาไม่ห้ามกัน เขาพอใจโดยไม่ขัดไม่เคืองกัน ไม่มีการแย่งชิงกัน ในสวรรค์มีแล้วไม่วุ่นวายเหมือนกับโลกมนุษย์ แต่เทพธิดาที่มีสามีมากกว่าหนึ่งนั้นไม่มีปรากฏ

ความทุกข์อีกอย่างหนึ่งของเทวดาก็คือ ความแตกต่างกันในเรื่องทิพยสมบัติ ทำให้เทพบุตรเทพธิดาบางองค์ ไม่มีความสุขเต็มที่ ทั้งนี้เพราะกุศลกรรมที่สร้างสมไว้ไม่เท่ากัน ทำให้ความสวยงามประณีตของสมบัติ เครื่องประดับร่างกายและวิมาน เครื่องใช้ รัศมีที่ออกมาจากร่างกายและวิมาน ขนาดของวิมาน ฯลฯ ยิ่งหย่อนไม่เท่ากัน รัศมีของบางองค์สว่าง ๑๒ โยชน์ แต่บางองค์สว่างถึง ๑๐๐ โยชน์

ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้มีสวนอันงดงามกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยดอกไม้สวรรค์ ต้นไม้สวรรค์นานาพันธุ์ หลากสี หลากชนิด ส่งกลิ่นหอมระรื่น ตลบอบอวลไปทั่วทั้งพระนคร ทุกดอกไม้มีสีสันแปลกตาสดสวย ผลิบานสล้างตลอดเวลามิรู้โรยเลยทีเดียว

สวนอันกว้างใหญ่งดงามนั้น มีชื่อดังนี้

สวนนันทวัน อยู่ ทางทิศตะวันออก
สวนจิตรลดาวัน อยู่ ทางทิศตะวันตก
สวนมิสสกวัน อยู่ ทางทิศเหนือ
สวนผารุสกวัน อยู่ ทางทิศใต้
สวนปุญฑริกวัน อยู่ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

และ ณ สวนปุณฑริกวัน แห่งนี้ มีต้นไม้สวรรค์ซึ่งมนุษย์รู้จักกันดี นั่นคือต้น ปาริชาติ ต้นปาริชาตินี้ ๑๐๐ ปีจะผลิดอกบาน ๑ ครั้ง กลิ่นหอมแห่งดอกไม้ปาริชาติ จะหอมฟุ้งจรุงใจอบอวลไปไกล ๑๐๐ โยชน์

ต้นปาริชาตินี้ คือ ต้นไม้แห่งการระลึกชาติของบรรดาเทพชาวฟ้า ทุก ๑๐๐ ปี เมื่อครบกำหนดเวลาที่ปาริชาติจะผลิดอก บรรดาเทพบุตร เทพธิดาทั้งปวงก็จะมาเที่ยวที่ สวนปุณฑริกวัน นี้ เพื่อที่จะมาประทับพักผ่อนสำราญองค์อยู่ ณ ใต้ต้นปาริชาติเพื่อที่จะระลึกชาติของตนไปในปางก่อน ๆ

และต้นปาริชาตินี้หากมีเทพบุตรเทพธิดาองค์ใดใคร่จะเด็ดดอกไม้ปาริชาติ ก็ไม่ต้องถึงกับเอื้อมมือไปเด็ด เพียงคิดเท่านั้นดอกปาริชาติก็จะปลิดจากขั้ว ร่วงหล่นมาถึงอุ้มมือของเทพบุตรเทพธิดาได้ดั่งใจ หากว่ายังไม่ได้รับ ดอกปาริชาตินั้นก็จะลอยอยู่ในอากาศ ไม่ยอมร่วงหล่นลงพื้น จนกระทั่งจะมีผู้ใดยื่นมือขึ้นมารับจึงจะหล่นลงสู่มือผู้นั้น

สำหรับพระอินทร์นั้น หากจะมาพักผ่อนสำราญองค์ ณ ต้นปาริชาติ ก็จะมาประทับอยู่ ณ แท่นศิลาสีแดงสดราวกับดอกชบาสวรรค์ แต่ทว่ามีความนุ่มดั่งปุยเมฆทิพย์ แท่นศิลานี้มีชื่อว่า บัณฑุกำพลศิลาอาสน์

ในสวนปุณฑริกวัน ยังมี ศาลาสุธรรมา ซึ่งเป็นสถานที่ที่เทพบุตรเทพธิดาทั้งหลายที่สนใจในธรรม พากันมาประชุมฟังธรรมและสนทนาธรรม โดยมี ท้าวอมรินทราธิราช เป็นประธาน

และมีปูชนียสถานสำคัญตั้งอยู่ เช่น พระจุฬามณีเจดีย์ เป็นเจดีย์แก้วมรกตสูง ๑๐๐ โยชน์ (๑โยชน์ เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร) ซึ่งพระอินทร์เนรมิตขึ้นมา ให้เป็นที่บรรจุ พระเกศโมลีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงตัดก่อนที่จะผนวช และเป็นที่บรรจุ พระบรมธาตุเขี้ยวแก้วเบื้องขวาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ โทณพราหมณ์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ได้นำเอาพระเขี้ยวแก้วซ่อนไว้ที่ผ้าโพกศีรษะ แล้วจึงได้จัดแบ่งพระบรมสารีริกธาตุที่เหลือออกเป็น ๘ ส่วน เพื่อถวายแก่กษัตริย์ต่าง ๆ ในครั้งนั้น

พระอินทร์ จึงได้อัญเชิญพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วจากผ้าโพกศีรษะของ โทณพราหมณ์ นั้น ลงสู่ผอบทองคำทิพย์อีกทอดหนึ่งด้วยกิริยาอันเลื่อมใสยิ่ง แล้วรีบเสด็จมาประดิษฐานบรรจุไว้ในพระจุฬามณีเจดีย์นี้

สถานที่ต่าง ๆ ในดาวดึงส์นี้ ที่นับว่าให้ความสุขรื่นรมย์ได้มากที่สุด คือที่ สวนนันทวัน ถ้าเทพบุตร เทพธิดาองค์ใดมีความทุกข์โศก เช่นกลัวตายก็ดี เมื่อเข้าไปในสวนนี้แล้ว จะหายทุกข์ไปสิ้น สวนลักษณะดังนี้มีอยู่ในเทวโลกทุกชั้น และจะเรียกชื่อเดียวกันว่า สวนนันทวัน แปลว่า สถานที่อันเป็นที่น่ายินดีเหลือเกิน

ในสวนทั้ง ๖ แห่งที่สวรรค์ชั้นนี้ มีต้นไม้ทิพย์อยู่ทุกสวน สวนละ ๑,๐๐๐ ต้น เช่นที่ สวนจิตรลดา มีต้นไม้เครือเถาชื่อ อาสาวตี ๑,๐๐๐ ปีของชั้นดาวดึงส์จึงจะมีผลครั้งหนึ่ง ข้างในมีน้ำเรียกว่าน้ำทิพย์ คือสุราของพวกเทวดา ผู้ใดดื่มแล้วจะเกิดความมึนเมาทำให้หลับไปถึง ๔ เดือน จึงจะสร่างเมา




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 31 กรกฎาคม 2552 19:20:12 น.   
Counter : 5402 Pageviews.  

สวรรค์ชั้นที่ ๓ ยามา

เป็นภูมิที่สวยงามและประณีตกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีกเท่าตัว ทั้งร่างกาย วิมาน และทิพยสมบัติของเทวดาชั้นยามานี้ ประณีตสวยงามมากกว่า อายุขัยก็ยืนยาวกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ ปราศจากความยากลำบากใด ๆ ถึงซึ่งความสุขอันเป็นทิพย์

สวรรค์ชั้นยามานี้ขึ้นไป ตั้งอยู่ในอากาศ จึงไม่มีภุมมัฏฐเทวดา มีแต่อากาสัฏฐเทวดา พวกเดียว




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 2 สิงหาคม 2552 11:51:40 น.   
Counter : 854 Pageviews.  

1  2  3  4  

thammakittakon
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




[Add thammakittakon's blog to your web]