"ข้าพเจ้าไม่ขอพบเจอกับคนพาล เพราะคนพาลย่อมแนะนำในสิ่งที่ไม่ควรแนะนำ ย่อมชักชวนในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ การแนะนำคนพาลถึงจะแนะนำดีเขาก็โกรธ" (กฤษฏ์ ธรรมกฤตกรณ์)

สวรรค์ชั้นที่ ๒ ดาวดึงส์

มี พระอินทร์ หรือ ท้าวสักกะเทวราช เป็นผู้ปกครอง ซึ่งท้าวสักกะจะปกครองเทพยดาทั้งชั้นดาวดึงส์และชั้นจาตุมหาราชิกา

คุณธรรมของผู้ที่จะเป็นพระอินทร์ได้ ต้องสร้างกุศลกรรมดังนี้

๑. เลี้ยงบิดามารดา
๒. เคารพต่อผู้ใหญ่ในตระกูล
๓. กล่าววาจาอ่อนหวาน
๔. ไม่กล่าวคำส่อเสียด
๕. ไม่มีความตระหนี่
๖. มีความสัตย์
๗. ระงับความโกรธไว้ได้

คุณธรรม ๗ ประการนี้ปฏิบัติได้ตลอดชีวิต

ประวัติความเป็นมาโดยสังเขปมีดังนี้

ในอดีตกาลนานมาแล้ว ณ โลกมนุษย์นี้สมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรายังไม่อุบัติขึ้น มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อ มจลคาม มีคนอยู่คณะหนึ่งจำนวน ๓๓ คน เป็นชายล้วน ต่างเป็นมิตรสหายอันสนิทสนมกันมาก

ผู้เป็นหัวหน้าชื่อ มาฆะมานพ มีภรรยา ๔ คน บุคคลคณะนี้ชอบร่วมใจกันทำสาธารณกุศลอยู่เสมอ เช่น ทำความสะอาดถนนหนทาง ที่ใดชำรุดก็ช่วยกันซ่อมแซมจนเรียบร้อย เพื่อให้ผู้คนอาศัยสัญจรไปมาได้โดยสะดวก ตั้งโรงเก็บน้ำให้ผู้คนทั้งหลายได้ใช้ สร้างศาลาขึ้นที่หนทางสี่แพร่ง เพื่อให้คนที่ผ่านไปมาได้พักอาศัย และประกอบกุศลกรรมอื่น ๆ อีก เช่น มีความเคารพนอบน้อมในผู้ใหญ่ บำรุงเลี้ยงดูบิดามารดา กล่าววาจาอ่อนหวาน เป็นต้น

ครั้นเมื่อบุคคลเหล่านี้สิ้นชีวิตลง กุศลกรรมส่งผลให้ไปบังเกิดในเทวโลกชั้นที่ ๒

มาฆะมานพ บังเกิดเป็น พระอินทร์ อีก ๓๒ คน บังเกิดเป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกชื่อภูมินี้ว่า เตตะตึสะ (อ่านว่า เตตะติงสะ) แปลว่า ๓๓ แล้วแปลงเป็น ตาวตึงสา หรือ ดาวดึงส์



ส่วนภรรยา ๔ คนของมาฆะมานพ คือ นางสุธรรมา นางสุจิตรา นางสุนันทา และ นางสุชาดา ทั้งสามนางแรกนั้นชอบในการทำบุญทำทานเป็นที่สุด จะมีก็แต่ นางสุชาดา เพียงผู้เดียวที่ไม่ชอบการทำบุญ กลัวว่าจะหมดเปลืองทั้ง ๆ ที่ทั้งสามนางมาออกปากชักชวนให้ นางสุชาดา ไปทำบุญด้วยกัน แต่ก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่า นางสุชาดา ไม่เห็นด้วย

นางสุธรรมา ได้ร่วมสร้างช่อฟ้าศาลาสุธรรมา นางสุจิตรา ได้สร้างสวนดอกไม้เอาไว้รอบศาลาสุธรรมา นางสุนันทา ได้สร้างสระน้ำเอาไว้ให้ผู้ที่มาพักศาลานั้นได้อาบได้กิน และยังมี ช้าง อีกตัวหนึ่ง ออกแรงช่วยฉุดลากไม้เพื่อนำมาสร้างศาลาหลังนั้น จนกระทั่งสำเร็จเรียบร้อยไปด้วยดี

เมื่อคณะบุคคลเหล่านี้สิ้นชีวิตลง มาฆะมานพ และภรรยา ๓ คน พร้อมทั้งสหายทั้ง ๓๒ คน ตลอดกระทั่งช้าง พากันมาบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้พร้อม ๆ กัน และมีสิ่งต่าง ๆ ที่เคยสร้างมา อุบัติขึ้นเป็นการตอบสนองคือ

นางสุธรรมา มี ศาลาสุธรรมาเทวสถาน อุบัติขึ้นมา
นางสุจิตรา มี สวนดอกไม้ทิพย์จิตรลดา อุบัติขึ้นมา
นางสุนันทา มี สระโบกขรณี ที่สวยสดงดงาม อุบัติขึ้นมา

ส่วนสหายทั้ง ๓๒ คน ก็มีวิมานปราสาทแก้วอันงดงามอยู่กันทุกคน เรียงรายอยู่รอบปราสาทใหญ่ของพระอินทร์ที่มีชื่อว่า ไพชยนต์มหาปราสาท

แม้กระทั่งช้างตัวที่เคยช่วยลากไม้มาสร้างศาลา ก็บังเกิดเป็นเทพบุตรกับเขาด้วย มีชื่อว่า เอราวัณ มีวิมานปราสาทอันงดงามเป็นที่ประทับของตนเอง เมื่อใดก็ตามที่ พระอินทร์ จะเสด็จไปแห่งหนใดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ เอราวัณเทพบุตร ก็จะเนรมิตกายตนเองให้กลายเป็นช้างเผือกตัวใหญ่ ไว้สำหรับเป็นช้างพระที่นั่งให้ พระอินทร์ ได้เสด็จไปที่ต่าง ๆ



สำหรับ นางสุชาดา ภรรยาคนที่ ๔ ของ มาฆะมานพ ที่มิได้สนใจในเรื่องของบุญทานการกุศล ถึงแม้ว่าสามี และอีกสามนางจะเตือนหรือชักชวนให้ไปทำบุญทำทานด้วยกันก็ตาม นางสุชาดา ก็จะปฏิเสธทุกครั้ง ขออยู่อย่างสบาย ๆ สำรวลอยู่แต่ในการแต่งตัวให้สวยงาม

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อ นางสุชาดา ตายไปจากโลกมนุษย์แล้ว ก็ได้ไปเกิดเป็น นกกระยางขาว เที่ยวยืนคอยาวอยู่ตามหนองน้ำ เพื่อคอยจับปลากินเป็นอาหาร ประทังชีวิตให้อยู่รอดไปได้ในชาตินี้



ฝ่าย พระอินทร์ เมื่อสอดส่องทิพยเนตรเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกสงสาร จึงเหาะลงมาหานางนกกระยางนั้น และพานางนกขึ้นไปเที่ยวบนสวรรค์ ให้ชมปราสาทวิมานต่าง ๆ แล้วจึงพากลับลงมาส่ง พร้อมทั้งได้กล่าวตักเตือนว่า สุชาดา นั้นเป็นคนที่ดื้อรั้นในการบุญทาน จึงต้องมารับความทรมานอยู่อย่างนี้ ต่อจากนี้ไปขอให้รักษาศีล ๕ อยู่เป็นนิจ ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จงบำเพ็ญเพียรให้มั่นไว้ ในไม่ช้าก็จะได้บังเกิดในสวรรค์เหมือนอย่างกับทั้งสามนาง จะได้พบกับความผาสุกตลอดไป

นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นางนกสุชาดา ก็ได้รักษาศีลอย่างมุ่งมั่น ไม่ยอมจับปลาเป็น ๆ กินเป็นอาหารอีกเลย นอกจากปลาตายที่ลอยน้ำมาเท่านั้น พอประทังชีวิตให้อยู่รอด

ทางฝ่าย พระอินทร์ ยังไม่แน่ใจ จึงได้เนรมิตเป็นปลาตายลอยน้ำมาตรงหน้าของนาง เพื่อจะทดสอบดูว่า นางนกจะรักษาศีลได้มั่นคงสักเพียงไร เมื่อนางนกเห็นปลาตายก็ดีใจ ด้วยความหิวเต็มที่แทบจะเป็นลมอยู่แล้ว จึงได้จิกคาบเอาปลาตายตัวนั้น หวังว่าจะได้กินเป็นอาหาร แต่แล้วพระอินทร์ท่านก็บันดาลให้ปลาตัวนั้นกลับดิ้นขึ้นมา นางนกเห็นดังนั้นก็ตกใจ ค่อย ๆ คายปลาออกจากปาก ปล่อยลงน้ำไป ทำอยู่เช่นนั้นหลายครั้งหลายหน จนกระทั่งเป็นที่แน่ใจแล้วว่านางนกปฏิบัติได้อย่างเคร่งครัด เมื่อหาปลาตายเป็นอาหารไม่ได้ นางจึงต้องอดโซ ร่างกายผอมลงเพราะขาดอาหาร จึงถึงกับความตาย สิ้นเวรจากชาตินั้นไปได้

แล้วก็ไปเกิดเป็นลูกสาวของช่างปั้นหม้ออีกชาติหนึ่ง นางก็ยังรักษาศีล ๕ เอาไว้ได้อย่างมั่นคง

และในชาติสุดท้ายก็ไปเกิดเป็น ธิดาพระยาอสูร ในชาตินี้เองที่ พระอินทร์ ได้ไปพาเอา นางสุชาดา มาอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์กับเขาได้อีกนางหนึ่ง นั่นเป็นเพราะบารมีในการบำเพ็ญเพียรด้วยการรักษาศีล ๕ นี่เอง

ขอย้อนกลับมา ในสมัยต้นกัป สวรรค์ชั้นที่ ๒ นี้เดิมเป็นที่อยู่ของ เนวาสิกเทพบุตร กับเทพบริวาร

ครั้นเมื่อ มาฆะมานพ ได้บังเกิดเป็นพระอินทร์ ขึ้นในที่นั้น เห็นว่าพวก เนวาสิก ไม่ควรอยู่ร่วมกับพวกตน จึงจัดงานเลี้ยงสุราขึ้น แต่ทว่าได้กำชับพวกของตนมิให้ดื่ม น้ำทิพย์คันธบาน นั้น เพียงแค่ทำท่าว่ายกแก้วขึ้นจิบเป็นการพรางตา แต่มิยอมให้เข้าปาก พอได้โอกาสที่พวก เนวาสิก เผลอ ก็ลอบเททิ้งเสีย

ในขณะที่ เนวาสิกเทพบุตร และเทพบริวาร เมามายจนสลบไสลสิ้นสติลงไปนั้น บรรดาพวกของ พระอินทร์ จึงจับพวก เนวาสิก นี้โยนลงไปภายใต้ ภูเขาสิเนรุ ซึ่งที่นั่นมีนครหนึ่งคล้ายนครบนดาวดึงส์ แต่ต่างกันตรงที่มีต้นไม้ประจำพิภพคนละชนิดกัน ที่ดาวดึงส์เป็น ต้นปาริฉัตร ที่ใต้เขาสิเนรุเป็น ต้นปาตลี (แคฝอย)

เมื่อพวก เนวาสิก ถูกโยนลงมาอยู่ในนครใต้เขาสิเนรุนี้ ยังคงเข้าใจว่าพวกตนอยู่ในชั้นดาวดึงส์ดังเดิม เพราะสถานที่ต่าง ๆ ไม่ผิดแปลกกัน จนกระทั่งเมื่อต้นแคฝอยออกดอก จึงรู้ตัวว่าถูก พระอินทร์ กลั่นแกล้ง ต่างพากันโกรธแค้น ประชุมกันจะทำสงครามแย่งชิงดาวดึงส์คืนจากพวกฝ่ายพระอินทร์

เนวาสิกเทพบุตร ผู้เป็นหัวหน้า ได้นึกตำหนิตนเองว่าความพลั้งพลาดครั้งนี้ เป็นเพราะว่าดื่มน้ำเมาคันธบาน จนขาดสติ ถูกจับโยนลงมา เห็นทีพวกเราควรจะอธิษฐานสาบานตนเลิกดื่มน้ำมึนเมา ไม่แตะต้องน้ำทิพย์คันธบานอีกต่อไป

เมื่อเทพบริวารได้ฟังดังนั้น ต่างก็เห็นดีด้วยและได้ตั้งจิตอธิษฐานสาบานตนเลิกดื่มน้ำคันธบานอันเป็นน้ำมึนเมาอีกต่อไป เทพบุตรทั้งกลุ่มนั้นจึงได้ขนานนามว่า อสุรา หรือ อสูร ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ที่ไม่ดื่มน้ำเมา นั่นเอง

สงครามในเทวโลกไม่มีการบาดเจ็บ ไม่มีการตาย ฝ่ายใดสู้ไม่ไหวก็พากันหลบหนีเข้าไปในนครของตน แล้วพากันปิดประตูนครเสียทั้ง ๔ ทิศ อีกฝ่ายก็ต้องล่าถอยเพราะไม่สามารถทำลายประตูได้

สงครามระหว่าง พระอินทร์ กับ อสูร นี้ ต่างพลัดกันแพ้ผลัดกันชนะเรื่อยมาตั้งแต่ต้นกัป จนกระทั่งบัดนี้ เมื่อใดที่ดอกแคฝอยบานเหล่าอสูร ย่อมเกิดความแค้นยกกองทัพไปทำสงครามอยู่ทุกครั้งไป

ความจริง ท้าวสักกเทวราช ในสมัยเมื่อเป็น มาฆะมานพ อยู่ในเมืองมนุษย์ ไม่ได้ประกอบการกุศลในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นสมัยที่พระศาสนาของ พระสมณโคดม ยังไม่อุบัติขึ้น เมื่อตายแล้วมาเสวยทิพยสมบัติเป็น พระอินทร์ ยังมีความสวยงาม รัศมีของวิมานและอื่น ๆ ด้อยกว่าของเทวดาผู้ใหญ่หลายองค์ที่เคยสร้างกุศลในสมัยพระพุทธเจ้า ทำให้ พระอินทร์ พยายามแสวงหาโอกาส ที่จะสร้างกุศลในพระพุทธศาสนาให้จงได้

วันหนึ่งทรงเล็งทิพยเนตรเห็น พระมหากัสสปเถระเจ้า ออกจากนิโรธสมาบัติ กำลังจะไปโปรดคนยากจนที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง พระอินทร์ จึงชวน นางสุชาดา มเหสีองค์หนึ่ง เนรมิตตนเป็นคนชราสองคนผัวเมีย ทอผ้าอยู่ในกระท่อมต้นทางที่ พระเถระเจ้า จะผ่านมา

ในชั้นแรก พระมหาเถระเจ้า ไม่ได้พิจารณาจึงไม่ทราบว่าเป็นเทวดาแปลงกายลงมา ต่อเมื่อรับอาหารลงไปในบาตร กลิ่นอาหารทำให้รู้ว่าเป็นอาหารทิพย์ จึงต่อว่าที่ พระอินทร์ มาแย่งบุญของคนจน พระอินทร์ ทรงสารภาพว่าพระองค์ก็ทรงเป็นเทวดาที่จนมาก เพราะรัศมีก็ดี วิมานก็ดี ยังด้อยกว่าเทวดาที่เคยสร้างกุศลในพระพุทธศาสนา

ในการประกอบการกุศลครั้งนี้ เมื่อ พระอินทร์ กลับไปยังพิภพของตน ปรากฏว่ารัศมีกายและรัศมีวิมานปรากฏสว่างรุ่งโรจน์ สวยงามบริบูรณ์เต็มที่ไม่น้อยหน้าเทวดาองค์อื่นอีกต่อไป

ปัจจุบัน ท้าวสักกะเทวราช องค์นี้ ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว เมื่อครั้งได้ฟังพระธรรมเทศนาเรื่อง พรหมชาลสูตร จบลงไป และต่อไปภายหน้าเมื่อจุติจากชั้นนี้ จะมาบังเกิดเป็น พระเจ้าจักรพรรดิ ในโลกมนุษย์ ในครั้งนั้นจะบรรลุเป็น พระสกทาคามี และจะไปบังเกิดที่ ดาวดึงส์ อีกครั้ง จะบรรลุเป็น พระอนาคามี ในภพนั้น จึงไปบังเกิดในชั้น สุทธาวาส ตั้งแต่ชั้นอวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา และปรินิพพาน

เทวดาที่อยู่บนชั้นดาวดึงส์มีอยู่ ๒ พวก คือ

ภุมมัฏฐเทวดา ได้แก่ พวกที่มีวิมานตั้งอยู่บนพื้นดินของภพ เช่น พระอินทร์ และเทวดาผู้ใหญ่ ๓๒ องค์ และบริวาร รวมทั้งเทวอสุราที่อยู่ใต้เขาสิเนรุด้วย

และ อากาสัฏฐเทวดา ได้แก่ เทวดาที่มีวิมานลอยอยู่กลางอากาศ ตั้งแต่ยอดเขาสิเนรุตลอดไปจนจรดขอบเขาจักรวาล บางวิมานก็เป็นวิมานว่าง เทวดาที่เป็นเจ้าของยังไม่มาอยู่

เทพยดาทั้งหลายที่มาบังเกิดในสวรรค์ ตั้งแต่ชั้นดาวดึงส์นี้ขึ้นไป เทพบุตรจะมีอายุราว ๒๐ ปี เทพธิดาจะมีอายุราว ๑๖ ปี มีแต่หนุ่มสาวเหมือนกันหมด ไม่มีความแก่ชราปรากฏ

การเกิดขึ้นของเทวดาไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เป็นลักษณะของโอปปาติกะกำเนิด เมื่อเกิดขึ้นจะโตเป็นหนุ่มเป็นสาวทันที

เทพยดาแต่ละองค์ล้วนมีทิพยสมบัติ อันเป็นผลที่ได้รับมาจากกุศลกรรมในอดีตชาติ อารมณ์ต่าง ๆ ที่ได้รับล้วนแต่ดีงามทั้งสิ้น ต่างมีความสุข สนุกสนาน รื่นเริง มีการไปมาหาสู่ซึ่งกันและกัน มีความสมหวังและความผิดหวังในเรื่องความรักคล้ายเมืองมนุษย์

ความทุกข์ของเทวดาชั้นนี้คือผู้ที่ไม่มีคู่ จะเกิดความเบื่อหน่ายในความเป็นอยู่ของตน นั่นเป็นเพราะเมื่อตอนที่ตนเองมีคู่ ตนเองไม่ได้สร้างคุณความดีกับคู่ของตนเอาไว้ จึงทำให้ไร้คู่ครอง ส่วนผู้ที่มีคู่ครองต่างก็พากันไปหาความสุขสำราญตามสถานที่ต่าง ๆ ในดาวดึงส์นี้

เทวดาบางองค์อาจมีภรรยาเป็นร้อยเป็นพันหรือมากกว่านั้นได้ ขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ได้เคยสร้างร่วมกันมา แต่ถ้าหากเทวดาองค์ใดหมกมุ่นอยู่กับการเสพกามมากเกินไปก็จะทำให้หมดบุญเร็ว

การเสวยกามคุณของเทวดาทั้ง ๖ ชั้น เสวยเมถุนธรรมเช่นเดียวกับมนุษย์ทั้งหลาย แต่ไม่มีการหลั่งน้ำกามออกมา

ในสวรรค์เทพบุตรมีภรรยาหลายองค์ได้ เขาไม่ห้ามกัน เขาพอใจโดยไม่ขัดไม่เคืองกัน ไม่มีการแย่งชิงกัน ในสวรรค์มีแล้วไม่วุ่นวายเหมือนกับโลกมนุษย์ แต่เทพธิดาที่มีสามีมากกว่าหนึ่งนั้นไม่มีปรากฏ

ความทุกข์อีกอย่างหนึ่งของเทวดาก็คือ ความแตกต่างกันในเรื่องทิพยสมบัติ ทำให้เทพบุตรเทพธิดาบางองค์ ไม่มีความสุขเต็มที่ ทั้งนี้เพราะกุศลกรรมที่สร้างสมไว้ไม่เท่ากัน ทำให้ความสวยงามประณีตของสมบัติ เครื่องประดับร่างกายและวิมาน เครื่องใช้ รัศมีที่ออกมาจากร่างกายและวิมาน ขนาดของวิมาน ฯลฯ ยิ่งหย่อนไม่เท่ากัน รัศมีของบางองค์สว่าง ๑๒ โยชน์ แต่บางองค์สว่างถึง ๑๐๐ โยชน์

ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้มีสวนอันงดงามกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยดอกไม้สวรรค์ ต้นไม้สวรรค์นานาพันธุ์ หลากสี หลากชนิด ส่งกลิ่นหอมระรื่น ตลบอบอวลไปทั่วทั้งพระนคร ทุกดอกไม้มีสีสันแปลกตาสดสวย ผลิบานสล้างตลอดเวลามิรู้โรยเลยทีเดียว

สวนอันกว้างใหญ่งดงามนั้น มีชื่อดังนี้

สวนนันทวัน อยู่ ทางทิศตะวันออก
สวนจิตรลดาวัน อยู่ ทางทิศตะวันตก
สวนมิสสกวัน อยู่ ทางทิศเหนือ
สวนผารุสกวัน อยู่ ทางทิศใต้
สวนปุญฑริกวัน อยู่ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

และ ณ สวนปุณฑริกวัน แห่งนี้ มีต้นไม้สวรรค์ซึ่งมนุษย์รู้จักกันดี นั่นคือต้น ปาริชาติ ต้นปาริชาตินี้ ๑๐๐ ปีจะผลิดอกบาน ๑ ครั้ง กลิ่นหอมแห่งดอกไม้ปาริชาติ จะหอมฟุ้งจรุงใจอบอวลไปไกล ๑๐๐ โยชน์

ต้นปาริชาตินี้ คือ ต้นไม้แห่งการระลึกชาติของบรรดาเทพชาวฟ้า ทุก ๑๐๐ ปี เมื่อครบกำหนดเวลาที่ปาริชาติจะผลิดอก บรรดาเทพบุตร เทพธิดาทั้งปวงก็จะมาเที่ยวที่ สวนปุณฑริกวัน นี้ เพื่อที่จะมาประทับพักผ่อนสำราญองค์อยู่ ณ ใต้ต้นปาริชาติเพื่อที่จะระลึกชาติของตนไปในปางก่อน ๆ

และต้นปาริชาตินี้หากมีเทพบุตรเทพธิดาองค์ใดใคร่จะเด็ดดอกไม้ปาริชาติ ก็ไม่ต้องถึงกับเอื้อมมือไปเด็ด เพียงคิดเท่านั้นดอกปาริชาติก็จะปลิดจากขั้ว ร่วงหล่นมาถึงอุ้มมือของเทพบุตรเทพธิดาได้ดั่งใจ หากว่ายังไม่ได้รับ ดอกปาริชาตินั้นก็จะลอยอยู่ในอากาศ ไม่ยอมร่วงหล่นลงพื้น จนกระทั่งจะมีผู้ใดยื่นมือขึ้นมารับจึงจะหล่นลงสู่มือผู้นั้น

สำหรับพระอินทร์นั้น หากจะมาพักผ่อนสำราญองค์ ณ ต้นปาริชาติ ก็จะมาประทับอยู่ ณ แท่นศิลาสีแดงสดราวกับดอกชบาสวรรค์ แต่ทว่ามีความนุ่มดั่งปุยเมฆทิพย์ แท่นศิลานี้มีชื่อว่า บัณฑุกำพลศิลาอาสน์

ในสวนปุณฑริกวัน ยังมี ศาลาสุธรรมา ซึ่งเป็นสถานที่ที่เทพบุตรเทพธิดาทั้งหลายที่สนใจในธรรม พากันมาประชุมฟังธรรมและสนทนาธรรม โดยมี ท้าวอมรินทราธิราช เป็นประธาน

และมีปูชนียสถานสำคัญตั้งอยู่ เช่น พระจุฬามณีเจดีย์ เป็นเจดีย์แก้วมรกตสูง ๑๐๐ โยชน์ (๑โยชน์ เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร) ซึ่งพระอินทร์เนรมิตขึ้นมา ให้เป็นที่บรรจุ พระเกศโมลีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงตัดก่อนที่จะผนวช และเป็นที่บรรจุ พระบรมธาตุเขี้ยวแก้วเบื้องขวาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ โทณพราหมณ์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ได้นำเอาพระเขี้ยวแก้วซ่อนไว้ที่ผ้าโพกศีรษะ แล้วจึงได้จัดแบ่งพระบรมสารีริกธาตุที่เหลือออกเป็น ๘ ส่วน เพื่อถวายแก่กษัตริย์ต่าง ๆ ในครั้งนั้น

พระอินทร์ จึงได้อัญเชิญพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วจากผ้าโพกศีรษะของ โทณพราหมณ์ นั้น ลงสู่ผอบทองคำทิพย์อีกทอดหนึ่งด้วยกิริยาอันเลื่อมใสยิ่ง แล้วรีบเสด็จมาประดิษฐานบรรจุไว้ในพระจุฬามณีเจดีย์นี้

สถานที่ต่าง ๆ ในดาวดึงส์นี้ ที่นับว่าให้ความสุขรื่นรมย์ได้มากที่สุด คือที่ สวนนันทวัน ถ้าเทพบุตร เทพธิดาองค์ใดมีความทุกข์โศก เช่นกลัวตายก็ดี เมื่อเข้าไปในสวนนี้แล้ว จะหายทุกข์ไปสิ้น สวนลักษณะดังนี้มีอยู่ในเทวโลกทุกชั้น และจะเรียกชื่อเดียวกันว่า สวนนันทวัน แปลว่า สถานที่อันเป็นที่น่ายินดีเหลือเกิน

ในสวนทั้ง ๖ แห่งที่สวรรค์ชั้นนี้ มีต้นไม้ทิพย์อยู่ทุกสวน สวนละ ๑,๐๐๐ ต้น เช่นที่ สวนจิตรลดา มีต้นไม้เครือเถาชื่อ อาสาวตี ๑,๐๐๐ ปีของชั้นดาวดึงส์จึงจะมีผลครั้งหนึ่ง ข้างในมีน้ำเรียกว่าน้ำทิพย์ คือสุราของพวกเทวดา ผู้ใดดื่มแล้วจะเกิดความมึนเมาทำให้หลับไปถึง ๔ เดือน จึงจะสร่างเมา


Create Date : 31 กรกฎาคม 2552
Last Update : 31 กรกฎาคม 2552 19:20:12 น. 0 comments
Counter : 5397 Pageviews.  

thammakittakon
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




[Add thammakittakon's blog to your web]