Group Blog
 
All Blogs
 

นาย ขนมต้ม เป็นนิทาน มิได้มีตัวต้นในประวัติศาสตร์



ในภาพคือ..ขนมหัวล้าน..ของคนใต้ 
ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับของชาวเมียนม่าร์..
หรือ ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษและกลับกลายเป็น ขนมต้ม ในภาษาไทย..
คือ สมญาที่ชาวพะม่าใ้ช้เป็นชื่อเรียก
เชลยไทย ที่ถูกจัดให้ชกมวยหน้าพระที่นั่งพระเจ้ามังระในงานเฉลิมฉลองเจดีย์
ชะเวดากอง วันที่17มีนาคม พ.ศ.2317

อีกภาพคือ..ขนมหัวล้าน..ของคนใต้  ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับของชาวเมียนม่าร์.. หรือ ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษและกลับกลายเป็น ขนมต้ม ในภาษาไทย.. คือ สมญาที่ชาวพะม่าใ้ช้เป็นชื่อเรียก เชลยไทย ที่ถูกจัดให้ชกมวยหน้าพระที่นั่งพระเจ้ามังระในงานเฉลิมฉลองเจดีย์

  ณ ปัจจุบัน หลักฐานที่พบ มีเพียงที่เดียวคือมีกล่าวไว้ในพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาครับ

ไม่มีในบันทึกชาติอื่น หรือไม่ตรง  เท่ากับของเราเป็นเรื่องแต่ง อย่างพันท้ายฯ นี่ก็ไม่มีที่ไหนบันทึก แต่งแน่นอน   อ้างอิ้ง
https://www.royin.go.th/?knowledges=%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B9%92%E0%B9%94-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%95
    เพราะฉะนั้น พงศาวดาร ฉบับพระราชฯโดยส่วนตัวผมว่าไม่ค่วรเอามาใช้อ้างอิงนะครับเพราะหลายเรื่องเป็นความเห็นส่วนตัวผู้บันทึก และห่างจากช่วงเหตุการณ์นานเกินไป ไม่สอดคล้องกับฉบับอื่นในรายละเอียด  ท่าสังเกตุดีๆบทความไม่ได้อ้างว่าเป็นพงศาวดารพม่าฉบับใดเลยครับ ถ้าเป็นฉบับพระราชหัตรเลขา มีบางคนบอกมาว่าไม่น่าจะเชื่อถือได้ เพราะชำระในสมัยพระจอมเกล้าฯ ทั้งที่เรื่องเกิดในพม่า
       แล้วทำไม่คนถึงเชือ ว่ามีอยู่จริง?
      ตามปกติครับ นิทานทุกเรื่องที่คนนิยมจะถูกทำให้กลายเป็นความเชื่อทั้งนั้นครับ ตั้งแต่มหากาพย์ยุคกรีกอายุสองพันปี มหากาพย์อินเดีย ทีากลายเป็นศาสนา แม้แต่นิทานสุนทรภู่ ก็มีคนเชื่อเป็นตุเป็นตะครับ
ปัญหาของเรื่องนี้คือ

มันไม่เคยมีเอกสารใดเลยที่ถูกเขียนขึ้นก่อนรัชกาลที่4 ที่เอ่ยนามนายขนมต้มหรือแม้แต่วีรกรรมล้มนักมวยพม่าของนักมวยไทยในภาษาไทย


งานทั้งหมดถูกเขียนขึ้น ไม่ในรัชสมัยพระจอมเกล้าฯ ก็สมัยหลัง

หลักฐานวีรกรรมนักมวยในภาษาพม่า ที่ชอบอ้าง พงศาวดารพระเจ้ามังระ ผมก็ไม่เคยเห็น

ใครมีเอกสารที่เขียนก่อน ร.4 เป็นภาษาไทยผมขอดูเป็นบุญตาหน่อยเถอะ

พันท้ายเอย นายขนมต้มเอย  และอีกหลายเรื่องล้วนสืบต้นตอมาจากคนๆเดียว ที่เอาเข้าจริงๆก็เกิดไม่ทัน แต่มีอำนาจชำระทุกอย่างตั้งแต่ศาสนายันประวัติศาสตร์ 
  เอาเขาจริงๆคงไม่มีกษัตริย์พม่าเอาแต่ชมคนไทยที่เป็นศัตรูให้คนของตัวเองฟังครับ




 

Create Date : 22 กันยายน 2561    
Last Update : 26 กันยายน 2561 1:27:27 น.
Counter : 2252 Pageviews.  

ยอดนักดาบ ยางิว มาตาจูโระ

ตำนานยอด ยางิว มาตาจูโระ
ยางิว มาตาจูโระ เป้นหลาน เซคิจูไซ ซึงมาตาจูโระ เป้น นักดาบ ทีกากทีสุดของ ตระกลู เชคิจูไซ จึงไปฝากให้ ยอดนักดาบ ของญี่ปุ่น สมัยนั้น คือ ปรมาจารย์บันโซ ขอให้ช่วยฝึกหลานของตนให้หน่อย

มาตาจูโระ ได้ถามปรมาจารย์บันโซว่า ถ้าจะบรรลุวิชาดาบ ต้องใช้เวลาเท่าไหร่
อจ บันโซ ก้ตอบ ว่า ก้คงใช้เวลาชั้วชิวิต
มาตาจูโระ ก็ตกใจ ก็เลยถาม ว่า อ.บันโซ ว่า ถ้าข้าฝึกตัว อย่าง เข้มงวดทีสุด เพือให้ เป้นยอดนักดาบ ข้าต้องฝึก เป้นเวลาเท่าไร อ. บันโซ ตอบว่า อาจ ใช้เวลาซัก 20ปี
มาตาจูโระ แล้วท่าฝึกให้หนักกว่านั้น ละ ข้า ต้องใช้เวลาเท่าไร อ บันโซ ตอบว่า อาจจะใช้เวลาซัก30ปี
เช็ดเชี้ย อะไรวะ ยิงฝึกหนัก ยิ่ง บรรลุวิชายาก (ผมพูดแทนมาตาจูโระ )
อ. บันโซ จึง เสนอ ว่า ลอง ฝึกซัก7ปี แล้วกัน แต่ในช่วง 7 ปีนี้ ห้ามมาตาจูโระ ห้ามจับดาบ และห้ามพูดถึงเรืองดาบเด็ดขาด ผมจะให้คุณ ทำงานบ้านอย่างเดียว เวลานี้ผมใช้ให้คุณทำอะไรคุณต้องทำ และเมื่อใดที่คุณฝ่าฝืนคำสั่ง ผมก็จะไล่คุณออกจาก การฝึก
ในช่วงปีแรก มาตราจูโร ได้ทำตามคำสั่งอาจารย์อย่างเคร่งครัด แต่พออยู่มาวันหนึ่ง อาจารย์บันโซได้ แอบลอบโจมตีเขาตอนเผลอ มาตายูโระ - ก็ต้องคอยป้องกันและหลบดาบ ของอาจารย์ ตลอดเวลาไม่ว่าเวลากินหรือเวลานอน และ ห้ามจับดาบตอบโต้ ด้วยมีหน้าทีอย่างเดียว คือ "หลบ"
แรกๆก็ หลบดาบได้ เพลงสองเพลง พอกินเวลาไปหลายหลายปีเข้า ยางิว มาตาจูโระ ก็สามารถหลบดาบ ของ อจ บันโซ ได้ ทั้งหมด
จนเวลาผ่านไป 7ปี อ. บันโซ ได้เรียก ยางิว มาตาจูโระ และบอกว่าเจ้าสำเร็จวิชาดาบแล้ว ด้วยควมมึนงง
มาตาจูโระ / แต่ๆ ผมยังไม่เคยจับดาบเลยนะครับ อจ แล้วข้าจะสำเร็จวิชาดาบได้อย่างไร
อจ บันโซ/ ไอ้เด็กโง้เอ้ย ขนาด ข้าเป้น ปรมาจารย์ดาบ ยังฟันเจ้าไม่โดนเลย แล้ว" หน้าไหนในแผ่นดินนี้จะฟันเจ้าโดนล่ะ "!?
หลังจากที่ ยางิว มาตาจูโระ สมเด็จวิชาดาบของปรมาจารย์บันโซ แล้ว ก็ได้กลับมาสืบทอดสำนัก และเป็นหนึ่งในสุดยอดนักดาบในสมัยเอโดะ




 

Create Date : 13 มีนาคม 2561    
Last Update : 13 มีนาคม 2561 13:32:20 น.
Counter : 957 Pageviews.  

ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ "มวยไทยสากล" พ.ต.ท.สมพงษ์ แจ้งเร็ว ต้อน 2 การเปลี่ยนแปลงของมวยสากล

อย่างไรก็ตามมวยไทยนั้นเมื่อเทียบกับมวยฝรั้งแล้ว ก็ดูกันว่าเป็นกีฬาที่โหดร้ายทารุณอยู่บ้าง มีการใช้อาวุธหลาอย่าง และใช้การคาดด้ายดิบแทนการสวมนวม ถ้านับทางผู้เรียนวิชามวยฝรั้งซึ่งมักเป็นขุนนางหรือนักเรียนลูกขุนนางกับนักมวยไทยทั่วๆ ไปซึ่งโดย มากเป็นคนหัวเมืองแล้ว มวยไทยกับมวยฝรั้งก็แทบจะ ไม่เกี่ยวข้องกันเลย จนอีกหลายปีต่อมา
มวยฝรั่ง หรือมวยสากลในสมัยที่ ม.จ. วิบูลย์สวัสดิวงศ์ทรงนำมาเผยแพร่นั้น เป็นช่วงที่ กำลังเปลี่ยนแปลงในรูปแบบชั้นเชิงจากแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ กล่าวคือแต่เดิมนั้น นักมวยทั้งสองฝ่ายจะคอยจดจ้องหาโอกาศหรือสืบเท้าเข้าแลกหมัดกัน นักมวยที่มีชื่อในยุคต้นๆ ของการแข่งขันตามกติกาสมัยใหม่ เช่น จอห์น ซุลลิแวน (john L Sullivan) หรือแจ๊ค จอห์นสัน (jack Johnson) เป็นต้น ล้วนชกด้วย สไตล์แบบนี้
ความเปลี่ยนแปลงของมวยสากลเกิดขึ้นครั้งสำคัญ ไม่ใช้อยู่แค่ทีหันมาสวมนวม แต่อยู่ทีเมื่อจิมมี ไวลด jimmy wilde นักชกร่างเล็กจากอังกฤษ (เขาเป็นชาวไอริช) เจ้าของฉายา “เจ้าหนูปรมาณู the mighty atom หรือปิศาจหมัดแอน the ghost with a hammer in his hand ขึ้นมาแสดงฝีมือจนได้ครอง ตำแหน่งแชมเปี้ยนรุ่นฟลายเวทของยุโรป (ถือว่าเป็นตำแหน่งแชมเปี้ยนรุ่นฟลายเวทของยุโรป) จิมมี่ ไวลด์ เริ่มมีชื่อเสียงตั้ง แต่ราวปี พ.ศ. 2457 จนมาถึง ปี พ.ศ.2466 เมื่อเขาประกาศแขวนนวม หลังจากที่เขาเรื้อรังการชกและ ต้องพ่ายปานโช วิลล่า pancho villa นักมวยชาว ฟิลิปปินส์ ซึ่งอายุอ่อนกว่า เขา 9ปี หลังจากที่ แขวนนวมแล้ว เขายังเขียนตำรามวยไว้ด้วย(แปลเป็นไทยปี 2481 โดย ส ประเสริฐบุญ ในชือ “วิชามวยฝรั้ง “
ในประวัติศาสตร์มวยสากลนั้น ถือกันว่า จิมมี่ ไวลด์ เป็นสุดยอดของ มวยรุ่นเล็กที่ไม่มี ใครทาบตั้งแต่อดิต จนถึงปัจจุบัน
จิมมี่ ไวลด์ เป็นมวยร่างเล็ก สูงเพียง 159 เซนติเมตร จึงเสีย เปรียบ ในเรื่องรูปร่างคู่ต่อสู้เสมอ แต่ เขาเอาชนะคู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่าได้ ก็เพราะน้ำหนักหมัดที่หนักพอๆ กับ นักมวยรุ่นไลท์เวท และ สไตล์การชก ที่เขาคิดสร้างขึ้นมาเองเป็นพิเศษ (ว่ากันว่าเขาคิดขึ้นมาจากการเล่นกับแมว) สไตล์การชกของเขาคือ เมือเผชิญคู่ต่อสู้ เขาจะตั้งการ์ดต่ำมาก (ระดับเอว) และบุกเข้าโจมตีคู่ต่อสู้จากทุกมุมที่ทำได้ ในขณะทีฝ่ายครงข้าม ชกเขาไม่ถูกเลย เขาจะใช้หมัดหน้าชกซ้ำติด ๆ กันหลายครั้ง (หมัดแย๊บ) โยกตัวเดินหน้า พร้อมกับหลบ หมัดคู่ ต่อสู้ และเต้นด้วยปลายเท้า (ฟุตเวิร์ค) เข้าออก ตลอดเวลา นักเขียนฝร้งที่เขี่ยนเรื่องประวัติมวยสากลคนหนึ่งกล่าวว่านักมวยรุ่นหลังที่ชกสไตล์เดียวกับจิมมี่ ไวลด์ ก็ คือมูฮัมหมัด อาลี
ชื่อเสียงของจิมมี ไวลด์ กลายเป็นตำนาน และก็ต้องนับว่าสไตล์การชกของเขาเป็นการปฏิวัติมวยสากลทีเดียว เพราะมวยรุ่นต่อๆ มาก็หันมาใช้หมัดแย็บ และฟุตเวิร์คกันจนปัจจุบัน




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2554    
Last Update : 19 ตุลาคม 2554 21:11:04 น.
Counter : 1584 Pageviews.  

ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ "มวยไทยสากล" พ.ต.ท.สมพงษ์ แจ้งเร็ว (ตอน1

ในสมัยรัชกาลที่ 5 และ 6 ได้มีการนำเอากีฬาและการบันเทิง หลลายอย่างมาจากยูโรป ซี่งสมัยนั้นมักเรียกกันว่า "แบบฝรั้ง" นี้ต่อมาบางทีใช้เป็น ไแบบสากล" ดังเช่นเมื่อนำดนตรีแบบฝรั้งเข้ามาปรับปรุงเข้ากับเนื้อร้องไทย ก็เรียกกันว่าเป็น "เพลงไทยสากล"
มวยฝรั้ง หรือมวยสากล ต่างจากมวยไทยที่ในการชกกันจะใช้หมัดเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ใช้ศอก เข่า และเท้าอย่างมวยไทย มวยสากลนั้นกว่าจะมาเป็นแบบปัจจุบันมีพัฒนาการมายาวนานรูปหล่อสำริดของนักมวยผู้ชนะการแข่งขันโอลิมปิคครั้งที่ 141 เมื่อก่อนศริสตกาล 216 ปีทำให้รู้ว่าในสมัยโรมันโบราณก็มีการแข่งขันมวยแล้ว และทำให้รู้ด้ย่ามวยในยุคนั้นก็ใช้การพันหมัดทำนองเดียวกับมวยไทยเหมือนกัน (แต่ใช้แถบหนังไม่ใช่ ด้ายดิบ) ในสมัยหลังต่อมาอีกนาน เมื่อมวยกลายเป็นกีฬาที่นิยมกันในยุโรป โดยเฉพาะในอังกฤษ แล้วขยายไปยังอเมริกา นักมวยยุคนั้นชกกันด้วยหมัดเปล่า และชกันแบบให้แพ้กันไปข้างหนึ่ง คือกำหนดยกบางทีถึง 45 ยกใช้เวลา 2 ชั้วโมงกว่า ต่อมาจนถึงปี ค.ศ 1867 หรือ พ.ศ. 2410 จึงมีการกำหนดใช้กติกาแบบใหม่ทีเรียกว่า กติกาควีนสเบอร์รี่ queens berry rules มีการกำหนดจำนวนยกเพียง 20 ยก แล้วลดมาเป็น 15 หรือ 12 ยก มีสังเวียนที่กำหนด ขนาดมาตรฐาน มีการนับเวลาชกและเวลาพักระหว่าง ยกมีกำหนดการนับ 10 และอื่นๆ ที่สำคัญคือให้มีการ สวมนม จากสมัยนี้เป็นต้นมา การแข่งขันชกมวยสากลจึงค่้อยเข้ารูปมาเป็น ปัจจุบัน
มวยสากลหรือมวยฝรั้ง อย่างทีไทยเรียกกันใน สมัยแรกๆ นับเป็นของใหม่ของคนไทย บุคคลแรกที่นำเข้ามาเผยแพร่คือ ม.จ. วิบูลย์สวัสดิวงศ์ สวัสดิกุล โดยประมาณปี พ.ศ.2455 หลังจากทีทรงสำเร็จการศึกษากลับมาจากต่างประเทศ ในประวัติของ ม.จ. วิบูลย์สวัสดิวงศ์ ที่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต (กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร) ทรงเรียบเรียงนั้น ก็ปรากฎว่า สมัยที่เรียนอยู่ทีโรงเรียนมัธยมอีตันนั้น ก็ทรงได้ขื่อเสียวว่าเป็นนักมวยรุ่นเบาของโรงเรียนแล้ว เมื่อเสด็จกลับมาแล้วยังปารกฎว่านอกจากงานราชการตามตำแหน่งราชเลขาธิการแล้ว ยังได้ทรงช่วยสอนและกำกับพลศึกษา ของกระทรวงธรรมการแผนกมวยฝรั้งอยู่หลายปีและก็ได้แต่งตำราขึ้น เป็นที่นับถือกันว่า เป็น"ครูของครูมวย" ในสมัยต่อมาหลายคน
การสินนั้นในครั้งแรกได้มีการฝึกสอนที่โรงเีรียน สวนกุหลาบ อันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนพลศึกษากลางด้วย โยฝึกในหมุ่ครูและนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบ และนักเรียนโรงเรียนพลศึกษากลาง นักเรียนทีเรียนวิชามวยคนหนึ่งที่มีชือเสียงด้านมวยฝรั้งมากคือนายนิยมทองชิต ซึ่งต่อมาจะเป็นอาจารย์ผู้ฝึสอนโผน กิ่งเพชร แชมเปี้ยนโลกคนแรกของไทย
จากโรงเรียนสวนกุหลาบและโรงเรียนพลศึกษากลาง ความนิยมก็แพร์หลายไปสู่โรงเรียนต่างๆ อยางรวดเร็ว จนมีการแข่งขันกันในระหว่างโรงเรียนขึ้น และมีการแบ่งรุ่นตามน้ำหนัก
ในสมัยนั้นที่มีการฝึกสอนวิชามวยฝรั่งอันเป็นมวยแบบใหม่นั้น มวยไทยก็เป็นทีนิยมกันอย่างกว้างขวางเช่นกัน ในโรงเรียนสวนกุหลาบเวลานั้นก็มีการฝึกสอนมวยไทยโดยบรรจุไว้ในหลักสูตรของโรงเรียนด้วย(ผู้เขียนตำราคือหลวงวิศาลดรุณกร อาจารย์ผู้ปกครองโรงเรียนสวนกุหลาบ) นอกจากจะเป็นสนามแรกของการแข่งขันมวยไทยยุคคาดเชือกแล้ว โรงเรียนี้ได้ผลิต นักมวยที่มีชื่อเสียงทางด้านมวยไทยออกมาหลายคน เช่น นายจีน พลจันทร(มีฉายา่วมกันนายทับ จำเกาะ ยอดนักเตะจากโคราชว่า "หมัดนายจีน ตีนนายทับ"




 

Create Date : 17 ตุลาคม 2554    
Last Update : 17 ตุลาคม 2554 22:03:04 น.
Counter : 1292 Pageviews.  

ไทยผมไม่ขอเป็น .....

ไทยผมไม่ขอเป็น ผมขอเป็นสยามดีกว่า" คำเกริ่นนำของ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการประวัติศาสตร์ชื่อดัง และอดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้หนึ่งที่สนใจค้นคว้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย และประเทศเพื่อนบ้านมาอย่างยาวนาน ผ่านวงเสวนา "สยาม เป็นไทย" ในเวทีพูดคุยของป๋วยเสวนาคาร วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร

อาจารย์ชาญวิทย์ นับเป็นหัวขบวนเรียกร้องให้รัฐบาล เปลี่ยนชื่อประเทศ จาก "ไทย" กลับไปเป็น "สยาม" และ "Thailand" กลับไปเป็น "Siam"

สิ่งเรียกร้องนี้มีที่มาที่ไป มีทั้งเหตุผลและในความหมายของคำว่า "ไทย" กับ "สยาม"

อาจารย์ชาญวิทย์ ปูที่มาให้ฟังว่า ตอนประเทศสยามที่ยังไม่เป็นไทย ประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติ อาทิ มลายู มอญ ลาว จีน และชนกลุ่มน้อย อยู่กันอย่างสงบ แม้ต่างอัตลักษณ์ แต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ ประกอบกันเป็นชนชาติเรียกว่า สยาม

เป็นเวลากว่า 71 ปีมาแล้ว นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และหลวงวิจิตรวาทการ หรือพวกปีกขวาคณะราษฎร เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย แม้จะดูทันสมัย แต่แฝงไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย เกิดเรื่องยุ่งยากที่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน

ทั้งในเรื่องของการแบ่งสีเสื้อคนในชาติ ประกอบด้วยเสื้อเหลือง เสื้อแดง รวมไปถึงประเด็นร้อนเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหาร จนเกิดเป็นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา



ดร.ชาญวิทย์ ชี้ว่า ผลพวงสำคัญจากการเปลี่ยนชื่อประเทศคือ "ลัทธิชาตินิยม" ที่เริ่มแรกเกิดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ 200 กว่าปีก่อน การประกาศเอกราชจากอังกฤษ มีประธานาธิบดี ปกครองแบบสาธารณรัฐ ต่อมาขยายไปยังละตินอเมริกา ยุโรป

"ที่เห็นชัดคือ การปฏิวัติฝรั่งเศส ที่นำโดยนโปเลียน ขณะที่ประเทศไทย ขยายลุกลามมาในสมัยรัชกาลที่ 6 แต่มาแจ่มชัดจริงๆ เมื่อปี พ.ศ.2475 สมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มาแจ่มชัดในสมัยนี้ ก็เพราะผู้นำในสมัยนั้นต้องการเล่นเกมชาตินิยม เพื่อบดบังรัศมีของฝ่ายเจ้า ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาไม่ประสบความสำเร็จกับการบริหาร ฉะนั้นความเป็นชาตินิยมของไทย มันก้ำกึ่งกับการเป็นลัทธิชาตินิยม มองว่าเป็นเสมือนหนึ่งกับลัทธิทหารมากกว่า"

เมื่อก่อกำเนิดเป็นลัทธิ "เชื้อ-ชาตินิยมไทย" ที่บ่มเพาะปลูกฝัง ทั้งการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาล ผ่านตำราเรียน ผ่านสื่อบทละคร หนังเพลง ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยมีชั้นผู้นำ ชนชั้นสูง คนกรุง คนเมือง ผลักกันไปยังชนชั้นกลาง และมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะบีบให้ถึงคนชั้นล่าง รากหญ้า ชาวบ้าน ว่าเราเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคนี้ที่เป็นเอกราช ก้าวนำทั้งเรื่องประชาธิปไตยและเศรษฐกิจ ลัทธิที่ว่านี้ฝังรากลึกมาเกือบ 100 ปี กลายเป็นหลุมดำที่ตกลงไปแล้ว อาจกลับขึ้นมาใหม่ไม่ได้

อาจารย์ชาญวิทย์ มองว่า ถ้าถามว่าการจะแก้ปัญหาชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหาร ที่เราเรียกร้องอยู่นั้น ขอตอบตรงนี้เลยว่า นอกจากจะยากแล้ว ปัญหาคงไม่จบง่ายๆ แม้ในปี พ.ศ.2554 จะมีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่ประเทศบาห์เรน ปัญหาก็จะกลับมาอีก

เพราะการปลูกฝัง ลัทธิ "เชื้อ-ชาตินิยมไทย" ได้ฝังรากลึกมาอย่างยาวนาน แต่ปัญหาจะร้อนหรือเย็น ก็ขึ้นอยู่กับเกมการเมือง นักการเมือง ที่จะเดินหน้าเอาแต้มจากชนชั้นสูง และชนชั้นกลางแค่ไหน แต่ส่วนใหญ่มักได้แต้ม หากชูลัทธินี้ขึ้นมา ที่ผ่านมาก็มีบทเรียนมาแล้ว ทั้งเรื่องประชาชนในประเทศนี้ตีกันเอง ทั้งที่ภูมิซรอล จ.ศรีสะเกษ เพราะเรื่องปราสาทพระวิหาร หรือกรณีตีกันเอง เพราะเรื่องสีเสื้อและความคิดที่แตกต่าง จนบาดเจ็บล้มตาย

พร้อมกันนี้ อาจารย์ชาญวิทย์เสนอว่า ทางออกของปัญหานี้ เราจำต้องเรียนรู้ใหม่จากประวัติศาสตร์ และต้องไม่จมอยู่ในประวัติศาสตร์เก่าๆ โดยเฉพาะการตอกย้ำว่าเราเป็นเอกราช ดูถูกประเทศที่ด้อยพัฒนากว่าเรา ต้องยอมรับว่าปราสาทพระวิหารได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปแล้ว นี่คือประเด็นหลัก และเราไม่ควรเพ้อเจ้อกับประเด็นรอง กับเรื่องที่จะรับหรือไม่รับแผนพัฒนาพื้นที่ทับซ้อน และหาทางออกด้วยการเจรจาโดยสันติเป็นเพื่อนบ้านที่ดี เพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะประชาชนตามแนวชายแดน

"การเปลี่ยนชื่อจากไทยเป็นสยาม ผมถูกด่ามาเยอะ ว่าจะประสบความสำเร็จหรือ ผมไม่แคร์ แต่คิดว่าตอนนี้มาถูกทาง ที่ความเป็นสยาม หมายถึง การยอมรับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ อัตลักษณ์ของคน ที่ประกอบกันเป็นประชาชนในประเทศนี้ และไม่เห็นด้วยที่รัฐต้องการบีบให้เหมือนกันหมด โดยเฉพาะความเชื่อลัทธิเชื้อ-ชาตินิยมไทย"

ก่อนย้ำในช่วงท้ายของการพูดคุยว่า ด้วยเหตุนี้ นามจึงมีความสำคัญมาก ที่ต้องแก้รัฐธรรมนูญ เปลี่ยนจาก "ไทย" เป็น "สยาม" ที่เรารักชาติสยาม รักคนเชื้อชาติไทย และคนเชื้อชาติอื่นๆ ด้วย ด้วยเหตุนี้จึงมักพูดเสมอว่า

"ถ้าเป็นสยามผมมีที่ยืน แต่ถ้าเป็นไทยผมไม่มีที่ยืน"

นี่คือข้อมูลและเหตุผลที่ "ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" ยังคงยืนหยัดเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อประเทศกลับไปเป็น "สยาม" ดังเดิม

หน้า 6




 

Create Date : 10 ตุลาคม 2553    
Last Update : 10 ตุลาคม 2553 10:29:32 น.
Counter : 589 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

win_mma
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add win_mma's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.