วันที่สาม.....จงเตะนิสัยขี้กังวลไปไกลๆ
ก่อนจะเข้าสู่บทเรียนในวันที่สาม บทฝึกสองวันแรกนั้น เริ่มจากการฝึกมองด้านที่ดีของสถานการณ์ต่างๆที่ผ่านมาในชีวิตของคุณ และการฝึกพูดแต่สิ่งดีๆให้ตัวเองฟังวันที่สาม .....จงเตะนิสัยขี้กังวลไปไกลๆ พวกเราส่วนใหญ่นั้นชอบวิตกกังวล บางคนชอบบอกคุณว่าคุณควรจะวิตกกังวลบ้าง แต่ความวิตกกังวลนั้นมันแย่ยิ่งกว่าสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ข้อแรก ความวิตกกังวลนั้นชักพาโชคร้ายมาหาคุณ ข้อที่สอง ความวิตกกังวลนั้นเป็นผลเสียต่อสุขภาพของคุณ ดังนั้น คุณควรทำอะไรกับความวิตกกังวล?เลื่อนมันออกไปก่อน ..นี่คือสิ่งแรกที่ต้องรีบทำ เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด นี่คือวิธีที่ได้ผล เป้าหมายในช่วง24ชั่วโมงต่อจากนี้...เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องการวิตกกังวล ให้ถามตัวคุณเองว่า ในตอนนี้ อะไรคือปัญหา? เดาได้เลยว่า..คุณจะพบอะไร (เว้นแต่ว่าคุณกำลังตกอยู่ในภาวะอันตรายต่อชีวิต) ...คุณไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย..... ลองมองไปในชีวิตคุณเอง มีสถานการณ์อะไรบ้างที่คุณเอาตัวรอดมาไม่ได้? ไม่มีเลยใช่ไหม คุณสามารถรับมือกับเหตุการณ์ในปัจจุบันได้ มีเพียงเรื่องในอนาคตที่สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้คุณ เป้าหมายจริงๆของคุณคือ..การมุ่งสนใจแต่เรื่องในปัจจุบัน จิตใจของคุณนั้นอยากถูกพัดพาไปยังเรื่องอนาคต จิตใจของคุณอยากจะถามคำถามอย่าง อะไรจะเกิดขึ้นถ้า....? จงดึงใจคุณกลับมาอยู่กับเรื่องในปัจจุบัน จงบอกตัวเองว่า ถ้ามีเรื่องใดที่ฉันสามารถทำได้ในตอนนี้ ฉันจะทำมัน ถ้าไม่มีเรื่องใดที่ฉันสามารถทำได้ในตอนนี้ ฉันขอปฏิเสธที่จะกังวลกับมัน จงจำให้ขึ้นใจว่า ฉันทำแต่สิ่งที่ฉันทำได้ในตอนนี้เท่านั้น และฉันขอเลื่อนการวิตกกังวลออกไปก่อน ฉันจัดการเฉพาะปัญหาที่อยู่ตรงหน้านี้เท่านั้น
Create Date : 27 ตุลาคม 2550
Last Update : 27 ตุลาคม 2550 23:32:25 น.
Counter : 494 Pageviews.
วันที่สอง....จงสนับสนุนตัวคุณ(ให้ดีขึ้น)
"Yeah right! I carried this stuff through two subways, three airport terminals and four parking lots - now I'm going to pay you 10 bucks to put it in the elevator !" ฉบับนี้เป็นจดหมายฉบับที่สองจาก email courseเรื่อง" 7 Days to Greater Happiness "ในเวปไซด์ seashell.com.au ของ Andrew Matthews เมื่อคืนนี้ADSLที่บ้านล่มทั้งคืนเข้าไม่ได้เลยนำมาลงวันนี้แทนครับ นั่งแปลไว้ก่อนแล้วครับ.....ลองค่อยอ่านดูครับ ถ้าอยากอ่านฉบับจริงก็ลองเข้าเวปไซด์แล้วสมัครดูครับ เพราะผมแปลแบบเอาเนื้อความเป็นหลัก ไม่ได้เป๊ะๆตามหลักไวยากรณ์วันที่สอง ....จงสนับสนุนตัวคุณ(ให้ดีขึ้น) บางคนชอบวิพากษ์ตัวเองอยู่ตลอดโดยพูดอย่างเช่น ฉันอ้วน ฉันรู้สึกเบื่อ ดูฉันซิกำลังหัวเสียกับสิ่งนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมกับการวิพากษ์ตัวเองมีอยู่ 2 ข้อ คือ ข้อแรก คุณจะเป็นไปอย่างที่คุณคิด ดังนั้นเมื่อคุณวิพากษ์การกระทำของคุณ ยิ่งทำให้มันแย่ลง ข้อที่สอง การวิพากษ์ตัวเองนั้นก่อความรำคาญให้คนอื่น จนเพื่อนคุณอยากเอามือปิดปากให้คุณหยุดพูดเสียที การวิพากษ์ตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องของความต่ำต้อยหรือความถ่อมตัว แต่เป็นเรื่องโง่ๆ งานที่คุณต้องทำในอีก 24 ชั่วโมงนี้คือ การสังเกตดูว่าคุณพูดอะไรที่เกี่ยวกับตัวคุณเองไปบ้าง เริ่มเลยในวันนี้ จงพูดแต่สิ่งดีๆที่เกี่ยวกับตัวคุณเอง ถ้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีๆ ก็จงเงียบไว้ สิ่งที่จะเกิดตามมาคือ ....คุณรู้สึกดีขึ้น ....คุณไม่ได้ทำให้ใครรำคาญอีก ...การกระทำของคุณดีขึ้น แค่วันนี้.....สนับสนุนตัวเองให้ดีขึ้น คุณควรเลือกสิ่งนี้และฝึกทำจนกลายเป็นนิสัยติดตัวคุณไปตลอด ....สำหรับเนื้อความนี้ ผมคิดว่าทางคุณแอนดรูว์คงไม่หวงเรื่องลิขสิทธิ์ เพราะมีการแจกจ่ายตามอีเมลล์
Create Date : 25 ตุลาคม 2550
Last Update : 25 ตุลาคม 2550 10:17:05 น.
Counter : 378 Pageviews.
วันแรก จงมองหาแต่สิ่งที่ดีๆ
"Sometimes I ask myself, 'Why am I the lucky one?'" ช่วงนี้ผมอ่านหนังสือของAndrew Matthewเรื่อง Making Friend ฉบับภาษาไทยก็เลยติดใจแนวความคิดของเขา เลยเข้าไปที่เวปไซด์ของเขาแล้วสมัครเป็นสมาชิก เขาก็ส่งจดหมายมาให้อ่านอยู่ 7 วัน...ผมเลยคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับสมาชิกท่านอื่นด้วย แปลถูกแปลผิดก็อย่าว่ากันเลยครับเปลี่ยนชีวิตให้มีความสุขอย่างง่ายๆสไตล์แอนดรูว์ แมททิวใน 7 วัน วันแรก จงมองหาแต่สิ่งที่ดีๆ ลองมองออกไปดูว่าคนที่มีความสุขที่สุดใกล้ๆตัวคุณแล้วคุณจะสังเกตเห็นบางอย่าง พวกเขานั้นไม่ได้มีชีวิตอย่างง่ายๆสบายๆ ยังต้องพบกับความทุกข์ยาก พบกับความพ่ายแพ้ และยังต้องดิ้นรนต่อสู้ แต่เขาได้ผ่านเรื่องเหล่านั้นด้วยการเรียนรู้การมองหาแต่ด้านที่ดีของชีวิต และคุณได้สังเกตเห็นไหมว่า ...เมื่อพวกเขามองหาแต่ด้านดีของเหตุการณ์ หรือของคน พวกเขาก็จะพบด้านดีๆนั้น และเมื่อพวกเขามองหาแต่ด้านที่แย่ๆของสิ่งต่างๆ พวกเขาก็พบด้านแย่ๆอีกเช่นกัน ดังนั้น เราไม่ได้บอกถึงการเปลี่ยนสถานการณ์ให้คุณมีความสุขมากขึ้น แต่เราบอกให้คุณเปลี่ยนความคิดของคุณซะ... ถ้าคุณมองหาแต่ข้อผิดพลาดในงานที่คุณทำ คุณแม่ของคุณ หรือภรรยาคุณ คุณจะพบว่า....มันมีอยู่อย่างมากมายเลย คนบางคนนั้นใช้ชีวิตเพื่อค้นหาแต่ข้อผิดพลาดต่างๆ และเขายังบอกคุณอีกว่า นั่นแค่ผมอยู่กับโลกความเป็นจริงเท่านั้น
.มันไม่ใช่ความเป็นจริงหรอก ....มันเป็นแค่การมองโลกแบบลบต่างหาก คนที่มีแต่ความสุขจะถามตัวเองบ่อยๆว่าในสถานการณ์นี้ มีอะไรดีๆซ่อนอยู่ไหม? ตัวอย่างเช่น.. ..ตอนที่รถคุณกำลังติดอยู่ในคลื่นจาราจรอันหนาแน่น คุณลองถามตัวเองว่า มันมีอะไรดีๆในสถานการณ์นี้บ้างไหม... ..คุณอาจได้มีเวลาฟังซีดีที่คุณชอบ ...คุณมีเวลานั่งเตรียมแผนงานของคุณสำหรับวันนี้ ...หรือคิดซะว่า อย่างน้อยก็ดีกว่าเดินไปเอง ตัวอย่างอีกอันหนึ่ง ตอนนี้คุณหมุนเงินไม่ทันแล้ว คุณลองถามตัวเองว่า "มีอะไรดีๆจากการที่ไม่มีตังค์ไหม" ...คุณได้ซาบซึ้งถึงคุณค่าของสิ่งที่เงินซื้อหาไม่ได้.. ....คุณจะได้รู้ว่าใครบ้างที่เป็นเพื่อนแท้ของคุณ. ...คุณจะได้มุ่งมั่นหาทางไปสู่ความสำเร็จของคุณเสียที คุณอาจมองเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องตลกที่ทำแบบตัวอย่างนั้น แต่ การมองหาแต่ด้านที่ดีเป็นกุญแจสำคัญที่ไขไปสู่ความสุข ในเวลา 24 ชั่วโมงต่อจากนี้ไป คุณต้องสิ่งที่ต้องทำคือ....มองหาแต่ด้านดีๆของทุกเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา อาจเป็นเรื่องที่ยากในตอนแรก แต่เมื่อทำบ่อยๆมันจะกลายเป็นอัตโนมัติเองเมื่อการมองหาแต่ด้านดีๆได้กลายเป็นนิสัยของคุณแล้ว ตอนนั้นคุณก็จะเป็นคนที่มีแต่ความสุขมากขึ้นและมากขึ้นไปอีก.... ลองเริ่มทำดูแล้วกันครับ
Create Date : 24 ตุลาคม 2550
Last Update : 24 ตุลาคม 2550 0:54:40 น.
Counter : 331 Pageviews.
ขนาดนั้นไม่สำคัญ...สำคัญที่ความรู้สึก...จริงๆนะ
ผมจั่วหัวกระทู้ได้ดึงดูดดีไหมครับ......ฮา...ฮา....ฮา..... อย่าเข้าใจผิดว่าผมหมายถึงเรื่องนั้น ผมรู้นะคุณผู้อ่านกำลังนึกถึงเรื่องอะไร อย่าบ่ายเบี่ยงเลยผมเดาใจคุณได้นะ.ผมและคุณก็ชอบคิดว่าเป็นเรื่องนั้นเหมือนกัน คงเหมือนตอนเปิดหน้าตอบปัญหาพิเศษเฉพาะตัว ที่เวลาเปิดอ่านในหนังสือพิมพ์ ผมก็กระมิดกระเมี้ยนเหมือนกัน หันซ้ายหันขวาดูว่ามีใครแอบย่องมาใกล้ๆไหม แล้วเวลาอ่านนี่ก็อ่านแบบติดจรวดให้จบเร็วๆ...เอาล่ะครับ มาเข้าเรื่องจริงๆดีกว่า... ...ในชีวิตคนๆหนึ่งนั้น ต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งหลายคราว คุณเคยลองกลับไปนั่งทบทวนดูไหมครับว่า บางครั้งการเปลี่ยนแปลงบางเรื่องเราก็เกิดผลกระทบแบบรุนแรง บางเรื่องก็เพียงแค่เล็กๆน้อยๆ แถมบางครั้งเรื่องคล้ายๆกัน บางช่วงชีวิตเรามีปฏิกิริยาแบบรุนแรง แต่บางช่วงกลับสั่นไหวเพียงเล็กน้อย.ผมเคยอ่านหนังสือมาหลายๆเล่ม ไม่ว่าเชิงจิตวิทยา หรือเชิงบริหารที่พูดถึงการเปลี่ยนแปลง ก็จะเริ่มจากการเล่าเรื่องของคนเราทำไมไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ก็มีเหตุผลสารพัดสารเพ ไม่ว่าปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายใน แต่ตัวผมเองให้น้ำหนักปัจจัยภายในมากกว่าปัจจัยภายนอกเพียงเล็กน้อย.ปัจจัยภายใน เอาง่ายๆคงเน้นไปที่เรื่องจิตใจเรา ถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้น นำเราไปสู่ที่ดีกว่าสถานะปัจจุบัน ใครๆก็ย่อมเลือกจะเปลี่ยนแปลงแน่ๆ แต่มีเหตุผลอีกข้อที่ผมว่าสำคัญไม่แพ้กัน คือ ความรู้สึกที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนั้น ถ้าเปลี่ยนแปลงนั้นสร้างความรู้สึกไม่ดีให้ตัวเรา เราก็คงฝืนทนกับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ไม่นาน หรือบางทีก็อาจนิ่งเฉยกับการเปลี่ยนแปลงนั้น แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้นสร้างความรู้สึกดีๆ รู้สึกสนุกสนานในการเปลี่ยนแปลง หลายๆคนคงเต็มใจที่จะเข้าร่วมการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างไม่ย่อท้อ.....นักจิตวิทยาหลายคนเขียนไว้ว่า ไม่สำคัญที่ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก สิ่งสำคัญที่ทำให้คนเรายอมรับการเปลี่ยนแปลงนั้นอยู่ที่ความรู้สึก ... ....หลายๆคนที่เข้ามาอ่านในBloggangคงมีคนทำงานบริษัท ผมอยากจะลองถามว่า วันหนึ่งเจ้าของบริษัทเดินเข้ามาบอกเราว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงการทำงาน โดยผมสมมุติสถานการณ์สองแบบ คือ 1.เจ้าของบอกว่า เราต้องเปลี่ยนการทำงาน ไม่งั้นบริษัทจะต้องปิดตัว เงินทุนบริษัทจะหมดแล้ว..........คือใช้ความกลัวในความมั่นคงอาชีพการงาน มาบีบให้ลูกน้องต้องเปลี่ยนแปลง.....ถ้าเป็นคุณจะรู้สึกอย่างไรล่ะครับ.คนเก่งๆในบริษัทส่วนหนึ่งคงไม่มีกะจิตกะใจทำงานให้หนักขึ้นหรอกครับ เพราะเขาต้องแบ่งเวลาแบ่งสมองไปหาต้นไม้กิ่งใหญ่ให้ตัวเองให้พักพิงใหม่ การพัฒนาคงไม่เต็มที่อย่างแน่นอน ลูกน้องระดับกลางๆก็คงทำงานแบบไม่มั่นใจ งานก็คงผิดพลาดไม่มากก็น้อยแน่ๆ...ไปดูสมมุติที่สอง 2.เจ้าของเดินมาบอกว่า เราต้องการเปลี่ยนแปลงการทำงาน เพื่อมุ่งการคว้ารางวัลประกวดชนะเลิศ พร้อมกันนั้นเจ้าของพร้อมสนับสนุนทุกอย่างที่อำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนแปลง.....แม้เบื้องลึกจะมีปัญหาซ่อนเร้นคือการเงินเหมือนกัน สมมุตินี้ผมสมมุติบนพื้นฐานว่าเจ้าของและพนักงานใช้ความรักในองค์กรผลักดันการสร้างความรู้สึกดีๆในการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ใช้ความกลัวบีบพนักงาน...ผมเชื่อว่าทุกคนไม่ว่าเก่งหรือไม่เก่งคงทุ่มเทความสามารถเต็มที่เป็นแน่ อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงที่ดี ต้องมีพื้นฐานบนการสร้างความรู้สึกดีๆ..... ท่านที่ผ่านมาอ่านคิดเห็นเหมือนหรือต่างอย่างไรก็เขียนคอมเม้นท์ได้ครับ
Create Date : 21 ตุลาคม 2550
Last Update : 21 ตุลาคม 2550 14:45:11 น.
Counter : 490 Pageviews.
ดวงตก....จริงหรือเปล่า
เมื่อราวปลายเดือนเมษาปีนี้เอง ช่วงที่กระแสจตุคามกำลังแรงมากๆ มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนรุ่นน้องผมที่ทำงานในส่วนราชการหนึ่ง ชื่อว่า "นิด"เป็นผู้หญิงเคยรู้จักกันตอนที่น้องจบใหม่ๆ ตอนนั้นผมก็ยังทำงานในหน่วยราชการอยู่ จนผมลาออกและน้องนิดก็ไปเรียนต่อ ก็พึ่งกลับมาทำงานที่เดิมนั่นแหละ นิดเข้ามาคุยกับผมฐานะที่เห็นว่าผมพอมีความรู้เรื่องพระดี...ผมต้องออกตัวก่อนว่า เป็นธรรมดาของผู้ชายอายุขนาดผมที่ชอบสะสมพระเครื่อง...เขาขอให้ผมช่วยหาองค์จตุคามรามเทพองค์เล็กๆให้หน่อย ผมก็ถามกลับไปว่าทำไมหรือ....น้องก็บอกว่าช่วงนี้ดวงไม่ค่อยดี ทำอะไรก็ผิดๆพลาดๆ โดนเจ้านายทำตาดุใส่บ่อยเหลือเกิน....พอดีไปคุยกับคนที่ทำงานที่เดียวกัน เขาก็เล่าก็ชักจูงมาทางให้เช่าองค์จตุคามรามเทพจากญาติเขาซึ่งเป็นเจ้าของบ้านคนที่ทำพิธีบูชาองค์จตุคามทุกวันพุธ(ดังมากขนาดลงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นได้ทุกเดือนที่ทำพิธี).....เขาบอกว่าให้เช่าองค์ละพันหนึ่งถึงสามพัน...ผมก็บอกเลยว่า ผมน่ะพอมีจะให้เอาไปห้อยแต่ก่อนห้อย ขอให้ฟังผมก่อน...ผมก็เล่าไปว่าผมบูชาท่านมาได้ตั้งแต่ปลายปี๔๕ ไม่ใช่ว่าขออะไรจะได้หมด แต่คราวที่ลำบากจริงๆท่านก็เมตตาช่วย...ผมก็เล่าว่ามีอะไรหรือถึงทำให้ใจคอไม่ดี พานไปโทษดวงว่าไม่ดี น้องเขาก็เล่าว่าวันก่อน หัวหน้าสายนิเทศงานมาจัดประชุมแล้วดันเกิดเหตุการณ์ไฟห้องประชุมดับ ไมต์ไม่ติด ไมค์ติดๆดับๆ ผู้อำนวยการทำหน้าขึ้งขัง ตาดุใส่....ผมก็ว่าแค่นี้เองหรือ ผมก็ซักต่อว่า น้องเตรียมงานดีไหม น้องก็บอกว่าเตรียมไว้ดีแล้ว ทดสอบอีกหลายครั้ง แต่มีเหตุสุดวิสัย....ผมก็เลยว่า เรื่องไฟดับนั้น มันสุดวิสัยจริงๆ ที่ทำงานมีไฟปั่นไหม มีการเตรียมช่างไว้ดูแลไหม...ทุกอย่างก็มีหมดยกเว้นไม่มีไฟปั่น ผมก็เลยบอกว่า อย่างนี้ก็ช่วยไม่ได้แล้ว ไฟเมนมันดับ แล้วแก้ไขอย่างไร น้องก็ตอบมา ผมก็บอกว่าน้องก็แก้ไขปัญหาเฉพาะได้ดีแล้วนี่ แล้วหัวหน้านิเทศน์งานเขาว่ายังไง ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เจ้านายน้องเขาหน้าเครียด ดุทางสายตา..ผมก็ถามแล้วเจ้านายน้องปกติเป็นยังไง น้องก็บอกว่าก็เป็นยังงี้แหละ เรื่องต่างๆมักไม่ค่อยสบอารมณ์......ผมเลยบอกไปว่า....น้องก็ทำดีในส่วนของน้องแล้ว แก้ไขปัญหาได้ดีแล้ว หัวหน้านิเทศน์งานก็ไม่ว่าไง จะไปวุ่นวายใจกับหัวหน้าทำไม เขาก็ไม่ได้เรียกน้องไปด่านี่.....ผมสรุปว่า ดวงมันไม่ได้ตกหรอก แต่จิตตก อย่ามัวไปหวังพึ่งสิ่งโน้นสิ่งนี้ นั่งวิเคราะห์สาเหตุปัจจัยให้ดีก่อน ให้มั่นใจในตัวเอง ....สรุปน้องเขาบอกว่ารู้สึกดีขึ้นแล้ว ไม่ขอองค์จตุคามแล้ว ผมก็บอกว่าที่คุยกันตั้งชั่วโมง นี่ไม่ใช่เหนียวพระนะ แต่อยากให้นำไปบูชาเพื่อเสริมความมั่นใจ ไม่อยากให้งมงาย คิดฟุ้งซ่านไปเอง เรียนจบตั้งสูงแล้วจะให้คนจบต่ำกว่าฉวยโอกาสเข้ามาทำลายความมั่นใจของเราได้ไง ไม่ใช่อะไรๆก็บนบานอย่างเดียว ไม่เตรียมเหตุอันดีไว้ก่อน. ที่ผมเขียนนี้ มิได้ต้องการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีจริงในโลกใบนี้ แม้ว่าปัญญาอันด้อยของผมจะไม่สามารถพิสูจน์ได้.ผมเพียงอยากให้ทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่านได้พึงนึกถึงพุทธพจน์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน "..และอย่าทำอะไรเป็นกระต่ายตื่นตูม ให้ใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งทั้งหลายที่ได้เกิด อย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรง่ายไปก่อน.
Create Date : 08 ตุลาคม 2550
Last Update : 8 ตุลาคม 2550 22:54:19 น.
Counter : 518 Pageviews.
Location :
ลำปาง Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [? ]
หนุ่มราศีมังกร เลือดกรุ๊ปโอ ตัวโต ขี้ใจน้อย เหงาบ้างเป็นบางอารมณ์ และชอบหาเพลงมาฟังแก้เหงาประจำ...ฟังเพลงทุกประเภท