Group Blog
 
All Blogs
 

"กุลสตรี" พรหมจรรย์ สุจิตต์ วงษ์เทศ

คำว่า "กุลสตรี" "รักนวลสงวนตัว" "พรหมจรรย์" "พรหมจารี" เหล่านี้ล้วนเป็นคาถากำกับความเป็นหญิงที่ถูกครอบงำด้วยคติความเชื่อ ความคิดของชนชั้นผู้ดี

ความเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตในเรื่องเพศนั้น มีช่องทางวิธีการ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้ง อิ่มเอม ดูดี นั่นคือการผสมผสานวัฒนธรรมกับความรู้เพื่อแสดงออกทางธรรมชาติของเพศ แต่ใครเป็นผู้กำหนดกรอบ ทัศนคติแง่มุมเรื่องเหล่านี้ สุจิตต์ วงษ์เทศ ผู้เชี่ยวชาญเชิงวัฒนธรรม และบรรณาธิการนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ให้มุมมองแง่คิด ในการประชุมเพื่อพัฒนาหลักสูตรอบรมวิทยากรเพศศึกษา (Master Trainers) โครงการก้าวย่างอย่างเข้าใจ เมื่อเร็วๆนี้



สุจิตต์ วงษ์เทศ


สุจิตต์ บอกว่า ความเป็นไทย ประเพณีวัฒนธรรมเป็นปัญหาที่เราควรกลับมาทำความเข้าใจกันใหม่ นอกจากเรื่องเพศแล้ว การเป็นเครือญาติกับเพื่อนบ้าน และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ยังมีความเข้าใจผิดมหาศาล เกิดเป็นปัญหาความขัดแย้ง เข่นฆ่า ถ้าไม่เข้าใจจุดนี้เรื่องเพศก็ไม่มีทางเข้าใจ

"แท้จริงแล้ว ความเป็นไทยไม่เคยมี ยกเว้นเรื่องหลอกๆ ที่คิดเองเออเอง ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ชื่อคนไทยปรากฏอยู่ในวรรณคดีไทยสมัยอยุธยาตอนต้น ชื่อว่า "สมุทรโฆษคำหลวง" ก่อนหน้านั้นยังไม่พบ เพราะฉะนั้น ที่พูดกันเป็นตุเป็นตะเป็นเท็จทั้งนั้น จินตนาการขึ้นเอง คิดไปเองเหมือนผีเจ้าเข้าทรง"
สุจิตต์ บอกอีกว่า ความเป็นไทยจริงๆ ถือเป็นสิ่งสมมุติ แต่ความเป็นมนุษย์เป็นเรื่องจริง ความเป็นคนไทยมิได้ระบุเผ่าพันธุ์ ไม่สามารถบอกได้ด้วยการตรวจดีเอ็นเอ จึงถือเป็นเพียงชื่อทางวัฒนธรรมที่สมมติขึ้นมา ความเป็นไทยแท้จึงไม่มี ต้นตระกูลบรรพบุรุษรากเหง้าอาจสืบเชื้อสายมาจากจีน ลาว ผสมผสานก็ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ดังนั้นไม่ควรห่วงความเป็นไทยแท้ แต่ควรกังวลกับความเป็นคนแท้มากกว่า

ขนบหญิงเป็นใหญ่ในอุษาคเนย์

นั่นเป็นสิ่งที่ สุจิตต์ ชี้ให้เห็นว่า รากเหง้าวัฒนธรรมไทย ไม่เคยบอกว่า เพศเป็นเรื่องไม่ดี แต่ถือเป็นความปกติ ธรรมดา เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ถ้าจะดูรากเหง้าทางวัฒนธรรมจำเป็นที่จะต้องสังเกตพฤติกรรม ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ชาวพื้นเมือง ซึ่งปัจจุบันก็ยังสืบทอดประเพณีวัฒนธรรม ไม่ใช่มองพวกเขาเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน แล้วยึดคติความเชื่อของพวกผู้ดี ยึดเป็นวัฒนธรรมไทย

"เชื่อหรือไม่ว่าสมัยนี้ก็ยังมีชนเผ่าแบบที่ว่านี้อยู่ คือ ถ้าไม่ชอบหน้ากันก็สามารถเปลี่ยนผัวได้สบายๆ ประเพณีในชนเผ่ายังสืบเนื่องตกทอดมาถึงยุคนี้ ยกตัวอย่างชาวไทยดำ จากจดหมายเหตุ ร. 5 ระบุว่า ผู้ชายที่จะไปเป็นผัวผู้หญิงจะต้องทดลองไปอยู่บ้านผู้หญิงก่อนอย่างน้อย 15 ปี เพื่อให้ฝ่ายหญิงเป็นผู้พิจารณาว่ามีความสามารถในการทำมาหากินได้หรือไม่ ขี้เกียจหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็เลิกกันไล่ออกจากบ้าน แล้วหาผัวใหม่ ดังคำเรียกว่า ไอ้บ่าว ซึ่งหมายถึง ขี้ข้า นั่นเอง ดังนั้น เรื่องของพรหมจารีจึงไม่เกี่ยวเลย อีกทั้งสิทธิ์ในการเลือกยังเป็นของผู้หญิงมากกว่า ผู้หญิงจะเป็นผู้พิจารณาว่ามีลักษณะเหมาะสมกับการเป็นสามีหรือไม่ ผู้หญิงเป็นผู้พิจารณาไม่ใช่ผู้ชายเป็นผู้พิจารณา"

สุจิตต์ บอกต่อว่า ปัจจุบันกลับกัน เราเอาวิธีคิดของผู้ชายมาจัดระเบียบให้กับผู้หญิงที่ไม่มีรัฐ ทั้งหมดคือรากฐานชีวิตมนุษย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เดิมถือคติเหมือนกันหมด คือ ผู้ชายต้องอาศัยบ้านฝ่ายหญิง จึงต้องอยู่ท่ามกลางญาติของฝ่ายหญิง ผู้ชายไม่มีสิทธิ์อะไรเลย ผู้หญิงจึงเป็นเจ้าของบ้าน ผู้ชายเป็นแค่แขกมาพึ่งมาอาศัย เรียกว่า เขย ตรงข้ามกับประเพณีจีนที่ผู้หญิงต้องมาอยู่บ้านสามีหรือที่เรียกว่า สะใภ้

ปัจจุบันมีชนเผ่าหนึ่ง ในยูนนาน ประเทศจีน หมู่บ้านนี้ผู้หญิงอยากมีลูกแต่ไม่อยากมีสามี ทุกวันผู้ชายจะมาเคาะฝาบ้านเพื่อขอมีเพศสัมพันธ์ เพื่อให้กำเนิดลูก โดยที่ผู้หญิงเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรเอง ลูกไม่จำเป็นต้องรู้จักพ่อที่แท้จริง เพราะผู้ชายทุกคนสามารถเป็นเสมือนพ่อได้หมด ไม่ว่าจะเป็นลุง น้า และตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนี้อยู่

ค่านิยมพรหมจารีมีมาจากฝรั่ง

ในสังคมดึกดำบรรพ์ แม้แต่ช่วงที่กำเนิดรัฐแล้ว เรื่องเพศก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญนักหนา ไม่ใช่เรื่องเป็นเรื่องตายเพราะเขาไม่รู้จัก "พรหมจารี" อันที่จริงแล้วพรหมจารีนั้นเป็นอิทธิพลของฝรั่งในสมัยพระนางเจ้าวิกตอเรีย ซึ่งเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยก่อนหน้านี้ไม่เคยมีวิธีความคิดแบบพรหมจารีมาก่อน ส่วน "พรหมจรรย์" หรือ "เพศพรหมจรรย์" ก็รู้จักในแง่ของนักพรต ผู้บำเพ็ญตน พระฤาษี พรหมจรรย์จึงเป็นความเชื่อทางศาสนาไม่เกี่ยวข้องกับสาวพรหมจรรย์แต่อย่างใด

สุจิตต์ ย้ำว่า ที่แน่ๆ คือ พรหมจารีเป็นของฝรั่ง ไม่ใช่ขอไทยอย่างที่เชื่อกันมา ขณะนี้ผู้หลัก ผู้ใหญ่มักชอบพูดว่า ประเพณีไทยแท้แต่โบราณผู้หญิงทุกคนจะต้องรักนวลสงวนตัว จะต้องเป็นสาวพรหมจารี แต่ให้สังเกตว่า ประเพณีกวนข้าวทิพย์ที่ต้องใช้หญิงพรหมจารี ก็ยังต้องใช้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ที่ยังไม่มีประจำเดือน เพราะคนโบราณรู้ว่า เมื่อย่างเข้าสู่วัยมีประจำเดือน ช่วงอายุ 13 ปี เด็กจะเริ่มมีความรู้สึกทางเพศ ฉะนั้นเด็กอายุ 13 ปี จะมีพิธีกรรมเปลี่ยนเด็กเล็กเป็นเด็กโต ถ้าในเอกสารจีนที่พบในกัมพูชา เรียกว่า "พิธีเบิกพรหมจรรย์" เพื่อเปลี่ยนสถานะจากเด็กสู่สาว ทำขวัญเตรียมรับสถานการณ์ หรือ "พิธีลงข่วง" เป็นการเปิดโอกาสให้วัยรุ่นได้มีโอกาสพูดคุย สนิทสนม และนำไปสู่การคบหา มีเพศสัมพันธ์เมื่อเกิดความพึงพอใจ แต่ก็ต้องอยู่ในความควบคุมของผีบ้าน ผีเรือน ผู้ใหญ่ รับรู้ รับฟัง มีการมาขอผี ขอขมาลาโทษ ผู้ใหญ่ยอมอภัยให้สามารถอยู่กินกันได้ไม่เสียหาย ถ้าอยู่ไม่ได้ก็เลิกกันไป





"สังคมสมัยใหม่ดัดจริต พูดว่าเป็นประเพณีไทยแท้แต่โบราณ ต้องแบบนั้นแบบนี้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่อง ขอย้ำผมไม่ได้สนับสนุนการมั่วเซ็กซ์ อย่าเอาความคิดตัวเองมาคิดแทน ไม่เกี่ยวกับเซ็กซ์เลย แต่เรื่องเพศน่าจะเป็นเรื่องที่คุยกันได้เปิดเผย โดยไม่ต้องใช้คำหยาบคาย ส่วนคนกรุงถือว่ามีการศึกษาก็มองว่าคนต่างจังหวัดหยาบคายพูดเรื่องเพศแล้วรับไม่ได้วี้ดว้ายแต่แอบไปดูวีซีดีน้องแนท"

และแล้ว...อวัยวะเพศก็กลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ สกปรก ความเชื่อ ความคิดผิดๆ ก็สะสมมาเรื่อยๆ โดยที่หญิงไทยก็รับในกติกายอมให้ถูกกดขี่ เชื่อว่า ผู้หญิงไม่ดีจริงๆ ไม่มีปัญญาจะถกเถียง มัวแต่อายที่จะพูดเรื่องเพศ โดยความเหลื่อมล้ำทางเพศ เข้ามามีอิทธิพลเมื่อ พระพุทธศาสนา-พราหมณ์-ฮินดู เข้าสู่ภูมิภาคนี้ พระนารายณ์ พระศิวะ พระพรหม ล้วนเป็นเทวดาผู้ชายทั้งสิ้น รวมทั้งศาสนาจากซีกโลกตะวันตก ก็มีส่วนทำให้สถานภาพของผู้หญิงต่ำผิดปกติแล้วเราก็รับคติ ความเชื่อนี้มาโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งระบบการศึกษาที่หล่อหลอมทั้งระบบในสังคม ไม่น้อยกว่า 50 ปี ก็ยิ่งตอกย้ำให้ผู้หญิงย่ำแย่ไปกันใหญ่ จนกระทั่งวิวัฒนาการเกิดเป็นเฟมินิสต์ขึ้นในปัจจุบัน

ยุติกดขี่ทางเพศสอนเซ็กซ์ถูกควร

สุจิตต์ ยืนยัน ขอให้เลิกวิธีคิดแบบความเป็นไทยจอมปลอม โกหกหลวกลวงตัวเอง ดูความวรรณคดีในเรื่องเพศ ตัวละครในวรรณคดีไทยอย่าง นางวันทอง มีเซ็กซ์กันตั้งแต่อายุ 14 น่าจะหันมาสนใจพิธีกรรมของชาวบ้านในเรื่องเพศ ทั้งหมดคือเพศศึกษา เข้าใจเพศสภาวะ เพศสภาพความเป็นผู้ชายความเป็นผู้หญิงด้วยความเข้าใจความเป็นมาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ใช่การกดขี่ทางเพศ แต่พึ่งพาอาศัยกัน

ที่สำคัญคือ กรุณาอย่าทำลายเด็กผู้หญิง ด้วยการประณาม หยามเหยียด เมื่อเขามีเพศสัมพันธ์ เขาคงไม่มาขออนุญาตแน่ๆ แต่เราบอกเขาได้ให้มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย กล้าพกถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคและการตั้งท้อง ให้กำลังใจเมื่อผิดพลาด อย่าซ้ำเติม ไม่เช่นนั้น เด็กอาจคิดสั้น เสียใจ มันไม่ยุติธรรมหากเขาพลั้งเผลอไปเพราะความรู้ไม่ทัน ถูกหลอกจะให้เด็กจัดการอย่างไร เมื่อเรียนหนังสือ ครู-อาจารย์ก็สอนมาตลอดให้เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้เหมือนนางนพมาศ จึงทำให้ตามผู้ชายไม่ทัน เรียบร้อย แต่ก็โง่ ดังนั้น หากสาวไทยเอาอย่างนางนพมาศก็คงได้เป็นเอดส์คนแรก เราจึงไม่ควรให้เขาโง่ แต่ควรให้จับได้ไล่ทัน แต่ไม่ใช่มั่วเซ็กซ์อย่าเอาไปปนกัน อย่าเอาไปโยงกัน

และหากต้องการไม่ให้เด็กไปหมกมุ่นมากก็หาทางเลือกอื่นๆ เตรียมไว้อย่างญี่ปุ่น อเมริกา วัยรุ่นมีทางเลือกเยอะ ตลอดเวลา เด็กไม่จำเป็นที่จะมีเซ็กซ์ หากเขามีพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด หอศิลป์ดีดี ย้อนกลับมาดูสังคมไทยวันนี้ไม่มีพื้นที่ให้วัยรุ่นเลยนอกจากแหล่งอโคจร วัยรุ่นในสังคมไทยจึงถือว่ามีทางเลือกน้อยมาก

ที่สำคัญคือ เรื่องเพศไม่ใช่ปัญหา แต่เด็กขาดจินตนาการ ความรู้ในสิ่งที่ดี ถ้าเราอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี พูดเรื่องเพศในทางที่เคารพซึ่งกันและกันทั้งความเป็นหญิงและชาย เริ่มต้นจากรากฐานแห่งความจริง เราก็จะแก้ไขปัญหาได้ แต่เราไม่เคยทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้จึงเกิดปัญหาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้




 

Create Date : 31 มกราคม 2550    
Last Update : 31 มกราคม 2550 20:32:19 น.
Counter : 620 Pageviews.  

ในทัศนะของข้าพเจ้า ทัศนะคติ และจิตใจที่กว้างขว้าง

mma สำหรับผมแปลว่าเรืองร่วมเรืองของคนคับ มวย สำหรับผมแปลว่า ผูกมัดปันหมัด หรือร่วม ไท ไทย หรือไต แปลว่า คน คับไม่ใช้ ใหญ่หรืออิสระ มวยไทย สำหรับผมแปลว่า ร่วมเรืองราวเกียวกับคนคับ (ก็ตรงกับmma ถ้าขยายความว่าแปลผู้ชืนชมศิลปการต่อสู้โดยร่วมของไทยคับ)mmaจึง เป็นนามสกุลนิกเนมของผมเองคับ ผมว่า

*อย่างที่ว่าคับ คนเรามักมา"ดูผล "ทีผมทำ แต่ไม่ค่อย"ดูเหตุ"ทีผมเจอผมโดนอะไร*และคนเราอยากฟังแต่ที่สิ่ง ที่อยากได้ยิน" แต่พอคนเรา ฟังอะไรไม่ถูกใจ ก็โกรธไม่พอใจ แต่ไม่พิจาราณาว่ามันถูกต้องหรือเปล่า เขาทำทำนองถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ

แต่ก็ไม่ต้องมาเขาข้างผม ผมยอมรับว่าผม ผมเป็น"มนุษย์สีเทาๆ" ในเวปบรอดผมไม่สร้างภาพ ความคิดเห็นผมตรงไป ตรงมา และไม่มีพวก


หลายคนคิดว่าทำไม่ผมคิดไม่เหมือนคนอื่น หรือว่าคิดไม่เหมือนคนไทย คนไทยไม่คิดอย่างนี้ ไม่เขียนอย่างนี้ ผมก็บอกว่าผมก็ไทย ไทยมากๆ แต่เป็นไทยกล้าคิด กล้าพูดสิ่งทีคนไทยหลายคนรู้ๆกันอยู่ *แต่ไม่กล้าพูด*การอ่านหนังสืออย่างหลากหลายของผม ทำให้ผมไม่ถูกประวัติศาสตร์ของรัฐชาติ" ล้างสมอง" คับว่าความเป็นไทยต้องเป็นศูนย์กลางของจักวาล หรือต้องถูกต้องเสมอ

บางทีบางครั้งผมพูดในประเด่นทีเรียว่า"จี้ใจดำ"จุดชนวนให้คนถกเถี้ยง อาจจะทำให้คน หลายๆ คนเกิดมุมมองใหม่ขึ้นมา จากอคติงมงาย เพราะทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีแค่ขาวกับดำ

*คนอย่างผมผม เปรียบไปก็เหมือนแบบทดสอบความอดกลั้น ว่าคนเรา จะทนต่อประพฤติ และทัศนคติทีขัดแย้งกับความคาดหวังของตนเองได้มากน้อยแค่ไหนหรืออีกนัยหนึ่ง....คนเรา "ใจกว้าง"กันแค่ไหน*

เพราะจะว่าไป คนอย่างผมไม่ต่างจากคนทั้วไปในแง่ทีว่าทุกคนต่างมีจุดยืนแตกต่างกันไป เพียงแต่แบบไหนที"มาตรฐานสังคมนั้นๆยอมรับ"

จริงๆแล้วมาด่าผมติ้งต้องนะผมถามจริงๆใครในทีนี้ *เป็นคนสมบรูณแบบบาง * ใครไม่เคยทำผิดบาง ใครว่าผมทำอะไรเพื้ยนๆหรือ ทำอะไรผิดๆเหมือนผมมาก่อน ผมว่าไอ้ คนนั้น มันก็พอๆกับผมและ

หากแต่ฝ่ายใดถือโกรธแค้นการกระทำของฝ่าย ก็เท่ากับว่าฝ่านนั้น นั้นแหละทีมีความคิดคับแคบ ไม่อาจยอมรับสิ่งอื่นใด นอกเหนือ *กฎเกณฑ์ของตัวเอง*
ใครผิด ถูก-ผิด-ดี-เพี้ยน สุดท้ายแล้วคนอ่าน "แต่ละคน"ก็คือผู้ตัดสินหากฝ่ายใดไม่พอใจ ด้วยเกรงว่าภาพลักษณ์ต้องมั้วหมอง ด้วยสิ่งทีตนได้ แสดงออก ไปโดยธรรมชาตินั้น ก็คงบอกได้ คำเดียวว่า "ไม่ยอมรับความจริง"

ซึ่งอคติเหล่านั้นต่างหาก ทีมันน่าหัวเราะเยาะ!!




 

Create Date : 26 มกราคม 2550    
Last Update : 26 มกราคม 2550 13:05:25 น.
Counter : 552 Pageviews.  

อ. โอยาม่า ตำนาน คาราเต้ เคียวคุชิน ไค

อ.จ มาซูทัสสุ โอยามา เกิดทีตำบล wa-ryong-ri เมืองyong chi -myo,n chui na do ประเทศเกาหลี ใน คศ1923
ฝึกมวยเกาหลีเมืออายุได้9 ขวบ (korean kempo)
ค.ศ1938 หลังจากศึกษาจบมัธยมศึกษาจากกรุ่งโซล ได้เข้าศึกษาในร.ร การบินทีประเทศญีปุ่น ด้วยใจรักในวิชาการต่อสู้ จึงได้ฝึกฝนวิชายูโดในสำนักโคโด กัน (ไม่ระบุสาย)
แต่ต่อมาได้ศึกษาคาราเต้ อายุ17 ได้สายดำขั้น 2 อายุ22ได้ ขั้น4
เมือต้อนอยู่บ้านเกิดท่านได้สำเร็จมวยจีน 18 ท่า แล้วเมือมาอยู่ญีปุ่นได้เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์กิชิน ฟูนาโคชิ ผู้ซึงได้ "ชือว่า"นำคาราเต้ มาเผยแพร์ในประเทศญีปุ่น เป็นท่านแรก
ค.ศ1941 ได้เข้าศึกษาในมหาลัยทากุโซกุ โตเกียว
1943 ท่านถูกเกณ์ทหาร ทำให้การเรียนในมหาวิทยลัยต้องชะงักไป
ต่อมาท่านศึกษาคาราเต้ กับ อ.จ. โซเด ยุ แล้วไปเป้นอาจารย์คาราเต้ในสำนัก โกจุ

หลังสงครามโลกครั้งที่2 สงบลงท่านมาเป็นอาสาสมัครช่วยประเทศเกาหลี กู้ชาติอยู่ระยะหนึง แต่เนืองจากในเวลาต่อมากลายเป็นการปะทะระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ท่านจึงได้ลาออกมาศึกษา คาราเต้ ต่อ
ค.ศ. 1947ได้เป็นแชมป์คารเต้ทั้วญีปุ่น(all japan karate champioship)หลังจากนั้นท่านได้ตัดสินใจทีจะใช้ชิวตอยู่ในวิถีแห่งคาราเต้
หลังปี ค.ศ.1948 เป็นเวลา 3ปี ท่านได้แยกตัวเองจากสังคมมนุษย์ สละชิวิตจทางโลกดำเนินชิวติตามศาสนาพุทธนิกายเซ้น อย่างสิ้นเชิง ท่านไดพักอาศัยตามวัดและป่าเขาฝึกกายและจิตบังคับตนให้อยู้ในวินัยแห่งยุทธจักรทั้งวันทั้งคืน ฝึกฝนอย่างเคร่งครัด เช่น นั้ง สมาธใต้น้ำตก ต่อสู้กับสัตว์ป่า โค่นต้นไม้และทลายหินด้วยมือเปล่า"กลั้นกรองและตกผลึกวิชาคารเต้ ทีได้เรียนมาแสวงหาขอบเขตอันล้ำลึกของกายและจิต บรรลุแล้วจึงได้กลับสู้สังคมมนุษย์อีกครั้ง

ค.ศ 1951 ท่านได้กลับสงคมมนุษย์ สอนให้ชาวโลกได้รู้จักความหมายทีแท้จริงของคาราเต้ เริ่มสั้นสะเทือนวงการคารเต้ด้วยเทคนิคอัศจรรย์ เช่น ฉีกเขาวัวกระทิงภายในพริบตา ทำให้วงการคาราเต้ ตื่นตัวกิตติศัพย์เลื่องลือไปนานาประเทศ ในไม่ช้าโรงฝึกใหม่ๆ จึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด

ค.ศ.1952 อ.จ. ได้นำคณะคาราเต้ 32 คนเดินทางไปเผยแพร่ ชือเสี่ยงทีสหรัฐอเมริกา ด้วยการแสดงกว่าสองร้อยครั้ง ต่อหน้า คนดูนับพัน ประสบความสำเร็จอย่างสูง
ค.ศ.1956เดินทางไปเผยแพร่ตามประเทศตะวันออกเฉียงใต้
ค.ศ 1962 เผยแพรในยูโรปท่านได้เดินทางเผยแพร่รอบโลกและมีส่วนช่วยกิจกรรมทหารนานาประเทศ เมือตอนทีอยู่สหรัฐได้แข่งขันมีชัยชนะต่อนักมวยสากล และมวยปล่ำทีมีชือเสียงเป็นจำนวนมาก
ค.ศ1953 ท่านได้นำคณะกลับญีปุ่นจัดการสู้กับวัวกระทิง ซึงมีเขาหน้า 4 นิวด้วยมือเปล่าเป็นครั้งแรกในโลก ตลอดชิวิตของท่านได้สู้กับวัว 52ตัว ในจำนวนนี้ 3 ตัวตายคาที 48ตัวถูกหักเขานอกจากนี้ท่านยังสามารถทำลายกระเบื่อง 30 แผ่น อิฐ 2 ก้อนใหญ่ ด้วยการฟันทีเดียวยังไม่มีผู้ใดลบสถิตนี้ได้แม้ทุกวันนี้

ท่านได้เผยแพร่คารเต้ จนถึงปี 1970 มีโรงฝึก 500โรง ในต่างประเทศต่างๆ กว่า 40ประเทศ
สำหรับประเทศญีปุ่น โรงฝึกแห่งแรกทีท่านตั้งขึ้นมาคือ เกียวกุชิน ไกกัน เปิดเมือ ค.ศ. 1955 และเมือ ปี 1964 เปิดโรงฝึก five -story โดยมีอดืตนายกรัฐมนตรี อีซากุ ซาโตะ เป็นประธานเกียรติยศ
ทางด้ายการพิ้มพ์หนังสือตำราเผยแพร์คาราเต้นั้น ค.ศ1958พิมพ์ what is karate 1965 this is karate 1970 Advanced karate พิมพ์ตามลำดับ
ค.ศ 1969 ได้จัดการแข่งขันคาราเต้ ที่กรุ่งโตเกียว มีผู้เข้า แข่งขัน จากประเทศต่างๆ มาร่วมด้วยจำนวนมาก

จากคาราเต้ ฉบับสมบูรณ์
พิมพ์โดย สนพ สุขภาพใจ ตุลาคม2531

เกร็ดเพิมเติม ชือภาษาญีปุ่นว่า โอยาม่า หมายถึงภูเขาทียิ่งใหญ่

เคียวคุชินไค แปลว่า ความจริงอันสูงสุด

แม้ว่าไม่มีสถิติทีชัดเจน แต่โอยาม่าได้ต่อสู่ไม่ต่ำกว่า 200ครั้งมีคู่ต้อสู้ กว่า 250 คนส่วนใหญ่สู้กับเขาได้ไม่เกิน 3 นาที่
ในปี1964ได้จัดตั้งสำนักคาราเต้และองค์กรคาราเต้สากล lko มีสาขากว่า120ประเทศ
โอยามา เสียชิวิต เมือปี1994 โดยมะเร็งปอด โดย ท่านไม่เคยสูบบุหรีเลย




 

Create Date : 03 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2549 17:21:35 น.
Counter : 5907 Pageviews.  

ประวัติศาสตร์ไทย "ซ่อม"ฉบับเก่าหรือ"สร้าง"ฉบับใหม่

คอลัมน์ สดจากประชาสังคม

ศรีนิตย์ ศรีอาภรณ์



ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับสุวรรณภูมิพิพิธภัณฑ์ จัดเสวนา "ประวัติศาสตร์แห่งชาติ "ซ่อม" ฉบับเก่า "สร้าง" ฉบับใหม่" เปิดประเด็นการเสริมและสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทย เพื่อความสมบูรณ์ในการอธิบายถึงที่มาความเป็นชาติไทย

ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เสวนานำเรื่องประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย ตอนหนึ่งว่า คำว่าประวัติศาสตร์แห่งชาติสร้างขึ้นเพื่อเป็นเรื่องเล่าร่วมกันของความเป็นมาของคนไทยทุกคน ในฐานะที่เป็นพลเมืองของชาติเดียวกัน ด้วยความทรงจำร่วมกันที่สร้างขึ้นใหม่นี้ สามารถเข้าไปแทนที่ความทรงจำของคนกลุ่มต่างๆ ซึ่งกลายเป็นพลเมืองของชาติไทยได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทุกกลุ่ม และยิ่งเราค้นลึกลงไปมาก เราจะพบอดีตในสำนวนประวัติศาสตร์แห่งชาติซึ่งไม่ตรงตามข้อเท็จจริง หลักฐาน ไม่สามารถกลืนเอาข้อเท็จจริงจำนวนมากที่ไม่ลงร่องลงรอย จำเป็นต้องสร้างกระบวนการลืมแห่งชาติขึ้นควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ข้อเท็จจริงหายไป

บางครั้งถึงกับต้องปิดเอกสาร หรือทำให้เชื่อว่าการเปิดเผยข้อมูลบางเรื่องอาจเป็นสิ่งผิดกฎหมาย อีกทั้งเราปฏิเสธไม่ได้ว่า รากฐานเนื้อหาประวัติศาสตร์แห่งชาติ สำนวนนี้มาจากสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พยายามให้เกิดความทรงจำร่วมกันกับรัฐชาติเกิดใหม่ที่กำลังสร้างชาติขึ้นมา เรียกว่าสยาม ให้ประชาชนมีความทรงจำร่วมกัน

ดร.นิธิกล่าวต่อว่า คำว่าประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ศึกษาอยู่ ไม่สามารถอธิบายกระบวนการเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเหตุผล การวิเคราะห์ เนื่องเพราะอดีตของชาติเป็นคำอธิบาย ผูกอยู่กับบุคคลสูงมาก บุคคลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่นับได้เป็นตัวบุคคล เป็นกระบวนการสลับซับซ้อนที่เรียกว่าโลกาภิวัฒน์ ซึ่งไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียวแต่เกิดจากกระบวนการ เช่นปัญหาในการพูดถึงเหตุการณ์ 14 ต.ค.2516 ทำไมจึงผิดไปจากประวัติศาสตร์ที่แท้จริง มีเพียงเหตุผลเดียวที่ไม่ใช่ว่าเพราะกลัวคนจะทะเลาะกัน ซึ่งสำคัญน้อยกว่า การไม่มีกลไกมาอธิบายเหตุการณ์นี้ เป็นการอธิบายเชิงกระบวนการ

นอกจากนี้ประวัติศาสตร์ชาติจะต้องมีที่มา จากการรวมกันของคนหลากหลายกลุ่ม ประชาชาติต้องมีลักษณะรวบรวม ดึงความหลากหลายที่มีมาร่วมกัน ตรงกันข้ามปัจจุบันเรากลับมีลักษณะกีดกัน ไม่ให้ที่ยืนกับคนกลุ่มต่างๆ ซ้ำความทรงจำที่สร้างขึ้นในนามของประวัติศาสตร์แห่งชาติยังทำลายหรือเหยียดอัตลักษณ์คนบางกลุ่มให้ด้อยเกียรติภูมิอีกด้วย

ดร.นิธิกล่าวอีกว่า ประวัติศาสตร์แห่งชาติที่เหมาะสำหรับชาติไทยที่แท้จริง เป็นเรื่องจำเป็นที่นักวิชาการต้องร่วมมือกันสร้างขึ้นให้ตรงกับความเป็นจริงตามหลักฐาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สันติสุขและความเป็นเจ้าของชาติร่วมกัน ประเด็นสำคัญ 2 ประเด็นที่อยากเสนอคือ การตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมด้วยเทคโนโลยี และการจัดการทางสังคมที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ และในแต่ละยุคสมัย รวมถึงสิ่งเชื่อมโยงผู้คนในดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันให้เข้ามาสัมพันธ์กัน คือการแลกเปลี่ยนทั้งทางวัฒนธรรมและการค้า

มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดความจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนกัน โดยมีแกนกลางของประวัติศาสตร์แห่งชาติ ไล่เรียงตั้งแต่ การตั้งถิ่นฐานของผู้คนนับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงยุคประวัติศาสตร์ตอนต้น การเข้ามาของอารยธรรมใหม่คืออินเดีย และจีน ความเปลี่ยนแปลงสำคัญนับแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 เป็นต้นมา นับแต่การเข้ามาของพระพุทธศาสนาเถรวาท สำนักลังกา สำเภาจีน และการขยายตัวของภาษา มาจนถึงรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม กระทั่งกลายเป็นการปฏิวัติ 2475 และกำเนิดรัฐประชาชาติในทางทฤษฎี ยอมรับว่าอธิปไตยเป็นของทุกคน คนไทยเป็นเจ้าของชาติ

ด้านรศ.รัตติยา สาและ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยทักษิณ สงขลา ผู้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์ปัตตานี กล่าวว่า ถ้าเปรียบเป็นช่างตัดเสื้อ คิดว่าน่าจะตัดใหม่ดีกว่าซ่อม ในเมื่อเสื้อนั้นไม่พอดี จะฝืนเก็บไว้ทำไม จำเป็นต้องตัดส่วนไหนทิ้งก็ต้องทำเพื่อให้เสื้อนั้นมีคุณค่า นำมาใช้ประโยชน์ได้ ในเมื่อประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่บอกถึงอดีตสำคัญของชาติ การจะรักประวัติศาสตร์ต้องรู้จักประวัติศาสตร์ให้แน่ชัด จะทำอย่างไรในเมื่อตั้งแต่เด็กเราไม่เคยมีโอกาสรับรู้ความเป็นมาของเราจากหนังสือแบบเรียนของรัฐแม้แต่น้อย ไม่มีเรื่องราวของชนชาวมลายู

ด้านศ.ดร.ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า ทำอย่างไรที่จะให้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นได้มีที่ยืนในประวัติศาสตร์ของชาติ ปัญหาคือเวลาบอกเล่าเรื่องราวในท้องถิ่น จะใช้เรื่องราวของประวัติศาสตร์ฉบับไหน เนื่องเพราะการใช้พงศาวดารมีเรื่องราวอ้างถึงไม่มาก ขณะที่ประวัติศาสตร์แต่ละฉบับก็เล่าเรื่องแตกต่างกัน หากเราอธิบายว่าคนมีความสัมพันธ์ ความร่วมมือจากจุดไหนไปจุดไหนให้เห็นภายใต้มิติเวลานั้น ความสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งที่ประวัติศาสตร์ของชาติน่าจะเก็บไว้ ไม่ควรจะเรียกว่าเป็นภาค อาจจะเรียกว่าเป็นเรื่องของคนอยู่ทะเล หรืออยู่ภูเขา หรือคนลุ่มน้ำคิดอย่างไร พอเป็นเรื่องของตัวตน ขาดความลึก ทำให้มองไม่เห็นความสำคัญ ตัวอย่าง ทุ่งกุลาร้องไห้ ที่อดีตเคยเป็นแหล่งอุตสาหกรรม แต่ยุคสมัยหนึ่งกลับมีคนเสนอให้ใช้เป็นที่ทิ้งขยะ!!

หน้า 5<วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 15 ฉบับที่ 5805




 

Create Date : 22 ตุลาคม 2549    
Last Update : 22 ตุลาคม 2549 14:09:03 น.
Counter : 809 Pageviews.  

ความมั่นคงยงยืน ด้วยประวัติศาสตร์แห่งชาติฉบับใหม่

คอลัมน์ รายงานพิเศษ

สุจิตต์ วงษ์เทศ อ่านเรื่องเกี่ยวข้องเป็นรายละเอียดใน //www.svbhumi.com e-mail : sv@bhumi.com



ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยที่ใช้เป็นมาตรฐานทุกวันนี้ เริ่มมีขึ้นจากสถานการณ์ตึงเครียดของสยามกำลังเผชิญหน้ากับมหาอำนาจตะวันตกล่าอาณานิคม ในแผ่นดินรัชกาลที่ 4

อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ชี้ให้เห็นว่าต่อมาได้เจือปนกับประวัติศาสตร์อาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก จนทำให้เกิดประวัติเชื้อชาตินิยมตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นต้นมา

ฉะนั้น ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยที่ใช้งานทุกวันนี้ จึงเป็นประวัติศาสตร์แห่งชาติแบบอาณานิคม ล้าหลัง คลั่งชาติ ผลักดันยั่วยุให้วิวาทบาดหมางกับเพื่อนบ้าน และเหยียดคนในประเทศที่เป็นคนไทย แต่ชาติพันธุ์อื่น เช่น มลายู เป็นต้น

อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยวิจัยเรื่องนี้ไว้นานแล้ว ได้บอกว่ารัชกาลที่ 5 ทรงมองเห็นปัญหาบางประการในประวัติศาสตร์แห่งชาติสำนวนที่ราชการใช้งานตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา (แล้วยังใช้อยู่ทุกวันนี้) ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ของภาคกลางเท่านั้น จึงขาดความสืบเนื่องกับอดีตที่เกิดในภาคเหนือ อีสาน, ใต้, และรัฐมลายู โดยยังไม่นับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆอีกมากมาย และหลากหลาย

ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยฉบับปัจจุบัน ตัดขาดจากประวัติศาสตร์สุวรรณภูมิ(อุษาคเนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ราวกับว่าประเทศไทยเกิดขึ้นลอยๆ ตั้งอยู่โดดๆ ไม่มีเครือญาติ ไม่มีเพื่อนมิตรชิดใกล้ ฯลฯ ซึ่งไม่จริงเลย แต่มีพยานหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีกระจายทั่วประเทศว่าความเป็นคนไทยมีบรรพชนเป็นคนดึกดำบรรพ์สุวรรณภูมิในสยามประเทศนี้ราว 3,000 ปีมาแล้วเป็นอย่างน้อย ฉะนั้นจึงเต็มไปด้วยเครือญาติเพื่อนมิตรชาติพันธุ์ต่างๆทั่วผืนแผ่นดินใหญ่สุวรรณภูมิในตระกูลมอญ-เขมร และหมู่เกาะในตระกูลชวา-มลายู ฯลฯ


คณะปฏิรูปฯ (คปค.) อย่าหลงมองความมั่นคงแค่เรื่องเศรษฐกิจการเมืองเพียงด้านเดียว ที่มีความผันผวนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ต้องให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางสังคมวัฒนธรรม ที่เป็นรากฐานลึกซึ้งให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจการเมืองอย่างยั่งยืนยาวนานเป็นหลักด้วย โดยสร้างประวัติศาสตร์แห่งชาติให้ทันสมัย

เบื้องต้นนี้ขอให้คณะปฏิรูปฯทำความเข้าใจให้ถ่องแท้เรื่องมาตุภูมิกับชาติภูมิ



ประวัติศาสตร์แห่งชาติ

ก็ต้องปฏิรูปให้เข้าร่องเข้ารอย

วิกฤติแห่งชาติ คือ วิวาทบาดหมางอย่างรุนแรง ผู้คนทั้งบ้านเมืองประเทศชาติขัดแย้งแตกแยกจนต่อไม่ติด และเข้ากันไม่ได้ ล้วนมีเหตุจากเศรษฐกิจการเมืองที่ไร้สำนึกประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมตั้งแต่ยุค"สงครามเย็น" หลัง พ.ศ. 2500 สืบจนปัจจุบัน

ประเทศไทยยุคสงครามเย็น มีประวัติศาสตร์แห่งชาติแบบอาณานิคม ที่งมงาย ล้าหลัง คลั่งชาติ จนถึงทุกวันนี้ ส่งผลให้ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทุกระดับ ตั้งแต่ครอบครัวและชุมชนจนถึงท้องถิ่นและประเทศชาติ

หากไม่เริ่มแก้ไขปฏิรูปประวัติศาสตร์แห่งชาติแบบอาณานิคมให้ค่อยๆ ลด ละ เลิก ความงมงาย ล้าหลัง คลั่งชาติ เสียตั้งแต่บัดนี้ ก็มองไม่เห็นช่องทางแก้ไขวิกฤติแห่งชาติให้เกิดความปรองดองอย่างยั่งยืนได้

หนทางแก้ไขประวัติศาสตร์แห่งชาติให้ใกล้เคียงความถูกต้องและทันสมัยเพื่อ"ปฏิรูป"การศึกษา การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ ฯลฯ มีหลายช่องหลายแนว แต่ช่องทางแนวทางง่ายที่สุดและปลอดภัยได้ผลมากกว่า คือเผยแพร่แบ่งปันแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างง่ายๆ ถึงร่องรอยและหลักฐานความเป็นมาทางภูมิสังคมวัฒนธรรมของผู้คนทุกชาติพันธุ์ในดินแดนประเทศไทย ตั้งแต่ 3,000 ปีมาแล้ว ที่ยังไม่เรียกตัวเองว่าคนไทย ต่อมาเรียกว่าชาวสยาม หลังจากนั้นถึงเรียกคนไทยสืบจนปัจจุบัน


ทุกฝ่ายต้องปฏิรูปตัวเองในเรื่องประวัติศาสตร์แห่งชาติ มิฉะนั้นการปฏิรูปที่ประกาศว่าเจตนาดีก็จะกลายเป็นตรงข้าม



ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

กับ ประวัติศาสตร์แห่งชาติ

อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เขียนอธิบายเรื่อง"มาตุภูมิ" กับ"ชาติภูมิ"ฯ ไว้ใน มติชน (ฉบับวันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2549) ตอนหนึ่งว่า ประวัติศาสตร์จึงมี 2 ระดับ คือ ระดับท้องถิ่นและระดับชาติ

ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คือประวัติศาสตร์สังคม ที่แสดงให้เห็นความเป็นมาของ ผู้คนในท้องถิ่นเดียวกันที่อาจมีความแตกต่างทางชาติพันธุ์ก็ได้ แต่เมื่อเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เดียวกันตั้งแต่ 2-3 ชั่วคนสืบลงไป ก็จะเกิดสำนึกร่วมขึ้นเป็นคนในท้องถิ่นเดียวกัน มีจารีต ขนบ ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อและกติกาในทางเศรษฐกิจและสังคมร่วมกัน โดยมีพื้นฐานทางความเชื่อและศีลธรรมเดียวกัน เช่น

ท้องถิ่นดงศรีมหาโพธิ์ ในอำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี มีความเป็นมาทางชาติพันธุ์ต่างกัน คือมีทั้งมอญ เขมร ลาว เจ๊ก ฯลฯ แต่มีสำนึกความเป็นคนศรีมหาโพธิ์หรือศรี มโหสถร่วมกัน

ประวัติศาสตร์แห่งชาติ คือประวัติศาสตร์สังคมที่แสดงให้เห็นความเป็นมาของผู้คนในประเทศเดียวกัน

เหนือระดับท้องถิ่นอันหลากหลายก็เป็นพื้นที่หรือแผ่นดินที่เป็นประเทศชาติ เช่น ดินแดนประเทศไทยเรียกว่าสยามประเทศ มีประวัติศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจที่ยึดโยงผู้คนในระดับท้องถิ่นที่หลากหลายให้รวมเป็นพวกเดียวกัน เช่น มีภาษากลางร่วมกัน มีระบบความเชื่อและประเพณีพิธีกรรมเดียวกัน มีสถาบันพระมหากษัตริย์และการปกครองร่วมกัน เป็นต้น

ทั้งหมดนี้หล่อหลอมและผลักดันให้คนในดินแดนสยามสมมุติชื่อเรียกตนเองอย่างหลวมๆ ว่า คนไทย เริ่มมีหลักฐานตั้งแต่สมัยอยุธยา ฉะนั้นคนไทยเป็นชื่อรวมของคนในระดับชาติภูมิ

ประวัติศาสตร์ชาติภูมิ กลายเป็นประวัติศาสตร์รัฐชาติ หรือประวัติศาสตร์แห่งชาติ ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ลงมา ต่อมาได้เจือปนกับประวัติศาสตร์อาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก จนทำให้เกิดประวัติศาสตร์เชื้อชาตินิยม (race) ตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นต้นมา

การมองคนไทยในลักษณะของความเป็นเลิศทางกรรมพันธุ์ ได้ทำลายความเป็นคนไทยที่เป็นชื่อสมมุติท่ามกลางความหลากหลายของชาติพันธุ์ต่างๆในประเทศไทยให้หมดไป จึงเป็นช่องทางให้เกิดกลุ่มผลประโยชน์ใช้อ้างอิงเพื่อความชอบธรรมในการปกครอง แล้วใช้ทำลายความสัมพันธ์ของคน ทั้งคนภายในประเทศไทยและคนภายนอกคือประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เขมร เวียดนาม และมลายู สืบมาจนทุกวันนี้

เพราะถ้ามองจากประวัติศาสตร์ท้องถิ่นแล้ว คนที่อยู่ในประเทศปัจจุบันแยกไม่ออกจากบรรดาชาติพันธุ์ของผู้คนต่างๆในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เขมร เวียดนาม และ มาเลเซีย ฯลฯ




 

Create Date : 30 กันยายน 2549    
Last Update : 30 กันยายน 2549 19:30:47 น.
Counter : 717 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

win_mma
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add win_mma's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.