ยกย่อง"แม่-นาง" สร้างสมานฉันท์สุวรรณภูมิ
สุจิตต์ วงษ์เทศ
ผู้คนสุวรรณภูมิยุคดึกดำบรรพ์ไม่น้อยกว่า ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว ยกย่องหญิงเป็น"แม่-นาง"หัวหน้าเผ่าพันธุ์ เป็นประธานในพิธีกรรม เป็นใหญ่ในงานสำคัญๆ เช่น งานช่างทุกชนิด(ปัจจุบันเรียกศิลปะ) เป็นเจ้าของบ้านและที่ดิน จนถึงเป็นผู้สืบตระกูล (เมื่อเทียบปัจจุบันต้องมีนามสกุลตามแม่-เมีย) โดยมีชายเป็นบ่าว แปลว่า ขี้ข้ารับใช้ ดังเหลือร่องรอยในประเพณีแต่งงานว่าฝ่ายชายเรียกเจ้าบ่าว
ชาวสุวรรณภูมิเชื่อว่าคนเราเกิดจากท้องแม่เดียวกัน คือน้ำเต้าปุง ทุกชาติพันธุ์เป็นเครือญาติพี่น้องท้องเดียวกันทั้งนั้น
เหตุนี้คำว่าแม่และนาง จึงเป็นคำยกย่อง เช่น ลำน้ำใหญ่เรียกแม่น้ำ(ทางภาคกลาง) หรือน้ำแม่(ทางเหนือ-อีสาน) ผู้เป็นใหญ่ฝ่ายทหารเรียกแม่ทัพ ฯลฯ ผีที่สิงสถิตในเครื่องมือทำมาหากินเรียกนางครก(ผีประจำครก) นางสาก(ผีประจำสากตำข้าว) นางด้ง(ผีประจำกระด้งฝัดข้าว) ฯลฯ ผีประจำยานพาหนะเรียกแม่นางหรือแม่ย่านาง
หญิงดึกดำบรรพ์ผู้เป็นบรรพชนผู้คนสุวรรณภูมิ เป็นเจ้าของศาสนาผี คือ วิญญาณบรรพบุรุษเรียกผีฟ้า หญิงที่ได้รับยกย่องใช้ติดต่อสื่อสารกับผีบรรพบุรุษเรียกนางเทียม(ปัจจุบันคือคนทรง) มีฐานะเทียบเท่าพราหมณ์ในฮินดู
ต่อมาเมื่อศาสนาใหญ่จากอินเดีย(ชมพูทวีป)ที่เป็นของผู้ชายแพร่หลายเข้ามา และได้รับการยกย่องยอมรับนับถือมากกว่าศาสนาผีดั้งเดิม ผู้หญิงเลยถูกริบอำนาจให้มีฐานะต่ำกว่าชาย และไม่มีพื้นที่ระบบความเชื่อทางศาสนา เช่น ไม่อนุญาตให้บวชเป็นภิกษุณี และเมื่อหันไปนับถือผีดั้งเดิมก็ถูกกล่าวหาว่าร้ายต่างๆนานา เช่น ผัวทิ้งบ้าง เพี้ยนบ้าง ฯลฯ ทั้งๆที่ศาสนาของผู้ชายมีเทวดาซึ่งก็เป็นผีเหมือนกัน
คนในอุษาคเนย์ (SEA) ทุกวันนี้ ควรร่วมกันศึกษาความเป็นมาทางภูมิสังคมวัฒนธรรมของสุวรรณภูมิอย่างละเอียดถี่ถ้วนและรอบคอบ เพื่อสร้างความสมานฉันท์อย่างสันติวิธีขึ้นมาด้วยสำนึก"เศรษฐกิจพอเพียง"ที่ทันสมัยและพัฒนา
จุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์อย่างคำว่าแม่-นางเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะนี่คือวัฒนธรรมร่วมของสุวรรณภูมิอย่างแท้จริง ก่อนจะแยกกันเรียกชื่อ"ชาติ"อย่างรัฐชาติปัจจุบัน
"จ้าวแม่" แห่งสุวรรณภูมิ
หลักฐานว่าผู้หญิงมีฐานะสูงกว่าผู้ชาย นักโบราณคดีขุดพบที่บ้านโคกพนมดี อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เป็นโครงกระดูกเพศหญิง อายุราว ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว(เก่าแก่กว่าบ้านเชียงที่อุดรธานี) ประดับประดาด้วยเครื่องประดับทำจากลูกปัดเปลือกหอยกว่า ๑๒๐,๐๐๐ เม็ด ภาชนะดินเผาหลายใบ หินดุดินเผาและหินขัดภาชนะดินเผาอีก ๒ ก้อน ศพข้างๆเป็นศพเด็ก มีลูกปัดนับหมื่นเม็ด และมีหินดุดินเผาขนาดเล็ก ทั้ง ๒ ศพ มีสิ่งของที่มาจากต่างถิ่นฝังไว้ บางศพฝังอยู่ใต้ถุนมีพื้นยกสูง
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าฐานะของผู้หญิงได้รับการยกย่องอย่างสูง อาจเป็นถึง"จ้าวแม่"ก็ได้ นักโบราณคดีที่ขุดพบคราวนั้นเลยสมมุติเรียกว่าจ้าวแม่แห่งโคกพนมดี
หลังรับศาสนาพุทธ-พราหมณ์จากอินเดียแล้ว มีราชสำนักขึ้นในสุวรรณภูมิ ใช้ภาษาและอักษรจากอินเดีย จึงเรียกเจ้าแม่ยุคดึกดำบรรพ์ที่มีฐานะทางสังคมลดลงว่านางนาค หรือแม่สี(คำว่า สี กร่อนจากภาษาเขมรว่า สรี อ่าน เสร็ย แปลว่า ผู้หญิง) ทั้งหมดล้วนหมายถึงผีบรรพบุรุษซึ่งเป็นเพศหญิง
ด้วยรากเหง้าเก่าแก่ดึกดำบรรพ์นี้เอง ในประเพณีดั้งเดิมจึงสืบสกุลและราชสันตติวงศ์ทางฝ่ายหญิง เช่น ระบบวังหลวง-วังหน้า มักเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน
เหตุนี้ในราชสำนักเขมรยุคนครธม จึงมีตำนานนางนาคอยู่ในปราสาทที่พระเจ้าแผ่นดินต้องเซ่นพลีประจำทุกคืน และในราชสำนักกรุงศรีอยุธยากำหนดไว้ในกฎมณเฑียรบาลว่าพระเจ้าแผ่นดินต้องทำพิธีเซ่นพลี"แม่อยั่ว" หมายถึงเจ้าแม่อยู่หัวของเมือง(หรือแม่อยู่หัวหรือแม่อยู่เมือง)เป็นประจำทุกปี เพื่อความมั่งคั่งและมั่นคงของราชอาณาจักรสยาม
ที่ต้องทำพิธีกรรมอย่างนั้น เพราะ"เจ้าแม่" เป็นผู้พิทักษ์ราชอาณาจักร และไพร่บ้านพลเมือง รวมทั้งพระเจ้าแผ่นดิน
"แม่อยั่ว" คือแม่อยู่หัว
ราชสำนักสุวรรณภูมิ เช่น กรุงศรีอยุธยา ยังรักษาจารีตหญิงมีฐานะสูงไว้ในพิธีกรรมสำคัญ เห็นความสืบเนื่องได้จากกฎมณเฑียรบาลยุคต้นกรุงศรีอยุธยากำหนดตำแหน่ง"แม่หยัวเมือง"ไว้เป็นอันดับ ๒ รองจากตำแหน่งพระอัครมเหสี และให้พระราชกุมารที่เกิดจากแม่หยัวเมืองจะได้เป็นที่พระมหาอุปราช ว่าดังนี้
"กำหนดพระราชกฤษฎีกาไอยการ พระราชกุมาร พระราชนัดดา ฝ่ายพระราชกุมารอันเกิดด้วยพระอัคมเหษีคือสมเด็จ์หน่อพระพุทธเจ้า อันเกิดด้วยแม่หยัวเมือง เป็น พระมหาอุปราช..."
เมื่อท้าวศรีสุดาจันทร์มีพระราชกุมารถึง ๒ พระองค์ คือพระยอดฟ้ากับพระศรีศิลป์ จึงได้รับยกย่องเป็น"แม่หยัวเมือง"หรือ"แม่ยั่วเมือง" ในตำแหน่งที่มีศักดิ์และสิทธิ์รองจากพระอรรคมเหสี
คำว่า"หยัว" หรือ"ยั่ว" เป็นภาษาโบราณ ไม่ได้มีความหมายไปในทาง"ดาวยั่ว"หรือ"ดาวโป๊"ตามภาษาปัจจุบัน เพราะ"แม่หยัวเมือง"กร่อนมาจากคำว่า"แม่อยู่หัวเมือง" (ทำนองเดียวกับคำว่า"แม่ศรีเมือง"ของลาว) หมายถึงสนมเอกคู่บัลลังก์ที่มีราชกุมาร ในกฎมณเฑียรบาลบางตอนยังใช้คำว่า"แม่หยัวเจ้าเมือง" ด้วย ต่อมากร่อนเสียงเป็น"แม่ยั่วเมือง"
แต่สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศนานุวัดติวงศ์ ทรงสันนิษฐานว่าชื่อ"แม่หยัวเมือง" มาจาก "แม่อยู่เมือง" จึงทรงสะกดว่า "แม่อยั่วเมือง" เพื่อให้สอดคล้องกัน คือ อยู่ เป็น อยั่ว เพราะเสียง อู แผลงเป็น อัว ได้ และหมายถึง แม่ผู้เป็นใหญ่ตามจารีตดึกดำบรรพ์เรียกเจ้าแม่อยู่หัวของเมืองนั่นเอง แล้วหดสั้นลงว่าแม่อยู่หัวหรือแม่อยู่หัว แต่โดยทั่วไปมักเขียนว่า "แม่หยั่ว" หรือ"แม่หยัว"
แม่หยั่วพระพี่ มีในกฎมณเฑียรบาลยุคต้นกรุงศรีอยุธยา แสดงว่าจารีตนี้มีมาก่อนนานแล้ว แต่เพิ่งตราเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นในยุคต้นกรุงศรีอยุธยา นี่เป็นร่องรอยของระบบความเชื่อที่สืบมาจากยุคดึกดำบรรพ์นานมาก
คำ"พระพี่"ตรงนี้หมายถึงใคร? อะไร? ที่ไหน? ยังอธิบายไม่ได้ เลยต้อง"เดา"ว่าน่าจะเป็นแม่อยู่หัวผู้อาวุโสที่สุดในบรรดาที่มีอยู่ สอดคล้องคำอธิบายของพจนานุกรมฉบับมติชนว่าเจว็ดผีหลวง
เจว็ด (หรือ เตว็ด บางทีก็เขียนตระเว็ด) มักหมายถึงรูปเทพารักษ์ในศาลพระภูมิที่ได้รับยกย่องเป็นใหญ่ แต่ไม่มีอำนาจจริง รูปนี้จะเขียนขึ้นหรือสลักไม้-หินก็ได้ สุดแต่ชุมชนจะร่วมกันจินตนาการ
เนื้อความในกฎมณเฑียรบาลพรรณนาพระราชพิธีในราชสำนักยุคต้นกรุงศรีอยุธยา ก็ดูจะสมจริงว่าแม่หยัวพระพี่เป็นเจว็ดผีหลวง คือผีผู้ใหญ่ที่เป็นประธาน หรือหัวหน้าผีของราชอาณาจักร และต้องเป็นเพศหญิงที่มีฐานะสูงถึงแม่อยู่หัว มีคำว่า"แม่"นำหน้าคำเรียกยกย่องนั้น
เมื่อเทียบคติของเขมรที่มีในเอกสารจีนยุคนครธม(ราว พ.ศ. ๑๘๓๙) ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓) จะเห็นว่าแม่หยัวพระพี่ตรงกับนางนาค หรือผีฟ้า, ผีมด, ผีเม็ง ซึ่งล้วนเป็นผีบรรพบุรุษร่วมกันของบ้านเมืองและรัฐในสุวรรณภูมิทั้งลุ่มน้ำโขง ลุ่มน้ำสาละวิน และลุ่มน้ำเจ้าพระยา
แม่-นาง บรรพบุรุษเพศหญิงของสุวรรณภูมิ
นางแก้ว หมายถึงผู้หญิงที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง, ยอดหญิง, หญิงมีบุญ ฯลฯ เป็นหนึ่งในสัตรัตนะ หรือ รัตน ๗ ประการ คือ แก้ว ๗ อย่างของมหาจักรพรรดิราช มีในไตรภูมิกถา เรียกนางแก้วว่าอิตถีรัตนะ (อิตถี แปลว่าหญิง-รัตนะ แปลว่าแก้ว) เป็นผู้หญิงมีบุญ เกิดในตระกูลกษัตริย์ บางทีก็เรียกนางกษัตริย์
คำว่านางแก้วมีใช้มากในวรรณคดี เป็น"กวีโวหาร"ใช้ยกย่องหญิงเป็นที่รักและเทิดทูล เช่น มีในทวาทศมาสโคลงด้นยุคต้นกรุงศรีอยุธยา (ราว พ.ศ. ๒๐๐๐) ว่า"โอ้รัตนนารีศเนื้อ นวลลักษณ์" มีคำว่า"รัตนนารีศ" มาจาก รัตนะ+นารี (+ศ เข้าลิลิต) หมายถึงนางแก้วผู้ประเสริฐและงดงามอย่างยิ่ง
คำว่านาง เป็นภาษาร่วมของสุวรรณภูมิ โดยไม่อาจกำหนดได้ว่าเป็นคำไทย-ลาว หรือมอญ-เขมร ฯลฯ มีรูปอักษรเหมือนกันหมด ต่างกันเมื่อออกเสียง เพราะเขมรอ่านออกเสียงว่าเนียง น่าจะมีใช้ร่วมกับคำว่า แม่ ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์
นาง(เขมรว่าเนียง)นี้ คนทั่วไปทุกเพศใช้เรียกผู้หญิงที่มีอายุน้อยกว่าผู้เรียก หมายถึงหญิงทั่วไปโดยไม่จำแนกว่าโสดยังไม่แต่งงานหรือแต่งงานแล้ว มีความหมายเดียวกับคำว่าสาว บางทีเรียกอย่างเอ็นดูและเมตตาว่าอีนางอีสาว หรืออีสาวอีนางก็ได้ แต่ต่อมาเป็นแสลงสั้นๆใช้เรียกหญิงอย่างเหยียดหยามว่า นัง เช่น นังกระแดะ เป็นต้น
นางมีฐานะทัดเทียมกับพระ ใช้ในคำว่า นางเอก-พระเอก และเป็นคำยกย่องอย่างสูง เช่น นางสีดา, นางมณโฑ (ในรามเกียรติ์) ตำนานในสุวรรณภูมิยกย่องหญิงเป็นใหญ่ใช้คำว่านางนำหน้าทั้งนั้น เช่น นางนาค(กับ พระทอง) นางไอ่(กับ ผาแดง) นางอุษา(กับ บารด) ฯลฯ จะเห็นว่ามีฐานะสูงเทียบได้กับแม่ ครั้นนานเข้าได้รับยกย่องเป็นผี หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจเหนือธรรมชาติก็เรียกเป็น แม่ เช่น แม่นาค บางทีใช้ซ้ำคำ เช่น แม่นางนาค แม่นางไอ่ ฯลฯ จนถึงแม่ย่านางของยานพาหนะ เช่น รถ เรือ ฯลฯ
จะสมานฉันท์ด้วยสันติวิธีทั้งสุวรรณภูมิได้ดีมากๆ ถ้าทำความเข้าใจร่วมกันเรื่องภาษาและวรรณคดีโบราณเกี่ยวกับแม่และนาง
หน้า 24
Create Date : 22 สิงหาคม 2549 | | |
Last Update : 22 สิงหาคม 2549 11:26:45 น. |
Counter : 773 Pageviews. |
| |
|
|
|