Group Blog
 
All Blogs
 

ในทัศนะของ ข้าพเจ้า มวยไทย ต้องคนไทยดูแล?

อีกตัวอย่างหนึงทีผมแล้วผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจจนต้องขอออกมาสะกิด ประมาณว่ามวยไทย ต้องคนไทยดูแล เท่านั้นผมเกรงผู้พูดคงจะลืมไปว่าตัวเองอาจจะมีเชื้อสาย จีน ลาวเขมร ญวนมอญ อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่แท้




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2549    
Last Update : 18 กันยายน 2549 21:29:16 น.
Counter : 629 Pageviews.  

ในทัศนะของข้าพเจ้า 2 มวยเด็ก

สิงทีผมรู้สึก กับมวยเด็กนั้น คือความรุ่นแรงทีผู้ใหญ่ ทำกับเด็ก ผม คิดว่ามีเด็ก ไม่กีคน ทีประสบความสำเร็จในอาชีพมวยเด็ก และเด็กทีประสบความสำเร็จ นั้นผมไม่แน่ใจว่าเขามีความสุขหรือไม่ แล้วตัดแขนขาเขา ไม่ให้เขามีความสุขตามวัย ทั้งทีวัยของเขามีค่า มาก และมีแค่ครั้งเดียว เท่านั้น ท่าท่าน ยังแสวงหา ยังรักหลงชาติ คลั้งวิชาเท่ากับท่านนั้นและเป็นตัว เป็นตัวสงเสริมลูกหลานของท่านให้อยู่วัฐจักร แห่งความรุ่นแรง




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2549    
Last Update : 24 สิงหาคม 2549 20:51:49 น.
Counter : 584 Pageviews.  

ในทัศนะของข้าพเจ้า

-การรู้จักตัวเอง สำคัญกว่า กว่าการศึกษา และต้องใช้ชิวิตของเราเรียนรู้เท่านั้นไม่มีใครสอนเราได้ดีเท่ากับตัวคุณเอง
-ทุกขณะเป็นการเรียนรู้ การทำงานคือการปฏิบัตรธรรม คือการเรียนรู้ด้วยชิวิต

-โรงเรียนไม่เคยสอนให้เรารู้จักใช้ชิวิต


-การศึกษาทีแท้จริงควรไม่มีความกลัวในรูปแบบต่างๆๆ ครอบงำหน้าทีของมันควรจะสงเสริมให้เรามีชิวิตอยู่อย่างอิสรและปราศจากความกลัว และไม่เลืยนแบบใคร และท่านสามารถค้นหาคำตอบด้วยตัวท่านเองโดยไม่มีความกลัวครอบงำ


-ทำในสิ้งทีรัก ไม่ใช้ทำในสิ้งทีรวย แต่สิ้งทีรักทำให้รวย ถือว่าเป็น โชค 2ต่อ
----------------------------------------------------------

-ชิวิตคือการเปลียนแปลง

-ตัวฉันไม่มีอยู่จริง

-ไทยไม่มีอยู่จริง พึ่งตั้งขึ้นมาไม่นานนี้เอง

-ความดั้งเดิมบริสุทธิของเชือชาติวัฒนธรรมไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างเชือมโยงกันหมดไม่แยกออกจากกัน เมือความรู้ตกมาสู้คนอีกรุ่นหนึงความดังเดิมก็เปลียนไปมีแต่ของใหม่เขามาแล้วก็ไม่มีอะไรการันตีว่าของทีเรารับมาไม่สูญหายตกหล่นตามเส้นทางแห่งกาลเวลา

-ฉันถือกฎหมายไทย แต่จิตใจฉันเป็นคนของโลก

-จินตนาการสำคัญกว่าความรู้

-เทพนิยายมีพลังยิ่งกว่าประวัตศาสตร์

-วัฒนธรรมเป็นลากเง้าของการศึกษา

-ของทีใช้ได้ ไม่เคยล้าสมัย ของทีล้าสมัยคือของทีใช้ไม่ได้ตามยุคสมัย แต่ของทีตกยุคไปแล้วมักกลับมาอินเทรนเสมอ

-อยากเชือใครง่ายๆๆไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นบุคคลสำคัญมากแค่ไหน (ใคร บอกว่ามวยไทยไม่ยิวยิตสู้ ปนอย่าไปเชือมัน มันแหกตา)

-ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ ปลาตาย ไหลตามกระแส้

-และเชือว่าความรัก เหนือความตาย

-การจะหาความจริงได้ต้องเป็นอิสระจาก ความอคติลำเอียงและความกลัว

-คุณจะหาความจริงไม่ได้ ถ้าตัวคุณยังยึดอยู่ว่าคุณคือ พุทธ คริส อิสรามฯลฯ ชนชาตินั้นชนชาตินี้

-เราเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกันหมดก่อนทีเราจะเป็นชาวไทยพม่าลาว
เราเกิดมาเป็นมนุษย์ก่อนทีเราจะเป็นชาวพุทธชาวคริสต์หรือมุสลิม
เราเกิดเป็นมนุษยย์ก่อนทีเราจะพูดต่างภาษากัน
นี้คือความจริงทีเราปฎิเสธไม่ได้




 

Create Date : 23 สิงหาคม 2549    
Last Update : 23 สิงหาคม 2549 20:50:16 น.
Counter : 563 Pageviews.  

ลิเก มีกำเนิดในกรุงเทพฯ และประชาธิปัตย์

คอลัมน์ รายงานพิเศษ

สุจิตต์ วงษ์เทศ





แก้บน กร่อนจากคำว่าแก้สินบน เมื่อต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จตามต้องการก็ติดสินบนอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ผี เทวดา ฯลฯ ครั้นได้สิ่งนั้นตามปรารถนาแล้วก็ต้องเอาสินบนที่สัญญาว่าจะให้ไปเซ่นวักถวาย อย่างนี้เรียกแก้สินบน แล้วกร่อนเหลือเป็นแก้บน

รูปที่เอามาลงประกอบได้จากไทยโพสต์ (หน้า 1 ฉบับวันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม 2549) มีบรรยายใต้ภาพว่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์รำแก้บนต่อหน้ารูปปั้นแม่พระธรณีของพรรคประชาธิปัตย์ แสดงว่าติดสินบนเอาไว้ว่าตัวเองจะรำถวาย เมื่อสำเร็จแล้วต้องแก้บน โดยตัวเองรำถวาย

คนแต่ก่อนมักติดสินบนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีทั่วไปทั้งผี พุทธ พราหมณ์ ตามหมู่บ้านหรือชุมชนนั้นๆ ทำให้ต่อมาเกิดมีละครเร่หรือลิเกเร่รับแก้บนให้ไปตามชุมชนหมู่บ้าน แต่ในกรุงเทพฯมีสถานที่ประจำตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 คือที่ศาลหลักเมือง ตรงสนามหลวง

ศาลหลักเมืองเคยเป็นศูนย์กลางของการแก้บนราว 100 ปี ต่อมาถูกพระพรหมแย่งลูกค้าไปแก้บนกันที่ศาลพระพรหม ตรงสี่แยกราชประสงค์ สืบจนทุกวันนี้ และยากที่ศาลหลักเมืองจะแย่งคืน

คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ควรปรึกษาคุณพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองผู้ว่าฯ หาช่องทางให้ศาลหลักเมืองมีชีวิตชีวาเหมือนแต่ก่อนหรือใกล้เคียงก็ได้ โดยร่วมมือกับกองการทหารผ่านศึก ทำบริเวณรอบศาลให้เป็นแหล่งเรียนรู้กรุงเทพฯศึกษา ความเป็นมาของกรุงเทพฯและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมืองตามประเพณีโบราณดึกดำบรรพ์ แล้วมีรำแก้บนกับละครแก้บนเป็นประจำหมุนเวียนไป จะช่วยให้คนเรามีจิตวิญญาณผ่องใสขึ้น แล้วได้ความรู้พร้อมๆกันไป



ลิเก มหรสพกรุงรัตนโกสินทร์

มีกำเนิดกรุงเทพฯ

ลิเก หรือ ยี่เก เป็นการแสดง"ลูกผสม"รวมเข้าด้วยกัน จากการละเล่นหลายๆอย่างของสามัญชนชาวสยามในกรุงรัตนโกสินทร์ มีพัฒนาการจากการละเล่นในพิธีกรรมทางศาสนาอิสลามของกลุ่มชนมุสลิม เรียกการละเล่นด้วยคำพื้นเมืองมลายูที่รับจากอาหรับ-เปอร์เซียว่าดิเกร์ ผสมเข้ากับการละเล่นดั้งเดิมของชาวสยามที่มีเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว เรียกชื่อด้วยภาษาปากว่า ลิเก

เริ่มมีครั้งแรกในกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ 5 ราว พ.ศ. 2440 ที่ตรอกพระยาเพชร ชานกำแพงพระนคร ตรงป้อมมหากาฬ ริมคลองโอ่งอ่าง (หรือคลองรอบเมืองสมัยรัชกาลที่ 1) มีลักษณะเฉพาะ คือ

ชุดลิเก ประดับประดาแพรวพราวตามใจชอบแล้วใส่ถุงเท้ายาวสีขาว เรียกกันติดปากว่า"ชุดลิเก"

ออกแขก เสมือนไหว้ครู เพราะได้แบบอย่างจาก"แขก"มุสลิม และ

ร้องรานิเกลิง ทำนองร้องด้นอย่างเสรีที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่โดยเฉพาะ ต้องมีปี่พาทย์รับเมื่อถึงกลอนลงหรือกลอนส่งของแต่ละบทแต่ละตอนตามที่กำหนด ชื่อรานิเกลิงเป็นภาษาปากจากคำมอญ แล้วกลายมาจนหาเค้าเดิมไม่พบ



ประชาชนต้องมาก่อน

ประเทศต้องพัฒนาใหม่

"ประเทศไทยจะเป็นแบบอย่างของประเทศพัฒนาใหม่ หากพรรคประชา ธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล" ข้อความยกมานี้เป็นถ้อยคำบอกกล่าวของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (โพสต์ TODAY หน้า A6 ฉบับวันพุธที่ 9 สิงหาคม 2549)

เชื่อได้หรือไม่ได้ ต้องเหลียวหลังดูไปในประวัติศาสตร์ที่พรรคประชาธิปัตย์เคยเป็นรัฐบาล โดยเฉพาะคราวหลังสุดที่มีท่านชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ และคุณอภิสิทธิ์ก็ร่วมเป็นรัฐบาลด้วย ว่ามีวี่แววแนวโน้มอย่างไร? พัฒนาใหม่หรือพัฒนาเก่า?

คงต้องขอคำอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า"พัฒนาใหม่"ของพรรคประชาธิปัตย์คืออย่างไร? เป็นอย่างเดียวกับข้อความอมตะว่า"ทันสมัย แต่ไม่พัฒนา"หรือเปล่า? เพราะดูจากสิ่งที่แสดงออกล้วนมีแนวโน้มอย่างนั้น คือยึดมั่นอนุรักษนิยมแนวจารีตล้าหลังและยังตกอยู่ในกรอบของ"ข้าอาณานิคม" มีตัวอย่างให้เห็นในวิธีบริหารกรุงเทพมหานคร(กทม.) ที่ยังภักดีต่อ"เจ้าอาณานิคม"ยุคล่าเมืองขึ้น

ประเทศพัฒนาใหม่ต้องทันสมัยอย่างมีพัฒนาการทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจการเมืองและสังคมวัฒนธรรม ไม่ใช่กระโดดข้ามขั้นโสโครกอย่างทุนนิยมสามานย์ของรัฐบาลปัจจุบัน

ตรงนี้พรรคประชาธิปัตย์มีบุญเก่าเป็น"ทุนทางวัฒนธรรม"รองรับงามหรู น่าเสียดายที่ขาดคณะทำงานอย่างลุ่มลึกและอย่างต่อเนื่อง ที่พยายามทำอยู่บ้างก็เป็นไปอย่างเสียมิได้ ทั้งฉาบฉวย ผิวเผิน เลเพลาดพาด หาแก่นสารจริงจังไม่ได้ เลยไม่ต่างจากระบอบทักษิณ

ข้อบกพร่องในอดีตนับแต่หลัง พ.ศ. 2500 แล้วเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรกที่ทุ่มเทงมงายกับเศรษฐกิจเพื่อ"ส่งออก"ด้านเดียว โดยตัดขาดพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรม ส่งผลให้เกิดระบอบทักษิณในทุนนิยมสามานย์จนป่นปี้เห็นชัดๆอยู่แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นรัฐบาลก่อนทักษิณก็มีส่วนผลักดันให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นด้วย เพราะไม่ได้จริงใจและจริงจังต่อการวางรากฐานทางสังคมวัฒนธรรม เห็นได้จากระบบการศึกษาล้าหลัง-คลั่งชาติ โดยที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้คิดแก้ไขอะไรแม่แต่น้อย

ที่เขียนบอกมานี้มิใช่ไม่ชอบ เพียงแต่ยังไม่เชื่อ จะเปลี่ยนใจเชื่อได้ก็ต่อเมื่อแสดงออกให้เห็นชัดเจนจริงจังกว่าที่ลอยชายอยู่ขณะนี้ ขอแนะนำให้เร่งแสดงฝีมือผ่านการบริหารจัดการงาน กทม. ในเร็ววัน จะได้ช่วยกันป่าวร้องให้เปลี่ยนใจเชื่อว่าประชาชนต้องมาก่อนจริงๆ เพื่อสร้างสรรค์ประเทศ"ต้อง"พัฒนาใหม่

หน้า 24




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2549    
Last Update : 22 สิงหาคม 2549 11:28:23 น.
Counter : 736 Pageviews.  

ยกย่อง"แม่-นาง" สร้างสมานฉันท์สุวรรณภูมิ

สุจิตต์ วงษ์เทศ



ผู้คนสุวรรณภูมิยุคดึกดำบรรพ์ไม่น้อยกว่า ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว ยกย่องหญิงเป็น"แม่-นาง"หัวหน้าเผ่าพันธุ์ เป็นประธานในพิธีกรรม เป็นใหญ่ในงานสำคัญๆ เช่น งานช่างทุกชนิด(ปัจจุบันเรียกศิลปะ) เป็นเจ้าของบ้านและที่ดิน จนถึงเป็นผู้สืบตระกูล (เมื่อเทียบปัจจุบันต้องมีนามสกุลตามแม่-เมีย) โดยมีชายเป็นบ่าว แปลว่า ขี้ข้ารับใช้ ดังเหลือร่องรอยในประเพณีแต่งงานว่าฝ่ายชายเรียกเจ้าบ่าว

ชาวสุวรรณภูมิเชื่อว่าคนเราเกิดจากท้องแม่เดียวกัน คือน้ำเต้าปุง ทุกชาติพันธุ์เป็นเครือญาติพี่น้องท้องเดียวกันทั้งนั้น

เหตุนี้คำว่าแม่และนาง จึงเป็นคำยกย่อง เช่น ลำน้ำใหญ่เรียกแม่น้ำ(ทางภาคกลาง) หรือน้ำแม่(ทางเหนือ-อีสาน) ผู้เป็นใหญ่ฝ่ายทหารเรียกแม่ทัพ ฯลฯ ผีที่สิงสถิตในเครื่องมือทำมาหากินเรียกนางครก(ผีประจำครก) นางสาก(ผีประจำสากตำข้าว) นางด้ง(ผีประจำกระด้งฝัดข้าว) ฯลฯ ผีประจำยานพาหนะเรียกแม่นางหรือแม่ย่านาง

หญิงดึกดำบรรพ์ผู้เป็นบรรพชนผู้คนสุวรรณภูมิ เป็นเจ้าของศาสนาผี คือ วิญญาณบรรพบุรุษเรียกผีฟ้า หญิงที่ได้รับยกย่องใช้ติดต่อสื่อสารกับผีบรรพบุรุษเรียกนางเทียม(ปัจจุบันคือคนทรง) มีฐานะเทียบเท่าพราหมณ์ในฮินดู

ต่อมาเมื่อศาสนาใหญ่จากอินเดีย(ชมพูทวีป)ที่เป็นของผู้ชายแพร่หลายเข้ามา และได้รับการยกย่องยอมรับนับถือมากกว่าศาสนาผีดั้งเดิม ผู้หญิงเลยถูกริบอำนาจให้มีฐานะต่ำกว่าชาย และไม่มีพื้นที่ระบบความเชื่อทางศาสนา เช่น ไม่อนุญาตให้บวชเป็นภิกษุณี และเมื่อหันไปนับถือผีดั้งเดิมก็ถูกกล่าวหาว่าร้ายต่างๆนานา เช่น ผัวทิ้งบ้าง เพี้ยนบ้าง ฯลฯ ทั้งๆที่ศาสนาของผู้ชายมีเทวดาซึ่งก็เป็นผีเหมือนกัน

คนในอุษาคเนย์ (SEA) ทุกวันนี้ ควรร่วมกันศึกษาความเป็นมาทางภูมิสังคมวัฒนธรรมของสุวรรณภูมิอย่างละเอียดถี่ถ้วนและรอบคอบ เพื่อสร้างความสมานฉันท์อย่างสันติวิธีขึ้นมาด้วยสำนึก"เศรษฐกิจพอเพียง"ที่ทันสมัยและพัฒนา

จุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์อย่างคำว่าแม่-นางเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะนี่คือวัฒนธรรมร่วมของสุวรรณภูมิอย่างแท้จริง ก่อนจะแยกกันเรียกชื่อ"ชาติ"อย่างรัฐชาติปัจจุบัน



"จ้าวแม่" แห่งสุวรรณภูมิ

หลักฐานว่าผู้หญิงมีฐานะสูงกว่าผู้ชาย นักโบราณคดีขุดพบที่บ้านโคกพนมดี อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เป็นโครงกระดูกเพศหญิง อายุราว ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว(เก่าแก่กว่าบ้านเชียงที่อุดรธานี) ประดับประดาด้วยเครื่องประดับทำจากลูกปัดเปลือกหอยกว่า ๑๒๐,๐๐๐ เม็ด ภาชนะดินเผาหลายใบ หินดุดินเผาและหินขัดภาชนะดินเผาอีก ๒ ก้อน ศพข้างๆเป็นศพเด็ก มีลูกปัดนับหมื่นเม็ด และมีหินดุดินเผาขนาดเล็ก ทั้ง ๒ ศพ มีสิ่งของที่มาจากต่างถิ่นฝังไว้ บางศพฝังอยู่ใต้ถุนมีพื้นยกสูง


ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าฐานะของผู้หญิงได้รับการยกย่องอย่างสูง อาจเป็นถึง"จ้าวแม่"ก็ได้ นักโบราณคดีที่ขุดพบคราวนั้นเลยสมมุติเรียกว่าจ้าวแม่แห่งโคกพนมดี

หลังรับศาสนาพุทธ-พราหมณ์จากอินเดียแล้ว มีราชสำนักขึ้นในสุวรรณภูมิ ใช้ภาษาและอักษรจากอินเดีย จึงเรียกเจ้าแม่ยุคดึกดำบรรพ์ที่มีฐานะทางสังคมลดลงว่านางนาค หรือแม่สี(คำว่า สี กร่อนจากภาษาเขมรว่า สรี อ่าน เสร็ย แปลว่า ผู้หญิง) ทั้งหมดล้วนหมายถึงผีบรรพบุรุษซึ่งเป็นเพศหญิง

ด้วยรากเหง้าเก่าแก่ดึกดำบรรพ์นี้เอง ในประเพณีดั้งเดิมจึงสืบสกุลและราชสันตติวงศ์ทางฝ่ายหญิง เช่น ระบบวังหลวง-วังหน้า มักเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน

เหตุนี้ในราชสำนักเขมรยุคนครธม จึงมีตำนานนางนาคอยู่ในปราสาทที่พระเจ้าแผ่นดินต้องเซ่นพลีประจำทุกคืน และในราชสำนักกรุงศรีอยุธยากำหนดไว้ในกฎมณเฑียรบาลว่าพระเจ้าแผ่นดินต้องทำพิธีเซ่นพลี"แม่อยั่ว" หมายถึงเจ้าแม่อยู่หัวของเมือง(หรือแม่อยู่หัวหรือแม่อยู่เมือง)เป็นประจำทุกปี เพื่อความมั่งคั่งและมั่นคงของราชอาณาจักรสยาม

ที่ต้องทำพิธีกรรมอย่างนั้น เพราะ"เจ้าแม่" เป็นผู้พิทักษ์ราชอาณาจักร และไพร่บ้านพลเมือง รวมทั้งพระเจ้าแผ่นดิน



"แม่อยั่ว" คือแม่อยู่หัว

ราชสำนักสุวรรณภูมิ เช่น กรุงศรีอยุธยา ยังรักษาจารีตหญิงมีฐานะสูงไว้ในพิธีกรรมสำคัญ เห็นความสืบเนื่องได้จากกฎมณเฑียรบาลยุคต้นกรุงศรีอยุธยากำหนดตำแหน่ง"แม่หยัวเมือง"ไว้เป็นอันดับ ๒ รองจากตำแหน่งพระอัครมเหสี และให้พระราชกุมารที่เกิดจากแม่หยัวเมืองจะได้เป็นที่พระมหาอุปราช ว่าดังนี้

"กำหนดพระราชกฤษฎีกาไอยการ พระราชกุมาร พระราชนัดดา ฝ่ายพระราชกุมารอันเกิดด้วยพระอัคมเหษีคือสมเด็จ์หน่อพระพุทธเจ้า อันเกิดด้วยแม่หยัวเมือง เป็น พระมหาอุปราช..."


เมื่อท้าวศรีสุดาจันทร์มีพระราชกุมารถึง ๒ พระองค์ คือพระยอดฟ้ากับพระศรีศิลป์ จึงได้รับยกย่องเป็น"แม่หยัวเมือง"หรือ"แม่ยั่วเมือง" ในตำแหน่งที่มีศักดิ์และสิทธิ์รองจากพระอรรคมเหสี

คำว่า"หยัว" หรือ"ยั่ว" เป็นภาษาโบราณ ไม่ได้มีความหมายไปในทาง"ดาวยั่ว"หรือ"ดาวโป๊"ตามภาษาปัจจุบัน เพราะ"แม่หยัวเมือง"กร่อนมาจากคำว่า"แม่อยู่หัวเมือง" (ทำนองเดียวกับคำว่า"แม่ศรีเมือง"ของลาว) หมายถึงสนมเอกคู่บัลลังก์ที่มีราชกุมาร ในกฎมณเฑียรบาลบางตอนยังใช้คำว่า"แม่หยัวเจ้าเมือง" ด้วย ต่อมากร่อนเสียงเป็น"แม่ยั่วเมือง"

แต่สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศนานุวัดติวงศ์ ทรงสันนิษฐานว่าชื่อ"แม่หยัวเมือง" มาจาก "แม่อยู่เมือง" จึงทรงสะกดว่า "แม่อยั่วเมือง" เพื่อให้สอดคล้องกัน คือ อยู่ เป็น อยั่ว เพราะเสียง อู แผลงเป็น อัว ได้ และหมายถึง แม่ผู้เป็นใหญ่ตามจารีตดึกดำบรรพ์เรียกเจ้าแม่อยู่หัวของเมืองนั่นเอง แล้วหดสั้นลงว่าแม่อยู่หัวหรือแม่อยู่หัว แต่โดยทั่วไปมักเขียนว่า "แม่หยั่ว" หรือ"แม่หยัว"

แม่หยั่วพระพี่ มีในกฎมณเฑียรบาลยุคต้นกรุงศรีอยุธยา แสดงว่าจารีตนี้มีมาก่อนนานแล้ว แต่เพิ่งตราเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นในยุคต้นกรุงศรีอยุธยา นี่เป็นร่องรอยของระบบความเชื่อที่สืบมาจากยุคดึกดำบรรพ์นานมาก

คำ"พระพี่"ตรงนี้หมายถึงใคร? อะไร? ที่ไหน? ยังอธิบายไม่ได้ เลยต้อง"เดา"ว่าน่าจะเป็นแม่อยู่หัวผู้อาวุโสที่สุดในบรรดาที่มีอยู่ สอดคล้องคำอธิบายของพจนานุกรมฉบับมติชนว่าเจว็ดผีหลวง

เจว็ด (หรือ เตว็ด บางทีก็เขียนตระเว็ด) มักหมายถึงรูปเทพารักษ์ในศาลพระภูมิที่ได้รับยกย่องเป็นใหญ่ แต่ไม่มีอำนาจจริง รูปนี้จะเขียนขึ้นหรือสลักไม้-หินก็ได้ สุดแต่ชุมชนจะร่วมกันจินตนาการ

เนื้อความในกฎมณเฑียรบาลพรรณนาพระราชพิธีในราชสำนักยุคต้นกรุงศรีอยุธยา ก็ดูจะสมจริงว่าแม่หยัวพระพี่เป็นเจว็ดผีหลวง คือผีผู้ใหญ่ที่เป็นประธาน หรือหัวหน้าผีของราชอาณาจักร และต้องเป็นเพศหญิงที่มีฐานะสูงถึงแม่อยู่หัว มีคำว่า"แม่"นำหน้าคำเรียกยกย่องนั้น

เมื่อเทียบคติของเขมรที่มีในเอกสารจีนยุคนครธม(ราว พ.ศ. ๑๘๓๙) ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓) จะเห็นว่าแม่หยัวพระพี่ตรงกับนางนาค หรือผีฟ้า, ผีมด, ผีเม็ง ซึ่งล้วนเป็นผีบรรพบุรุษร่วมกันของบ้านเมืองและรัฐในสุวรรณภูมิทั้งลุ่มน้ำโขง ลุ่มน้ำสาละวิน และลุ่มน้ำเจ้าพระยา



แม่-นาง บรรพบุรุษเพศหญิงของสุวรรณภูมิ

นางแก้ว หมายถึงผู้หญิงที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง, ยอดหญิง, หญิงมีบุญ ฯลฯ เป็นหนึ่งในสัตรัตนะ หรือ รัตน ๗ ประการ คือ แก้ว ๗ อย่างของมหาจักรพรรดิราช มีในไตรภูมิกถา เรียกนางแก้วว่าอิตถีรัตนะ (อิตถี แปลว่าหญิง-รัตนะ แปลว่าแก้ว) เป็นผู้หญิงมีบุญ เกิดในตระกูลกษัตริย์ บางทีก็เรียกนางกษัตริย์

คำว่านางแก้วมีใช้มากในวรรณคดี เป็น"กวีโวหาร"ใช้ยกย่องหญิงเป็นที่รักและเทิดทูล เช่น มีในทวาทศมาสโคลงด้นยุคต้นกรุงศรีอยุธยา (ราว พ.ศ. ๒๐๐๐) ว่า"โอ้รัตนนารีศเนื้อ นวลลักษณ์" มีคำว่า"รัตนนารีศ" มาจาก รัตนะ+นารี (+ศ เข้าลิลิต) หมายถึงนางแก้วผู้ประเสริฐและงดงามอย่างยิ่ง

คำว่านาง เป็นภาษาร่วมของสุวรรณภูมิ โดยไม่อาจกำหนดได้ว่าเป็นคำไทย-ลาว หรือมอญ-เขมร ฯลฯ มีรูปอักษรเหมือนกันหมด ต่างกันเมื่อออกเสียง เพราะเขมรอ่านออกเสียงว่าเนียง น่าจะมีใช้ร่วมกับคำว่า แม่ ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์

นาง(เขมรว่าเนียง)นี้ คนทั่วไปทุกเพศใช้เรียกผู้หญิงที่มีอายุน้อยกว่าผู้เรียก หมายถึงหญิงทั่วไปโดยไม่จำแนกว่าโสดยังไม่แต่งงานหรือแต่งงานแล้ว มีความหมายเดียวกับคำว่าสาว บางทีเรียกอย่างเอ็นดูและเมตตาว่าอีนางอีสาว หรืออีสาวอีนางก็ได้ แต่ต่อมาเป็นแสลงสั้นๆใช้เรียกหญิงอย่างเหยียดหยามว่า นัง เช่น นังกระแดะ เป็นต้น

นางมีฐานะทัดเทียมกับพระ ใช้ในคำว่า นางเอก-พระเอก และเป็นคำยกย่องอย่างสูง เช่น นางสีดา, นางมณโฑ (ในรามเกียรติ์) ตำนานในสุวรรณภูมิยกย่องหญิงเป็นใหญ่ใช้คำว่านางนำหน้าทั้งนั้น เช่น นางนาค(กับ พระทอง) นางไอ่(กับ ผาแดง) นางอุษา(กับ บารด) ฯลฯ จะเห็นว่ามีฐานะสูงเทียบได้กับแม่ ครั้นนานเข้าได้รับยกย่องเป็นผี หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจเหนือธรรมชาติก็เรียกเป็น แม่ เช่น แม่นาค บางทีใช้ซ้ำคำ เช่น แม่นางนาค แม่นางไอ่ ฯลฯ จนถึงแม่ย่านางของยานพาหนะ เช่น รถ เรือ ฯลฯ

จะสมานฉันท์ด้วยสันติวิธีทั้งสุวรรณภูมิได้ดีมากๆ ถ้าทำความเข้าใจร่วมกันเรื่องภาษาและวรรณคดีโบราณเกี่ยวกับแม่และนาง

หน้า 24




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2549    
Last Update : 22 สิงหาคม 2549 11:26:45 น.
Counter : 773 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

win_mma
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add win_mma's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.